PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562

"ชวน”ตกใจ!ลือแจกเงินให้กมธ. ย้ำงบเหลือต้องคืนแผ่นดิน

“ชวน”ติงส.ส.ต้องมีความรับผิดชอบ ยอมรับรู้สึกตกใจข่าวลือเตรียมแบ่งงบ กมธ.ที่เหลือให้ส.ส.คนละแสน  ยันงบประมาณเหลือต้องส่งคืนแผ่นดิน ไม่ใช่เอามาแบ่งกัน แจงออกกฎ ไม่รับคนเบี้ยวหนี้ กยศ. เป็นขรก.สภาฯ-ห้ามเรียนพระปกเกล้าเพราะต้องการให้เป็นตัวอย่างกับสังคม

วันที่ 16 ก.ย.2562  ที่รัฐสภา เกียกกาย นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ส.ส.จะแบ่งงบประมาณของคณะกรรมาธิการฯ ที่เหลืออยู่ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 30 ก.ย.นี้คนละ 100,000 บาท ว่า รู้สึกตกใจ ขอย้ำว่า การใช้จ่ายต้องเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินเหลือก็ต้องนำส่งคืนแผ่นดิน ไม่ใช่นำมาแบ่งกัน ส.ส.ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะเป็นเงินภาษีของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ข้าราชการรัฐสภาช่วยกันประหยัดงบประมาณ ไม่ฟุ่มเฟือย ทำงานเสร็จแล้วให้ช่วยกันปิดไฟ เพราะหากข้าราชการ 3,000 กว่าคนช่วยกันประหยัด ก็จะลดราคาค่าไฟลงได้ หากช่วยกันประหยัดเงินส่วนนี้ได้จะมีเงินเหลือมาใช้ทำประโยชน์ได้มหาศาล

ส่วนกรณีการออกกฎห้ามคนเบี้ยวหนี้กยศ.เป็นข้าราชการรัฐสภา และห้ามเรียนหลักสูตรสถาบันพระปกเกล้านั้น นายชวนกล่าวว่า ยืนยันว่าเป็นการให้นโยบายในฐานะที่ตนเป็นประธานรัฐสภา ซึ่งต้องการให้ข้าราชการทุกคนเป็นตัวอย่างในสังคม เพราะกองทุนกยศ.ในสมัยรัฐบาลของตนมีจุดประสงค์ที่ต้องการช่วยเด็กทั้งประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีผู้กู้เงินจากกองทุนเรียนมากกว่า 6 ล้านกว่าคน ใช้งบประมาณจาก 3,000 ล้านบาทในอดีต จนปัจจุบันต้องใช้ถึง 5 แสนกว่าล้านบาท ดังนั้น หากผู้กู้ยืมจ่ายเงินคืนก็ไม่ต้องมีการตั้งงบประมาณใหม่ เพราะเป้าหมายของกองทุนไม่ได้ต้องการสร้างคนที่มีความรู้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างคนดีด้วย คนมีความรู้แต่เป็นคนไม่ดีบ้านเมืองก็จะน่ากลัว คนไม่มีความรู้โกงบ้านเมืองก็โกงได้ไม่เท่าไหร่ แต่คนที่มีความรู้แล้วโกงบ้านเมืองนั้นจะสามารถโกงได้จำนวนมหาศาล

ด้านนพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกระแสข่าวกรรมาธิการสามัญ 35 คณะของสภาผู้แทนราษฎร เตรียมเร่งใช้งบประมาณที่เหลือจากงบประมาณรายจ่ายปี2562 จำนวน 87.5 ล้านบาท นำมาเฉลี่ยให้กมธ.ละ 2.5 ล้านบาท เพื่อให้นำไปแจกจ่ายให้ส.ส.ที่เป็นกมธ.คนละ 1แสนบาท นำไปใช้จ่ายให้ทันก่อนสิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อไม่ต้องนำงบที่เหลือส่งคืนคลัง ว่า ยืนยันไม่เป็นความจริง สภาฯในสมัยนายชวน  ไม่มีเรื่องนี้แน่นอน การใช้จ่ายงบประมาณต่างๆต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์ กระแสข่าวที่ออกมาเชื่อว่า คงคิดกันไปเองเพราะเห็นว่า เหลือเวลาอีกเพียง10 กว่าวัน จะสิ้นปีงบประมาณ จึงคิดเช่นนั้น  ซึ่งการใช้งบประมาณในส่วนของคณะกรรมาธิการสามัญ สภาผู้แทนราษฎรปีงบประมาณ 2562 นั้น ได้ตั้งงบไว้ 3เดือน และเพิ่งตั้งกมธ.ชุดต่างๆเสร็จเรียบร้อยไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีงบประมาณที่ตั้งไว้จำนวน  90,784,300 บาท ขณะนี้เหลือเวลาใช้งบอีกเพียง 10 กว่าในการใช้งบประมาณ


Ads by AdAsia

Play
นพ.สุกิจ กล่าวต่อว่า  การที่กมธ.จะใช้งบประมาณดังกล่าวได้ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ 9ข้อได้แก่ 1.ค่าเบี้ยประชุมกรรมการและกมธ. 2.ค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานให้กมธ.ประจำสภาผู้แทนราษฎร 3.ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก ค่ายานพนะ กรณีเดินทางไปศึกษาดูงาน โดยส.ส.จะได้ค่าที่พัก 2,500 บาทต่อคืน ค่าเบี้ยเลี้ยง 270 บาทต่อวัน ค่าพาหนะเบิกได้ตามจริง 4.ค่าอาหารเลี้ยงรับรองคณะกรรมาธิการสามัญสภาผู้แทนราษฎร 5.ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของกมธ.

 
 6.ค่าใช้จ่ายการจัดสัมมนาของกมธ. 7.ค่าใช้จ่ายเพื่อรับรองแขกต่างประเทศของกมธ. 8.ค่าใช้จ่ายการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ภายในประเทศของกมธ. หากกมธ.จะใช้งบส่วนนี้ก็สามารถใช้ได้ แต่ต้องมีกมธ.ไปดูงานในประเทศไม่น้อยกว่า 5คนต่อคณะ 9.ค่าใช้จ่ายการเดินทางมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นต่อกมธ.  โดยได้ตัดค่าใช้จ่ายการเดินทางไปดูงานต่างประเทศทิ้งไป เพราะนายชวน ไม่อนุมัติ เมื่อแยกออกเป็นแต่ละคณะแล้ว กมธ.จะได้งบประมาณตกคณะละ 2.5 ล้านบาท แต่ไม่สามารถนำไปแจกส.ส.ที่เป็นกมธ.คนละ 1แสนบาทเพื่อนำไปใข้จ่ายได้ เพราะการใช้งบประมาณต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ 9 ข้อดังกล่าว 
“การให้ข่าวเช่นนี้ทำให้สภาฯเสียหาย ขอยืนยันไม่เป็นความจริง เพราะนายชวน เคร่งครัดเรื่องการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์แต่ประชาชนอย่างมาก และในวันที่ 17 ก.ย.นี้ เวลา13.30น. นายชวน จะเรียกประชุมประธานและเลขานุการกมธ.ทุกคณะ เพื่อชี้แจงหลักเกณฑ์เรื่องการใช้จ่ายงบประมาณปี2562 ที่เหลืออยู่”นพ.สุกิจ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ โวย รัฐมนตรีห่วย โทษนายกฯ เตือนจะเอา ‘ประยุทธ์’ คนนี้หรือคนเก่า


เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่ห้องแกรนด์ไดมอน บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ “ยุทธศาสตร์ชาติ ภาคปฏิบัติ:ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน” (National Strategy in Action: Integrated Implementation for THAIS)” จัดโดยสานักงาน ก.พ. โดยมีนางเมธินี เทพมณี เลขาธิการ ก.พ. ให้การต้อนรับ มีข้าราชการทุกระดับ เข้าร่วมงาน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า หลักสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ คือการบูรณาการงานร่วมกัน เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทุกคนต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ แต่อย่ามองข้ามกฎระเบียบ เพราะนายกฯเปรียบเหมือนผู้อำนวยการเพลง หรือไวยากรณ์ คณะรัฐมนตรี(ครม.) และข้าราชการ เป็นนักดนตรี แต่ข้าราชการก็ย่อมมีทั้งคนดีและไม่ดี ดังนั้น ถ้านายกฯ ไม่ดีก็ด่านายกฯ แต่ที่แล้วมา อะไรไม่ดีคนก็ชอบว่านายกฯ รัฐมนตรีห่วยก็โทษนายกฯ สรุปนายกฯโดนทั้งปี จึงต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน การทำความเข้าใจวันนี้อาจไม่เพียงพอ ถ้าไม่สร้างความเข้าใจกับประชาชน สิ่งที่ทำจะล้มเหลว จะเกิดความไม่ชอบและไม่ร่วมมือกัน ก่อให้เกิดการต่อต้านผ่านสื่อเหมือนเช่นทุกวันนี้ แต่เราต้องถามว่าในความต้องการบางอย่างนั้นสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งข้าราชการต้องชี้แจงว่าเหตุใดจึงทำไม่ได้และมีวิธีการอื่นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าเล่นดนตรีกันคนละเพลง ทุกอย่างก็ไปกันไม่ได้ ต่อให้ผู้อำนวยการเพลงเป็นใครก็ตาม จะเป็นคนเก่าคนใหม่ ก็ยังเหมือนเดิม เพราะทำความเข้าใจกันไม่ได้
ช่วงท้าย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไปดูรัฐธรรมนูญให้ดีแล้วกัน จะเอาผมแบบนี้หรือจะเอาผมแบบก่อน โอเค ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอให้ได้พูดบ้าง เสาร์-อาทิตย์ อกจะแตกเหมือนกันเพราะไม่รู้จะไปพูดกับใคร แต่ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้ว่าใครทั้งสิ้น ไม่ได้ไปโทษใครทั้งสิ้น เพราะตนเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ขอบ่นหน่อยเถอะ ไม่ใช่บ่นแต่ขอเล่าให้ฟังว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน จะคิดจะทำอย่างไร ถ้าจะแก้ไขต้องร่วมมือกันคิดอย่างไร ทำให้ปัญหาเล็กลง แล้วประชาชนต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจไม่มีวันแก้ได้ เดี๋ยวแก้อันนี้ไปเจออันโน้นแก้อันโน้นไปเจออันนี้กลับไปที่เดิมหมด แล้วประชาชนก็ไม่ชอบเราไม่ชอบข้าราชการ ไม่ชอบรัฐบาล ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดแต่ทำให้เขาชอบอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องให้เขาเรียนรู้ได้ว่าต้องชอบอย่างมีหลักการและมีเหตุผล ฝากไว้ด้วยแล้วกัน ขอบคุณผู้ร่วมสัมมนาทุกคน ขอโทษด้วยถ้าพูดแรงไปนิดหนึ่งเสียงดังไปหน่อย”

“จะเอาผมแบบนี้ หรือผมแบบเมื่อก่อน”

 ‘ประยุทธ์’ แจงเรื่องถูกวิจารณ์ไม่ลงพื้นที่น้ำท่วมอีสาน บอก “จะเอาผมแบบนี้ หรือผมแบบเมื่อก่อน”
.
วันนี่ (16 กันยายน) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเวทีสัมมนาบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ชาติภาคปฏิบัติ ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน
.
โดย พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการแสดงวิสัยทัศน์ของข้าราชการในการสัมมนา ที่เปรียบว่านายกรัฐมนตรีเป็นเหมือนผู้ควบคุมวงดนตรี ถ้ารัฐมนตรีห่วยทำงานไม่ดี ก็มาโทษนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ดังนั้นต้องสร้างความเข้าใจ เช่นเดียวกับเรื่องน้ำท่วม ที่บอกว่าทำไมรัฐบาลไม่แจกเงินครอบครัวละ 5,000 บาท
.
“วิพากษ์วิจารณ์ว่านายกรัฐมนตรีไม่ลงไปตรวจน้ำท่วม มันอะไรกันประเทศไทย ทำไมไม่ไปอีสาน แต่ทำไมไปภาคใต้” จะทำอย่างไรให้คนไทยรู้เรื่องกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ นี่คือสิ่งที่อยากให้ทำความเข้าใจ สังคมมีแต่ความขัดแย้ง ไม่เข้าใจ ข้าราชการในฐานะผู้ปฏิบัติจะต้องช่วยชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว
.
พล.อ. ประยุทธ์ ยังตำหนิคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบริหารจัดการน้ำ พื้นที่ภาคอีสาน ว่าตอนที่อยู่เป็นรัฐบาลก็ไม่แก้ไข แต่ขณะนี้ฉลาดทุกคน มาบอกสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งที่รัฐบาลนี้ เรื่องงบประมาณในการเยียวยาลดลง และปัญหาน้ำท่วมเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ แต่พอน้ำท่วมก็มาโทษรัฐบาล ด่าได้ทุกวันและทุกเรื่อง ไม่รู้ตนจะต้องทำอย่างไร ไม่ว่าใครจะพูดอะไร จะผิดหรือถูกให้ไปฟ้องศาลตามกระบวนการยุติธรรม
.
ขณะเดียวกัน พล.อ. ประยุทธ์ ยังพูดถึงการบริหารจัดการน้ำ ที่มีเขื่อนขนาดใหญ่ 38 แห่ง ขนาดกลาง 350 แห่ง ขนาดเล็กกว่าแสนแห่ง มีทั้งมีน้ำและไม่มีน้ำ 5 ปีที่ผ่านมาได้มีการทำเพิ่มเติม โดยใช้งบประมาณประจำปี ไม่ได้กู้ บางแห่งก็ทำได้ แต่บางแห่งก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีคนยอม แต่พอไปทำในป่าก็ถูกเอ็นจีโอต่อต้าน นี่คือปัญหาประเทศไทย ซึ่งตนไม่ได้ด่าประเทศไทย แต่ว่าทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย เพราะมีหลายพวกหลายกลุ่ม ยืนยัน ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ แม้กระทั่งอยู่เมืองนอก แล้วกลับมาก็ทำไม่ได้
.
อย่างไรก็ตาม วันนี้ พล.อ. ประยุทธ์ มีอารมณ์หงุดหงิด ก่อนบอกว่า ไม่ได้ว่าใคร แต่ขอบ่นหน่อย ทั้งเรื่องโจมตีในสภา ปัญหาต่างๆ แม้วิษณุจะบอกว่าให้ตนใจเย็น เพราะวันพุธไปชี้แจงในสภาจะได้อารมณ์ดีถึงวันพุธ วันนี้ตนเลยใจร้อนตั้งแต่วันนี้เลย
.
“ขณะนี้ถ้าเป็นอย่างนี้ จะกี่รัฐบาลกี่ผู้นำก็แก้ไม่ได้ ทั้งที่ประเทศมีโอกาส เป็นสิ่งที่น่ารำคาญ ซึ่งหลังพูดเสร็จได้ขอโทษภายในงานว่าไม่ได้ว่าหรือตำหนิใคร แต่ขอบ่น เพราะหากคนไม่อยู่แล้วใครจะอยู่ พร้อมบอกว่า “จะเอาผมแบบนี้หรือผมแบบก่อน” (นายกฯ จากเลือกตั้งหรือรัฐประหาร)”
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
.

บิ๊กตู่ โวยเดือด หลังโดนด่า น้ำท่วมอีสานกลับลงใต้ บ่น ไปไหนชาวบ้านก็ขอแต่เงิน!

“บิ๊กตู่” โวย โดนด่า น้ำท่วมอีสานกลับลงใต้ อ้างไปดูเรื่องการระบายน้ำ บ่นเบื่อไปไหนมีแต่ชาวบ้านขอเงิน ย้ำไม่แจกเงินทันที เพราะมีขั้นตอนตามกฎหมาย

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 กันยายน ที่ห้องแกรนด์ไดมอน บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ “ยุทธศาสตร์ชาติ ภาคปฏิบัติ:ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน” โดยมีข้าราชการทุกระดับเข้าร่วม
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งอย่่างอารมณ์เสีย ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การแก้ปัญหาน้ำท่วม ว่า ประชาชนยังไม่เข้าใจ วันนี้มีคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เอาเงินไปให้ประชาชนคนละ 5,000 บาท เช่น น้ำท่วมทำไมไม่แจกเงิน เพราะไม่มีเงินใช้ ไม่มีเงินกินข้าว แต่ถามว่าทำได้หรือไม่ ทำไมประชาชนถึงไม่เข้าใจเลย แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็มาพูดต่อว่าต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น เช่นว่าทำไมประชาชนเดือดร้อน นายกฯจึงไม่ใช้เงินหลวง หรือไม่ลงพื้นที่ไปตรวจ

“อะไรกันนี่ประเทศไทย ดังนั้น ถ้าเราไม่ร่วมมือกันก็จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ ประเทศจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ทั้งการสร้างความปรองดอง ปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ จะไปไม่ได้ 5 ปีที่ผ่านมาทำให้จับประเด็นได้คือ ประชาชนเคยชินกับสิ่งที่เคยได้ โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด มีการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องเหมือนทุกวันนี้ โดยไม่เข้าใจระเบียบราชการ วันนี้เราไม่ได้มีปัญหาแค่ระบบราชการหรือการเมือง แต่มีปัญหาที่คนด้วย ที่พูดไม่ได้ตำหนิใคร
เพียงแต่อยากชี้ให้ทุกคนเห็นว่าโจทย์ประเทศอยู่ตรงไหน ไม่ใช่เห็นหน้ากันก็จะขอแต่เงิน ขอแต่เงิน และร้องเรียนว่าเงินไม่ถึงมือโดยตรง ไม่ว่าผมจะไปไหนก็มีแต่คนขอเงิน ของบ ขอขึ้นเงินเดือน ผมอึดอัดใจมาก ถ้าผมมี ผมรวยหรือประเทศไทยรวย ผมก็อยากให้จริงๆ ผมไม่โทษใครเพราะเขายังขาดแคลน แต่ข้าราชการต้องช่วยกันอธิบาย
เพราะประชาชนไม่รู้จะขอใครก็ขอที่นายกฯ ผมอยากให้ แต่ไม่มีเงินให้ เราต้องจัดสรรให้จากเงินในระบบ ตามขั้นตอนโปร่งใส ถึงมือประชาชน แต่พอไม่ให้ก็มีคนมาพูดอย่างอื่น คนก็เชื่อกันไปหมด สื่อโซเชียลก็เฮตามว่าทำไมรัฐไม่ช่วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกๆวันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นนายกฯ คิดแต่เพียงว่าทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนไม่รักประเทศ ออกมาพูดจาโดยคิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว จึงขอร้องอย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตัว เราต้องร่วมกันสร้างสิ่งที่ถูกต้อง วันนี้มีประเด็น เช่น การช่วยเหลือน้ำท่วมว่าทำไมรัฐบาลไม่ออกไปช่วย ทำไมนายกฯ ไปภาคใต้ ไม่ไปอีสาน ทำไมไม่ไปลุยน้ำกับพวกเขา ซึ่งเป็นการสร้างความขัดแย้ง ทุกคนจึงต้องช่วยกันคิดแก้ไข สร้างความเข้าใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการบริหารจัดการน้ำว่า มี 60-70 หน่วยงาน จะมาบอกว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บริหารไม่ดี ไม่ได้ ขอถามว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายในการเยียวยาลดลงหรือไม่ ซึ่งมันก็ลดลง แต่ก็ยังต้องเสียเงินอยู่ ฝนตกน้ำท่วมก็โทษรัฐบาล ตนก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ฝนตกมา 5 วัน 500 มิลลิเมตร รู้กันบ้างหรือเปล่า รู้แต่ก็จะด่า สรุปว่าด่าได้ทุกเรื่อง พาดหน้าปกได้ทุกวัน ตนไม่รู้จะทำอย่างไรกับตรงนี้ การสร้างการรับรู้ผิดไปหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อยากทำงาน เพราะทำแล้วก็โดนด่าเหมือนเดิม ก็ไม่ทำเสียดีกว่า
“รู้หรือไม่ สิ่งที่ท่านทำมันเกิดผลอะไรกับประเทศไทย ไม่ว่าจะพูดอะไร จะผิดจะถูก ขอให้ไปฟ้องกระบวนการศาลยุติธรรม ไม่ใช่พูดกันทุกวัน มันเหมือนกับทุกคนตัดสินได้หมด วันนี้หัวข้อมีอะไรบ้างขี้เกียจจะพูด แต่จะพูดในสิ่งที่เจอทุกวัน มันคืออะไร วันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ ปรับเปลี่ยนกันหรือยัง วันนี้ยังคิดอยู่ในศตวรรษที่ 18 อยู่เลย อยากให้รัฐบาลปฏิรูป ตัวเองปฏิรูปกันบ้างหรือยัง ผมปฏิรูปแล้ว ผมปฏิรูปทุกวัน อันไหนดีอันไหนไม่ดี อันไหนต้องทำ อันไหนต้องแก้ ผมรับจากพวกท่านมาแก้ทุกวัน ขอให้ข้าราชการช่วยผมตรงนี้ด้วย เพราะยิ่งแก้ก็ต้องยิ่งสั่ง” นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องบริหารจัดการน้ำ การขุดเพื่อใช้เป็นที่กักเก็บก็ใช้งบประมาณประจำปี ไม่ได้ไปกู้ใคร ข้อมูลเหล่านี้บางทีประชาชนไม่รู้ เพราะไม่ได้เกิดทุกที่ ตนไปนครศรีธรรมราชก็ไปดูเขาทำเขื่อน ทำประตูระบายน้ำ เพื่อระบายน้ำออกสู่ทะเลให้เร็วที่สุด ตนไปตรวจเรื่องนี้ ไม่ได้ไปตรวจเรื่องอื่น ตรวจเรื่องน้ำ จากภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ไปดูโครงการที่จะระบายน้ำ ซึ่งจะต้องมีการขุดลอกคลองใหม่ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคิดหรือทำ เพราะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ถ้าเป็นรัฐบาลก็ต้องทำแบบนี้ แต่ปัญหามันต้องมีแน่นอน
ที่พูดแบบนี้ไม่ได้ตำหนิใคร แต่นี่คือประเทศไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ เราจะต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็ง คิดเป็น ไม่เช่นนั้นคิดแทบตายก็เหมือนเดิม จำคำพูดผมไว้ เพราะทุกคนไม่ยอมให้พื้นที่ของตัวเอง แต่ทุกคนก็ต้องการน้ำ ต้องการสิ่งดีๆ แต่ถ้าต้องสละพื้นที่ไม่ยอม คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ คิดให้ตายก็เกิดไม่ได้ แล้วกลับมาหาว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร โครงการที่ สทนช.คิดไว้มีมาก แม้มีงบประมาณก็ทำไม่ได้ นั่นแหล่ะประเทศไทย ผมไม่ได้ว่าประเทศไทย แต่ว่าไอ้คนที่อยู่ในประเทศนั่นแหล่ะ หลายคนหลายพวก”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างฉุนเฉียว

ต่อให้เรียก‘ไอ้คนอยู่เมืองนอก’กลับมา แก้ปัญหาประเทศแบบเดิมยิ่งเจ๊ง


บิ๊กตู่ลั่นต่อให้เรียกไอ้คนอยู่เมืองนอกกลับมา แก้ปัญหาประเทศแบบเดิมยิ่งเจ๊ง

นายกฯ ลั่นต่อให้เรียกไอ้คนอยู่เมืองนอก กลับมาแก้ปัญหาประเทศแบบเดิม ยิ่งเจ๊ง เผย วันนี้ขออารมณ์เสีย ค่อยไปอารมณ์ดีวันที่ 18 ก.ย.
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 16 กันยายน 2562 ที่ห้องแกรนด์ไดมอน บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาบุคลากรภาครัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ ภาคปฏิบัติ:ร่วมขยับขับเคลื่อนภาครัฐเพื่อประชาชน” (National Strategy in Action: Integrated Implementation for THAIS)”จัดโดยสานักงาน ก.พ. โดยมีนางเมธินี เทพมณี เลขาธิการ ก.พ. ให้การต้อนรับ และมีข้าราชการทุกระดับ เข้าร่วมงาน
นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งถึงราคาปาล์มตกต่ำ ว่า การขายต้องคิดให้ครบวงจร วันนี้รัฐบาลคิดทุกตัว โดยให้แนวทางไปว่า ทำอย่างไรให้ราคาปรับขึ้น และหาวิธีการนำมาผลิตไฟฟ้า และผลิตน้ำ มันชนิดต่างๆ แต่ทำขนาดนี้ก็ยังไม่ทันใจ ไม่พอใจ เพราะส่วนหนึ่งมีผู้ปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เรียกว่าครึ่งต่อครึ่ง แต่กลับต้องการได้รับการเยียวยาค่าชดเชย มันเกิดจากอะไร ต้องไปดูว่าทำไมถึงปลูกในพื้นที่ผิดกฎหมายได้ เป็นเพราะเขายากจนหรือเปล่า แต่สุดท้ายกลับมาที่รัฐบาลรับผิดชอบทั้งหมด
ผมไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบ ผมพยายามจะแก้ แต่ทำไมก่อนหน้านี้ไม่แก้กันเลย ทำไมปล่อยมาขนาดนี้ แต่รัฐบาลนี้ก็ต้องแก้ แต่วิธีการแก้ก็โดนด่าทุกที วันนี้ฉลาดกันทุกคนนายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้ให้แนวทางการบรรจุข้าราชการ ที่มีความสามารถเฉพาะทางเข้ามาด้วย จะจ้างชั่วคราวก็ได้ ข้าราชการระดับบนไม่ได้ต้องการให้มีปัญหา ก็โตไปแต่ต้องมีคุณภาพ ผู้บรรจุใหม่ตนสั่งไปแล้ว ต้องสอบ 2 ยอด 1.เข้ามาทดแทนผู้เกษียณ 2.สอบเฉพาะหน้าที่ ต้องแยกสัดส่วนให้ชัดเจน รวมถึงทุนการศึกษาต่อไปควรมีทุนเฉพาะทางหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ชอบพูดกันนักความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม พูดกันอยู่อย่างนี้ ว่าทุกคนต้องพูดว่าได้เท่ากันหมด ได้เหมือนกัน มันมีที่ไหนบนโลกใบนี้ ไม่มีหรอก เพียงแต่ถ้ามีรายได้น้อยต้องดูให้ความเป็นธรรม รัฐบาลก็จะช่วยเรื่องของบัตรสวัสดิการฯ รัฐสวัสดิการ แต่ถ้าใช้มากก็เกิดปัญหาอีก ตรงกลางและข้างบนเขาก็เสียภาษี  ซึ่งข้างบนเขาก็มีความเสี่ยงในการลงทุน ตนไม่ได้ปกป้องคนรวย เอื้อประโยชน์เพราะรู้จักคนโน้นคนนี้ ตนไม่ได้หวังเรื่องเหล่านี้ อย่ามาพูดแบบนี้กับตน ที่เขาทำถ้าถูกกฎหมายก็ทำไป วันนี้วิจารณ์กันปั่นป่วนไปหมด ถ้าเก็บภาษีได้ ไม่ทุจริตก็จบ
นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องแรงงานก็โจมตีกัน พาดหัวข่าวกันเข้าไป เห้อ... ไม่มีใครทำได้หรอก ต่อให้ไปเรียกไอ้คนที่อยู่เมืองนอกกลับมาก็ทำไม่ได้ ใครก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำแบบเดิมก็เจ๊งไปกว่าเดิม โอเคนะพูดมากก็อารมณ์เสีย อ.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ บอกให้อารมณ์ดี วันพุธที่18 ก.ย.จะได้อารมณ์ดี ตนก็เลยอารมณ์เสียเลยไว้ก่อนตั้งแต่วันจันทร์


สื่อออสเตรเลียเปิดเอกสารคดีธรรมนัส พบมีส่วนร่วมแต่ต้น ติดคุกจริง 4 ปี ไม่ใช่ 8 เดือน

9/9/62


ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในการแถลงชี้แจงข่าวคดียาเสพติด เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2562 / ภาพจาก พรรคพลังประชารัฐ

The Sydney Morning Herald หนังสือพิมพ์ของออสเตรเลีย ได้ค้นเอกสารจากศาลคดียาเสพติดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในปี 1993 (พ.ศ. 2536) พบรายละเอียดระบุว่ามีส่วนในการขนยาเสพติดเข้าออสเตรเลียตั้งแต่ต้น  นอกจากนี้ยังพบว่า ร.อ.ธรรมนัส ติดคุกอยู่ที่ออสเตรเลีย 4 ปีเต็ม ไม่ใช่แค่ 8 เดือนตามที่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวอ้าง

วันนี้ (9 ก.ย.) หนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Herald ของออสเตรเลีย ได้ตีพิมพ์บทความลงในเว็บไซต์ข่าวของตัวเองในชื่อ “From sinister to minister: politician’s drug trafficking jail time revealed” โดยระบุว่าหนังสือพิมพ์ฯ ได้สืบค้นจนพบคำพิพากษาคดียาเสพติดของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ออสเตรเลียในปี 1993 และพบว่ารายละเอียดหลายอย่างไม่ตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่ระบุแก่สาธารณชนในช่วงหลายเดือนมานี้

ในคำพิพากษาระบุว่าในขณะนั้น ร.อ.ธรรมนัส ยังใช้ชื่อว่า “มนัส” อยู่ (ชื่อและนามสกุลตามที่ระบุในสื่อของออสเตรเลียคือ Manat Bophlom) โดยสื่อของออสเตรเลียระบุว่านายมนัสในขณะนั้นเป็นบุคคลสำคัญในกระบวนการขนยาเสพติดมาที่ประเทศออสเตรเลีย

เอกสารจากศาลออสเตรเลียระบุว่า นายมนัสได้ไปพบกับผู้มีอิทธิพลใต้ดินในไทยและผู้ร่วมขบวนการชาวออสเตรเลีย ที่กรุงเทพฯ ก่อนเริ่มดำเนินการ นอกจากนั้นยังเป็นผู้จัดหาวีซ่าและซื้อตั๋วเครื่องบินสายการบิน Qantas ให้กับผู้หญิงที่ชื่อ “ภา” (Pa) ซึ่งเป็นคนลักลอบขนเฮโรอีนจากไทยไปยังออสเตรเลียด้วย

นอกจากนี้ในเอกสารของศาลยังมีบันทึกด้วยว่า นายมนัสพูดว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ผู้หญิงที่ชื่อภาบรรจุยาเสพติดดังกล่าวลงในกระเป๋าเดินทาง รวมถึงมีส่วนช่วยเหลือในการขนกระเป๋าที่มียาเสพติดดังกล่าวข้ามเมืองไปให้ผู้ซื้อที่โรงแรมใกล้หาด Bondi ในออสเตรเลียด้วย

ทั้งนี้ ในขณะที่นายมนัสถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำ Parramatta เพื่อรอคำพิพากษาอยู่นั้น เขาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขบวนการขนยาเสพติดในครั้งนี้เพื่อแลกกับโทษที่เบาลง รวมถึงบอกด้วยว่ามีอดีตทหารที่ชื่อ วีระ มานพ และไพศาล เกี่ยวข้องในขบวนการขนยาเสพติดครั้งนี้ด้วย โดยรายละเอียดทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารของศาลออสเตรเลีย

ในเอกสารจากศาลออสเตรเลียยังได้ระบุรายละเอียดของการขนยาเสพติดครั้งนี้ไว้ด้วยว่า เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 1992 เมื่อนายศรศาสตร์ (Sorasat) พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของนายมนัส ได้มาพูดคุยกับนายมนัสว่าอยากจะส่งคนไปที่ประเทศออสเตรเลียเนื่องจากอยากเริ่มกิจการนำเข้า “มะพร้าวอ่อน” (young coconut)  ต่อมาในเดือนมกราคม 1993 นายศรศาสตร์ได้ขอให้นายมนัสช่วยจัดหาวีซ่าออสเตรเลียให้กับผู้หญิงที่ชื่อภา จากนั้นทั้งคู่ได้ไปพบผู้หญิงที่ชื่อภาและผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ชื่อไพศาลในร้านกาแฟใกล้สถานทูตออสเตรเลียเก่าในกรุงเทพฯ และวันต่อมานายศรศาสตร์ก็ได้ยื่นตั๋วเครื่องบินที่นายธรรมนัสเป็นผู้ซื้อให้กับผู้หญิงที่ชื่อภา

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 1993 อดีตทหารที่ชื่อวีระ ได้พานายศรศาสตร์ไปพบกับผู้ร่วมขบวนการชาวออสเตรเลียทั้ง 2 คนเป็นครั้งแรก นั่นคือ นาย Sam Calabrese และนาย Mario Constantino  หลังจากนั้นนายศรศาสตร์ก็ได้พบกับ 2 คนนี้อีกหลายครั้ง

จากบันทึกของศาล นายมนัสระบุว่า แม้นายศรศาสตร์จะไม่ได้บอกเขาตรงๆ ว่าสิ่งที่จะขนไปออสเตรเลียนั้นเป็นเฮโรอีน แต่เขาก็ยอมรับว่าสงสัยว่าของที่จะส่งไปออสเตรเลียนั้นผิดกฎหมาย “แม้ว่าเขา (ศรศาสตร์) จะไม่ได้บอกผมตรงๆ ว่ามันคือเฮโรอีน แต่ผมก็สงสัยว่าสิ่งที่เขากำลังจะส่งไปออสเตรเลียนั้นผิดกฎหมาย” นอกจากนั้นนายมนัสยังได้บอกตำรวจเพิ่มเติมด้วยว่า “ผมรู้ว่าวีระเป็นพวกลักลอบขนของผิดกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย”

ด้านกระบวนการลักลอบขนยาเสพติดครั้งดังกล่าว หนังสือพิมพ์ Sydney Morning Herald ได้นำรายละเอียดที่ได้จากเอกสารของศาลออสเตรเลียมาเขียนไว้อย่างละเอียด

เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 1993 นายศรศาสตร์บินไปซิดนีย์เป็นคนแรก แล้วเช็กอินที่ห้องหมายเลข 1011 ของโรงแรม Palang บริเวณหาด Bondi  หลังจากนั้นอีก 2 วันให้หลัง ผู้หญิงที่ชื่อภาก็บินออกจากกรุงเทพฯ โดยมีบันทึกระบุว่านายมนัสบอกกับนายศรศาสตร์ว่าในคืนก่อนที่ภาจะขึ้นบิน เธออยู่กับนายมนัส

โดยหลักฐานจากตำรวจกลางออสเตรเลียระบุว่า นายมนัสได้พูดว่า “คืนนั้นเราไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตา เธออยู่ใต้การจับตาของเราตลอดตั้งแต่ 1 ทุ่มจนถึงตีห้าครึ่ง”  นอกจากนี้นายมนัสยังระบุด้วยว่า เขาอยู่ที่นั่นด้วยในขณะที่ภานำสิ่งของบางอย่างใส่ไปในกระเป๋าเดินทาง

แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายที่ออสเตรเลีย ซึ่งนายศรศาสตร์และนาย Constantino ต้องไปรับตัวผู้หญิงที่ชื่อภาจากสนามบินซิดนีย์ เธอกลับไม่อยู่ที่นั่นตามนัดหมาย รายละเอียดในเอกสารจากศาลออสเตรเลียระบุว่า นายศรศาสตร์ต้องโทรกลับไปประเทศไทย และนายมนัสก็โมโหมาก โดยบอกกับนายศรศาสตร์ว่า “คุณทำงานไม่ได้อย่างที่ผมต้องการ”

ต่อมาผู้หญิงที่ชื่อภาไปปรากฎตัวที่โรงแรม Gazebo Hotel ในย่านคิงสครอส โดยทิ้งเฮโรอีนไว้ในห้องหมายเลข 713 ของโรงแรม Parkroyal ใกล้กับท่าเรือดาร์ลิง ในช่วงเวลานี้เองที่เปิดโอกาสให้ตำรวจกลางออสเตรเลียได้สับเปลี่ยนยา และติดตั้งเครื่องดักฟัง

ต่อมานายศรศาสตร์ตามตัวผู้หญิงที่ชื่อภาจนเจอที่โรงแรม Gazebo เธอให้กุญแจห้องหมายเลข 713 กับนายศรศาสตร์ รวมถึงกล่องไม้ขีดไฟที่มีที่รายละเอียดโรงแรม Parkroyal อยู่ด้วย

และจากเหตุการณ์ที่ภาไม่ปรากฏตัวที่สนามบินในซิดนีย์ตามแผน ทำให้ผู้ร่วมขบวนการอีกคนที่ชื่อมานพตัดสินใจไม่บินจากไทยไปที่ออสเตรเลีย ดังนั้นนายมนัสจึงต้องบินไปออสเตรเลียตามลำพัง

นายมนัสเดินทางถึงออสเตรเลียเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1993 เวลา 20.18 น. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียจับตาและดักฟังอยู่ เอกสารบันทึกข้อเท็จจริงของตำรวจที่ประกอบคดีระบุว่านายมนัสและนายศรศาสตร์ออกจากโรงแรม Palang โดยหอบกระเป๋าเดินทางขึ้นแท็กซี่ไปยังโรงแรม Parkroyal

เมื่อถึงโรงแรม Parkroyal นายศรศาสตร์ได้เช็กอินเข้าห้องหมายเลข 609 และมอบกุญแจห้อง 713 (ซึ่งเป็นห้องที่ผู้หญิงชื่อภาทิ้งเฮโรอีนเอาไว้) ให้นายมนัส เพื่อให้นายมนัสไปเอาของที่ถูกซ่อนไว้ใต้เตียงออกมา  ต่อมานายศรศาสตร์ได้เอาบรรจุภัณฑ์สีน้ำตาลไปใส่ไว้ในกระเป๋าเอกสารสีดำ และนำกลับไปที่โรงแรม Palang ที่บริเวณหาด Bondi  ในเอกสารจากศาลออสเตรเลียยังมีการระบุด้วยว่าพวกเขาทั้งสองแวะที่ร้านฮอทด็อกในย่านแคมป์เบล พาเรด และทานอาหารเย็นที่ร้านชื่อตุ๊กตุ๊กเรสเทอรอง

เมื่อกลับถึงห้องที่โรงแรม Palang ในขณะที่รอผู้ร่วมขบวนการชาวออสเตรเลียมารับของอยู่นั้น นายมนัสกล่าวกับนายศรศาสตร์ว่า “ของอยู่กับเรานานๆ แบบนี้ไม่ดีแน่”

ชาวออสเตรเลียที่ร่วมขบวนการที่เดินทางมาถึงก่อนคือนาย Constantino จากนั้นนาย Calabrese จึงตามมาสมทบ

ต่อมาในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไม่นาน (ช่วงเริ่มต้นของวันที่ 15 เมษายน 1993) ซึ่งนับแล้วก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายมนัสเดินทางถึงออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่จากหน่วย Operation Drover ที่สะกดรอยตามคนกลุ่มนี้เป็นเวลาเกือบสัปดาห์ก็บุกเข้าไปในห้อง ทั้งสี่คนถูกจับด้วยข้อหาสมคบคิดกันนำเฮโรอีนเข้าประเทศออสเตรเลีย และไม่มีใครได้รับการประกันตัว

นายศรศาสตร์รับสารภาพเป็นคนแรก ส่วนนายมนัสยืนยันจะสู้คดี และเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน 1993 ศาลก็บอกกับนายมนัสว่าเขาจะถูกจำคุก 9 ปี  หลังจากนั้นนายมนัสก็เริ่มให้การเป็นคุณแก่ตำรวจและรับสารภาพในที่สุด ในการสอบสวนครั้งหนึ่งนายมนัสสัญญาว่าจะ “บอกเรื่องของวีระให้หมดทุกเรื่อง” รวมถึงเรื่องที่เขาสั่งให้ฆ่าคนด้วย นอกจากนี้ ทางตำรวจยังอ้างว่านายมนัสได้ให้ข้อมูล ว่าพวกคนลับลอบขนเฮโรอีนเข้าออสเตรเลียนั้น ใช้วิธีการใส่ยาไว้ในถุงยางอนามัยและกลืนลงท้อง

นายมนัสและนายศรศาสตร์ถูกตัดสินจำคุก 6 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามปล่อยตัวก่อนครบกำหนด 4 ปี

นายมนัสและนายศรศาสตร์ได้ขออุทธรณ์ให้ลดโทษพวกเขาลง หลังจากที่นาย Constantino ได้รับโทษเพียงขั้นต่ำด้วยการจำคุก 2 ปีครึ่ง แต่ศาลปฏิเสธการอุทธรณ์ดังกล่าว

สุดท้ายแล้วทั้งนายมนัสและนายศรศาสตร์ถูกปล่อยตัวในวันที่ 14 เมษายน 1997 หรือคิดเป็นระยะเวลา 4 ปีถ้วน นับแต่ถูกควบคุมตัวครั้งแรกช่วงหลังเที่ยงคืนของวันที่ 15 เมษายน 1993  และหลังจากถูกปล่อยตัว เขาทั้งสองถูกส่งตัวกลับไทยทันที

รายละเอียดจากเอกสารของศาลออสเตรเลียที่หนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Herald นำมาเสนอดังกล่าวนี้ มีหลายส่วนที่ไม่ตรงหรือขัดแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า  โดยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 ร.อ.ธรรมนัส ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาชั่วคราว อาคารทีโอที ยืนยันว่าตนไม่เคยนำเข้า ผลิต หรือจำหน่ายยาเสพติดใดๆ แต่ “เป็นเรื่องโอละพ่อ” ที่ทำให้ถูกดำเนินคดีข้อหารู้ว่ามีการค้ายาเสพติดแต่ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ทั้งที่แท้จริงตนไม่รู้ ทำให้ต้องโทษจำคุก 8 เดือนและออกมาใช้ชีวิตอีก 4 ปีที่ซิดนีย์ ก่อนถูกส่งกลับมาไทยโดยไม่มีคดีติดตัว

“หลักฐานเหล่านี้สามารถไปตรวจสอบจากศาลของประเทศอสเตรเลีย ณ นครซิดนีย์ได้ว่าที่ผมพูดวันนี้เป็นความจริงไหม” ร.อ.ธรรมนัส กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา

สรุปและเรียบเรียงจาก https://www.smh.com.au/national/from-sinister-to-minister-politician-s-drug-trafficking-jail-time-revealed-20190906-p52opz.html


คำต่อคำ 'วิศณุ vs.ธรรมนัส' เปิดฉากดวลเดือดกลางสภาฯ กระทู้ร้อนคดียาเสพติดออสเตรเลีย

11/9/62


พล.ต.ท.วิศณุ:  "ผมถามท่านนายกฯ ไปเลยว่าท่านนายกฯ ได้มีการตรวจสอบเชิงลึกในเรื่องดังกล่าวอย่างไร เหตุใดจึงไม่พบข้อเท็จจริงตามที่หนังสือพิมพ์ออสเตรเลียทั้ง 2 ฉบับรายงาน หรือตรวจสอบพบแล้วมีการปกปิดกัน แล้วเมื่อข้อเท็จจริงมีการปรากฎออกมาแบบนี้ ทางนายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบตอ่เรื่องนี้อย่างไร"  VS.  ร.อ.ธรรมนัส : "ผมไม่ทราบว่าท่านไม่เคยศึกษากฎหมายของประเทศออสเตรเลียเลยหรือไม่   ผมเดินทางไปประเทศออสเตรเลีย ณ นครซิดนีย์ ผมมีเวลาอยู่นครซิดนีย์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง คดีนี้มันไม่มีคำพิพากษามันเป็นการ Plea Bargaining (แปลตรงตัวว่าการต่อรองคำรับสารภาพ) เด็กตัวเล็กๆจากพะเยาอายุ 24-25 ปี เดินทางไปประเทศออสเตรเลีย ภาษาอังกฤษก็ยังไม่แข็ง ผมจะไปมีปัญญาอะไรเป็นมาเฟียไปบงการคนนั้นคนนี้ค้ายาเสพติด" 

Thammanattt500

สืบเนื่องจาก Sydney Morning Herald สื่อชื่อดังจากประเทศออสเตรเลีย และเว็บไซต์บีบีซีไทย (BBC Thai) รวมถึงสื่อไทยหลายสำนักเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี 2536 โดยอ้างว่าเป็นช่วงที่ ร.อ.ธรรมนัส ใช้ชื่อว่า นายมนัส โบพรหม อายุ 37 ปี ถูกศาลที่ประเทศออสเตรเลีย ตัดสินจำคุก 6 ปี แต่นายมนัสรับสารภาพ คงโทษจำคุก 4 ปี และถูกปล่อยตัวออกมาในปี 2540 กรณีถูกกล่าวหาว่า มีส่วนรู้เห็นในการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าประเทศออสเตรเลีย

เบื้องต้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ได้ออกมาชี้แจงความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยยืนยันว่า ไม่เคยรับสารภาพตามที่สื่อเขียนถึง มีขบวนการจ้องดิสเครดิตตนเอง และขอเวลาทำงานรับใช้ประชาชน ไม่อยากพูดถึงเรื่องในอดีต (อ่านประกอบ : คำต่อคำ 'ธรรมนัส' แจงปมสื่อออสเตรเลียเสนอข่าวติดคุก 4 ปี มีโครงข่ายอยู่เบื้องหลัง?)

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2562 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วิศณุ ม่วงแพรสี ส.ส. ของพรรคตั้งกระทู้ถามด้วยวาจา ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถึงความเหมาะสม ในการแต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งที่ ร.อ.ธรรมนัส มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ และมีความชัดเจนว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีค้ายาเสพติด

ขณะที่ทางด้านของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัสเป็นผู้ที่มาตอบกระทู้ถามนี้ด้วยตนเอง 

สำนักข่าวอิศรา ได้สรุปรายละเอียดการถามตอบกรณีนี้ กลางรัฐสภาฯ มานำเสนอให้สาธารณชนได้รับดังนี้    

พล.ต.ท.วิศณุ: "ผมถามหาความรับผิดชอบและการตรวจสอบกรณีที่หนังสือพิมพ์ Sydney Morning Herald และหนังสือพิมพ์ The Age ของออสเตรเลียได้ลงข่าวของ รมช.เกษตรและสหกรณ์"

"ประเด็นแรกผมขอย้อนอดีตไปก่อนตั้งแต่ช่วงปี 2541-2542 ซึ่งผมได้ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการกองปราบปราม ผมเคยพบ ร.อ.ธรรมนัสแล้วเมื่อปี 2541 โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีร่วมกันฆ่า นายพูลสวัสดิ์ จิราภรณ์ ผมได้ทำสำนวนสอบสวนร่วมกันกับ พล.ต.อ.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ และ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ซื่งตอนนี้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในที่สุดฝ่ายสอบสวนก็มีการสั่งฟ้อง ซึ่งตอนนั้น ร.อ.ธรรมนัสก็เป็นจำเลยในสำนวนดังกล่าว โดยตอนนั้นผมก็ได้ให้คนไปตรวจสอบเพราะทราบว่าคดีนี้มีการตัดสินจำคุกด้วย แต่เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นการตรวจสอบค่อนข้างลำบาก ก็เลยไม่รู้ว่ามีใครในคดีนี้ถูกจำคุกบ้าง"

"ประเด็นต่อมาก็คือว่า มีนักสืบโซเชียลออกมาตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติของท่านตอนที่ได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าไม่เกี่ยวข้องกับทั้งยาเสพติดที่นำเข้าประเทศออสเตรเลียเป็นจำนวน 3.2 กิโลกรัม ท่านก็ให้สัมภาษณ์สื่อว่าท่านไปอยู่ในที่ๆคนร้ายหรือผู้กระทำความผิดได้ขนยาเสพติดเข้าไป แล้วท่านก็บอกว่าท่านถูกจำคุกแค่ 8 เดือน หลังจาก 8 เดือนแล้วท่านก็ให้ชีวิตปกติที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย และสุดท้ายก็มีการส่งตัว หรือหมายถึงการกวาดล้างผู้ที่ไม่พึงประสงค์กลับมาอยู่ในประเทศตัวเอง ประเทศต้นทาง"

"มาวันนี้หนังสือพิมพ์ Sydney Morning Herald ได้ออกรายงานใช้คำว่ารายงานพิเศษเรื่องจากผู้ร้ายสู่รัฐมนตรี โดยนายไมเคิล รัฟเฟิลส์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์Sydney Morning Herald และทางหนังสือพิมพ์ The Age ก็ได้ไปเจาะลึกจนปรากฏคำรับสารภาพและคำให้การของตำรวจ ปรากฏถึงการดักฟังทางโทรศัพท์ มีรายละเอียดมากมายยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องแน่นอน"

"นอกจากนี้ในเอกสารยังมีการระบุชื่อว่ามนัส และระบุคำว่ามาเฟียใหญ่ของไทย ผมคิดว่าประเด็นนี้จะมีคนเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ ทางด้านของ ร.อ.ธรรมนัสก็คงต้องไปดำเนินการทางกฎหมายอีกทีหนึ่ง"

"คำถามของผมก็คือว่า แค่พัวพันเรื่องยาเสพติด บุคคลนั้นก็ต้องขึ้นบัญชีดำว่าไม่ให้เข้าประเทศแล้ว ดังนั้น ก็ขอถามไปยังนายกรัฐมนตรีเลยว่า ในช่วงที่มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีและมีผู้ทักท้วงถึงความไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก ผมถามท่านนายกฯ ไปเลยว่าท่านนายกฯ ได้มีการตรวจสอบเชิงลึกในเรื่องดังกล่าวอย่างไร เหตุใดจึงไม่พบข้อเท็จจริงตามที่หนังสือพิมพ์ออสเตรเลียทั้ง 2 ฉบับรายงาน หรือตรวจสอบพบแล้วมีการปกปิดกัน แล้วเมื่อข้อเท็จจริงมีการปรากฎออกมาแบบนี้ ทางนายกรัฐมนตรีจะรับผิดชอบตอ่เรื่องนี้อย่างไร"  


Wissanuuuut

ร.อ.ธรรมนัส: "วันนี้ผมได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้มาตอบกระทู้ถามในประเด็นที่เป็นเรื่องส่วนตัวของกระผม โดยตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นประมาณ 30 ปีที่แล้วของกระผม" 

"แต่ก่อนอื่นผมต้องขอย้อนไปถึงประเด็นในปี 2540-2541 ก่อน ในกรณีที่ผมถูกกล่าวหาว่าร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตก่อน เพราะแสดงว่ากรณีนี้ พล.ต.ท.วิศณุนั้นไม่เคยได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง"

"ตามข้อเท็จจริงในเอกสารของศาลอาญาในปี 2546 นั้นได้ระบุเอาไว้แล้วว่าบัดนี้คดีถึงที่สุดแล้ว โดยคดีดำที่ 10089/2541 คดีหมายเลขแดงที่ 3404/2546 ของศาลอาญา ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ต.ค.2546 และไม่มีผู้ใดอุทธรณ์ต่อศาล ดังนั้นต้องขอเรียนว่าผมไม่เคยถูกต้องพิพากษาคดีใดๆ ศาลสั่งให้ผมชนะคดีโดยไม่มีการลงโทษใดๆทั้งสิ้น พนักงานอัยการก็ไม่มีการอุทธรณ์ใดๆตามมา"

"กลับมาต่อในประเด็นที่ พล.ต.ท.วิศณุได้พูดถึงทั้งคำให้การรับสารภาพของผม การดักฟังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมต้องขอเรียนว่าในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของนายไมเคิลซึ่งได้อีเมล์มาหาผม ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด  แต่นัยยะที่นายไมเคิลเมล์มาหาผมนั้นเขาต้องการให้ผมคุยกับเขา" 

"ผมก็ตอบไปว่าผมจะคุยกับคุณเรื่องอะไร 1.คุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  2.คุณกลับไปดูประวัติของคุณว่าคุณนำเสนอข่าวอะไรบ้าง 3.คุณอ้างว่าคุณเอาคำพิพากษาของศาลนครซิดนีย์ซึ่งเป็นศาลท้องถิ่น คุณอ้างว่าคุณมีคำให้การของผม คุณอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเครื่องดักฟังผม ผมอยากจะเรียนว่าผมเคยแถลงข่าวไปกับสื่อมวลชนไปแล้วจนทราบว่าอะไรเป็นอะไร"

"ผมอยากจะชี้แจงว่าโทษการนำเข้า จำหน่าย ส่งออกเฮโรอีนปริมาณเล็กน้อย โทษต่ำสุดก็คือจำคุก 10 ปี หากเป็นโทษตามจำนวนเฮโรอีนที่นายไมเคิลได้นำมาเสนอข่าวนั้นขั้นต่ำก็คือจำคุกตลอดชีวิต"

"ผมไม่ทราบว่าท่านไม่เคยศึกษากฎหมายของประเทศออสเตรเลียเลยหรือไม่   ผมเดินทางไปประเทศออสเตรเลีย ณ นครซิดนีย์ ผมมีเวลาอยู่นครซิดนีย์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง คดีนี้มันไม่มีคำพิพากษามันเป็นการ Plea Bargaining (แปลตรงตัวว่าการต่อรองคำรับสารภาพ) เด็กตัวเล็กๆจากพะเยาอายุ 24-25 ปี เดินทางไปประเทศออสเตรเลีย ภาษาอังกฤษก็ยังไม่แข็ง ผมจะไปมีปัญญาอะไรเป็นมาเฟียไปบงการคนนั้นคนนี้ค้ายาเสพติด"

"มีประเด็นที่เขียนระบุว่าพันโทคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นมาเกี่ยวข้อง คุณเอาอะไรมาพูด คนไทยสองคนถูกจับกุม คนหนึ่งไปร้องตัดสินดูก่อน เขาเรียกว่า Plea Bargaining เพราะไม่มีเงินที่จะสู้คดี ต้องใช้ ทนายอาสาของประเทศออสเตรเลีย ผมไม่เคยรับสารภาพว่าขนยา ค้ายา หรือนำเข้ายาเสพติด หากเป็นข้อเท็จจริง ไปเอามาเลยว่าผมรับสารภาพตรงไหน"

"ผมชี้แจงมาหลายครั้งแล้ว และยังมาถามอีกว่าผมติดคุก8 เดือนหรืออะไร เขาเรียกว่าการ Plea Bargaining หรือการลองตัดสิน"

"ผมไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวน สอบสวนพยานอะไรเลย ผมถูกกักขังหรือ Locked Up อยู่ 8 เดือน หลังจากนั้นเข้าสู่กระบวนการ Plea Bargaining โดยผมถูกส่งตัวไปอยู่ฟาร์มดูแลผู้ต้องขังเยาวชนที่มีปัญหาประมาณ 6เดือน ผมก็กลับมาอยู่นครซิดนีย์ โดยต้องออกไปทำงานเช้า ตกเย็นก็กลับมานอนในที่ที่เจ้าหน้าที่เขาจัดให้นอน ผมใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ประมาณ 4 ปี"

"ผมบอกและแถลงชัดเจนว่าขั้นตอนการเจรจาต่อรอง อัยการของนครซิดนีย์ ผู้พิพากษาท้องถิ่นเวลานั้นบอกว่าผมต้องมีหน้าที่เป็นพยานให้กับผู้ถูกกล่าวหาอีกคนที่เป็นชาวต่างชาติ เมื่อมันครบ 4 ปี ผมก็ไม่คิดจะกลับมา ที่ประเทศไทย ณ เวลานั้น เพราะต้องการใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ประเทศออสเตรเลีย แต่เมื่อรัฐบาลเขามีนโยบายให้เรากลับ เราก็กลับโดยไม่มีโทษติดตัวเลย ผมชี้แจงมากี่ครั้งก็จะพูดแบบนี้"

"การ Plea Bargaining ศาลออสเตรเลียนั้นให้ผมอยู่จนจบวาระการเป็นพยาน นั่นคือ 4 ปีจนคดีจบ"

"แล้วผมจะกราบเรียนเพิ่มเติมว่า คดีนี้ท้ายสุดผู้ต้องหาที่เป็นคนต่างชาติ ศาลตัดสินยกฟ้อง ผมคงไม่ต้องกลับมาพูดเรื่องนี้อีก"

"ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมาตอนที่ผมสมัครลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. ถ้าหากไม่มีการรัฐประหารที่ตามมาต่อนั้น ผมก็ได้เป็น ส.ส.แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครจะมาโจมตีผมในประเด็นนี้เลย"

"ผมขอตอบแทนนายกรัฐมนตรีเลยว่าผมนั้นผ่านพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาล้างมลทินมากี่ครั้งแล้ว ท่านเป็นตำรวจท่านน่าจะรู้ว่าพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาล้างมลทินนั้นมีสาระสำคัญอะไรบ้าง ท่านอยากให้ผมย้อนกลับไปเป็นอดีตหรือ หรือจะอยากให้ผมอยู่กับวันนี้และอนาคต ตอนนี้ประชาชนกำลังลำบาก ทำไมเราไม่เห็นใจเขาบ้าง"

"ผมอยู่กับปัจจุบัน และจะไม่ยอมอยู่กับเรื่องเก่าๆที่เปรียบเสมือนกับฝันร้ายของผม"

"หลังจากวันนี้ฝันร้ายเหล่านี้จะต้องหายไปจากชีวิตผม และหลังจากนี้หากท่านผู้ใดสงสัยในประเด็นเรื่องเหล่านี้ ท่านก็ไปถามผมส่วนตัวได้ และต่อไปนี้ผมจะเอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ว่ากับท่านใดที่ได้พาดพิงถึงเรื่องผม"


Thammanat2

พล.ต.ท.วิศณุ: "จริงๆผมฟังท่านรัฐมนตรีตอบชี้แจงแทนท่านนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าท่านตอบได้ดี"

"แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอีก 2 ประการก็คือต้องพิสูจน์กันว่าระหว่างสื่อมวลชนออสเตรเลียที่ได้ออกรายงานเจาะลึกมา กับทางท่านรัฐมนตรีที่ได้ตอบคำถามเมื่อสักครู่นั้น ของใครจริง ของใครเท็จ ตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและฝ่ายที่ต้องตรวจสอบกันต่อไป"

"ส่วนประเด็นที่ 2นั้น ที่ท่านบอกว่าเรื่องนี้มีคำพิพากษาเป็นเรื่อง Plea Bargaining นั้น ผมคิดว่าคำพิพากษาเต็มๆน่าจะออกมาเร็วๆนี้ โดยคงจะตีพิมพ์ทั้งในสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป ผมบอกว่าเรื่องยาเสพติดนั้นเป็นปัญหาที่ร้ายแรง คำถามก็คือว่าหากท่าน รมช.ถูกจำคุกคดียาเสพติด จะเป็น Plea Bargaining หรืออะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้จะเป็นความผิดร้ายแรงที่จะปรับ รมช.ออกจากคณะรัฐมนตรีหรือไม่ หรือเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น"

สำนักข่าวอิศรา รายงานต่อว่า หลังจาก พล.ต.ท.วิศณุ ชี้แจงข้อสงสัยในช่วงท้ายจบลง  นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมนั้นได้วินิจฉัยว่า ร.อ.ธรรมนัสได้ตอบคำถามชี้แจงข้อซักถมจนครบถ้วนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามใดๆอีก 

จากนั้น ได้ให้ที่ประชุมรัฐสภาเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมถัดไป

วาระการถาม-ตอบกระทู้สดกรณีนี้ จึงสิ้นสุดลงไปตามระเบียบ!