PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

เลือกตั้งส่อล่ม!พรรคการเมืองเก่าเหลือแค่ประชาธิปัตย์พรรคเดียวส่งผู้สมัครส.ส.ได้

เลือกตั้งส่อล่ม!พรรคการเมืองเก่าเหลือแค่ประชาธิปัตย์พรรคเดียวส่งผู้สมัครส.ส.ได้
22 ม.ค.62 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีกกต. แจ้งเตือนไปยังพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง 2550 รวม 60 พรรคการเมืองให้เร่งปฏิบัติใน 4 เรื่องตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ให้ครบถ้วน และแจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองทราบจึงจะมีสิทธิส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยขณะนี้มีเพียง 2 พรรคการเมืองคือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปไตยใหม่ ที่ได้มีการดำเนินการดังกล่าวครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้วนั้น 
แต่ทั้งนี้อีกเงื่อนไขสำคัญที่พรรคการเมืองทั้งใหม่และเก่า ซึ่งขณะนี้มีรวมทั้งสิ้น 104 พรรคการเมือง จะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งได้ก็คือจะต้องมีการจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดอย่างน้อย 1 แห่งในจังหวัดนั้น ๆ ตามมาตรา 145 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ซึ่งก็มีรายงานว่าพรรคการเมืองเมืองทยอยรายงานการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดมายังกกต.แล้วโดย ณ.วันที่ 21 ม.ค. มีทั้งสิ้น 39 พรรคการเมือง 
ซึ่งพบว่าเมื่อนับรวมการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและการแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดที่แต่ละพรรครายงานเข้ามามีเพียงพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเดียวเท่านั้นในขณะนี้ที่มีทั้ง 2 ประเภทครบใน 77 จังหวัด โดยมีสาขาพรรคการเมือง 8 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 69 แห่ง
ขณะที่พรรคการเมืองอื่น ๆ นั้นยังมีไม่ครบถ้วน อาทิ เพื่อไทยมีสาขาพรรคฯ 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองฯ 26 แห่ง พรรคภูมิใจไทย มีสาขาพรรค 3 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองฯ 58 แห่ง พรรคพลังประชารัฐ มีสาขาพรรคฯ 1 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง ฯ30 แห่ง พรรคเพื่อชาติ มีสาขาพรรค 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองฯ 21 แห่ง พรรคประชาชนปฏิรูป มีสาขาพรรค 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองฯ 14 แห่ง พรรคเสรีรวมไทย มีสาขาพรรค 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองฯ 21 แห่ง พรรคประชาธิปไตยใหม่มีสาขาพรรค 6 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 1 แห่ง พรรคไทยรักษาชาติ ยังมีเพียงสาขาพรรค 3 สาขา
ทั้งนี้ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 13/2561 ระบุให้คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครของพรรรคการเมืองต้องรับฟังความเห็นจากหัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และสมาชิก เพื่อประกอบการพิจารณาส่งผู้สมัคร โดยตามกฎหมาย พรรคการเมืองจะตั้งสาขาพรรคได้จะต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสาขานั้นตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป 
ส่วนถ้าจะใช้วิธีการตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ก็ต้องมีสมาชิกพรรคซึ่งมีภูมิลำเนาในเขตเลือกตั้งอยู่ในจังหวัดนั้นตั้งแต่ 101 คนขึ้นไป แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัดในการหาสมาชิก และการตรวจสอบกับระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคของกกต.เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารับสมาชิกพรรคซ้ำซ้อนจนทำให้ขาดคุณสมบัติในการจะทำหน้าที่จึงทำให้ทุกพรรคการเมืองในขณะนี้เกิดปัญหายังไม่สามารถจัดตั้งสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดได้ครบถ้วนตามกฎหมายกำหนดเพื่อให้มีสิทธิส่งสมัครรับเลือกตั้งทั้งที่ใกล้จะมีการประกาศพ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งส.ส.และมีการเปิดรับสมัครส.ส. ในอีกไม่นานนี้.    

บ.ทบ.ประทับใจภาพความสามัคคีของคนในชุมชน ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ในอำเภอ สุไหงปาดี

ผบ.ทบ.ประทับใจภาพความสามัคคีของคนในชุมชน ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ในอำเภอ สุไหงปาดี หล้ง กำลังติดอาวุธบีอาร์เอนก่อเหตุร้ายโจมตีวัดรัตนานุภาพ ช่วงดึกคืนวันศุกร์ที่ 18 ม.ค.หวังขยายความขัดแย้งสร้างความแตกแยกต่อผู้คนต่างศาสนิกในพท.
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 ม.ค. 62 พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ได้เดินทางมายังวัดรัตนานุภาพ หรือ วัดโคกโก ม.2 ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เพื่อเคารพศพพระครูประโชติ รัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และพระสมุหอรรถพร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งมรณภาพจากคนร้ายบุกยิงเมื่อช่วงดึกของวันที่ 18 ม.ค. 62 โดยมี พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาค 4 นายเอกรัฐ หลีเส็น ผวจ.นราธิวาส พระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะ จ.นราธิวาส รวมถึงผู้นำศาสนา หัวหน้ากองกำลัง 3 ฝ่ายให้การต้อนรับ
ก่อนที่ผบ.ทบ.จะเคารพศพพระสงฆ์ทั้ง 2 รูป ได้พุดคุยพบปะกับพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม ที่เดินทางมาร่วมงาน โดยตั้งข้อสังเกตต่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของตัวบุคคล ที่พยายามนำศาสนามาก่อให้เกิดความแตกแยก ไม่ต้องการให้ตกหลุมพรางของคนร้าย ได้เห็นภาพที่ชาวพุทธและมุสลิมเดินทางมาร่วมงานไว้อาลัยพระสงฆ์ในครั้งนี้ รู้สึกดีใจถึงความรักใคร่สามัคคี โดยจะมีกระบวนการบูรณาการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายในลักษณะนี้อีก
พล.อ.อภิรัชต์ ได้มอบเงินจำนวนหนึ่งกับเครือญาติของ พระครูประโชติ รัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี และพระสมุห์อรรถพร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เพื่อเป็นการปลอบขวัญและให้กำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจชาวบ้าน ชรบ.และผู้นำศาสนา พร้อมกับได้มีการพูดคุยกับนายแวอาแซ แวมามุ ปธ.ชมรมอิหม่าม อ.สุไหงปาดี และเป็นคณะกรรมการอิสลาม จ.นราธิวาส โดย ผบ.ทบ.ได้ฝากดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.สุไหงปาดี ซึ่งที่ผ่านมาได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
พล.อ.อภิรัชต์ เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นขอแสดงความเสียใจและเป็นห่วงเป็นใยต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งคนร้ายก็ยังคงที่จะพยายามก่อเหตุร้ายขึ้นในพื้นที่อีก เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจชาวไทยพุทธ แต่เห็นคนไทยและมุสลิมมาร่วมงาน มั่นใจว่ายังมีความรักความสามัคคีไม่เสื่อมคลาย และยิ่งทำให้ในพื้นที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และเหตุที่เกิดขึ้นเราอย่าไปแก้ที่ปลายเหตุ แต่ต้องมีการปรับแผนบูรณาการกันทั้งระบบ ซึ่งเสร็จจากนี้ตนจะไปประชุมปรับแผนที่ค่ายจุฬาภรณ์ อ.เมืองนราธิวาส เพื่อรื้อฟื้นทั้งระบบโดยจะสำรวจแต่ละพื้นที่ว่าเป็นอย่างไร และประการสำคัญในส่วนของทหารนอกจากจะปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องความมั่นคงแล้ว เราจะรับสมัครทหารที่สมัครใจบวช เพื่อส่งมากระจายอยู่ตามวัดต่างๆ ดังที่เคยปฏิบัติกันมา เพื่อสร้างความอุ่นใจและมั่นใจของพี่น้องประชาชน รวมไปถึงพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ...นิว18

เย้ยคำสั่งนายกฯ !! รถรัฐมนตรีนับ 20 คัน ติดเครื่องแช่ทิ้งไว้

Chonyuen Wisutthipat อยู่กับ ปลอดภัน สามหก
เย้ยคำสั่งนายกฯ !! รถรัฐมนตรีนับ 20 คัน ติดเครื่องแช่ทิ้งไว้ ขณะที่ตำรวจทำเนียบรัฐบาล เดินเคาะรถรัฐมนตรี-รถผู้ติดตามตักเตือนจอดติดเครื่องนานเกือบ 3 ชั่วโมงรอรัฐมนตรีประชุม ครม. หลังนายกฯ สั่งลดควันพิษแต่ไม่ฟัง‬
(22 ม.ค.62) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ออกแถลงการณ์สถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง โดยออก 9 มาตรการเร่งด่วน ซึ่งในข้อ 8 ระบุว่า “รณรงค์ไม่ให้ติดเครื่องยนต์ขณะจอดในสถานที่ราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน และพื้นที่ ที่มีมลพิษสูง” แต่ปรากฎว่าทุกครั้งที่มีการประชุมภายในทำเนียบรัฐบาล และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รถยนต์ของผู้ติดตามและรถติดตามขบวนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จะนำรถมาจอดที่บริเวณโรงจอดรถและบริเวณที่จอดรถข้างตึกบัญชาการ 1 แล้วสตาร์ทรถยนต์รอไว้เป็นประจำ โดยเฉพาะการประชุม ครม.จะสตาร์ทรถยนต์รอไว้จนกว่าการประชุมครม.จะเลิก เช่นเดียวกับรถตัดสัญญาณการสื่อสารที่จะมาประจำการทุกวันอังคารที่มีการประชุมครม.ซึ่งมาจอดบริเวณข้างห้องปฏิบัติการสื่อทำเนียบฯ ก็ได้สตาร์ทรถยนต์ไว้ตลอดเวลาด้วย
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ฝุ่นละอองที่วิกฤติทำให้ต้องออกมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยาว เพื่อบรรเทาและแก้ปัญหาฝุ่นละอองที่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลยังเกินมาตรฐานใน 40 พื้นที่
ทั้งนี้หลังจากปัญหาดังกล่าวถูกสอบถามไปยังนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้มีคำสั่งให้ตำรวจภายในทำเนียบรัฐบาล เดินไปเคาะกระจก รถรายคัน เพื่อให้ดับเครื่องยนต์ทันที
ที่มา - Dhiravath Suantan

จนท.บุกตรวจ4รีสอร์ท-บ้านพักตากอากาศ พบบุกรุกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว

22 ม.ค.62  นายพนัชกร โพธิบัณฑิต รักษาการหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยฯ พญาเสือ)เจ้าหน้าท่ีเขตรักษาพันธุ์สัตว์๋ป่าเชียงดาวเชียงใหม่ ได้เปิดเผยว่า ทางกำลังเจ้าหน้าที่ กำลังผสมแบบบูรณาการ จากหลายหน่วยงาน ได้เข้าดำเนินการเข้าตรวจสอบรีสอร์ท และบ้านพักหรู ของกลุ่มนายทุนในพื้นที่อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่
กำลังเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบวานนี้ (21 ม.ค.62) เวลา 09.00 น. ที่ผ่านมาคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (หน่วยฯ พญาเสือ)  นายประกาศิต ระวิวรรณ หัวหน้าเขตฯ เจ้าหน้าที่สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 3 (ภาคเหนือ) เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.5 (ปิงโค้ง) เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแดง เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ฝ่ายปกครองอำเภอเชียงดาว นำโดย นายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคงอำเภอเชียงดาว เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 5 เจ้าหน้าที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรเชียงดาว และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชม.4 (เชียงดาว) กรมป่าไม้ รวมประมาณ 60 นาย ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบพื้นที่/บ้านพัก/รีสอร์ทนักท่องเที่ยว บริเวณทางขึ้นดอยเชียงดาว หมู่ที่ 5 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย (1) มาลีรีสอร์ท (2) บ้านสวนริมธาร (3) วิลล่า เดอวิว รีสอร์ท และ (4) บ้านพักตากอากาศของนายมนัส ดาวมณี
ทั้งนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประสานงานกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ สาขาเชียงดาว เพื่อตรวจสอบข้อมูลเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณที่เกี่ยวข้องก่อนเข้าดำเนินการ โดยมีผลการดำเนินการดังนี้...
1. มาลีรีสอร์ท พบว่ามีการแจ้งครอบครองเพื่อรอการพิสูจน์สิทธิตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 41 ไว้ในชื่อ นางจิตตรา ปัญญาพรม เนื้อที่ 0 - 0 - 99 ไร่ แต่จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่พบว่าปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงผูครอบครองทำประโยชน์ เป็น นางมาลี กีรติทวีสุข ซึ่งได้ดำเนินกิจการบ้านพักนักท่องเที่ยว/รีสอร์ทในชื่ๆอ มาลีรีสอร์ท การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของ มติ ครม. 30 มิ.ย. 41 การกระทำของ นางจิตตรา ปัญญาพรม ผู้ที่แจ้งครอบครองฯ ข้างต้น ถือว่าเจตนาสละสิทธิ์การครอบครองพื้นที่ และผู้ซื้อ/ครอบครอง ทำประโยชน์รายใหม่ในปัจจุบันจะไม่มีสิทธิในที่ดินนั้น และยังต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจยึดพื้นที่ เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนางมาลี กีรติทวีสุข โดยพนักงานเจ้าหน้าที่กำลังจัดทำข้อมูลเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
2. บ้านสวนริมธาร ผู้ครอบครองมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส 3 ก) มาแสดง ในส่วนของพื้นที่ที่ทำประโยชน์เกินออกมาจาก นส 3 ก พบว่าเป็นแปลงสำรวจถือครองเพื่อรอการพิสูจน์สิทธิ ตาม มติ ครม 30 มิย 41 ซึ่งได้ปฎิบัติอยู่ในเงื่อนไขทุกข้อ
3. วิลล่า เดอวิว รีสอร์ท ผู้ครอบครองมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส 3) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จากการตรวจสอบพบมีการทำประโยชนเกินขอบเขตพื้นที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ข้างต้น โดยไม่มีเอกสารสิทธิอื่นใดและไม่มีการแจ้งครอบครองเพื่อรอการพิสูจน์สิทธิ์ตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 41 ไว้แต่อย่างใด จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่พบว่าผู้ครอบครองทำประโยชน์ คือ นายสุกิจ กงทอง ซึ่งได้ดำเนินกิจการบ้านพักนักท่องเที่ยว/รีสอร์ท ในชื่อ วิวล่า เดอวิว รีสอร์ท พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันตรวจยึดพื้นที่ส่วนเกินจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ นายสุกิจ กงทอง โดยพนักงานเจ้าหน้าที่กำลังจัดทำข้อมูลเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อไป
4. บ้านพักตากอากาศของนายมนัส ดาวมณี ผู้ครอบครองนำเอกสาร สค.1 มาแสดง พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วมีการแก้ไขข้อมูลและปลอมแปลงเอกสาร และพื้นที่ดังกล่าวไม่มีการแจ้งครอบครองเพื่อรอการพิสูจน์สิทธิ์ตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 41 ไว้แต่อย่างใด พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันตรวจยึดพื้นที่ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ นายมนัส ดาวมณี โดยพนักงานเจ้าหน้าที่กำลังจัดทำข้อมูลเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อไป

รัฐบาลโชว์ผลงาน ปีที่ 4 รวม 6 ด้าน ระบายข้าวในสต็อกไปกว่า 16 ล้านตัน



22 ม.ค.62-   ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธานการประชุมวันนี้ ได้มีการพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล ปีที่ 4 ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานรัฐบาล ระหว่างวันที่ 12 ก.ย. 2560 – 12 ก.ย. 2561 ที่จัดทำเป็นรูปเล่ม จำนวน 421 หน้า ก่อนเสนอต่อ สนช. ตามกฎหมาย จากนั้นจะจัดทำเป็นฉบับย่อแจกจ่ายให้ประชาชนต่อไป 
สำหรับเนื้อหาแบ่งเป็นผลการดำเนินงาน 6 ด้าน ทั้งเรื่อง การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ การต่างประเทศ และด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าข้าว และชาวนา การระบายข้าวในสต็อกของรัฐ รวม 4 ปี ตั้งแต่พ.ค.2557 – ก.ย. 2561 ได้ระบายข้าวในสต็อกรัฐไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 16 ล้านตัน กว่า 146,000 ล้านบาท รวมไปถึงการวางรากฐานประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ หน้าปกรายงานผลการดำเนินการดังกล่าว เป็นรูปนายกรัฐมนตรีกับชาวบ้านทุกวัย รวมทั้งรูปผลงานรัฐบาล ในภาคการเกษตร เทคโนโลยี การศึกษา และการคมนาคม.

'บิ๊กตู่'ย้ำเส้นทางนั่งนายกฯสมัยสองพรรคการเมืองต้องเชิญมาก่อนแล้วจะไปคิดดู

'บิ๊กตู่'ย้ำเส้นทางนั่งนายกฯสมัยสองพรรคการเมืองต้องเชิญมาก่อนแล้วจะไปคิดดู

22 ม.ค.62 -  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทและอนาคตทางการเมืองหลังเลือกตั้งว่า เรื่องนี้ได้บอกหลายครั้งแล้วอยู่ในช่วงการตัดสินใจของตนว่าควรจะอยู่ทำงานต่อหรือไม่ หากอยู่ต่อจะอยู่ได้ด้วยอะไร ฉะนั้น กำลังดูว่า ถ้าต้องอยู่จะต้องทำอย่างไร
“อันแรกพรรคการเมืองต้องมาเชิญผมก่อน และผมจะตอบรับใครหรือเปล่าก็ต้องคิดดู ถ้าคิดว่าจะต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานต่อ ก็คงต้องอยู่พรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้จะต้องเป็นพรรคที่ทำงานด้วยความตั้งใจ เสียสละอย่างแท้จริง และทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า ไม่ใช่ไปล้มล้างทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด มันเสียเวลาเปล่า มีหลายอย่างที่สำเร็จมา” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่รับการติดต่อจากพรรคพลังประชารัฐ ส่วนกรณีที่พลังประชารัฐชูนโยบายแปลงที่ดินส.ป.ก.เป็นโฉนดให้เกษตรกรนั้น อยู่ในขั้นตอนการหารือ สิ่งที่ตนบอกได้ในตอนนี้คือ ระมัดระวังหน่อย การจะเอาที่ดินส.ป.ก.ออกเป็นโฉนดเหมาะสมหรือไม่ ตนได้เตือนไปแล้วผ่านทางสื่อและอะไรต่างๆ ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นที่ดินเหล่านี้ จากที่ใช้ทำการเกษตรจะไปเป็นอย่างอื่นหมด

อยากเลือกตั้ง

โพลการเมืองฮอตฮิตยุคนี้ ต้องยกให้ “นิด้าโพล”

เพราะ “นิด้าโพล” เลือกประเด็นสำรวจความเห็นประชาชนยิงเข้าจุดโฟกัสเกือบทุกสัปดาห์

ล่าสุด “นิด้าโพล” ถามใจประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 2,500 ราย ว่าตัดสินใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหม่ หรือไม่??

ปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ 98 เปอร์เซ็นต์ตอบว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งแน่นอน

มีประชาชนไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ตอบว่าจะไม่ไปลงคะแนน

ส่วนประชาชนอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า “ยังไม่แน่ใจ”

“แม่ลูกจันทร์” ประเมินจากผลสำรวจของนิด้าโพล ชี้แนวโน้มชัดเจนว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหม่ (ยังไม่รู้วันไหน?) จะมีพี่น้องประชาชนแห่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.มากเป็นประวัติการณ์

ทะลุเป้า 70 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศกว่า 51 ล้านคน

หรือถ้ามองอีกมุม แม้รัฐบาล คสช.จะทำให้บ้านเมืองสงบราบคาบ ไม่มีใครกล้าหือกล้าอือ

ผู้นำรัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จสั่งการทุกอย่างได้ครอบจักรวาล

แต่สุดท้าย ประชาชนส่วนใหญ่ยังต้องการไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

ถึงจะไม่เต็มใบ ได้แค่ครึ่งใบก็ยังดี

“นิด้าโพล” ถามต่อไปว่าประชาชนอยากให้พรรคไหนได้ ส.ส.มากที่สุดเพื่อเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล??

อันดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทย 32 เปอร์เซ็นต์, อันดับ 2 พรรคพลังประชารัฐ 24 เปอร์เซ็นต์, อันดับ 3 พรรคประชาธิปัตย์ 14 เปอร์เซ็นต์, อันดับ 4 พรรคอนาคตใหม่ 11 เปอร์เซ็นต์

และอันดับ 5 พรรคเสรีรวมไทย 5 เปอร์เซ็นต์

“แม่ลูกจันทร์” เจาะไปที่คำถามไฟต์บังคับที่ “นิด้าโพล” สำรวจความเห็นประชาชนต่อเนื่องมาแล้วถึง 7 ครั้ง 7 ครา

ถามว่าประชาชนอยากให้ “ใคร” เป็นนายกรัฐมนตรี??

ปรากฏว่าตัวเลือกเบอร์แรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งหล่นไปอยู่อันดับ 2 ในการสำรวจครั้งก่อน แซงกลับมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีเสียงสนับสนุน 26 เปอร์เซ็นต์

เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้ว 2 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 2 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคเพื่อไทย หล่นจากอันดับ 1 มาติดอันดับ 2 ด้วยคะแนน 22 เปอร์เซ็นต์

ลดจากครั้งที่แล้ว 2 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 3 ยังเหมือนเดิม อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรค ปชป.คะแนนสนับสนุนยังค้างเติ่งอยู่แค่ 11 เปอร์เซ็นต์ไม่เปลี่ยนแปลง

อันดับ 4 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ 9 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจากการสำรวจก่อน 5 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 5 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส พรรคเสรีรวมไทย ติดท็อปไฟว์ทุกครั้งยังมีเสียงสนับสนุนเหนียวแน่นอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 6 โผล่มาแล้ว ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ม้ามืดตัวใหม่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเปิดซิงไป 7 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 7 อดีตนายกฯชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์ 3.2 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 8 พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ พรรคเพื่อไทย 2 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 9 นายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย 1 เปอร์เซ็นต์

และอันดับ 10 ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายเนติบริกร ไม่ได้สังกัดพรรคไหน แต่ได้ไมล์สะสมไป 0.72 เปอร์เซ็นต์

“แม่ลูกจันทร์” แปลกใจชะมัดที่ไม่มีชื่อ “ดร.อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ติดอันดับท็อปเทนว่าที่นายกรัฐมนตรี ตามผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล

ปัดโธ่ เห็น “ดร.อุตตม” เป็นม้านอกสายตาไปได้อย่างไร??

นี่แหละ หัวหน้าพรรคใหญ่อันดับ 2 ในสภาฯชุดหน้าเชียวนะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

"ความหวัง"ในอากาศ

เจ๊หน่อย-ชัชชาติ-ชัชชาติ-เจ๊หน่อย”

ประเด็นซ้ำๆวนเวียนๆอยู่แค่ 2 ชื่อนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง กับ “รัฐมนตรีแข็งแกร่งสุดในปฐพี” อย่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ข่าวพลิกกลับไปกลับมาแบบรายวัน

แคนดิเดต “นอมินี ภาค 3” ของ “นายใหญ่” เบียดกันเอง

ยิ้มเปื้อนหวาน เจือเหลี่ยมโหด แทงหลัง

พรางเกม “จูบปาก” ลากเรตติ้งกันไปแบบ “เผลอ” ไม่ได้

ขณะที่อีกทางก็ต้องไล่ตามเคลียร์แรงสะท้อนกลับ สถานการณ์แบบที่ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรีบบอกปัดผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ชิ่งข่าวเป็น “เจ๊ดัน” ส่งซิกสัญญาณให้ “ชัชชาติ” ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง “บัญชีนายกฯพรรค” ของทีมเพื่อไทย

ข่าววงใน “น้องปู” ฉุนกึก รู้ตัวคน “วางยา” ตั้งแต่นาทีแรกที่เห็นข่าว

เค้าลางศึก “นางเสือกับนางสิงห์” แบบที่คนนอกก็เดาได้ง่ายๆ

ในจังหวะเดียวกับที่ “เสี่ยอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ก็รีบแถลงข่าวปฏิเสธ คณะกรรมการบริหารพรรคยังไม่ได้ฟันธง ตามที่มีข่าวอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เข้ามาแทรกแซง

โบ้ยให้ “ไอ้เสี้ยม” ไม่หวังดีปล่อยข่าวให้ค่าย “นายใหญ่” โดนยุบพรรค

ชิงดักทางตีกัน ฐานปล่อย “คนนอก” ยุ่มย่าม

“ศึกเจ๊” เด็กเส้นเมีย ฟัด สายตรงน้อง ลามขยายวงกว้างขึ้นตามรอย “แตกร้าวธรรมชาติ”

ตามสถานการณ์ต่อเนื่อง “น้องปู” ต้องเจอแรงตกกระทบ 2-3 ช็อตติดๆกัน เพราะอีกด้านก็แว่วข่าวท่าเรือซัวเถาได้เปลี่ยนตัวประธานบริษัทกลับไปเป็นคนจีนแทนอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ที่นั่งเก้าอี้ได้แค่เดือนเศษ

ไล่ๆกันเลยกับคิวที่นายกฯฮุน เซน แห่งกัมพูชา สั่งยกเลิกพาสปอร์ตให้คนต่างชาติ หลังมีข่าวไปทั่วโลก อดีตผู้นำหญิงของไทยถือหนังสือเดินทางเขมรเข้าไปนั่งแท่นผู้บริหารท่าเรือในจีนแผ่นดินใหญ่

เกมชิงกระแสการเมืองภายใน สะเทือนพื้นที่การเคลื่อนไหวภายนอกประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ “น้องปู” เดือดร้อนกว่าใคร

ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่สะท้อนยุทธศาสตร์ “นายใหญ่” ยังลุยถั่วสู้แบบวันต่อวัน

มองไม่เห็นเป้าหมายปลายทางจะไปสิ้นสุดตรงไหน

ขณะที่กองเชียร์ไล่ตามแห่ “ความหวังในอากาศ” ลอยๆ

แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ว่ากันไม่ได้ ในเมื่อ “นิด้าโพล” รอบล่าสุด พรรคเพื่อไทยแต้มยังนำเหนือคู่แข่ง

ตามแรงเฉื่อย “บุญเก่า” ของยี่ห้อ “ทักษิณ”

ประกอบกับธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆเงื่อนไขการเลือกตั้งหลังรัฐประหาร 5 ปีกว่าๆอารมณ์ผู้คนโหยหาเลือกตั้ง จังหวะพาลเบื่อเซ็งรัฐบาลท็อปบูต

สถานการณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ต้องท้อใจกับกระแสรุมด่าในโซเชียลฯ ผู้นำทำได้แค่สวดมนต์แก้ปัญหาฝุ่นปกคลุมเมือง

อาการอย่างที่พี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ขุ่นเคืองนักข่าว งอนสื่อ ปิดปากงดให้สัมภาษณ์ จากปม “โจรก่อการร้ายถล่มโรงแรมเครือดุสิตธานีในประเทศเคนยา เพราะอาหารไทยอร่อย”

กระแสคล้อยไปทางเสียรังวัด “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” โดนตัดแต้มทุกวัน

ทั้งๆที่ว่ากันตามเนื้อผ้า เทียบกับความหวังลอยๆในอากาศกับ “ทักษิณ”

มองฝ่าฝุ่นการเมืองที่ทะมึนอึมครึมจากเชื้อไฟแตกแยกส่อคุโชนกลับมา

อ้างอิงตามฐานข้อมูลแน่นๆแบบที่ล่าสุด ด็อกเตอร์เบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย การันตีโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเป็นการเติบโตที่แข็งแรงหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการเติบโตจากอุปสงค์ภายใน ทั้งการบริโภคของเอกชน การลงทุนของเอกชนและการลงทุนภาครัฐ

ไม่ใช่แค่ปี 2561 ที่ผ่านมา แต่จะเป็นในอีก 2 ปีข้างหน้าด้วย เพราะดูเหมือนเศรษฐกิจไทยที่ถูกสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการเติบโตได้ และทำให้ไทยสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงและแรงต้านของเศรษฐกิจโลกที่จะมาในอีก 2 ปีข้างหน้าได้ดี หากเทียบกับประเทศอื่นๆ

พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแกร่ง “ของจริง” ไม่ใช่แรงโปรโมต

ผลจากที่ “นายกฯลุงตู่” กับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ลากถูลู่ถูกังตัวเลขติดลบเพราะวิกฤติม็อบป่วนเมือง เข็นครกขึ้นเขามาเลยครึ่งทางไปแล้ว

มันคือเนื้องาน สิ่งที่ประชาชนคนไทยสัมผัสจับต้องได้

แต่ในอารมณ์เดียวกับกองเชียร์ทักษิณที่ไล่ตามความหวังลมๆแล้งๆ

ทีม “ลุงตู่” ก็ต้องไล่คว้าคะแนนลอยๆในอากาศ ลุ้นตีตั๋วต่อ.


ทีมข่าวการเมือง

'งด' เท่ากับ 'งอน' ย้อนรอย 'ลุงป้อม' ไม่โอเค

'งด' เท่ากับ 'งอน' ย้อนรอย 'ลุงป้อม' ไม่โอเค 

นับตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พลั้งปากหยอกนักข่าวกลางวงสัมภาษณ์ ถึงสาเหตุที่กลุ่มติดอาวุธอัลชาบับจากโซมาเลียก่อเหตุโจมตีโรงแรมดุสิตดีทู ไนโรบี ในเครือของดุสิตธานีว่า 

       “คงเห็นอาหารอร่อย”

      ทำให้เกิดประเด็นดรามาในโลกโซเชียลมีเดีย โจมตี “บิ๊กป้อม” กันอย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมของคนที่คุมหน่วยงานด้านความมั่นคง

      เรื่อยไปถึงประเด็น “ชาวเคนยา” ไม่พอใจต่อท่าทีของรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมของไทย จนประกาศแบนการท่องเที่ยว คล้ายกับที่ชาวจีนเคยทำเมื่อครั้งไม่พอใจคำพูดของ “บิ๊กป้อม” ต่อประเด็นเรือนักท่องเที่ยวล่มที่ จ.ภูเก็ต

      จนถึงขณะนี้ 5 วันแล้ว ที่ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ไม่ยอมเปิดปากให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ อันมาจากสาเหตุที่สื่อนำคำพูด “หยอกล้อ” ของตัวเองไปตีแผ่สู่สาธารณะ

      1 ในทีมงานข้างกาย “บิ๊กป้อม” ระบุว่า พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์เสียความรู้สึกต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะที่พูดเล่นแบบนั้น เนื่องจากเห็นว่ามีแต่นักข่าวที่สนิทสนม เห็นหน้าค่าตากันเป็นประจำ แยกแยะออกว่า คำพูดไหน “จริง” คำพูดไหน “เล่น”

      แต่เมื่อมีการนำคำพูดดังกล่าวออกไปเผยแพร่ เท่ากับทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แม้จะมีคำอธิบายจากฝั่งนักข่าวแล้วว่า ถึงจะเป็นการพูดเล่น แต่การพูดเล่นของ “บิ๊กป้อม” ปรากฏกลางวงสัมภาษณ์ ที่มีกล้องบันทึกภาพจากหลายสำนัก ไม่ใช่ลักษณะการคุยกันเอง จึงยากที่จะควบคุม

      ขณะที่ตั้งแต่เกิดเรื่องเป็นต้นมา ทุกๆ วัน นักข่าวพยายามสอบถามในหลายประเด็น แต่ได้คำตอบจาก “บิ๊กป้อม” เพียงแค่รอยยิ้มและสีหน้าที่เรียบเฉย

      หากย้อนดู “อาการงอน” ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “บิ๊กป้อม” แสดงออกผ่านการ “งดสัมภาษณ์”

      โดยย้อนกลับไปในช่วงเกิดประเด็นนาฬิกาหรูและแหวนเพชร ก็เกิดเรื่องลักษณะนี้มาแล้ว

      ภายหลัง “บิ๊กป้อม” ยกมือป้องแสงแดดที่แยงเข้าตาในวันถ่ายรูป “คณะรัฐมนตรีชุดใหม่” เมื่อปลายปี 2560 เจ้าตัวไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนถ่ายภาพและนำเอาทรัพย์สินดังกล่าวไปตรวจสอบ

      ตอนเกิดเรื่องครั้งแรก เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 “บิ๊กป้อม” ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่าจะชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอง พร้อมปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดใดๆ โดยให้นักข่าวถามเรื่องอื่น

      ทว่า ด้วยความที่เป็นประเด็นร้อนแรง ทำให้นักข่าวจำเป็นต้องจี้ถาม “บิ๊กป้อม” ทุกครั้งที่ปรากฏตัว แต่กลับไม่เคยได้คำตอบ โดยขณะนั้น “บิ๊กป้อม” งดให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนยาวนานเกิน 1 สัปดาห์

       “บิ๊กป้อม” กลับมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งในเรื่องอื่น ส่วนประเด็นเรื่องนาฬิกาหรูนั้น ไม่เคยให้สัมภาษณ์ใดๆ นับตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2560 และพูดกับนักข่าวเสมอก่อนจะสัมภาษณ์

       “หากเป็นคำถามเรื่องเดิมผมไม่ขอตอบอีก”

      จนกระทั่งวันที่ 16 มกราคม 2561 “บิ๊กป้อม” ถึงจะยอมเปิดปากประเด็นนาฬิกาว่า เป็นนาฬิกาของเพื่อน รวมแล้วยาวนานถึง 41 วัน   

      แต่การพูดครั้งนั้นก็ยังไม่ได้ทำให้เรื่องจบ นาฬิกาเรือนแล้วเรือนเล่ายังคงถูกตีแผ่ ทำให้นักข่าวต้องไปหมั่นสอบถามอยู่เรื่อยๆ จนที่สุด “บิ๊กป้อม” งดสัมภาษณ์สื่อไปหลายวันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561

      หรือย้อนกลับไปปลายปี 2559 ช่วงที่มีกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวลือหนาหูออกมาว่า “บิ๊กป้อม” จะถูกดึงเก้าอี้ รมว.กลาโหมคืน เหลือเพียงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเก้าอี้เดียวบ้าง ถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีบ้าง หรือจะลาออกบ้าง ทำให้ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” แสดงความไม่พอใจอย่างมาก และไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึง 3 วัน   

กลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำระหว่าง “บิ๊กป้อม” กับ “นักข่าว” ไปแล้ว เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาเพียงไม่กี่วันก็กลับมาให้สัมภาษณ์เหมือนเดิม   

       แต่ครั้งนี้ล่วงเลยมาพอสมควร ต้องดูว่า “บิ๊กป้อม” จะงดให้สัมภาษณ์ยาวนานขนาดไหน เพราะเหมือนว่า หนนี้ทั้ง “บิ๊กป้อม” และ “คณะทำงาน” ค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องที่เกิดขึ้น.

   

อ้าง DNA ยัน 2 ศพถูกฆ่าโหดทิ้งแม่น้ำโขงเป็นลูกน้อง 'สุรชัย แซ่ด่าน'

อ้าง DNA ยัน 2 ศพถูกฆ่าโหดทิ้งแม่น้ำโขงเป็นลูกน้อง 'สุรชัย แซ่ด่าน' 

21 ม.ค.62 - ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครพนมรายงานว่า จากกรณีพบศพชายไม่ทราบสัญชาติ จำนวน 2 ศพ มีอายุประมาณ 30-50 ปี สภาพศพถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน คือใช้เชือกไนล่อนรัดคอ จับใส่กุญแจมือ ผ่าท้องยัดแท่งปูนซึ่งคล้ายหลักทางโค้งของประเทศเพื่อนบ้าน พันด้วยผ้าเทป ห่อตาข่ายสีเขียว และห่อทับอีกชั้นด้วยกระสอบป่าน รัดด้วยเชือกอีกทบ ก่อนโยนทิ้งแม่น้ำโขง กระทั่งศพแรกลอยมาโผล่ริมตลิ่งใกล้กับตลาดนัดไทย-ลาว หลังเทศบาลตำบลธาตุพนม อ.ธาตุพนม เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.61 

ต่อมาวันที่ 29 ธ.ค.61 ศพที่สองก็ลอยติดฝั่งแม่น้ำโขงบ้านสำราญเหนือ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม โดยมีกระแสข่าวลือว่า ศพที่พบอาจเป็นร่างของ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) นักเคลื่อนไหวทางการเมือง กับคนสนิทอีก 2 คนคือสหายกาสะลอง(นามแฝง) และสหายภูชนะ(นามแฝง)ที่หายตัวไปพร้อมกัน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา  โดยบุคคลทั้งสามลี้ภัยไปอยู่ใน สปป.ลาว ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งตรวจสอบว่าผู้ตายเป็นใคร และมีญาติของสหายกาสะลอง สหายภูชนะ ไปให้เจ้าหน้าที่นิติเวชตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ถึงจะทราบผล

ล่าสุด ลูกชายของสหายภูชนะ คนสนิทของนายสุรชัย อ้างกับคนใกล้ชิดว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอ โดยใช้เนื้อเยื่อของศพที่ถูกสังหารทั้งสองศพ และเนื้อเยื่อที่บริเวณกระพุ้งแก้มของญาติ ปรากฏว่าเมื่อตรวจสอบแล้ว ศพที่พบในพื้นที่ สภ.ธาตุพนม มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับลูกของสหายภูชนะจริง

ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อทางโทรศัพท์กับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน เพื่อสอบถามรายละเอียดว่ามีข้อเท็จจริงหรือไม่ ก็ไม่มีผู้ใดยอมรับสาย เมื่อโทรศัพท์เข้ามือถือของ พ.ต.อ.จุลฤทธิ์ จุลกะ ผกก.สภ.ธาตุพนม ก็ยืนยันว่ายังไม่ทราบผลตรวจดีเอ็นเอ ไม่ทราบมีข่าวลือดังกล่าวได้อย่างไร หลังวางสายผู้สื่อข่าวโทรกลับไปอีกครั้ง คราวนี้เบอร์โทรคล้ายถูกบล็อกสาย

ขณะเดียวกันผลดีเอ็นเอญาติของสหายกาสะลอง ศพที่พบในพื้นที่ สภ.เมืองนครพนม ก็มีผลตรวจออกมาในลักษณะเดียวกันว่า มีความคล้ายคลึงกับศพดังกล่าว แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดกล้ายืนยัน

นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์(แซ่ด่าน) ปัจจุบันถ้ามีชีวิตอยู่จะอายุ 77 ปี  สหายกาสะลอง 47 ปี และสหายภูชนะ 54 ปี ทั้งสามเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และเป็นผู้ลี้ภัยจากเหตุการณ์รัฐประหาร 2557 ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ไ


'ประยุทธ์'แถลงด่วน 9 มาตรการสู้ฝุ่นพิษ

'ประยุทธ์'แถลงด่วน 9 มาตรการสู้ฝุ่นพิษ

21 ม.ค.62 -  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห้งชาติ(คสช.) ออกแถลงการณ์เรื่อง“สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน”ว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รัก ตามที่เกิดสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐานบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล 5 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ นั้น ขออธิบายให้เข้าใจว่า ฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบอย่างง่ายว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ ขนจมูกของมนุษย์ไม่สามารถกรองได้ PM2.5 ซึ่งมีสาเหตุมาจากไอเสียดีเซล การเผาวัชพืชและขยะ โรงงานอุตสาหกรรม ควันบุหรี่ และสารเคมีจากปุ๋ยในดิน

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้เร่งสั่งการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรีบแก้ไขและช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาล ได้จัดตั้งสถานีวัดคุณภาพอากาศเพื่อประเมินสถานการณ์คุณภาพอากาศทุกวัน และสั่งการให้ กรมควบคุมมลพิษ ประสานงานกับ กทม. และปริมณฑล เพื่อดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยย้ำให้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ดังนี้

1. เพิ่มความถี่ในการกวาดล้างทำความสะอาดถนน และฉีดพ่นน้ำในอากาศตั้งแต่เวลา 18.00- 06.00 น. ทุกวัน จนกว่าฝุ่นละอองจะลดลงอยู่ในระดับมาตรฐาน

2. แจกหน้ากากอนามัย N95 ในพื้นที่ สวนลุมพินี บางคอแหลม จตุจักร บางกะปิ บางขุนเทียน โดยจะให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย คนชรา เด็ก และผู้ปฏิบัติงานใกล้ชิดกับแหล่งกำเนิด

3. เข้มงวดตรวจจับรถควันดำและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งรถยนต์ขนาดเล็ก รถยนต์ขนาดใหญ่ รวมทั้งรถโดยสารสาธารณะ

4. จัดตั้งคณะกรรมการร่วมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้า โดยเร่งคืนพื้นผิวการจราจร ณ จุดที่ดำเนินการเสร็จแล้ว สำหรับจุดที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จะปรับพื้นที่ผิวถนนให้กว้างขึ้น โดยบีบหรือลดพื้นที่การก่อสร้างบนพื้นผิวการจราจรให้แคบลง

5. จัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองจากการก่อสร้างอาคารสูงและระบบสาธารณูปโภคโดยจะดำเนินการติดตามตรวจสอบและสำรวจ ให้ผู้ประกอบการดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่นละอองให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ

6. การแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัด โดยอำนวยความสะดวกในการจราจรให้ดีขึ้น รวมถึงการเข้มงวดมิให้มีการจอดรถริมถนนสายหลัก

7. เข้มงวดมิให้มีการเผาขยะและการเผาในที่โล่ง

8. รณรงค์ไม่ให้ติดเครื่องยนต์ขณะจอดในสถานที่ราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน และพื้นที่ ที่มีมลพิษสูง และ

9. ปฏิบัติการฝนหลวง และการใช้โดรนพ่นน้ำผสมสารเคมี เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละออง 

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้วางแนวทางและการดำเนินการในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ให้รถยนต์ใช้ดีเซล B20 โดยมีการปรับแต่งเครื่องยนต์เล็กน้อย และจะมีสถานีให้บริการปรับแต่งด้วย รวมทั้งการรักษาคุณภาพรถยนต์ให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 / 6 การส่งเสริมและผลักดันให้ใช้รถโดยสารที่ใช้แก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง รถโดยสารไฟฟ้า รวมทั้งรถโดยสารไฮบริด และการเร่งรัดการก่อสร้างรถไฟฟ้า พร้อมทั้งโครงข่ายการให้บริการขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงทุกระบบครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยเร็ว ทั้งนี้ มาตรการระยะยาวดังกล่าว จะดำเนินการทั้งในช่วงก่อนและหลังจากที่เครือข่าย การให้บริการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าจะแล้วเสร็จ ขณะนี้ รถเมล์ ขสมก. รถไฟ ได้ปรับใช้ B20 แล้ว

ผมและรัฐบาลมีความห่วงกังวลต่อสุขภาพของประชาชนไทยทุกคน ขอให้ทุกคนติดตามข่าวสาร ตรวจสอบค่าฝุ่นละออง ปฏิบัติตามคำแนะนำ และเตรียมการเพื่อป้องกันตัวเองก่อนออกจากบ้าน สำหรับผู้มีผลกระทบ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ ผู้มีโรคประจำตัว เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่สูบบุหรี่ประจำ ต้องปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1142 


ถอดรหัส ‘วัดพลัง’ สแกนหา ‘สัญญาณ’ ‘บิ๊กแดง’ แบ๊ก ‘บิ๊กตู่’ เคียงคู่สู้การเมือง


ถอดรหัส ‘วัดพลัง’ สแกนหา ‘สัญญาณ’ ‘บิ๊กแดง’ แบ๊ก ‘บิ๊กตู่’ เคียงคู่สู้การเมือง จัดกำลังรบ ทัพภาค 1 ใหม่ จับตา ‘บิ๊กบี้-ผบ.อ๊อบ’  

สถานการณ์ทางการเมืองร้อนระอุ หลังรัฐบาล คสช.นำการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 4-6 พฤษภาคม 2562 เป็นเหตุผลในการเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจาก 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นในเดือนมีนาคม 2562 เพื่อที่จะให้การประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกิดขึ้นหลังพระราชพิธีผ่านพ้นไปแล้ว

งานนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับหน้าที่ในการชี้แจงเหตุผลที่ต้องการมีเตรียมการก่อนมีพระราชพิธี ตั้งแต่ 6 เมษายน จนมีพระราชพิธี และหลังพระราชพิธี ที่รัฐบาลและประชาชนจะจัดถวาย “ร.10” หลังทรงขึ้นครองราชย์

โดยมีรายงานว่า ระยะที่จะต้องจัดงานที่เกี่ยวข้องกับพระราชพิธี เริ่มตั้งแต่ 6 เมษายน ที่เป็นวันจักรี ไปจนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2562

จนทำให้บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ คสช. ออกมาสวนกระแสค้านเลื่อนเลือกตั้งของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งและนักการเมือง “ประชาชนที่อยากให้มีพระราชพิธีก่อน แล้วค่อยเลือกตั้งก็มี แต่คนที่ไม่ต้องการให้เลื่อนเลือกตั้ง มีแค่ 100-200 คนเท่านั้น”

จึงทำให้เกิดการวัดกำลังกันระหว่างนักการเมืองที่อยากเลือกตั้งและกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่ต้องการ “ปิดเกม” ด้วยการให้เลือกตั้ง และประกาศรับรองผลการเลือกตั้งก่อนพระราชพิธี เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เพราะมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคแนวร่วมจะชนะเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาล และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายสร้างสถานการณ์ได้ เพราะจะต้องจัดพระราชพิธี

แต่ฝ่ายรัฐบาล คสช. ต้องการให้รับรองผลเลือกตั้งหลังพระราชพิธี เพื่อเปิดช่อง หากในกรณีที่ผิดแผน พรรคพลังประชารัฐไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ก็จะได้มีการเดินเกมกันได้ เพราะพระราชพิธีผ่านพ้นไปแล้ว

ท่ามกลางกระแสข่าวลือสะพัดที่ว่า ในที่สุดจะไม่มีการเลือกตั้ง หลังจากที่พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งยังไม่ออก แม้จะคาดกันว่าจะประกาศออกมาไม่เกิน 18 มกราคม 2562 ที่ตรงกับวันกองทัพไทยพอดีก็ตาม

ในขณะที่ข่าวลืออีกกระแสก็มาแรงว่า เกิดการ “วัดพลัง” กันเกิดขึ้น

อีกทั้งที่น่าสังเกตคือ ทั้งบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. และ พล.อ.ประวิตร พี่ใหญ่ แท็กทีมกับบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ในการออกมาติติงกลุ่มคนอยากเลือกตั้งและนักการเมืองพรรคเพื่อไทย และแนวร่วมหลายคน ที่เคลื่อนไหวต้านการเลื่อนเลือกตั้ง และกล่าวพาดพิงงานพระราชพิธีสำคัญ

ทั้งๆ ที่ปกติแล้ว นานๆ ครั้ง พล.อ.อภิรัชต์จะยอมให้สัมภาษณ์สื่อ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ที่มักจะหลีกเลี่ยง หลังจากที่เคยออกมาเตือนเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารมาแล้ว จนถูกวิจารณ์อย่างหนัก

แต่มาครั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์นำร่องออกโรงก่อน และให้สัมภาษณ์ซ้ำด้วยถ้อยคำที่รุนแรง

ทั้งเชื่อว่ามี “ใบสั่ง” ที่ทำให้คนเหล่านี้คิดและทำแบบนี้ มีหน้าที่ทำให้เกิดความวุ่นวาย ไม่รู้จะพูดยังไงกับคนประเภทนี้ อ้างประชาชนรำคาญ

ก่อนที่ทีมโฆษก ทั้ง ทบ. บก.กองทัพไทย และกลาโหม ก็ดาหน้าออกมาถล่มซ้ำ ด้วยถ้อยคำที่เข้มข้น

ทั้งที่ เสธ.ต๊อด พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. และโฆษก คสช. มักจะไม่ค่อยใช้คำที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง แต่ก็กลับตำหนิ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ว่า ประชาธิปไตยบกพร่อง การเคลื่อนไหวที่กลายเป็นอาชีพหนึ่งไปแล้ว และตอกย้ำความไม่เหมาะ ไม่ควร ที่พาดพิงพระราชพิธี และมีการขีดเส้นพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง

ขณะที่ เสธ.ต้อง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม ที่นอกจากจะออกมาติติงผู้นำพรรคเสรีรวมไทย ที่ป้ายสีกองทัพและสถาบันการศึกษาของทหารก็ตาม แต่ก็ยืนยันว่า กองทัพจะทำหน้าที่ในปีแห่งความปลื้มปีติ ปีมงคลของคนไทย ที่มีทั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เลือกตั้ง และการเป็นประธานอาเซียน

ตามมาด้วย เสธ.เวฟ พล.ต.กฤษณ์ จันทรนิยม โฆษกกองทัพไทย ที่ออกมายืนยันการมีเลือกตั้งในกรอบ 150 วัน กองทัพจะทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ขออย่าได้นำกองทัพไปเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายใด และกลุ่มที่มีเบื้องหลัง หวังยั่วยุให้เกิดเหตุวุ่นวาย เกิดความไม่สงบ

ตามสำทับด้วย พล.อ.อภิรัชต์ที่แม้จะไม่ตอบโต้ฝ่ายการเมือง แต่ก็เตือนกลับไปว่า อย่าล้ำเส้น เพราะในเมื่อเขาไปขีดเส้นคนอื่น ท่านก็ต้องขีดเส้นให้ตัวท่านเองด้วย อย่ามาล้ำเส้น

“ผมมีประสบการณ์เรื่องผู้ชุมนุมมาไม่รู้กี่ปี ผมอ่านเกมออก แต่จะไม่ตอบโต้” พล.อ.อภิรัชต์ระบุ

รวมทั้งการพูดทิ้งปริศนาไว้ว่า “ประสบการณ์ตั้งแต่ปี 2547 ประชาชนคงไม่ต้องการให้มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านก็อย่า…ผมไม่พูดดีกว่า…”

จนมีการคาดเดากันว่า หมายถึงเหตุจลาจลวุ่นวายที่จะทำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร เช่นที่ พล.อ.อภิรัชต์เคยออกมาเตือนไว้ก่อนหน้านี้

ยิ่งหากดูจากท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่แม้ว่าวันนี้จะมีหลายสถานภาพ หลายตำแหน่งหน้าที่ แต่ก็ยังมี พล.อ.ประยุทธ์ ที่เขาเรียกว่า “พี่ตู่” อยู่เต็มหัวใจ

ทั้งในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชาในกองทัพ และพี่ชายที่แสนดี ที่ช่วยกรุยทางให้เขามาตลอด จนขึ้นเป็น ผบ.ทบ. และทั้งในฐานะนายกฯ และหัวหน้า คสช. ที่เป็น “นาย” สูงสุดในทางการเมือง

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.อภิรัชต์จึงขึ้นบอกกับเด็กๆ เยาวชนในงานวันเด็ก ทบ. ว่า “พล.อ.ประยุทธ์เป็นทั้งทหารและนักปกครองที่ดี” และเคยระบุว่า เป็นแบบอย่าง หรือไอดอลของตนเอง

ไม่ว่าจะอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ก็จะยังคงเป็น “น้องรัก” ที่ซื่อสัตย์กับ “พี่ตู่” คนนี้เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองในอนาคตอันใกล้จะเป็นอย่างไร

ในขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์เองที่นอกจากจะเป็น ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) แล้ว

ยังเป็น ผบ.หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อีกด้วย

 

พล.อ.อภิรัชต์กำลังขยับปรับกองทัพบกให้เข้าที่เข้าทาง หลังจากมีการปรับหน่วยคุมกำลังที่เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ ไปขึ้นอยู่กับกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ทม.รอ.) เช่น ร.1 รอ. และ ร.11 รอ. จากกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)

ส่งผลให้ พล.1 รอ. ที่เคยเป็นขุมกำลังรบหลักของกองทัพภาคที่ 1 และเคยถูกเรียกว่าขุมกำลังปฏิวัติ ปรับเปลี่ยนไป คงเหลือแต่ ร.31 รอ. จ.ลพบุรี และกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1 รอ.) และมีกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4 รอ.) ที่เคยถูกเรียกว่ากองพันทหารม้าปฏิวัติ และกองร้อยลาดตระเวนระยะไกล (ร้อย ลว.ไกล) เป็นกำลังหลัก

โดยก่อนหน้านี้ มีการปรับโครงสร้างกองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (พล.ร.11) ฉะเชิงเทรา หน่วยเดิมของ พล.อ.อภิรัชต์ จากกองพลหนุน มาเป็นกองพลทหารราบเบา และมาเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 1 เพื่อเสริมกำลังให้ พล.1 รอ.

เพราะในกองทัพภาคที่ 1 ที่ถูกเรียกว่า “ทัพหลวง” นั้น จึงมีแค่ พล.1 รอ. ที่มีการปรับโครงสร้างใหม่ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือกองพลบูรพาพยัคฆ์  ที่ก็เป็นหน่วยใน ฉก.ทม.รอ.904

และมีกำลังของกองพลทหารราบที่ 9 กาญจนบุรี และกองพลทหารราบที่ 11 ฉะเชิงเทรา

ดังนั้น ตั้งแต่ 1 เมษายน 2562 นี้ พล.อ.อภิรัชต์ได้โอนย้ายให้กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) ให้มาเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 1 ขึ้นกับแม่ทัพภาคที่ 1 จากเดิมที่เป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก คือรับคำสั่งตรงจาก ผบ.ทบ.

พล.ม.2 รอ. ได้ชื่อว่าเป็นกองพลทหารม้าปฏิวัติในอดีต เพราะมีกำลังทหารและรถถัง รถเกราะ รถสายพานลำเลียงพล ที่สนามเป้า กรุงเทพฯ และมีกำลังอยู่ที่สระบุรีด้วย

อีกทั้ง พล.ม.2 รอ. ก็เป็นหน่วยที่มาปฏิบัติหน้าที่ใน ฉก.ทม.รอ.904 ที่มี พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 นั่นเอง

นั่นหมายถึง การเพิ่มเขี้ยวเล็บกำลังให้บิ๊กบี้ พล.ท.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาคที่ 1 และดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ด้วย

โดยจับตามองกันว่า พล.ท.ณรงค์พันธุ์จะขยับขึ้น 5 เสือ ทบ. ในโยกย้ายปลายปีนี้ เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ.ต่อจาก พล.อ.อภิรัชต์ ที่จะเกษียณจาก ผบ.ทบ. กันยายน 2563 แต่คาดว่าหลังจากนั้น พล.อ.อภิรัชต์จะได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ และไม่ต้องเกษียณราชการ

ส่วน พล.ท.ณรงค์พันธุ์ มีอายุราชการถึงกันยายน 2566

โดยโฟกัสกันว่า แม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป จะเป็นใคร ระหว่างบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพน้อยที่ 1 ที่นั่งมาเป็นปีที่ 2 เพื่อนเตรียมทหาร 22 ของ พล.ท.ณรงค์พันธุ์

ส่วนอีกคนคือ บิ๊กต่อ พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่โตมาจาก พล.ร.2 รอ. เป็นเตรียมทหาร 23 ที่ก็ฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์มาเช่นเดียวกับ พล.ท.ธรรมนูญ

หรือเรียกว่าเป็นนายทหาร  “คอแดง” เพราะสวมเสื้อคอกลมสีขาวและขลิบคอแดง ข้างใน เครื่องแบบนั่นเอง

ขณะที่ในกองทัพภาคที่ 1 ลุ้นกันว่า บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 เตรียมทหาร 22 จะมีโอกาสหรือไม่ เพราะยังไม่ได้ไปฝึกหลักสูตร

แต่ที่ต้องจับตามองคือ บิ๊กแก้ว พล.ท.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ รอง เสธ.ทบ. และอดีต ผบ.พล.ม.2 รอ. และเจ้ากรมยุทธการ ทบ. ที่ก็เป็นน้องรัก ตท.21 ของ พล.อ.อภิรัชต์ และเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ช่วยงาน พล.อ.อภิรัชต์อีกด้วย

พล.ร.2 รอ. เป็นเตรียมทหาร 23 ที่ก็ฝึกหลักสูตรทหารรักษาพระองค์มาเช่นเดียวกับ พล.ท.ธรรมนูญ

หรือเรียกว่าเป็นนายทหาร  “คอแดง” เพราะสวมเสื้อคอกลมสีขาวและขลิบคอแดง ข้างใน เครื่องแบบนั่นเอง

ขณะที่ในกองทัพภาคที่ 1 ลุ้นกันว่า บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงษ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 เตรียมทหาร 22 จะมีโอกาสหรือไม่ เพราะยังไม่ได้ไปฝึกหลักสูตร

แต่ที่ต้องจับตามองคือ บิ๊กแก้ว พล.ท.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ รอง เสธ.ทบ. และอดีต ผบ.พล.ม.2 รอ. และเจ้ากรมยุทธการ ทบ. ที่ก็เป็นน้องรัก ตท.21 ของ พล.อ.อภิรัชต์ และเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ช่วยงาน พล.อ.อภิรัชต์อีกด้วย

พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

ส่วน ผบ.อ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.พล.1 รอ. นั้น ก็เป็นดาวเด่นจากเตรียมทหาร 24 และนายร้อย VMI สหรัฐอเมริกา ที่ถูกมองว่าจะจ่อขึ้นมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในอนาคต

โดยมีรองเนี้ยว พ.อ.ทรงพล สาดเสาเงิน รอง ผบ.พล.1 รอ. อดีตลูกหม้อ ร.31 รอ. และทำหน้าที่เสนาธิการ ฉก.ทม.รอ.904 เป็นตัวเต็ง ผบ.พล.1 รอ. คนต่อไป

แต่ก็ไม่อาจมองข้ามรองตั้ง พ.อ.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. สายวงศ์เทวัญที่โตจาก ร.11 รอ. พล.1 รอ. ที่อาจจะโยกกลับมาชิงชัย เพราะที่ พล.ร.2 รอ.นั้นมีรองรุ่ง พ.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. สายบูรพาพยัคฆ์ จ่อคิวขึ้น ผบ.พล.ร.2 รอ. อยู่อีกคน

ทั้งหมดนี้อยู่ในการกุมบังเหียนของ พล.อ.อภิรัชต์ที่สวมหมวกหลากหลายใบ

 

จึงไม่แปลกที่ไม่ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะพูด จะขยับอะไร ก็จะถูกจับตามอง และถอดรหัสสแกนสัญญาณกันทั้งสิ้น เพราะเรียกได้ว่าเป็น ผบ.ทบ.คนพิเศษ ที่มาในสถานการณ์พิเศษอีกคน

ท่าทีของ ผบ.ทบ. ควบเลขาธิการ คสช., และ ผบ.กกล.รส. รวมทั้ง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 เป็นเช่นนี้

  ก็ยากที่จะหยั่งรู้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น…






ครอบงำพรรค

สถานีคิดเลขที่ 12/สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————

ครอบงำ

————————

รายการ”กู้ด มันเดย์” ผ่านพอดแคสต์ ของนายทักษิณ ชินวัตร

ไม่ต้องวิเคราะห์ให้สลับซับซ้อน

ฟันธงไปเลยว่า มุ่งหวังผลต่อการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้น

ชัดเจน

ส่วนจะเรียกเรตติ้ง ได้ขนาดไหนต้องติดตาม

หากเงียบสนิท ฝ่ายตรงข้ามก็คงไม่สนใจ

แต่หากเรตติ้งพุ่งพรวด

แถม กลายเป็นการเปรียบเทียบ รายการทุกวันศุกร์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาด้วยแล้ว

“กู้ด มันเดย์” เป็น”จันทร์เดือด”แน่ๆ

ต้องไม่ลืม ตอนนี้ เรื่องการครอบงำพรรค กลับมาเขย่าขวัญพรรคฟากนายทักษิณ อีกครั้ง

เมื่อ คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) เคลื่อนไหวเงียบๆ ตาม สอบคนที่ไปพบนายทักษิณที่เมืองนอก

ที่สอบไปแล้วก็เช่น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล

แสดงว่า การเคลื่อนไหวแบบ “กัดไม่ปล่อย” เพื่อจับฟาวล์ฝ่ายนายทักษิณ ยังมีอยู่

และสอดส่ายหาประเด็น อย่างต่อเนื่อง

จึงอย่าประหลาดใจ หากรายการ “กู้ด มันเดย์” ของนายทักษิณ เกิดฮอตฮิต และเป็นหนามแทงใจเจ้าของรายการคืนวันศุกร์

จะเป็นรายการถูกประกบติดใกล้ชิดว่า มีประเด็นอะไรที่ล่อแหลม ต่อการลากเข้าข้อหา “ครอบงำพรรค”หรือไม่

ประสานายห้าง “ทักษิณ ชินวัตร” ขึ้นชื่ออยู่แล้ว พูดอะไรมักไม่กลัวใคร เมื่อ พูดบ่อย พูดมัน พูดติดลม อาจมีเผลอไปส่อแสดง การครอบงำพรรค ขึ้นมา

รับรอง เป็นเรื่องแน่

ซึ่งก็อย่าไปคาดหวังว่าจะได้รับ เป็น ธรรม หรือ ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจาก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะ กกต. ที่หวังว่าเป็น “กรรมการ” ที่ทรงไว้ซึ่งความเป้นกลางนั้น

คงต้องคิดใหม่

วันเลือกตั้งที่อึมครึมๆ อยู่ตอนนี้ เชื่อหรือว่า กกต. ดำรงความเป็นอิสระไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามเกมของฝ่ายรัฐบาล

ดังนั้น การที่ฝ่ายนายทักษิณ จะไปคาดหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม จาก กรรมการ คงต้องพิจารณาให้หนัก

สู้ ใช้วิธีการ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน น่าจะดีที่สุด

คืออยากเผลอไป สร้างประเด็น หรือสร้างเงื่อนไข ให้ใครมาไล่เบี้ย เรื่องการครอบงำพรรค

แม้นายวรวัจน์ จะตั้งคำถามที่ดี ว่า ทำไม 4 กุมาร แห่งพรรคพลังประชารัฐ ไปมีปฏิสัมพันธ์กับ คนในรัฐบาล และนำมาใช้เป็นแนวทางพรรคแบบ ลอกเอานโยบายรัฐบาลมาทั้งดุ้น

กกต.ไม่ไปสอบบ้างว่ามีการพยายามครอบงำพรรคพลังประชารัฐ

หรืออย่างกรณี ที่มีแกนนำจากฟากการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีประกาศนโยบาย แจก”โฉนดทองคำ”

โดยอ้างผลสำรวจความต้องการของชาวบ้าน พบว่าสิ่งที่ชาวบ้านต้องการสูงมากนั่นคือ แปลงที่ดินสปก.4-01 เป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์ สามารถนำไปแปลงเป็นประโยชน์ได้

แต่ผ่านไปไม่กี่วัน มีเสียงฮึ่มฮั่ม จากทำเนียบ ว่าไม่เห็นด้วย และไม่มีนโยบายที่จะให้นำที่ดินสปก.4-01 ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นนอกจากใช้เป็นที่ทำกิน

ทำเอา แกนนำในฟากทำเนียบส่งสัญญาณไปยังแกนนำฝ่ายการเมือง ถอยนโยบายโฉนดทองคำ ทั้งที่ประกาศเป้นที่เอิกเกริกไปแล้ว

อย่างนี้ ไม่รู้ว่า เข้าข่าย “คนนอก” ครอบงำ พรรคการเมืองหรือไม่

แต่ก็นั่นแหละ ตัวอย่างข้างต้น ก็เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น

จะแปรไปสู่การสอบสวนของกกต.ก็คงเป็นเรื่องยาก

ถึงจะมีคนไปร้อง ก็ใช่ว่าจะมีการขานรับ หรือเอาการเอางานอย่างที่ฟากนายทักษิณเจอ

เรื่องเช่นนี้ ก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

จึงสรุปดื้อๆลงที่ว่า “กู๊ด มันเดย์”ของนายทักษิณมีโอกาสที่จะพุ่งทะยานเป็น “จันทร์เดือด”

และก็มีสิทธิถูกจ้องจับฟาวล์ ครอบงำพรรค อยู่ทุกคำพูด เช่นกัน!