PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ข่าว5ม.ค.58


สปช.กมธ.ยกร่าง

กมธ.ยกร่างรธน.ให้สส.ที่ถูกเลือกเป็นนายกฯต้องลาออกจากตำแหน่งด้วย

นายสุจิต บุญบงการ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่สาม กล่าวถึงความคืบหน้าการยกร่างรัฐธรรมนูญว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ เลขานุการ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ฐานะประธานคณะอนุ กมธ.ยกร่างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ได้นำหลักการที่ที่ประชุมกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้เห็นชอบไปเขียนเป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราแล้ว โดยที่ผ่านมายังไม่พบประเด็นใดในภาค 2 เรื่องผู้นำการเมืองที่ดีและสถาบันการเมือง ส่วนของหมวด 1 ระบบผู้แทนที่ดีและผู้นำการเมืองที่ดี, หมวด 2 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ, หมวด 3 รัฐสภา และหมวด4 คณะรัฐมนตรี มีปัญหาติดขัดจนทำให้การยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรานั้นไม่สามารถเดินหน้าได้ จากนั้นในวันที่ 12 ม.ค. ทางอนุกมธ.ยกร่างบทบัญญัติฯ จะนำร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรามานำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณา โดยเริ่มพิจารณาในบททั่วไป, ภาค 1 พระมหากษัตริย์ และประชาชนเป็นลำดับแรก

สำหรับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญใหม่ที่ระบุถึงที่มานายกฯ ผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฎร และผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. นั้นมีประเด็นพิจารณาเพิ่มเติม คือ หากผู้ที่เป็น ส.ส. ได้รับเลือกเป็นนายกฯ แล้ว ต้องลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เพื่อให้นายกฯ ทำงานบริหารได้เต็มที่แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับสภาผู้แทนราษฎร โดยกลไกดังกล่าวถือเป็นการนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ ส่วนมาตรการที่จะกำกับให้นายกฯ มีความรับผิดชอบต่องานสภาฯ เช่น ชี้แจงกระทู้ จะถูกกำหนดอีกครั้งในคราวที่ที่ประชุมกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องดังกล่าว

นายสุจิต ยังกล่าวถึงข้อสังเกตของนักวิชาการที่มองว่าระบบเลือกตั้งใหม่อาจทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากและกระทบต่อการลงมติเลือกนายกฯ ในสภาได้ว่า การคาดคะเนว่าพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากในสภา ถือเป็นเรื่องด่วนสรุปเกินไป ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าขณะนี้เรามี 2 พรรคการเมืองใหญ่ ดังนั้นโอกาสที่พรรคการเมืองจะได้เสียงข้างมาก แต่ไม่มากที่สุด ซึ่งสามารถนำไปรวมกับพรรคเล็กอื่นๆ เพื่อตั้งรัฐบาลมีความเป็นไปได้ โดยที่ผ่านมาเคยเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นการเลือกตั้งด้วยระบบใหม่ เป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการที่อยากให้เกิดรัฐบาลผสม แต่ผสมกันเพียง 1-2 พรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าสำหรับการพิจารณารายมาตราของรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ยังมีบางประเด็นที่กมธ. ไม่สามารถตกผลึกร่วมกันได้ และมีกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ขอสงวนความเห็นไว้อภิปรายในลำดับที่มีการพิจารณาประเด็นนั้นๆ โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวยอมว่าเป็น 1 ในกมธ.ที่สงวนความเห็นในส่วนของระบบเลือกตั้ง ส.ส. ระบบเขตเลือกตั้ง ที่กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญมีข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะใช้เขตเดียวเบอร์เดียว แต่ตนเห็นว่าควรใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เนื่องจากมองว่าการใช้เขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้นจะทำให้เกิดการผูกขาดโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวและส่งผลให้เกิดการครอบงำในสภาผู้แทนราษฎรได้อีก นอกจากนั้นการเลือก ส.ส.แบบเขตเดียวเบอร์เดียวทำให้ไม่ได้ส.ส.เขตที่เป็นตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง

ทั้งนี้มีประเด็นอื่นๆ เช่น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง, สำนักงานอัยการต้องเป็นองค์กรอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ทำหน้าที่อย่างอิสระไม่ถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซงได้

ขณะที่ในประเด็นเรื่องของระบบเลือกตั้ง ในส.ส.แบบบัญชีรายชื่อนั้น ยังไม่ได้ข้อสรุปเช่นกัน ทางกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จึงได้มอบหมายให้นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ กมธ. และนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมออกแบบการเสนอบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อที่เหมาะสมและนำเสนอให้กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป โดยที่ประชุมได้วางกรอบการพิจารณาไว้ 2 ประเด็นเป็นเบื้องต้นคือ 1.ใช้ระบบภาค เช่น ภาคเหนือ, ภาคใต้, ภาคกลาง เป็นต้น เป็นข้อกำหนดของการส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ แต่ขอให้พิจารณาปัญหาด้วยว่าวิธีดังกล่าวอาจทำให้มีจำนวนประชากรในภาคนั้นๆ ไม่เท่ากันจะทำให้เกิดปัญหาใดหรือไม่ หรือมีข้อดีอย่างไร และ 2.ใช้ระบบแบ่งตามเขตจังหวัดที่มีจำนวนประชากรเท่าๆ กัน เหมือนรูปแบบที่ใช้ช่วงการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2550 ทั้งนี้ขอให้พิจารณาประเด็นการเกี่ยวโยงกับประชาชนตามภูมิภาคและความคุ้นเคยด้วย
---------------
สปช.ประชุม 5-6 ม.ค.พิจารณาตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
5 มกราคม 2558 08:49 น.

        นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ มีคำสั่งนัดประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในวันที่ 5 - 6 มกราคมนี้ เวลา 09.30 น. โดยมีวาระการประชุมพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว คือ รายงานพิจารณาศึกษาเรื่องอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที และรายงานพิจารณาศึกษาเรื่อง สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติกับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลของประเทศไทย ในระยะเปลี่ยนผ่านของคณะกรรมาธิการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาล
        ส่วนในวันที่ 6 มกราคม มีวาระการพิจารณารายงานศึกษาเรื่องโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟ (ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์สำหรับบ้านและอาคาร) และการพิจารณารายงานศึกษาเรื่องการกำหนดให้องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาเสร็จแล้ว

-------------
พล.อ.เลิศรัตน์ คาด อนุฯ ทำงานละเอียดรอบคอบทัน 12 ม.ค. - หวังประชาชนมีส่วนยกร่าง

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาเเละโฆษกกรรมมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าว INN เกี่ยวกับประเด็นการทำงานว่าจะเน้นการทำงานเเบบสองประสาน ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่มาตรา 1 ไปเรื่อย ๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอนุกรรมการชุดใดนั้นก็จะมีการขอข้อมูลอย่างละเอียด ส่วนความก้าวหน้าตอนนี้นั้น ทุกอนุฯ จะต้องเร่งทำงานลงรายละเอียดทุกประเด็นเพื่อให้คณะที่ประชุมใหญ่สามารถตรวจสอบได้ในวันที่ 12 ม.ค. นี้

ดังนั้น ในเบื้องต้นวันที่ 12 นี้ จะทำให้สามารถได้ว่าเนื้อหาส่วนใดบ้างที่จะดำรงไว้ในรัฐธรรมนูญ เเละส่วนใดบ้างที่จะนำไปไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ส่วนอีกช่องทางหนึ่งคือการเปิดเวทีรับฟังจากประชาชนที่มีการสุ่มตัวอย่างเเละจากทุกภาคส่วนอย่างละเอียด

ซึ่งหลังจากวันที่ 12 ม.ค. นี้นั้น จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้ารับฟังในห้องประชุมได้ด้วย เว้นเพียงบางประเด็นเท่านั้นที่ยังไม่มีการตกผลึกแท้จริงที่จะมีการประชุมภายในเช่นเดิม
-----------------------
ทนายวันชัย เผย กมธ. พร้อมฟังข้อเสนอเเนะ - หากประเด็นใดเร่งด่วน ครม. เห็นชอบก็สามารถทำได้ทันที

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. เกี่ยวกับการปฏิรูปเร็ว ว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา ประธาน สปช. ได้แจ้งสู่ระเบียบวาระก่อนเข้าวาระคณะกรรมาธิการวิสัยทัศน์กรองข้อมูลทั้งหมดจากสมาชิกเสนอต่อกรรมาธิการยกร่างฯ แล้วนำมากำหนดเป็นประเด็นใหญ่ 10 ประเด็น เเต่ไม่เกิน 15 ประเด็น และแต่ละกรรมาธิการจะต้องแจ้งต่อประธานว่าให้มีผลงานเป็นที่ชัดเจนก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ

โดยคณะกรรมาธิการยกร่างฯ พร้อมให้ความร่วมมือรับฟังข้อเสนอแนะจากสมาชิก และประเด็นใดเกี่ยวกับกรรมาธิการชุดใด จะเชิญกรรมาธิการชุดนั้นแต่ละคณะเข้ามารับฟังและมีส่วนร่วมในการพิจารณาแต่ละประเด็นในการยกร่างฯ ทางด้านการกำหนดกรอบการปฏิรูปเร็วเสนอเข้าที่ประชุมนั้น เรื่องใดเป็นเรื่องเร่งด่วนและจำเป็นไม่ต้องเป็นกฎหมายก็ได้เพียงสภาปฏิรูปแห่งชาติมีมติและคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นตามก็สามารถทำได้ทันที
--------------------
"บวรศักดิ์" เล็งเปิดรับความเห็น กมธ.ปฏิรูปเพิ่ม

นายนิมิต สิทธิไตรย์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หารือต่อที่ประชุม สปช. โดยเสนอให้มีกระบวนการหรือกลไกประสานงานและรับฟังความคืบหน้าของการยกร่างรัฐธรรมนูญ ของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ กับสปช. เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องให้สปช.พิจารณาลงมติเห็นชอบ ดังนั้นการสื่อสารระหว่างกันถือมีความจำเป็น นอกจากนั้นแล้วบทบาทในปี 2558 ต้องมีการทำงานที่ชัดเจนด้วยว่า ไม่ว่าคนไกล หรือ คนใกล้ต้องได้ยินเสียงเท่ากัน

ด้านนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธาน ประธาน สปช. คนที่ 1 ฐานะประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่าที่ผ่านมาได้ส่งเอกสารเป็นรายงานการประชุมของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญมายัง สปช. ผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แล้ว ซึ่งตนได้กำชับให้ทำสำเนาแจกกับสมาชิกสปช. ด้วย อย่างไรก็ตามในการพิจารณารัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค. นั้น ได้เปิดโอกาสให้สมาชิก สปช. ได้ร่วมรับฟังด้วย นอกจากนั้นแล้วตนเตรียมหารือกับที่ประชุมกมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่า หากการพิจารณาในบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ, หมวดสิทธิเสรีภาพ และการปฏิรูปที่เป็นข้อเสนอของกมธ.ปฏิรูปชุดต่างๆ จะเชิญ กมธ.ชุดนั้นๆ เข้าร่วมประชุมด้วย

ข้อเสนอที่สปช. ส่งมานั้น ต้องสกัดเอาแก่น บางทีก็นำคำมาเขียนเป็นบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้รัฐธรรมนูญใหม่ยาวเกินไป อย่างไรก็ตามตนยินดีและเต็มใจให้ สมาชิก สปช. เข้าร่วมรับฟัง
การพิจารณา? นายบวรศักดิ์ ชี้แจง
/////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

พล.อ.ประยุทธ์ เข้าทำงานหลังปีใหม่ - สุวพันธุ์ เป็นประธานประชุม สนช. ครั้งที่ 1/58 10.00 น.

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด ในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ในช่วงเช้า

เพื่อปฏิบัติภารกิจตามปกติแล้ว ส่วนบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลโดยทั่วไปมีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบรัฐบาล เดินทางเข้ามาปฏิบัติงานตามปกติภายหลังวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่

ท่ามกลางมาตราการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวดรอบพื้นที่เช่นเคย

อย่างไรก็ตาม สำหรับวาระงานของรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ ในเวลาประมาณ 10.00 น. นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะ

กรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ครั้งที่ 1/2558 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
------------------------
นายกฯหวัง ไทย-จีน ผลักดันความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์

นายไบ๋ ชุนหลี่ (Mr. Bai Chun Li) ประธานสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (Chinese Academy of Science) เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี

กล่าวว่า ยินดีที่ได้พบกับประธานสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีนในโอกาสเยือนไทย ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศถือว่าดีที่สุด ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้รับเกียรติจากจีนหลายครั้ง

และได้มีการหารือในหลายประเด็น โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและการพัฒนา (R&D) และนวัตกรรม ที่จีนมีความก้าวหน้าอย่างมาก ซึ่งไทยประสงค์เรียนรู้จากประสบการณ์

ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาการวิจัยและการพัฒนา และการจัดทำการวิจัยร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ทราบว่าจะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาความ

ร่วมมือด้านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความร่วมมือระหว่างสองสถาบันจะมีส่วนช่วยส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย และเทคโนโลยีระหว่างไทย -

จีนให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ร่วมกัน

ประธานสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน กล่าวว่า การพบกันระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีจีนถือเป็นการปูพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมาก

ยิ่งขึ้น โดยประธานสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีนเห็นพ้องเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีในการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างไทย - จีน โดยเฉพาะการพัฒนาและ

เสริมสร้างบุคลากรให้แก่คนรุ่นหลัง ประธานสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีนหวังว่า ภายใต้การสนับสนุนของนายกรัฐมนตรี จะสามารถพัฒนาความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เพิ่ม

มากขึ้นต่อไปได้
------------------------
ยงยุทธเผยเตรียมหาทีมโฆษกรัฐบาลเพิ่ม 2 คน

เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2558 ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการเสริมบุคลากรในคณะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นเรื่องที่ตนและพล.ต.สรรเสริญ

แก้วกำเนิด รองโฆษกฯ ช่วยกันคิดและหารือว่าน่าจะมีบุคคลเข้ามาเสริมทีมเพื่อช่วยงาน โดยยังสามารถเพิ่มได้อีก 2 ตำแหน่ง ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาหาตัวบุคคลที่เหมาะสม โดยบางคนที่

เราสนใจหรือเคยพูดคุยทาบทามไปนั้นก็ไม่พร้อมที่จะมารับหน้าที่นี้ หรือมีคุณสมบัติไม่ครบ ทั้งนี้ ในใจของตนอยากให้มีผู้หญิงมาร่วมทำหน้าที่รองโฆษกฯด้วย อย่างไรก็ตาม หากได้บุคคลที่เหมาะ

สมมาทำหน้าที่และทุกอย่างลงตัวแล้ว ตนก็จะส่งรายชื่อบุคคลเหล่านั้นให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาและอนุมัติต่อไป เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าอาจมีการทาบทาม น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร อดีตแกนนำ

กลุ่ม กปปส. และร.อ.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข พิธีกรชื่อดังของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ด้วย ร.อ.นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า ไม่มีชื่อของน.ส.จิตภัสร์ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนกรณีของร.อ.หญิงชล

รัศมีนั้น เขามีงานค่อนข้างมากอยู่แล้ว
////////////
กองทัพ

กองทัพบกเตรียมเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ เพื่อจัดแสดงเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ

กองทัพบกแจ้งเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ในวันพฤหัสบดีที่ 8 ม.ค. 2558 เพื่อเตรียมจัดงานวันเด็ก ณ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กทม. โดยเคลื่อนจากหน่วยทหารในพื้นที่ กทม. จ.ราชบุรี จ.

ปราจีนบุรี จ.สระบุรี และ จ.ลพบุรี ในเวลา 19.00 น. ถึง 23.00 น. อาทิ ยานเกราะล้อยาง รถถังชนิดต่าง ๆ ปืนใหญ่ รถลาดตระเวน (ฮัมวี่) รถกู้ภัย รถสายพานอเนกประสงค์ รถประปาสนาม จาก จ.

ราชบุรี ปราจีนบุรี สระบุรี และ กทม. สำหรับเส้นทางการเคลื่อนย้ายจะผ่านเส้นทางสำคัญดังนี้

1. จ.ราชบุรี : ใช้เส้นทาง ถ.เพชรเกษม-ถ.ปิ่นเกล้านครชัยศรี-สะพานกรุงธน-ถ.ราชวิถี-กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์
2. จ.ปราจีนบุรี : ใช้เส้นทาง รังสิต-นครนายก-ถ.วิภาวดีรังสิต-ถ.พหลโยธิน-กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์
3. พื้นที่ กทม. : จากที่ตั้งหน่วยทหารในเขตดุสิต และหลักสี่ โดยใช้เส้นทางตามถนนสำคัญ เช่น ถ.ทหาร ถ.ประดิพัทธ์ ถ.พหลโยธิน
ถ.แจ้งวัฒนะ ถ.วิภาวดีรังสิต

พร้อมกับเคลื่อนย้ายเฮลิคอปเตอร์จาก จ.ลพบุรี มายัง กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ในเวลา 11.00 น. ถึง 12.00 น. และจะเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์กลับที่ตั้งหน่วยทหารหลังจากจบกิจกรรมวัน

เด็กแล้ว ในวันที่ 10 มกราคม 2558 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ตามเส้นทางเดิม
-------------------
โฆษกสำนักนายกฯ เเย้มนายกฯ อาจร่วมงานวันเด็ก พร้อมเปิดห้องทำงานและตึกไทยคู่ฟ้าให้เด็ก ๆ เยี่ยมชม เนื่องในงานวันเด็ก

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับการเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2558 ที่ทำเนียบรัฐบาล วันเสาร์ที่ 10 มกราคมนี้ ในวันพรุ่งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมี

การประชุมการจัดงานวันเด็กที่ทำเนียบ โดยในปีนี้จะเปิดห้องทำงานนายกรัฐมนตรีพร้อมกับเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ที่เดินทางมาเที่ยวงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลได้เยี่ยมชมตึกไทยคู่ฟ้าและนั่งเก้าอี้

ของนายกรัฐมนตรีด้วย ส่วนนายกรัฐมนตรีจะร่วมกิจกรรมกับเด็ก ๆ หรือไม่นั้น กำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา ว่านายกรัฐมนตรีติดภารกิจในวันและเวลาดังกล่าวหรือไม่
---------------------
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เชิญชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมจัดกิจกรรมมากมาย

นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 กล่าวว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับหน่วยงานในทำเนียบรัฐบาลจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 โดยมีกิจกรรมเสริมสร้างความรู้และความบันเทิงมากมาย ภายใต้คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 ว่า “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” ซึ่งในปีนี้ได้รับเกียรติจากหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมจัดกิจกรรม ดังนี้ มูลนิธิดินดี น้ำใส แห่งประเทศไทย นำศิลปะนานาชาติเกี่ยวกับภาพเขียนของชมรมญี่ปุ่น จำนวน 100 ภาพ มาจัดแสดงที่ห้องประชุม 101 อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งภาพดังกล่าวแยกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ภาพวาดสีน้ำมัน ภาพสีน้ำหมึกจีน ภาพตัวอักษรจีนโบราณ และคติพจน์ต่าง ๆ โดยจะมีศิลปินและเจ้าหน้าที่อธิบายภาพและตอบข้อซักถามให้กับผู้สนใจอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ มูลนิธิโครงการหลวง และบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด จะสาธิตและเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ทดลองประกอบอาหารจากผลิตภัณฑ์ดอยคำทั้งนี้ ชุมชนนางเลิ้งจะมาร่วมออกร้านอาหารให้บริการฟรี ประกอบด้วย ข้าวขาหมู ผัดไทย วุ้นมะพร้าว และข้าวเกรียบปากหม้อ ซึ่งเด็ก ๆ จะได้ทดลองทำข้าวเกรียบปากหม้อด้วยตนเอง รวมทั้งยังมีการจัดแสดงกลองยาวหัวโตซึ่งเป็นศิลปะโบราณเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับเด็ก ๆ ส่วนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดการเล่นเกมบนเวทีและภายในซุ้มต่าง ๆ พร้อมแจกของรางวัลมากมาย
--------------------
รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ 

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ในวันเสาร์ที่ 10 มกราคม 2558 นี้ กองทัพบกจัดกิจกรรมเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. โดยมีกิจกรรมหลากหลายให้เด็ก ๆ ได้รับความรู้ เสริมสร้างประสบการณ์ เทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ส่งเสริมความรักสามัคคี ปลูกฝังค่านิยมหลักของไทย 12 ประการ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “กองทัพบก คืนความสุขให้เด็กไทย” โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้ทุกหน่วยทหารสนับสนุนการจัดงานวันเด็กในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างเหมาะสม และคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก ๆ เป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ในวันดังกล่าวจะมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายอาทิการแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันประเทศ และยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย นิทรรศการทางทหาร การแสดงบนเวที และการแสดงกลางแจ้งเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งผู้ร่วมงานจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับต่างจังหวัดสามารถเข้าร่วมงานได้ที่หน่วยทหารใกล้บ้าน และทางกองทัพบกยังให้การสนับสนุนกำลังพล และยุทโธปกรณ์ ไปร่วมจัดแสดงในงานวันเด็กตามที่ทางส่วนราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ขอรับการสนับสนุนมาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศอีกด้วย
-----------------------
พล.อ.ไพบูลย์ เผย ยังไม่รู้เจตนาคนปล่อยข่าวไขก็อกตำแหน่ง รอง ผบ.สส. มองเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่คิดตรวจสอบดำเนินคดี เพราะเสียเวลาทำงาน
         
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวว่ารัฐบาลได้ขอร้องให้นายทหารระดับสูง 3 นาย ประกอบด้วย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, พล.อ.ไพบูลย์ และ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาและ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลาออกก่อนเกษียณราชการในปี 2558 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการบริหารงานกองทัพ ว่า จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบว่าคนปล่อยข่าวเป็นใครและมีวัตถุประสงค์อะไร

เมื่อถามว่าจะดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีคนปล่อยข่าวหรือไม่นั้น พล.อ.ไพบูลย์ ย้ำว่า เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับตน ไม่รู้จะตรวจสอบและดำเนินคดีไปทำไม เสียเวลาทำงาน
--------------
ปธ.สถาบันบันฑิตวิทยาศาสตร์จีน พบนายกฯ เรื่องความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน ประยุทธฝากเรื่องซื้อไฟฟ้า

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายไบ๋ ชุนหลี่ ประธานสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ได้เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในโอกาสเดินทางเยือนไทย โดยมีการหารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พูดคุยถึงความร่วมมือที่ต้องเร่งดำเนิน
งานในช่วงนี้ 4 เรื่อง คือ เรื่องดาวเทียมสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ การพัฒนารถไฟ พลังงานทดแทน ความหลากหลายทางชีวะภาพ ให้มีความต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ยังอยากมีความร่วมมือในเรื่องอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความรู้ทางด้านอวกาศ รวมถึงการจัดทำแผนที่ 3 มิติในการทำผังเมืองต่อไปด้วย ซึ่ง นายไบ๋ ชุนหลี ได้ระบุว่ามีความยินดีที่

จะร่วมมือกับไทยในเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังฝากเรื่องของการซื้อไฟฟ้าจากวิสาหกิจจีน จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ รวมถึงเสนอให้จีนพิจารณาซื้อเอทานอลจากไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งทางฝ่ายจีนก็ได้รับไปพิจารณา
//////////////////
7วันอันตราย

ปนัดดา แถลงสรุปลดอุบัติเหตุปีใหม่ เชียงใหม่เหตุสูงสุด ตาย 15 เจ็บ 119 - 4 จังหวัดไร้ตาย

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงสรุปผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางท้องถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 โดยเปิด

เผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 สรุปสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 4 มกราคม 2558 ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการรณรงค์ "มอบความสุขทั่วไทย

สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน" เกิดอุบัติเหตุ 287 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 42 ราย ผู้บาดเจ็บ 301 คน สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุยังคงเป็นเมาสุรา ร้อยละ 27.53 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 26.83 และ

ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จักรยานยนต์ ร้อยละ 79.12

ทั้งนี้ รวมทั้ง 6 วัน เกิดอุบัติเหตุ 2,733 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 302 ราย ผู้บาดเจ็บ 2,843 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ 122 ครั้ง เสียชีวิตสะสมสูงสุด จังหวัดเชียงใหม่ 15 ราย

และบาดเจ็บสะสมสูงสุด จังหวัดเชียงใหม่ 119 คน ส่วนจังหวัดที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิตมี 4 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นราธิวาส สิงห์บุรี และนครพนม
--------------
รมต.สำนักนายกฯ ชี้ ปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุดื่มเเล้วขับเสี่ยงสูงสุด ขับเร็วเกินกำหนด ปาดหน้ากระชั้นชิด รองลงมา - กำชับทุกจุดตรวจเข้มงวด

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วง 5 วันที่ผ่านมา พบว่า ดื่มแล้วขับเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุดที่ทำ

ให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน แต่จากสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 4 มกราคม 2558 ซึ่งเป็นวันหยุดสุดท้ายของเทศกาลปีใหม่ พบว่าการขับรถเร็วเกินกำหนด การขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด เป็นปัจจัย

เสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน จึงประสานให้จังหวัดกำชับจุดตรวจเข้มงวดผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เน้นการเรียกตรวจยานพาหนะให้มากขึ้น รวมถึงสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลเส้นทาง

สายหลักโดยเฉพาะจุดเสี่ยงบนถนนสายหลัก จุดตัดทางรถไฟ ควบคู่การดูแลถนนสายรอง โดยให้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดอาสาสมัครดูแลเส้นทางดังกล่าวเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการ

เกิดอุบัติเหตุ
/////////////////////
โยกย้ายตำรวจ

โฆษก สตช. ระบุ การแต่งตั้ง ตร.ระดับ ผกก.-รอง ผบก. ปีนี้ กองบัญชาการต้องเสนอรายชื่อให้ ก.ตร.พิจารณา เพื่อความชอบธรรมในการตรวจสอบ

พล.ต.ท.ประวุฒิ  ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวในรายการ เปิดข่าวเด่น เจาะประเด็นดัง ถึงการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายระดับผู้กำกับการ ถึง รองผู้บังคับการ วาระประจำปี

2557 ว่า การจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายปีนี้พิเศษกว่าปีก่อน เพราะปีที่ผ่านมา ในการแต่งตั้งนายตำรวจระดับผู้กำกับการ ทางกองบัญชาการจะเป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งเอง  แต่ปีนี้เมื่อกองบัญชาการจัด

ทำบัญชีรายชื่อแล้วเสร็จ ก็จะเสนอชื่อขึ้นมาให้ ก.ตร. รับทราบ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่กำหนดขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เกิดความชอบทำในการตรวจสอบมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นอำนาจของกองบัญชาการ
ที่จะเป็นผู้พิจารณาในชั้นต้นเสนอรายชื่อขึ้นมาให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ตร. พิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การประชุม ก.ตร. พิจารณาวาระแต่งตั้งโยกย้ายระดับผู้กำกับการ (ผกก.) ถึงรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) วาระประจำปี 2557 จะมีขึ้นในวันที่ 7 มกราคม เวลา 08.30 น. ที่ ห้องประชุม

ศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
-----------------
/////
ถอดถอน ยิ่งลักษณ์/นิคม/สมศักดิ์

รองประธาน สนช. เผย บรรจุวาระถอดถอนยิ่งลักษณ์ 8-9 ม.ค. เปิดโอกาสให้ตอบข้อซักถาม - ย้ำ ปฏิบัติตามหน้าที่ เชื่อ ไม่กระทบปรองดอง

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยกรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณี นายสมศักดิ์ เกียรติ์สุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร นายนิคม ไวรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ได้บรรจุวาระทั้ง 3 เข้าสู่ที่ประชุมในวันที่ 8 ม.ค. และ 9 ม.ค. โดยจะมีการแถลงเปิดคดี และเปิดโอกาสให้มีการตอบข้อซักถาม

ซึ่งขณะนี้ ทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตประธานวุฒิสภา ยังไม่มีผู้ใดตอบรับว่าจะเดินทางมาในวันเปิดคดีด้วยตนเองหรือไม่ส่วนในการพิจารณาดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดองหรือไม่นั้น มองว่า สนช. ทำหน้าที่ตามกฎหมายบัญญัติโดยไม่มีทางเลือกอื่น ส่วนมติที่ประชุมที่คาดว่าจะลงมติถอดถอนได้ในปลายเดือนมกราคมและต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นการลงมติลับ จะออกมาอย่างไรนั้น เชื่อว่าสมาชิก สนช. ทุกคนมีอิสระทางความคิด และช่างน้ำหนักตามพยานหลักฐาน ดังนั้นขอให้ไว้วางใจว่า สนช. จะต้องทำหน้าที่ด้วยความถูกต้อง เที่ยงธรรม เพราะหากเป็นเช่นนี้แล้วคิดว่าไม่กระทบความปรองดองอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีการถอดถอน 38 ส.ว. ขณะนี้ยังคงไม่มีการบรรจุวาระเข้าสู่ที่ประชุมแต่อย่างใด
---------------------
"ประสาร" ให้กำลังใจ "สนช." ลุยพิจารณาถอด

นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) หารือต่อที่ประชุม สปช. ถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สปช.) เตรียมพิจารณาการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา, นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตรองประธานรัฐสภา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้ออกจากตำแหน่ง ตามรายงานและความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่นำเสนอต่อที่ประชุม สนช. ว่า มีบุคคลพยายามให้ข้อมูลว่าไม่สามารถดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 ที่เป็นฐานความผิดได้ถูกยกเลิกไปแล้ว และมองว่าหากดำเนินการเรื่องดังกล่าวอาจกระทบต่อการปรองดองได้ แต่ส่วนตัวมองว่าการตั้งต้นมองประเด็นปรองดอง ต้องไม่ใช่นำประเด็นความผิด และความถูกมารวมกัน การประณีประนอมสามารถทำได้โดยเทคนิค และวิธีการ ทั้งนี้กระบวนการตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมต้องยืนหลักบนความถูกต้อง โดยตนขอให้กำลัง สมาชิกสนช. ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยความเที่ยงธรรม ยืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ทั้งนี้ต้องอยู่บนหลักปฏิรูปที่เป็นจริงที่ว่า อย่าทำให้คนผิดลอยนวล
---------------------
"ศรีสุวรรณ" ยื่นหนังสือ ป.ป.ช. ตรวจสอบสติ๊กเกอร์ไลน์ค่านิยม 12 ประการ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังพบว่าตั้งราคากลางสูงเกินจริง

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย พร้อมตัวแทนจากองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือถึงประธานและกรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบการกำหนดราคากลางในการจัดทำหรือจัดซื้อจัดจ้างการดำเนินการโครงการจัดทำสติ๊กเกอร์ไลน์ เพื่อเผยแพร่ค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการที่กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นผู้จัดทำนั้น มีราคาแพงเกินกว่าเหตุ โดยมีราคาในการดำเนินการอยู่ที่ 7.1 ล้านบาท โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเหตุและผลการตั้งราคากลางดังกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.อิทธิพล กิจสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว ป.ป.ช. กำลังตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น และหลังจากนี้ ป.ป.ช. ก็จะขอข้อมูลการดำเนินการจากกระทรวงไอซีทีเพื่อมาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เกิดความรอบคอบ
--------------
ป.ป.ช. เผย คณะทำงานร่วมพิจารณาคดียิ่งลักษณ์โกงข้าว อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน คาด ม.ค. นี้ เรียบร้อย

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยความคืบหน้าของคณะทำงานร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนคดีอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ระหว่างฝ่ายอัยการสูงสุด (อสส.) และฝ่าย ป.ป.ช. ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการรวบรวมหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมอีก 4 รายการ โดยคณะทำงานฝ่าย ป.ป.ช. ได้ติดต่อไปยังหน่วยงานต้นสังกัดแล้ว คาดว่าในสัปดาห์นี้คงจะได้เอกสารมา ซึ่งต้องดูอีกครั้ง ต้องสอบบุคคลเพิ่มเติมยืนยันข้อเท็จจริงในเอกสารด้วยหรือไม่ แต่คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์คงจะสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมร่วมกันได้ และเป็นไปได้ที่จะเสร็จสิ้ยภายในเดือนมกราคมนี้

ทั้งนี้ นายสรรเสริญ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีประเด็นอะไรต้องหารือเพิ่มเติม แต่ละฝ่ายจะหารือกัน และก็รายงานให้อีกฝ่ายทราบ ก่อนจะนัดประชุมคณะทำงานร่วมฯ อีกครั้งหนึ่ง
//////////////
ตำรวจ
ป้ายโฆษณาป้อม ตร.

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยเตรียมหารือกรมธนารักษ์พรุ่งนี้ ถึงระเบียบและข้อปฏิบัติ ป้ายโฆษณาป้อม ตร.

พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายการใช้อาคารสถานที่และที่ดิน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการตรวจสอบที่ดิน ที่ตั้งป้อมจราจรตามสี่แยกต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ ในพื้นที่นครบาล ซึ่งมีการติดตั้งป้ายโฆษณา พบว่าส่วนใหญ่เกือบ 100% หรือมากกว่า 100 ป้อม เป็นที่ราชพัสดุ อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ ซึ่งที่ผ่านมาทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ บช.น. ได้ทำหนังสือสัญญาตกลงกับบริษัทป้ายโฆษณาเองไม่มีการทำรายงานขอความเห็นชอบจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอีกส่วนหนึ่งผู้กำกับ สน. ติดต่อกับบริษัทโฆษณาในการติดตั้งเอง

ส่วนจะต้องมีการรื้อถอนป้ายโฆษณาหรือไม่นั้น ในวันพรุ่งนี้เวลา 09.30 น.คณะกรรมการฯ จะประชุมร่วมกับกรมธนารักษ์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงระเบียบของทางราชการ ประเด็นต่าง ๆ

เช่น ต่อไปป้อมตำรวจต่าง ๆ จะต้องทำสัญญาการเช่าและจ่ายค่าเช่าให้ราชพัสดุถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รายได้จากป้ายโฆษณาหน่วยงานไหนได้รับ ต้องเสียภาษีป้ายให้กับ กทม. หรือไม่ เพื่อหา

ความชัดเจนร่วมกัน

สำหรับเรื่องสัญญากับเอกชน และการดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ส่วนที่มีกระแสว่าตำรวจบางนายเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง

เพื่อร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว เชื่อว่าไม่สามารถทำได้เนื่องจากผลสอบเป็นในรูปของคณะกรรมการ
--------------
ผบช.น. รับ เสนอโยกย้าย ผกก. ในพื้นที่ 59 นายจริง ย้ำไม่ได้กลั่นแกล้งใคร หากไม่ทำจะถือว่าละเว้นการทำหน้าที่

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีมีกระแสข่าวการเสนอบัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับการจำนวนมากในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจ

นครบาลออกนอกหน่วย หลังพบเกี่ยวพันกับความผิดเรื่องป้ายโฆษณาบนป้อมจราจร และบางนายได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ และยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม โดยยอมรับว่ามีการโยกย้ายจริง

ผู้ที่ถูกโยกย้ายส่วนใหญ่กระทำความผิดเกี่ยวกับคดีอาญาและแพ่ง ทั้งกรณีป้ายโฆษณา ส่วยน้ำมันเถื่อน สถานบริการ ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 59 นาย นายตำรวจ 15 นาย ที่สมัครใจขอย้ายออก

นอกพื้นที่ และอีก 44 นาย ที่ไม่สมัครใจย้าย

ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือย้ายล้างบาง ซึ่งได้ชี้แจงกับคณะกรรมการข้าราชการตำรวจไปแล้ว หากไม่ดำเนินการถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

สำหรับนายตำรวจที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจะไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองก็สามารถทำได้ และยอมรับว่ารู้สึกหนักใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เห็นด้วยกับการโยกย้าย แต่ต้องทำไปตามกฎระเบียบ
-------------
โฆษก สตช. เผยประชุม ก.ตร. โยกย้ายนาย ตร. 7 ม.ค.นี้ รับโยกพวกพ้องมีทุกสมัย เพราะต้องให้คนไว้ใจร่วมงาน ไม่เป็นธรรมร้องเรียนได้

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 มกราคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งมีวาระการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ

ระดับรองผู้บังคับการ ถึงสารวัตร วาระประจำปี 2558 ทั่วประเทศ โดยยอมรับว่ากองบัญชาการตำรวจจะมีการสับเปลี่ยนระดับผู้กำกับการหลายตำแหน่ง ตามที่มีกระแสข่าว โดยมีเหตุผลทั้งเรื่อง

ความผิดวินัย ความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ และการอนุญาตให้มีการติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้อมจราจรทั้งที่ไม่มีอำนาจ และปล่อยปละละเลย ซึ่งหากผู้ที่ถูกโยกย้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม

สามารถร้องเรียนได้

ส่วนกรณีที่มีกระแสวิจารณ์ถึงการนำพวกพ้องของตนเองมาดำรงตำแหน่งในพื้นที่ทำเลทองของนครบาลนั้น ยอมรับว่า มีในทุกยุคทุกสมัย โดยต้องการคนที่มีความไว้ใจมาทำงานร่วมกัน แต่เป็น

เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีมากตามที่มีข่าวอย่างแน่นอน
------------
คดีเครือข่ายพงศ์พัฒน์

ตร.พหลโยธิน เตรียมคุมตัว อดีต ผกก.5-สารวัตร กองปราบฯ ฝากขังศาลอาญา - ยังไร้เงา พ.ต.ท.ทรงรักษ์ เข้าพบ พงส.

พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ได้เตรียมคุมตัว พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน อดีตผู้กำกับการ 5 กองปราบปราม และ พ.ต.ต.จักรพันธ์ ลีลานันทวงศ์ อดีต สารวัตรกองกำกับการ 1 กองปราบปราม

พร้อมคำร้อง ไปยื่นฝากขังต่อศาลอาญา หลังทั้ง 2 คน เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เมื่อวานที่ผ่านมา ในข้อหามีส่วนพัวพันกับการเรียกรับผลประโยชน์จากเครือข่าย

พนันบอลออนไลน์อาบูบาก้า ซึ่งในชั้นสอบสวนทั้ง 2 คน ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยตำรวจทั้ง 2 นายได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 6 แสนบาท เพื่อขอยื่นประกันตัวต่อศาลอาญา

ทางด้าน พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี อดีตรองผู้กำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม ตำรวจคนใกล้ชิด พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ผู้ต้องหาอีกราย ซึ่งก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าคนใกล้

ชิดมีความพยายามในการติดต่อตำรวจเพื่อเข้ามอบตัวนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน แต่อย่างใด
--------------------
คดีอาบูซาก้า

คุม 2 ตำรวจกองปราบปราม เครือข่ายพงศ์พัฒน์ ที่ถูกศาลออกหมายจับคดีรับส่วยอาบูบาก้าฝากขังศาลอาญารัชดา พร้อมคัดค้านการประกันตัว

พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ควบคุมตัว พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน อดีตผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม และ พ.ต.ต.จักรพันธ์ ลีลานันทวงศ์ อดีตสารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

กรณีรับสินบนระหว่างปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามการพนันฟุตบอลออนไลน์ หรือ อาบูบาก้า เมื่อปี 2552 มาขออำนาจศาลอาญารัชดา ฝากขังผลัดแรก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม ถึงวันที่ 16
มกราคม นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น

ทั้งนี้ ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวด้วย เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีสำคัญ มีผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสังคม ซึ่งหากผู้ต้องหาได้รับการ

ประกันตัว เกรงว่าอาจจะมีการหลบหนี

สำหรับ พ.ต.อ.วัชรพล และ พ.ต.ต.จักรพันธ์ ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เมื่อวานที่ผ่านมา ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีบ่อนการพนันออนไลน์อาบูบาก้า รวม 14 คน

แบ่งเป็นตำรวจ 13 นาย และพลเรือน 1 คน และขณะนี้ยังเหลือตำรวจที่ถูกออกหมายจับอีก 5 นาย และพลเรือน 1 คน ที่ยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวน
---------------------
ศาลอนุญาตปล่อยชั่วคราว 2 ตร. รับส่วยบ่อนอาบูบาก้า ระบุ ผู้ต้องหามอบตัวเอง เชื่อไม่หลบหนี-ยุ่งเกี่ยวหลักฐาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ได้คุมตัว พ.ต.อ.วัชรพล ทองล้วน ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม และ พ.ต.ต.จักรพันธ์ ลีลานันทวงศ์ สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม ผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ร่วมกันเรียกรับสินบนบ่อนการพนันออนไลน์ หรือ อาบูบาก้า มาขออำนาจ ศาลอาญาฝากขังผัดแรก 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 5-16 มกราคมนี้ โดยญาติของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอต่อศาลเพื่อประกันตัว

ล่าสุด ศาลอาญาได้พิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้ว เห็นว่า ผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธินด้วยตัวเอง และเชื่อว่าไม่มีเจตนาหลบหนี อีกทั้งผู้ต้องหาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยาน จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยศาลได้ตีราคาประกันตัว พ.ต.อ.วัชรพล ซึ่งใช้หลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินเนื้อที่ 66 ตร.ว. ย่านปทุมธานี มูลค่า 1,156,000 บาท และตีราคาประกัน พ.ต.ต.จักรพันธ์ เป็นเงินสด 6 แสนบาท
/////////////////////////

คดีพรชนก

พรชนกและสามี จำเลยคดีฆ่าหั่นศพครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น ให้การปฏิเสธสู้คดี ศาลนัดอีกครั้ง 9 มีนาคมนี้

ศาลอาญารัชดา นัดสอบคำให้การคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย แก้วบางยาง อายุ 47 ปี และ นางพรชนก ไชยะปะ อายุ 47 ปี สองสามีภรรยาร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือ เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา หน่วงเหนี่ยวกักขัง ซ่อนเร้นทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย ลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน มีไว้เพื่อนำออก และใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น

จากกรณีเมื่อวันที่ 21 กันยายน - 13 ตุลาคม 2557 นายสมชายและนางพรชนก ได้ร่วมกันฆ่าหั่นศพ นายโยชิโนริ ชิมาโตะ ครูสอนภาษาญี่ปุ่น อายุ 79 ปี นำไปทิ้งน้ำที่คลองนางทิ้ม หมู่ 7 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมลักทรัพย์บัตรเครดิตนำไปกดเอาเงินสดรวมกว่า 5 แสนบาท

ทั้งนี้ ในชั้นสอบสวน นายสมชายให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซ่อนเร้นทำลายศพ ลักทรัพย์ผู้ตาย แต่ปฏิเสธความผิดข้อหาลักเงินสดผู้ตายจากตู้เอทีเอ็ม ส่วน นางพรชนก ให้การปฏิเสธทุกข้อหา ศาลได้สอบคำให้การจำเลยทั้งสองได้ให้การปฏิเสธพร้อมระบุว่ายังไม่มีทนายความ ขอให้ศาลแต่งตั้งทนายความให้ ศาลจึงนัดสอบคำให้การเพิ่มเติม และนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ในวันที่ 9 มีนาคมนี้ 09.00 น.
/////////////////////
คดีลาดกระบัง

อดีตอธิการฯ สจล. เข้าให้ข้อมูลกองปราบฯ ยืนยันไม่รู้เห็นการยักยอกเงิน 1,600 ล้านบาท 

นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พร้อมด้วย นายสัมภสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดีฯ เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับ

การปราบปราม เพื่อให้ข้อมูลในคดียักยอกเงินสถาบันกว่า 1,600 ล้านบาท พร้อมกับระบุว่า ตนเข้ารับตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 ถึงตุลาคม 2556 ตลอดระยะเวลาการ

ทำงานไม่พบความผิดปกติทางด้านการเงิน โดยขั้นตอนการโอนเงินจะต้องมีผู้ลงนามเซ็นอนุมัติ 2 ใน 3 คน ประกอบด้วยตนเอง ผู้ช่วยอธิการฯ และผู้อำนวยการคลัง ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของ

ระเบียบสถาบัน โดยในทุก ๆ ปีจะมีการตรวจสอบจากภายในและภายนอกโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ตรวจสอบ

ทั้งนี้ สถาบันมีทั้งหมด 3บัญชี คือ บัญชีเงินหมุนเวียนประจำวัน บัญชีเงินเดือนพนักงาน และบัญชีเงินคงคลัง โดยส่วนตัว การให้ปากคำวันนี้ไม่หนักใจอะไร พร้อมยอมรับว่ามีความสนิทสนมกับ

นางสาวอำพร น้อยประสิทธิ์ ผู้อำนวยการคลัง และ นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ประกอบกับได้ขอเอกสารย้อนหลังจากสถาบันช่วงระยะ

เวลาที่ตนดำรงตำแหน่งก็ไม่พบว่ามีความผิดปกติ แต่จะมีการปลอมแปลงเอกสารหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ
---------------------
ผู้บริหารสจล.อีก2คนเลื่อนให้ข้อมูลกรณียักยอกทรัพย์

ความคืบหน้าคดีลักเงินกองกลางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้(5 ม.ค.2558)ศาสตราจารย์ ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมด้วย นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดีฯ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.เพื่อให้ปากคำแล้วนั้น

เมื่อเวลา 14.30 น.วันเดียวกัน ภายหลังมีกระแสข่าวว่า รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ อดีตอธิการบดี สจล.รวมทั้ง ผศ.สมศักดิ์ คูหาสวรรค์เวช อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล.ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2555 จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เช่นเดียวกับ ศ.ดร.ถวิล และ นายสรรพสิทธิ์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารงานในสมัยที่ดำรงตำแหน่ง และความเกี่ยวข้องกับกรณีเงินกองกลางของ สจล.ที่สูญหายไป นั้น ผู้สื่อข่าวได้ประสานติดต่อทางโทรศัพท์ไปยัง รศ.ดร.กิตติ แล้ว ทราบว่าทั้ง รศ.ดร.กิตติ และ ผศ.สมศักดิ์ ยังไม่เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป.โดยอ้างว่าติดภารกิจ และยังไม่ได้รับการประสานติดต่อจากพนักงานสอบสวน แต่หากมีการเชิญตัวเข้าให้ข้อมูลก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
------------------
โฆษก สตช.เผย บอย ปกรณ์ ไม่เกี่ยวฟอกเงิน

เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2558 พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ กล่าวถึงกรณีของ นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ บอย ปกรณ์ ดารานักแสดงชื่อดัง ที่มีข่าวว่ามีความเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินของผู้ต้องหาร่วม

ยักยอกเงินกว่า 1.6 พันล้านบาท ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ว่า เป็นการซื้อขายรถยนต์ตามปกติ พนักงานสอบสวนไม่ติดใจสงสัย ส่วนสาเหตุที่ซื้อ เนื่องจากเห็นว่า

มีราคาถูก เพราะเป็นรถมือสอง ซึ่งจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินก็ไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด จึงน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนแก๊งฟอกเงินดังกล่าว รวมไปถึง

พิงกี้ สาวิกา ไชยเดช ดารานักแสดงชื่อดังอีกคน ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังตรวจสอบไม่พบว่ามีความผิดอะไร อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนอาจจะต้องเรียกมาสอบถามเพื่อความกระจ่าง
////////////////////////
สถานการณ์ใต้

คนร้ายกราดยิงทหารปัตตานี เชื่อรำลึก 11 ปีวันปล้นปืน

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 5 มค. 2558 พ.ต.อ.สมบูรณ์ พวงมาลัย ผกก.สภ.ยะรัง จ.ปัตตานีรับแจ้งว่า ขณะที่ เจ้าหน้าที่ทหารพราน ชุด ชป.ทหารพรานที่ 22 ปัตตานี ซึ่งเป็นชุดยุทธการณ์ฝ่ายงานธุรการ เดินทางกลับจากค่ายอิงคยุทธ ฯ โดยรถยนต์ปิกอัพ (หุ้มเกราะ) เพื่อกลับฐานที่ตั้ง ทพ.22 (เขื่อนปัตตานี) เมื่อผ่านจุดเกิดเหตุ บนถนนสาย 410 ปัตตานี -ยะลา หน้า ปั้ม ปตท.เก่า บ้านเบนยาลีมอ ม.3 ต.ปะจัน อ.ยะรัง จว.ปัตตานี ได้มีคนร้ายไม่ทราบฝ่ายและจำนวนซุ่มอยู่ข้างทาง และได้ใช้อาวุธสงครามไม่ทราบชนิดและขนาดกราด ยิงใส่รถขณะที่รถผ่านไป แต่โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ จนท.ปลอดภัย

ส่วนรภไม่เสียหาย หลังก่อเหตุ คนร้ายหลบหนีเข้าไปในป่าละเมาะ หลังเกิดเหตุ จนท.ตร.ยะรัง เข้าจุดเกิดเหตุปิดล้อมทันที พบปลอกกระสุนจำนวน 7 ปลอกหล่นอยู่ จึงเก็บเป้นหลักฐาน เชื่อว่าเป็น

แนวร่วมที่พยายามสร้างสถานการณ์นสำคัญมาก่อเหตุ เพื่อรำลึกถึง 11 ปีไฟใต้

โค้งสุดท้ายคดีจำนำข้าว เพื่อไทยโพสคำชี้แจง ปู

โค้งสุดท้าย ขอความเห็นใจหน่อย ? "ปู" แจง 7 ข้อ โอดโอยปปช.ไม่ให้ความเป็นธรรม คดีจำนำข้าว
Cr:ทีนิวส์
วันนี้ ( 5 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใน ptp.or.th ซึ่งเป็นแหล่งข่าวของพรรคเพื่อไทย ได้นำแถลงการณ์นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แจงเหตุผลปมถอดถอน คดีจำนำข้าว โดยระบุว่า "เรียนพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน
จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดดิฉันว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดิฉันนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า
1. กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวใช้เวลาเพียงแค่ 21 วัน และหลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉันภายใน 140 วันซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่นๆที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าวที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล้าช้า โครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช. กลับไม่มีความคืบหน้าอันถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน
2. นอกจากนี้ ในการปฏิบัติของ ป.ป.ช. เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์รวบรัดเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
- เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน
- ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ
- ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้งๆ ที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว
- ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริง กรณีการลงบันทึกบัญชีที่ข้อขัดแย้งและแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีและ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด
- กรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้านนายวิชา รวม 3 ครั้ง
3. นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายระดับประเทศ นายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้นเป็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆ หลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง
4. นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่าคดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย
5. ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนและสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช. ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแลสต็อกข้าว ทั้งองค์การคลังสินค้า อ.ค.ส. และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร อ.ต.ก.ได้ทำสัญญาต่างๆ กับเจ้าของคลังสินค้าและบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหายหากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐ มีความเสียหายจากข้าวหายและข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
6. ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉันและเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยายามเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆ แต่ ป.ป.ช.กลับละเลยและปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
7. ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆ นั้น ขอยืนยันว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัวและมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้าแล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน
วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย"


สเปคสมัชชาคุณธรรม

แย้มสเปก “สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ” ก่อนชง สปช.แสดงความเห็น 6 ม.ค.นี้

วันที่ 02 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 09:25:11 น.

 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาตินั้น ล่าสุดเวปไซต์สภาปฏิรูปฯ ได้เผยแพร่วาระการประชุมสปช.วันที่ 6 มกราคม โดยมีเรื่องที่สำคัญ คือ รายงานศึกษาเรื่อง สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติกับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลของประเทศ ในระยะเปลี่ยนผ่าน ที่ศึกษาโดยคณะกรรมการการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ที่มีนพ.พลเดช ปิ่นประทีป เป็นประธาน โดยมีรายละเอียด ดังนี้  

http://www.matichon.co.th/online/2015/01/14201648191420164990l.jpg
1.การจัดตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ให้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นกลไกในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม และการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในทุกระดับระยะยาว โดยให้จัดตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ที่มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานคุณธรรม จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้บริหารระดับสูง 

กรรมการในองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ผู้บริหารระดับสูงในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ นักการเมืองท้องถิ่น องค์กรธุรกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ รวมถึงตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่บุคคลในหน่วยงานดังกล่าวด้วย และสมัชชาคุณธรรมต้องจัดระบบ แบ่งบทบาทการทำงานให้หน่วยงานดังกล่าวส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลโดยเชื่อมโยงทั้งระบบ และให้มีการแบ่งภาระหน้าที่ชัดเจนไม่ซ้ำซ้อน

2.ทำพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ..... โดยยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเริมคุณธรรมจริยธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 และยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) พ.ศ.2554 เพื่อทำหน้าที่รณรงค์สังคมในการฟื้นฟู แก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาลให้เกิดผลก่อนมีรัฐบาลปกติ 

โดยมี 3 กลไกหลัก คือ 1.คณะกรรมการ ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอื่นอีก 4 คน ซึ่งแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลผู้เป็นแบบอย่างและได้รับความเชื่อถือมีความรู้ ความสามารถเป็นที่ประจักษ์ในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล โดยมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานจริยธรรม คุณธรรม ธรรมาภิบาล กำกับ และสอบทานให้เป็นไปตามมาตรฐาน และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ โดยกรรมการชุดนี้จะได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์เฉพาะเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น โดยไม่มีค่าตอบแทนรายเดือน 

2.ที่ประชุมสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้แทนเครือข่ายของภาคประชาสังคม ภาคเอกชน องค์กรภาครัฐ ไม่น้อยกว่า 55 คน โดยต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด โดยที่ประชุมมีหน้าที่เหมือนกับกรรมการสมัชชาคุณธรรมฯ และจะได้รับค่าตอบแทนเฉพาะเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเช่นเดียวกัน


3.การสนับสนุนให้มีกระบวนการรณรงค์ทางสังคม เพื่อฟื้นฟูคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลอย่างกว้างขวางและมีพลังในช่วงการเปลี่ยนผ่านประเทศช่วงปฏิรูปสู่การเมืองในระบบปกติโดยการจัดตั้งสำนักงานคุณธรรมจริยธรรมและธรรมาภิบาลแห่งชาติ เพื่อรับผิดชอบงานธุรการ โดยให้ศูนย์คุณธรรม (องค์กรมหาชน) มาเป็นสำนักงานคุณธรรมจริยธรรมฯ ตามพ.ร.บ.นี้ ขณะที่ทุน รายได้ ทรัยพ์สินตาม พ.ร.บ.นี้ จะได้มาจาก เงินและทรัพย์สินที่โอนมาจากศูนย์คุณธรรมที่รัฐบาลอุดหนุนเป็นรายปี และเงินอุดหนุนจากภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นทั้งต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ หรือเงิน และทรัพย์สินที่มีผู้บริจาค

อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อประกอบการพิจารณานั้น หากที่ประชุมสปช.เห็นชอบ พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว ก็ให้เสนอเรื่องไปยัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาและมีมติยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยทันที และออกพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์กรมหาชน) พ.ศ.2554 เพื่อมีพ.ร.บ.สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ..... แล้วเสนอให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ..... และให้ครม.สนับสนุนการรณรงค์ การรวมพลังของเครือข่ายทางสังคมเพื่อฟื้นฟู แก้ปัญหาและพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านต่อไป 

เจาะงบการเงินบ.กิตติศักดิ์

เจาะงบการเงิน บ.“กิตติศักดิ์”คดี 1,600 ล้าน สจล.-พบปล่อยกู้ 76.5 ล้าน
เจาะงบการเงินบริษัท“กิตติศักดิ์”ผู้ต้องสำคัญคดียักยอก 1,600 ล้าน สจล. พบแจ้งปล่อยกู้ 76.5 ล้าน –หนี้สิน 93.9 ล้าน ยืมกรรมการ 74.9 ล้าน อีกแห่งกำเงินสดฯ 12 ล้าน
กรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาในคดี ร่วมกับพวกยักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.) ประมาณ 1,600 ล้านบาท ได้จดทะเบียนธุรกิจ 7 บริษัท ในจำนวนนี้ 1 บริษัท นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ผู้ต้องหาอีกคนร่วมถือหุ้น และ มี 1 บริษัทที่มี น.ส.สาวิกา ไชยเดช (พิงกี้)นักแสดงสาวร่วมถือหุ้นและเป็นกรรมการ
(อ่านประกอบ: เปิดขุมข่ายธุรกิจผู้ต้องหาคดีเงิน สจล.ฉาว 1,600 ล้าน! ตั้งบริษัท 7 แห่งรวด)
ล่าสุดสำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่า ธุรกิจ 1 ใน 7 แห่ง คือ บริษัท มัทธุจัด จำกัด ประกอบธุรกิจเช่าสินทรัพย์ จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อ 9 มี.ค.55 ทุน 1 ล้านบาท แจ้งว่า มีลูกหนี้กว่า 76.5 ล้านบาท และมีหนี้สินในรอบปี 2556 จำนวน 93.9 ล้านบาท กล่าวคือ
งบดุลบริษัท มัทธุจัด จำกัด ปีงบการเงิน 2555 (31ธ.ค.55) ระบุว่า มีสินทรัพย์ 67,717,961 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินสดและเงินฝาก สถาบันการเงิน 23,521,240.62 บาท ลูกหนี้จากการให้สินเชื่อ 41,205,391.87 บาท สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 725,955.01 บาท ที่ดินอาคาร 929,814.04 บาท หนี้สิน 67,580,497.25 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ยืมระยะยาว 67,135,037.45 บาท (เงินกู้ยืมกรรมการ) งบกำไรขาดทุนแจ้งว่ามีรายได้ 985,339.92 บาท ค่าใช้จ่ายรวม 1,847,875.48 บาท ขาดทุนสุทธิ 862,535.56 บาท
ปีงบการเงิน 2556 (31 ธ.ค.56) มีสินทรัพย์ 92,315,876.20 บาท ในจำนวนนี้เงินสดและเงินฝากสถาบันการเงิน 6,607,656.69 บาท ลูกหนี้จากการให้สินเชื่อ 76,567,719.24 บาท สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 1,512,173.56 บาท ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์สุทธิ 6,338,655.29 บาท
หนี้สิน 93,934,777.63 บาท ในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ยืมระยะยาว 74,903,462.92 บาท (เจ้าหนี้เงินกู้ยืมกรรมการ) และหนี้สินไม่ หมุนเวียนอื่น 13,036,135.13 บาท (ดูตารางประกอบ)
งบกำไรขาดทุนแจ้งว่ามีรายได้ 11,581,444.83 บาท ค่าใช้จ่ายรวม 13,337,810.70 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,756,365.87 บาท
ทั้งนี้ บริษัท มัทธุจัด จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 มี.ค.55 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ บริการด้านการเงินเพื่อการเช่าสินทรัพย์ บริการด้านบัญชี กฎหมายและให้คำปรึกษา ที่ตั้งเลขที่ 98/10 หมู่บ้านหมู่บ้านธนาภิรมย์ ถนนศรีนครินทร์ ตำบลบางเมืองใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ถือหุ้นใหญ่ 4,000 หุ้น (40%) นางระดม มัทธุจัด นางสาวจารุณี ศรีสว่าง และ นางสาวจุฑารัตน์ ปัดภัย คนละ 2,000 หุ้น (20%) และร่วมกันเป็นกรรมการ
ขณะที่ บริษัท เอ็มทีเจ. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12มิ.ย.56 ทุน 50 ล้านบาท (ชำระแล้ว 12.5 ล้านบาท) บริการให้เช่าพื้นที่รวมถึงห้องพัก ที่ตั้งเลขที่ 98/11 หมู่บ้านหมู่บ้านธนาภิรมย์ ถนนศรีนครินทร์ ตำบลบางเมืองใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ถือ 467,000 หุ้น (93.40%) นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ นายคุณวุฒิ คำกรอง คนละ 10,000 หุ้น (2%) นางเฉลียว ทัพพะกุล ณ อยุธยา นายนิรุด สุทินรัมย์ และ นายอนุพงษ์ วงค์วาท คนละ 1,000 หุ้น (0.2%) และร่วมเป็นกรรมาร
งบการเงิน ปี 2556 ระบุว่า มีสินทรัพย์ 12,224,380 บาท (เป็นเงินสดและเงินฝากสถาบันการเงินทั้งหมด) หนี้สิน 10,000 บาท งบกำไรขาดทุนแจ้งว่าไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 285,620 บาท
มีข้อมูลระบุว่าบริษัทของนายกิตติศักดิ์กำลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบเส้นทางเงินว่าเกี่ยวพันกับคดียักยอกเงิน สจล. จำนวน 1,600 ล้านบาท หรือไม่ ขณะที่เจ้าตัวอยู่ระหว่างการหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ


ร้อง ปปช.สอบ สติ๊กเกอร์ไลน์ ค่านิยม12ประการ

รู้จัก"ติ๋ม ทีวีพูล"น้อยไปซะแล้ว.......
ร้องปปช.สอบสติ๊กเกอร์ไลน์ค่านิยม 12 ประการ
‘ศรีสุวรรณ’ ร้อง ป.ป.ช.สอบ ‘ไอซีที’ ทำสติ๊กเกอร์ไลน์ค่านิยม 12 ประการ แพงเกินเหตุกว่า 7 ล้าน
5 ม.ค.58 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือถึงประธานและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการกำหนดราคากลางที่แพงเกินเหตุ และเอาผิดกระบวนการใช้จ่ายงบประมาณในการจัดทำหรือจัดซื้อจัดจ้าง หรือการดำเนินโครงการจ้างเหมาจัดทำสติ๊กเกอร์ไลน์ เพื่อเผยแพร่ค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการของรัฐที่มีราคาแพงเกินกว่าเหตุ ไม่เป็นไปตามหลักคุณธรรมและจริยธรรม และไม่เป็นไปตามขั้นตอน วิธีการตามกฎหมายกำหนด โดยมีพ.ต.อ. อิทธิพล กิจสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. เป็นผู้รับหนังสือแทน
นายศรีสุวรรณ ระบุว่า รัฐบาลโดยกระทรวงไอซีทีดำเนินโครงการจ้างเหมาจัดทำสติ๊กเกอร์ไลน์ เพื่อเผยแพร่ค่านิยมหลักคนไทย 12 ประการเพื่อให้ผู้สนใจโหลดฟรีผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ตามนโยบายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชนคนไทยโดยใช้วงเงินงบประมาณ 7,117,400 บาท กำหนดราคากลาง 7,117,353.24 บาท โดยมีการระบุรายชื่อผู้กำหนดราคากลาง ซึ่งเป็นนักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ 5 คน คือ นางอาทิตยา สุธาธรรม นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการพิเศษ และนายพฤฒิพงศ์ พัวศิริ นายพิศิษฐ์เดช สายแสง น.ส.ชุติพันธุ์ พิมทอง นายธีรยุทธ พูลรอด นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ ซึ่งการกำหนดราคากลางขึ้นมาเองนั้นถือว่าเป็นประเด็นปัญหา เนื่องจากไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดใดๆถึงที่มาและเหตุผลของการกำหนดราคากลางที่แพงกว่าการดำเนินธุรกิจการค้าในลักษณะเดียวกันของเอกชนทั่วไปน่าจะมิชอบด้วยกฎหมายป.ป.ช. อีกทั้งไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้รับและไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย สิ้นเปลือง ขัดหลักคุณธรรมจริยธรรมและนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง จึงขอให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ ที่มาและเหตุผลของการกำหนดราคากลาง และตรวจสอบเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่แพงกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของเอกชนทั่วไป


โลกของเราเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

ทหารปฏิรูปประเทศไทย ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 5 รูป
วันที่ 31 ธ.ค.57 ตูมอีก..ภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดที่ตองกา และคำอธิบายแรงอัดของพายุสุริยะ
ได้เกิดเหตุภูเขาไฟใต้ทะเลฮังกา ต ตองกา- ฮังกา ที่เป็นภูเขาไฟใต้ทะเลขนาดใหญ่ ใกล้เมืองนูกู อโลฟา เมืองหลวงของตองกา มันได้ระเบิดปล่อยไอน้ำพ่นขึ้นสู่ท้องฟ้า
วันนี้ 31 ธ.ค.57 ยังอยู่ในช่วงปรากฎการณ์ดาวเรียงกัน 3 ดวง 6 ลักษณะ และดวงอาทิตย์เพิ่งระเบิดใหม่และปล่อยลมพายุสุริยะทึ่อุณหภูมิร้อนประมาณ 4 แสนองศา พุ่งมายังโลกด้วยความเร็วกว่า 600 กม./วินาที หรือกว่า 2.32 ล้าน กม./ชม.
มีความหนาแน่น และความดันระดับ 5 ทำให้เกิดพายุสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศโลกร้อนระอุอย่างมาก เกิดแรงดัน อัดผิวโลกไปมา ความดันใต้ดิน แผ่นดินไหว อากาศแปรปรวน ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ตามความอ่อนตัวของสนามแม่เหล็กโลก
แต่โลกของเรามีสนามแม่เหล็กล้อมโลกอยู่ แต่สู้พายุสุริยะที่ร้อน เร็ว แรงอัดสูงไม่ได้ ก็อ่อนตัว เกิดการต้านยันกันของสนามแม่เหล็กโลก กับ สนามแม่เหล็กพายุสุริยะ เกิดความกดที่ผิวโลก ผิวโลกตรงไหนทนไม่ไหว ก็ระเบิดปล่อยแรงดันออกมา เพื่อรักษาสมดุล
เปรียบเทียบเข้าใจแบบบ้านๆ ก็คือ เราใส่น้ำในกา แล้วไปวางบนเตาแก็ส ที่ร้อนระอุ ต้ม สักพักก็เกิดแรงดันอัดพ่นไอน้ำออกมาทางปลายของท่อกาน้ำพุ่งขึ้นมานั่นเอง
@ เสธ น้ำเงิน4 : 

ผู้กำกับ 60 สน..ตบเท้า ร้อง ผบ.ตร.-กรณีโดนเด้ง กราว 60 สน.ด้าน ผบช.น. ล้างบาง พิษป้าย !!!!



ผู้กำกับ 60 สน..ตบเท้า ร้อง ผบ.ตร.-กรณีโดนเด้ง กราว 60 สน.ด้าน ผบช.น. ล้างบาง พิษป้าย !!!!
ส่วน ผบ.ตร. อ้างว่า มีหลักฐานความผิดอื่นและอาจจะโดนอาญาซ้ำ ...
จากกรณีพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เสนอบัญชีรายชื่อข้าราชการตำรวจระดับรองผบก.และผกก. ขอยกเว้นหลักเกณฑ์ในคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายในการประชุม ก.ตร.วันที่ 7 ม.ค. โดยมีการเสนอย้ายตำรวจระดับ ผกก.จำนวน 67 สน. จากทั้งหมด 88 สน. ออกนอกหน่วย โดยอ้างความผิดเรื่องป้ายโฆษณาที่ติดตั้งอยู่ตามป้อมตำรวจจราจรในกทม. หลังจากสั่งให้บก.1-9 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง
วานนี้ ผกก.ทั้ง 60 สน.ได้ยืนหนังสือขอความเป็นธรรมจาก ผบ.ตร. ส่วน พล.อ.สมยศบอกว่า "เมื่อยื่นมาแล้วต้องดำเนินการส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบไปทบทวน แก้ไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมาได้เรียก ผบช.น.มาพบเพื่อมอบหนังสือที่ได้รับการร้องเรียนไป ดำเนินการ ขณะนี้ยังไม่ทราบรายชื่อผู้ที่จะถูกโยกย้ายว่ามีทั้งหมดกี่นาย แต่หากมีใครมาร้องเรียนก็ยินดีรับเรื่อง และจะดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาเหตุผลด้วย จะใช้วิธีพวกมากลากไปไม่ได้ การจะมาชุมนุมหรือร้องเรียนต้องไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือ ไม่ ถ้าผลการสอบสวนออกมาว่าผิดจริงจะยอมรับหรือไม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญ ตนเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาทุกบก. บช. ไม่มีใครกล้ากลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่มีเหตุอันควร ปัจจุบันมีช่องทางการฟ้องร้องหลายรูปแบบหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งร้องศาลปกครอง หรือป.ป.ช. ทุกอย่างต้องมีเหตุผล"
พล.อ.สมยศ ได้กล่าวต่อว่า "ส่วนตัวเชื่อว่าผู้บัญชาการแต่ละบช. มีเหตุผลตอบคำถามสังคมได้ว่าการโยกย้ายเป็นเพราะเหตุผลใด ขณะเดียวกันหากผู้กระทำผิดแล้วถูกโยกย้าย ก็ไม่ควรกล่าวหาว่าถูกกลั่นแกล้งรังแก ควรถามตัวเองก่อนว่าเคยกระทำความผิดอะไรไว้หรือไม่ ถ้าผิดจริงไม่ควรโทษหรือไปให้ร้ายผู้ที่โยกย้ายว่ากลั่นแกล้ง ต้องยอมรับกฎกติกากันบ้าง เชื่อว่าผู้บัญชาการทุกหน่วยมีวุฒิภาวะและมีเหตุผลเพียงพอ ไม่มีการ กลั่นแกล้งให้ร้ายป้ายสีเกิดขึ้นแน่นอน"
"ส่วน กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับรองผบก.ถึงสว. ที่จะประชุม ก.ตร.ในวันที่ 7 ม.ค.นี้ การจัดทำบัญชีรายชื่อทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบและดุลพินิจ ผู้บังคับบัญชาแต่ละบก. ซึ่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตร. จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งตั้ง เป็นเพียงผู้ให้เห็นชอบเท่านั้น จะให้สิทธิ์การพิจารณาเต็มที่ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพียงแต่ให้นโยบายว่า ขอให้ดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและเป็นธรรม ให้ยึดระเบียบข้อบังคับและหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง" ผบ.ตร.กล่าว
ล้างบาง ล้างบาง