PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

อัยการสูงสุด นัดพรุ่งนี้ แถลงความเห็น คดี อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว

*อัยการสูงสุด นัดพรุ่งนี้ แถลงความเห็น คดี อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว*
ความคืบหน้าในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งสำนวนพร้อมมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เรื่องละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผย ว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ได้ร่วมพิจารณาสำนวนที่ ป.ป.ช.กล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีนายวุฒิพงศ์วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน พร้อมคณะทำงานอัยการร่วมพิจารณารวม 8 คน แต่การพิจารณายังไม่เสร็จสิ้น เพราะมีรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลและเอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวนมากแต่เนื่องจากระเบียบการทำหน้าที่ของอัยการ ซึ่งบุคคลภายนอกที่ไม่ได้อยู่ในคณะทำงานไม่สามารถทราบถึงรายละเอียดได้ คาดว่าอาจจะมีการแถลงข่าวถึงรายละเอียดที่ชัดเจนอีกครั้ง ในช่วงบ่ายของวันที่ 4 กันยายนนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาสำนวนคดีและมีความเห็นในคดีดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้เบื้องต้นทางอัยการสูงสุดได้สั่งการให้คณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบในคดีดังกล่าว กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารและรายละเอียดต่างๆ ให้เรียบร้อย และอาจให้ทีมโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการเรื่องการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

พบ อบจ.สมุทรปราการใช้งบฯจ้างสื่อตัวเองตีปี๊บ 4 ปี 207 ล้าน

พบ อบจ.สมุทรปราการใช้งบฯจ้างสื่อตัวเองตีปี๊บ 4 ปี 207 ล้าน
อบจ.สมุทรปราการทุ่มจ้างพิมพ์“อบจ.นิวส์ฟ้าใหม่”นิตยสารในเครือ ตีปี๊บประชาสัมพันธ์ ผลงาน กิจกรรมองค์กร ตัวเอง 4 ปีติด 207 ล้าน ล่าสุดทำสัญญา 5 เดือน 1,750,000 ฉบับ 41.6 ล้าน “ชนม์สวัสดิ์” นั่งปธ.ที่ปรึกษา
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.orgรายงานพบว่า เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 57 ที่ผ่านมา องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ ได้ทำสัญญาว่าจ้าง โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิมพ์สิ่งพิมพ์ของ อบจ.สมุทรปราการ ชื่อ “อบจ.นิวส์ ฟ้าใหม่” ประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จำนวน 5 เดือนเดือนละ 350,000 ฉบับ รวมวงเงินทั้งสิ้น 41,650,000 บาท
จากการตรวจสอบพบว่า การว่าจ้างครั้งนี้เป็นครั้ง 9 ก่อนหน้านี้ อบจ.สมุทรปราการได้ว่าจ้าง โรงพิมพ์ดังกล่าว พิมพ์ “อบจ.นิวส์ ฉบับฟ้าใหม่”มาแล้ว 8 ครั้ง
ครั้งแรก 30 พ.ย. 54 วงเงิน 7,350,000 บาท
ครั้งที่สอง 14 ก.พ. 55 วงเงิน 47,460,000 บาท
ครั้งที่สาม 18 ก.ค. 55 วงเงิน 15,820,000 บาท
ครั้งที่สี่ 19 ต.ค. 55 วงเงิน 7,910,000 บาท
ครั้งที่ห้า 6 ธ.ค. 55 วงเงิน 23,730,000 บาท
ครั้งที่หก 24 มิ.ย. 56 วงเงิน 23,730,000 บาท
ครั้งที่เจ็ด 1 พ.ย. 56 วงเงิน 15,820,000 บาท
ครั้งที่แปด 27 ธ.ค. 56 วงเงิน 23,730,000 บาท
กระทั่งครั้ง ล่าสุด 18 มิ.ย. 57 วงเงิน 41,650,000 บาท
รวม 9 ครั้ง 207,200,000 บาท
นอกจากนี้ เมื่อ 10 มิ.ย. 57 ยังว่าจ้างโรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำสื่อประชาสัมพันธ์และกิจกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 80,000 ฉบับ วงเงิน 14,920,000 บาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 10 ครั้ง 222,120,000 บาท
ทั้งนี้ นิตยสาร อบจ.นิวส์ ฉบับฟ้าใหม่ เป็นสิ่งพิมพ์ที่มี อบจ.สมุทรปราการ เป็นเจ้าของ
ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.fahmai.com/home2.htm ระบุว่า มีนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายก อบจ.สมุทรปราการ เป็นประธานที่ปรึกษา
คณะที่ปรึกษา ประกอบด้วย
นายอัครวัฒน์ อัศวเหม รองนายก อบจ.สมุทรปราการ
นายธนภณ คารมปราชญ์ รองนายก อบจ.สมุทรปราการ
นายปิติชาติ ไตรสุรัตน์ รองนายก อบจ.สมุทรปราการ
นายสายัณห์ รักษนาเวศ รักการการปลัด อบจ.สมุทรปราการ
จากการตรวจสอบเนื้อหาแต่ละฉบับ เป็นการรายงานความเคลื่อนไหวกิจกรรม ผลการดำเนินงานของ อบจ.สมุทรปราการ บางฉบับมีบทสัมภาษณ์ นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายพูนผล อัศวเหม นายกสมาคมกีฬาสมุทรปราการ พี่ชายนายชนม์สวัสดิ์ นายธนภณ รองนายกฯ ตลอดจนรูปภาพกิจกรรม โครงการต่างๆ เป็นต้น

อสส.ลงนามคำสั้ง"องค์ภาฯ"ทรงกลับเข้ารับราชการอัยการ

3 ก.ย.57 มีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด (อสส.) ได้ลงนามในคำสั่ง สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ 1633/2557 เรื่อง บรรจุและแต่งตั้งผู้ขอโอนกลับเข้ารับตำแหน่งราชการอัยการ ระบุว่า
ด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งเคยทรงเป็นอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (ข้าราชการอัยการชั้น 4) และทรงได้รับอนุญาตให้โอนไปรับราชการในตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูตระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ต่อมาได้มีพระประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งข้าราชการอัยการ ซึ่ง ก.อ.ได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าทรงไม่เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ และมีมติให้ความเห็นชอบให้ทรงโอนกลับเข้ารับตำแหน่งข้าราชการอัยการได้

ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 โดยความเห็นชอบของ ก.อ.ให้บรรจุและแต่งตั้ง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา กลับเข้ารับตำแหน่งข้าราชการอัยการ โดยให้ทรงดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู (ข้าราชการอัยการขั้น 4) รับเงินเดือนชั้น 5 ขั้น 69,810 บาท เงินประจำตำแหน่ง 41,000 บาท ปรากฏตามบัญชีรายละเอียดที่แนบท้ายคำสั่งนี้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.57 เป็นต้นไป

ที่มา นสพ.แนวหน้า

ยูเอ็นรู้สึก”กังวลอย่างยิ่ง”ที่ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทยถูกจำกัดสิทธิ์

วันนี้สำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออกแถลงการณ์ว่ารู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยถูกจำกัดสิทธิ์มากขึ้นในการชุมนุมอย่างสันติและแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้หลังจากที่เมื่อวานนี้ทางการไทยสั่งให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนสามรายงดจัดงานแถลงข่าว

นสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กำหนดจัดแถลงข่าวเมื่อวานนี้เพื่อเผยแพร่รายงาน

สถานการณ์สิทธิมนุษยชนหลังจากการรัฐประหารตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม และเสวนาในหัวข้อ “ความยุติธรรมที่ปิดปรับปรุง” ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แต่ถูกทหารสั่งให้ยกเลิก ซึ่งต่อมาโฆษก คสช.ชี้แจงว่าเรื่องที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนจะแถลงนั้นไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และแนะนำให้ใช้ช่องทางของทางการถ้ามีเรื่องร้องเรียน

ในแถลงการณ์ของยูเอ็นระบุว่าการสั่งงดจัดงานดังกล่าวก็เป็นเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่ส่อว่าภาวะแวดล้อมผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศย่ำแย่ลง และเสริมว่าประเทศไทยในฐานะผู้ให้สัตยาบันอนุภาคีระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและการเมืองพึงเคารพคำประกาศของสหประชาชาติเรื่องผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน

คำประกาศดังกล่าวกำหนดว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลหรือร่วมกับผู้อื่น และมีสิทธิ์ที่จะเสวนาตลอดจนรายงานสถานการณ์เรื่องสิทธิมนุษยชนให้สาธารณชนรับรู้

คนดีซื่อสัตย์ จงรักภักดี

มีเพื่อนๆส่งมาให้อ่าน เชียรกัน เรื่อง ขอให้ตั้งคนดีซื่อสัตย์ จงรักภักดี เป็น ผบ.ทบ. (ขอโทษที่ ไม่ได้ติดตาม อาจจะช้าไป แต่งตั้งกันไปแล้ว)

..........วันที่ 1 ก.ย.57 เวลา 10.20 น.หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ กลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ นำโดย นาย เรืองศักดิ์ เจริญผล เรื่อง ขอให้ตั้งคนดีซื่อสัตย์ จงรักพักดี เป็น ผบ.ทบ.และขอเสนอชื่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เวลา 10.30 น.พ.ต.อ. มนต์ชัย ศรีประเสริฐ ผกก. สน.สามเสน ออกมารับหนังสือ เวลา 10.35 น.เดินทางกลับ..........

แน่ใจกันหรือครับ ถ้าแน่ใจแล้วอย่าเสียใจกันภายหลัง ที่เชียรๆกัน คนๆนั้นมีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี จริงหรือ ผมขอถามกลับไปยังกลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ ว่า เขาจงรักภักดี กับใครครับ กับสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือจงรักภักดี ต่อท่านนายก คนที่ 29 แต่ก็ยังดี ที่ยังเห็นแก่พลังงานของชาติ ยังให้หลวงปู่ จัดสัมนา เรื่อง ปตท จนทำให้หลวงปู่ ท่านอุปทานว่า อุ้ย ตาย ว้าย กรีด แล้วเลยเชียร กันใหญ่เลย

ในเรื่อง ความจงรักภักดี ต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผมมีความเชื่อมั่น ว่า คนรูปหล่อ เมียสวย แต่กลัวเมีย มี ความจงรักภักดี ต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่า แต่คุณเธอมีความหยิ่งผยอง ขอเข้าไปทานกาแฟ ก็ไม่ยอมให้ผมไปทานด้วย....... 

จริงๆแล้วผมต้องการเข้าไปคุยเรื่องพวกขบวนการ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ระบาดหนักข้อขึ้นในปัจจุบัน ทาง คสช จะดำเนินกันต่อกันอย่างไร และก็มีเรื่องอยากจะเสนอแนะ มากมาย ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ในอนาคต แต่ รูปหล่อ หรือ คนตัวเล็ก แม้กระทั่ง คสช กลับไม่สนใจ ฟังเสียงจิ้งจก เช่นผม คำตอบคือ ไม่ให้พบ ......... นี่หรือ ทหารพระราชา ผมว่าเป็น ทหารของจันทรโอชา กันหมด ซะแล้ว

........ผมทราบตัวดี ว่า ถ้าจะพบ ท่านนายก คนที่ 29 คงเป็นเรื่องยากมากๆ เพราะ บุญวาสนาผม มีไม่เพียงพอ เลยขอพบคนรูปหล่อที่เป็น well Know ของคุณหญิงคุณนาย ในวัง มากกว่า แต่ก็ผิดหวัง น้องรูปหล่อ ปฎิเสธทานกาแฟกับผม แม้แต่กับ คนตัวเล็ก หากินกับ..... (????) ก็ปฏิเสธ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 และ ผู้บัญชาการทหารบก ครับ ...หลักธรรมที่ผู้นำต้องยึดถือ คือ ความกล้าหาญบนความถูกต้อง ถ้า ผู้บัญชาการทหารบก คนใหม่ มีความจงรักภักดี ต่อสถาบัน และเป็นทหารของพระราชา จริง....... สถาบันพระมหากษัตริย์ จะอยู่รอด และอยู่คู่กับประเทศ ไปตลอดกาล

หลวงพ่อศรีนิวาสสอนลูกศิษย์ ว่า......
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องการให้ทานว่า
คหบดี เธอมีข่าวอยู่กำมือ เธอจะเลือกหว่านในนาใด
1.นาดี 2.นาปานกลาง 3.นาเลว
เธอจงหว่านในนาที่ดีเถอะ
เพราะเมล็ดพันธุ์ย่อมเติบโต แข็งแรง สมบูรณ์ ได้ผลผลิตดี

ม.จ. จุลเจิม ยุคล

อียู - แห่ลงทุนเวียตนาม ในขณะผู้นำไทย มีปัญหาการเดินทางเข้ากลุ่มประเทศ อียู

อียู - แห่ลงทุนเวียตนาม ในขณะผู้นำไทย มีปัญหาการเดินทางเข้ากลุ่มประเทศ อียู
นายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อี-ยู) ไปเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ นับเป็นครั้งที่ 2การที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรปไปเยือนเวียดนามอย่างต่อเนื่องกัน ทำให้ประชาคมโลกเกิดความสนใจจุดประสงค์สำคัญ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหภาพยุโรป กับเวียดนาม

สาเหตุที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับเวียดนามเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม เนื่องจาก อัตราการเติบโตเศรษฐกิจของเวียดนามเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียรองจากจีน โดยสูงถึงร้อยละ 5.3 ต่อปี

ในจำนวน 28 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป มี 26 ประเทศสมาชิกได้ลงทุนในเวียดนาม โดยยอดเงินลงทุนสูงถึง 18,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย กว่า 5 แสน 5 หมื่นล้านบาท
ในขณะที่ผู้นำของไทย ยังมีปัญหาการเดินทางเข้าประเทศ สหภาพยุโรป
2 ก.ย.2557

รัสเซียกร้าวสามารถยึดเมืองหลวงยูเครนได้ใน2สัปดาห์

รัสเซียกร้าวสามารถยึดเมืองหลวงยูเครนได้ใน2สัปดาห์
เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2557 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ขู่ว่า กองกำลังทหารของเขาสามารถยึดกรุงเคียฟของยูเครนได้ ภายในเวลาเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ถ้าเขาต้องการ ขณะที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ประกาศว่าจะตั้งกองกำลังตอบโต้เร็วขึ้นมาใหม่เพื่อทำหน้าที่เป็นกองกำลังส่วนหน้าในการรบ ซึ่งสามารถเข้าไปในยูเครนได้ภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะรุกรานยูเครน
หนังสือพิมพ์ลา รีพับบลิกา ของอิตาลี รายงานว่า ประธานาธิบดีปูตินได้ขู่เรื่องนี้ ในระหว่างการเจรจาว่าด้วยวิกฤตยูเครน กับนายโจเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานกรรมาธิการยุโรป โดยบอกว่า ถ้าต้องการ เขาก็สามารถยึดเคียฟได้ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่า ผลจะออกมาอย่างไร ถ้าสหภาพยุโรป หรือ อียู ขยายมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย
เฟเดริกา โมเกรินี รัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของอิตาลี ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งจากอียู ให้ดำรงตำแหน่งประธานด้านนโยบายต่างประเทศคนใหม่ ได้เตือนว่า จะไม่มีการแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังแทรกแซงทางทหารต่อวิกฤติที่ใหญ่หลวงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของยุโรปขณะนี้
นายอันเดอร์ส ฟอกห์ ราสมุสเซ่น เลขาธิการนาโต กล่าวว่า นาโตเผชิญวิกฤติหลากหลายที่ดาหน้าเข้ามาทั้งพรมแดนทางใต้และตะวันออก ที่อาจประทุได้ทุกเวลา ซึ่งทั้ง 28 ชาติสมาชิกได้รับการคาดหมายว่า จะเห็นชอบร่วมกันในการจัดตั้งกองกำลังส่วนหน้าตอบโต้เร็วขึ้นมาใหม่ในระหว่างการประชุมสุดยอดนาโต ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ ที่เวลส์ ของสหราชอาณาจักร และเป็นไปได้ว่า จะมีทหารอังกฤษเข้าร่วมด้วย
การจัดตั้งกองกำลังใหม่นี้ เป็นส่วนหนึ่งของแพ็คเกจมาตรการใหม่ ที่พันธมิตรนาโต เตรียมไว้เพื่อรับมือกับวิกฤตทั้งในยูเครนและอิรัก ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาโต ระบุว่า ทหารที่เขาร่วมในกองกำลังชุดนี้ จะมีฐานอยู่ที่ประเทศของตนเอง และจะมารวมตัวกันเมื่อจำเป็น นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ ที่ในที่ประชุมจะเห็นชอบในการสั่งสมอาวุธไว้ในยุโรปตะวันออก เพื่อรองรับการปฏิบัติการของกองกำลังส่วนหน้าตอบโต้เร็วในทันทีที่เดินทางไปถึง รวมถึงการเพิ่มการซ้อมรบด้วย

เตือนให้ทหารตั้งการ์ดสูงไว้

" ให้ทหารตั้งการ์ดสูงฯ ไว้"
คฤหาสน์ตำรวจรุกที่ทหาร รูป “นช.ทักษิณ” ติดหราฝาบ้าน ปมนี้ต้องไม่เป็นมวยล้ม!!
ด้วยความเป็นมาของการเล่นแร่แปรธาตุบนพื้นที่ดังกล่าวนี้ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นมั่นใจว่าได้ที่ดินมาถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นที่มาของคำพูดว่า “ให้ทหารตั้งการ์ดสูงๆ ไว้” หมายถึงเตรียมการฟ้องกลับด้วย
คดีรุกป่าพื้นที่ทหาร ที่ พ.อ.สมหมาย บุษบา เสนาธิการกองยุทธการกองทัพภาคที่ 2 และคณะทำงานด้านกฎหมาย กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยภาค 2 กำลังเดินหน้าอย่างเอาจริงเอาจังต่อ แก๊งนายพลตำรวจและข้าราชการอัยการ รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยเตรียมเสนอให้ดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทำการยึดทรัพย์ เริ่มเข้มข้น บานปลายไปเรื่อยๆ
โดยล่าสุด พล.ต.ท. “จ.” ก็คือ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาการ ผบช.น. ยอมรับกับผู้สื่อข่าวว่า พล.ต.ท. “จ.” ก็คือตัวเขาเอง เพราะในทำเนียบนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 36 มีขึ้นต้นด้วยอักษร จ.เพียงเขาคนเดียว นอกจากนั้นยังยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในอดีตในฐานะผู้ซื้อเมื่อปี 2549 และเพียงปีเดียวก็ขายไปโดยไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ทั้งสิ้น (อ่าน “จักรทิพย์” หวั่นถูกโยง พล.ต.ท.“จ.” ขาใหญ่รุกที่ทหาร รับเคยซื้อแต่ขายแล้ว ยันวันนี้ไม่มีเอี่ยว
รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับความเป็นมาของที่ดินบริเวณชะง่อนผา หนองเขาเชื่อม ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 330 ไร่ซึ่งฝ่ายทหารศูนย์สงครามพิเศษ จ.ลพบุรี อ้างเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์นั้น มีกระแสอีกทางหนึ่งว่า แต่เดิมเป็นที่ดินในการดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย เป็นที่ดินรกร้างแต่ได้กันไว้เพื่อแบ่งให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนลำตะคอง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อปี 2534-2535
ต่อมาศูนย์สงครามพิเศษได้ทำเรื่องขอใช้พื้นที่บางส่วนเพื่อใช้ในกิจการทหาร แต่ในข้อเท็จจริงเมื่อกรมประชาสงเคราะห์อนุญาตไป ศูนย์สงครามพิเศษก็มิได้ใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง จนเกิดปัญหาขึ้นระหว่างหน่วยงานกับหน่วยงาน กล่าวคือ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมประชาสงเคราะห์ในขณะนั้นเคยทำเรื่องขอพื้นที่คืน แต่ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งมีการตั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ขึ้นมา และกรมประชาสงเคราะห์ได้ย้ายมาอยู่ในสังกัด เรื่องต่างๆ ยังคงคาราคาซังกันอยู่

อสส.จ่อแถลงคดีข้าวยิ่งลักษณ์4ก.ย.หลัง ครบกำหนด

อสส.จ่อแถลงคดีข้าวยิ่งลักษณ์4ก.ย.หลัง ครบกำหนด
อธิบดีอัยการสำนักงานคดีต่างประเทศ เผย ความคืบหน้าคดีชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ชี้ อัยการสุงสุด อยู่ระหว่างพิจารณาสำนวน - จ่อแถลง 4 ก.ย.
นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่ ป.ป.ช. ส่งสำนวนพร้อมมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ว่า ขณะนี้ นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว ซึ่งหากอัยการสูงสุด พิจารณาเสร็จสิ้นเมื่อใด จะนัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ขณะที่ นางสันทนี ดิษยบุตร รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอัยการสูงสุด จะมีการแถลงข่าวในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 10 ระบุว่า ให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับเรื่อง ซึ่งคดีนี้ครบกำหนดในวันที่ 4 ก.ย. นี้ เว้นแต่ภายในระยะเวลาดังกล่าวอัยการสูงสุด มีความเห็นว่าเรื่องที่ส่งมานั้น ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ก็จะได้แจ้งข้อหาไม่สมบูรณ์นั้น ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่หาก อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้อง ก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีตัวจำเลยมาฟ้องแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องระบุแหล่งที่อยู่ของจำเลยให้ชัดเจนเท่านั้น

ขุมข่าย แม่น้ำห้าสาย คสช. ประวิตร


ขุมข่ายแม่น้ำ 5 สาย คอนเนกชันใตัปีก คสช.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2557 06:35 น.  

        ยิ่งแม่น้ำ 5 สายที่ “เนติบริกร” นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะหัวหน้าทีมยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 พูดเอาไว้ ค่อยๆ ทยอยแตกแขนงกันไปทีละสายเพียงใด ยิ่งเห็นความชัดเจนถึงขุมข่ายขุมกำลังใน คสช.มากขึ้นเท่านั้น
       
       เริ่มตั้งแต่แม่น้ำสายแรกอย่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่คลอดมาก่อนใครเพื่อน จาก 197 คน ในปัจจุบันพบว่า ส่วนใหญ่มีคอนเนกชันหรือสายสัมพันธ์ที่ดีทางใดทางหนึ่งกับฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบันทั้งสิ้น
       
       จากการปะติดปะต่อเครือข่ายอำนาจในสนช.สามารถแบ่งได้เป็นก๊กใหญ่ๆ ประมาณ 3 ก๊ก นั่นคือ ก๊กแรกเป็นของพี่ใหญ่แห่งค่ายบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช. ที่หนีบเอากัลยาณมิตรเข้ามาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติได้เป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเหล่าท็อปบูตทั้งใน-นอกราชการ ตลอดจนบรรดาคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดที่มี “บิ๊กป้อม” เป็นประธานด้วย อาทิ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษา คสช. “บิ๊กหมู” พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำของ “บิ๊กป้อม” สมัยเป็น รมว.กลาโหม “บิ๊กหมู” พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 และเป็นทหารสายบูรพาพยัคฆ์เหมือนกัน พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา และเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 6 พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ อดีต สนช.ปี 49 พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4
       
       นอกจากนี้ยังหอบเอาน้องชายอีก 2 คน เข้ามาเป็น สนช.ด้วย คือ ในราย “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีต ส.ว.สรรหา มาด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม สำหรับก๊กนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงบรรดาบิ๊กทหาร และอดีตบิ๊กทหารที่เหลือที่แพกกันแน่นใน สนช.
       
       นอกจากขุมพลังของ “บิ๊กป้อม” แล้ว บรรดาอดีต ส.ว.ยังถือเป็นอีกหนึ่งก๊กที่มีจำนวนเสียงอยู่ในหลักสิบขึ้นไป นำโดยนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่รองประธาน สนช.คนที่ 1 นายพีระศักดิ์ พอจิต ว่าที่รองประธาน สนช.คนที่ 2 พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีต ส.ว.สรรหา พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานวุฒิสภา นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ อดีต ส.ว.สรรหา นายสมชาย แสวงการ อดีต ส.ว.สรรหา นายตวง อันทะไชย อดีต ส.ว.สรรหา นายมณเฑียร บุญตัน อดีต ส.ว.สรรหา นายสม จาตุศรีพิทักษ์ อดีต ส.ว.สรรหา นายบุญชัย โชควัฒนา อดีต ส.ว.สรรหา นางพิไลพรรณ สมบัติศิริ อดีต ส.ว.สรรหา พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ อดีต ส.ว.ชุมพร และนางนิพัทรา อมรรัตนเมธา อดีต ส.ว.ปทุมธานี
       
       กับอีกก๊กที่หลายฝ่ายมองข้าม แต่หากแพกกันแน่น ควบรวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้จะมีไม่น้อยไปกว่าอดีต ส.ว.เลยทีเดียว ซึ่งก๊กนี้ส่วนใหญ่เป็นคนสนิทของนายวิษณุ เครืองาม และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน สนช.ปี 49 ที่ไม่ได้เข้ามาเป็นสนช.ด้วยในครั้งนี้ อาทิ นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิ เคยเป็นหน้าห้องของนายมีชัย คุณพรทิพย์ จาละ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งสนิทกับนายมีชัย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นบุตรชายของนายสมภพ โหตระกิตย์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นอาจารย์ของนายมีชัย นางสุวิมล ภูมิสิงหราช อดีตเลขาธิการวุฒิสภา สมัยนายมีชัยเป็นประธานวุฒิสภา นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย อดีต ส.ว.รุ่นเดียวกับนายมีชัย
       
       เช่นเดียวกับคนสนิทของนายวิษณุ ที่มีทั้งนายศักดิ์ชัย ธนบุญชัย อดีตผู้บริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) นายชัชวาล อภิบาลศรี อดีต สนช.ปี 49 นายปรีชา วัชราภัย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นายสีมา สีมานันท์ อดีตเลขาธิการ ก.พ.เข้ามานั่งเป็น สนช.ในครั้งนี้ด้วย
       
       จะเห็นว่าบุคคลใน สนช.ทั้งหมดล้วนมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อันสะท้อนถึงหลักการในการคัดสรรคนเข้ามาว่าใช้ตรรกะใด
       
       กระทั่งมาถึงแม่น้ำอีกสายหนึ่งอย่างสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เริ่มเผาหัวด้วยการประกาศรายชื่อ 77 อรหันต์ ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ประธานและคณะกรรมการสรรหาสมาชิก สปช.ทั้งหมด 11 ด้านกันแล้ว ซึ่งหลายคนร้องยี้เพราะเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า เรื่องขุมข่ายอำนาจใน คสช.นั้นมีจริง เพราะบรรดาที่ปรึกษา คสช.ทั้ง 11 คน มานั่งประกบคุมกันเองหมดทุกคณะ แถมแต่ละคณะยังเลือกเอาบุคคลสนิทตัวเองเข้ามาเป็นกรรมการด้วย
       
       เริ่มตั้งแต่ด้านการเมืองที่มี “บิ๊กป้อม” กุมบังเหียน พร้อมกับลูกทีมคนอื่นๆ ที่เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนี้ที่มี “ธรรมศาสตร์คอนเนกชัน” เข้ามาเพียบ ทั้งนายนรนิติ เศรษฐบุตร นายสุรพล นิติไกรพจน์ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ หรือแม้แต่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย
       
       ขณะที่ด้านบริหารราชการแผ่นดินที่มี “วิษณุ” นั่งหัวแถว ก็หิ้วแก๊งสเตอร์เข้ามาพรึ่บ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรรมการกฤษฎีกา นำโดยศิษย์พี่ “อ.มีชัย” นายสุรชัย ภู่ประเสริฐ อดีตเลขาธิการ ครม. นายสีมา สีมานันท์
       
       ไม่ต่างจากด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ว่าที่ประธาน สนช.นำทีม ก็เกี่ยวแขนเอาคนสนิทแวดวงเดียวผู้พิพากษามาช่วยงาน อย่างนายประสพสุข บุญเดช อดีตประธานวุฒิสภา ซึ่งเคยเป็นอดีตประธานศาลอุทธรณ์ เป็นต้น
       
       ตลอดจนด้านพลังงานที่ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ปรึกษาคสช.ฝ่ายเศรษฐกิจ ควงแขนอดีตบิ๊ก ปตท.ถึง 3 คนเข้ามาเป็นอรหันต์คัดเลือกบุคคลในด้านนี้ ทั้งประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) นายพละ สุขเวช อดีตผู้ว่าการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และนายวิเศษ จูภิบาล อดีตผู้ว่าการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และอดีต รมว.พลังงาน สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       เรียกว่าเพียงแค่ตั้งบุคคลมาเป็นด่านอรหันต์คัดกรองก็ทำให้เห็นเค้าลางของ สปช.จำนวน 173 คนที่จะเข้ามาทำหน้าที่กันได้พอเลาๆ เพราะแน่นอนว่า คงไม่มีใครเลือกบุคคลที่มีทัศนคติแตกต่างจากเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่จะต้องเลือกบุคคลที่ไว้วางใจและคอนโทรลได้เข้าไปทำหน้าที่
       
       อย่าลืมว่า จำนวนสมาชิก สปช.173 คน ที่ 77 อรหันต์นั่งคัดเลือกกันอยู่ เป็นจำนวนเกินครึ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมดของ สปช.250 คน หรือจะบอกว่า ผู้ที่ถูกคัดสรรเข้าไปจะเป็นเสียงข้างมากใน สปช.ก็ได้ ดังนั้น จึงน่าจะเน้นคนที่รู้หน้ารู้ใจกันมากกว่า
       
       เมื่อเป็นเช่นนี้จึงน่าหวาดเสียวว่า หากผลออกมาเป็นหน้าเก่าๆ ที่มีคอนเนกชันกับฝั่งอำนาจ เหมือนกับ สนช.และตัวกรรมการสรรหาก่อนหน้านี้ อาจเป็นช่องให้ศัตรูนำไปดิสเครดิตได้ว่า ไม่มีความหลากหลาย เล่นพวกเล่นพ้อง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ซุ่มอยู่เงียบๆ ทุกวัน รอจังหวะ คสช.พลาด

แบบว่า พลั้งเมื่อไหร่ออกมาขยายปมขย่มซ้ำแน่!!

คอนเนคชั่นเซ็นกาเบียล


'บิ๊กป้อม-หม่อมอุ๋ย'กุนซือคสช.'ซ.ค.คอนเนกชั่น'
การเมือง : บทวิเคราะห์เนชั่น
วันที่ 2 มิถุนายน 2557 09:45

"คณะที่ปรึกษาทั้งหมดนี้ก็คือตัวเต็งที่จะได้รับเลือกให้ไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่"
 
พลันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดำเนินการยึดอำนาจรัฐ และเข้าควบคุมสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศได้ 1 สัปดาห์ จึงเห็นโฉมหน้าคณะที่ปรึกษา คสช. จำนวน 10 คน

คณะที่ปรึกษา คสช. แบ่งออกเป็น 2 สายคือ สายทหาร ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ., พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ อดีต ผบ.ทอ. , พล.อ.นพดล อินทปัญญา อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรอง ผบ.ทบ.

ส่วนสายพลเรือน ได้แก่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ,สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ,ณรงค์ชัย อัครเศรณี และ ยงยุทธ ยุทธวงศ์

แทบไม่น่าเชื่อว่าในที่ปรึกษา 10 คน มีถึง 4 คนที่เรียนจบโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล และในนั้นมี 2 คน เป็นเพื่อนรักร่วมรุ่น "เลือดน้ำเงิน-ขาว" ที่สื่อหลายสำนักเรียกขานว่า "เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น"

"ซ.ค.คอนเนกชั่น" ใน คสช.ที่ผู้คนกล่าวถึงนั้นคือ สายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ "หม่อมอุ๋ย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล

ย้อนไปเมื่อปี 2549 เมื่อ คมช. จัดตั้งรัฐบาลพลเรือน ปรากฏว่าทั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีหลายคน ก็เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เริ่มจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี , ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง, โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เป็นรองนายกฯและรัฐมนตรีอุตสาหกรรม , พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีคมนาคม และ ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ด้วยเหตุนี้ ปลายปี 2549 สมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเซนต์คาเบรียล โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และสมาคมผู้ปกครองและครูเซนต์คาเบรียล จึงจัดงาน "Saint Gabriel's Union is Strength น้ำเงินและขาว พลังแห่งเกียรติยศ" และมอบรางวัล Certificate of Vincent Mary ให้กับศิษย์เก่าดีเด่นที่ได้รับการดำรงตำแหน่งสำคัญ และรวมถึงบรรดา ครม.เลือดน้ำเงิน-ขาวด้วย

สำหรับวันนี้ "ซ.ค.คอนเนกชั่น" ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คนทั่วไปอีกครั้งในนาม "คณะที่ปรึกษา คสช." และยังพ่วงด้วยสายสัมพันธ์พิเศษ ที่ก่อรูปขึ้นโดย พล.อ.ประวิตร ผ่าน "มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด" ศูนย์รวมใจภายใน "กลุ่มเพื่อนประวิตร" อันคึกคักยามนี้

หลังจาก คสช.ประกาศแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา ก็มีข่าวเล็กๆชิ้นหนึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช. ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เดินทางเป็นประธานในการมอบทุนการศึกษา ให้แก่บุตร-ธิดาของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่โรงเรียนวังน้ำเย็นวิทยาคม อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว

หากเปิดดูรายชื่อคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด นอกจาก พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานกรรมการ ก็ยังพบ "บิ๊กเนม" มากมาย อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นรองประธานกรรมการ

พร้อมกับเหล่านายทหารอย่าง พล.อ.นพดล อินทปัญญา, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ,พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และน้องๆ จากบูรพาพยัคฆ์อีกหลายคน

นอกจากสายทหารบูรพาพยัคฆ์ ก็ยังมีตัวแทนกลุ่มทุนอย่าง พล.อ.พัฑฒะนะ พุธานานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เบียร์ทิพย์ บริวเวอรี่ (1991) จำกัด เป็นรองประธานกรรมการ

รวมถึงกรรมการที่ชื่อ ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ อดีตผู้บริหารองค์การโทรศัพท์ และผู้บริหาร "คอม-ลิงค์" บริษัทที่เคยวางระบบเคเบิลใยแก้วให้องค์การโทรศัพท์

สำหรับกรณีของ "คอม-ลิงค์" ยังผูกพันถึง "ซ.ค.คอนเนกชั่น" อีก 2 คนคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล กับ ศิริธัช โรจนพฤกษ์ ผู้บริหารคอม-ลิงค์คนหนึ่ง ทั้่งคู่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นน้ำเงิน-ขาว

ทั้งหมดนี้ล้วนถักทอเป็น "เครือข่ายมูลนิธิอนุรักษ์ป่าฯ" ที่มีสำนักงานอยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ (ร.1 รอ.)

ว่ากันว่า พล.อ.ประวิตร มิเพียงมี "ซ.ค.คอนเนกชั่น" หรือ "เครือข่ายมูลนิธิอนุรักษ์ป่าฯ" เท่านั้น หากยังมี "บิ๊กกี่" พล.อ.นพดล อินทปัญญา เพื่อนรักร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่นที่ 6 เป็นมือประสานสิบทิศ

"บิ๊กกี่" หรือ พล.อ.นพดล คือเพื่อนรักเตรียมทหารรุ่น 6 ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งชีวิตราชการของ พล.อ.นพดล จะอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)

ปี 2541 "บิ๊กกี่" ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.พล.1 รอ. และ "บิ๊กป้อม" ก็ครองตำแหน่ง ผบ.พล.2 รอ. แต่เส้นทางเหล็กของสองนายทหารคู่นี้ สะดุดด้วยปัญหาบางประการ

แต่เมื่อถึงยุคไทยรักไทย "บิ๊กเหวียง" พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็น รมว.กลาโหม และในฐานะน้องรักของบิ๊กเหวียง จึงทำให้ "บิ๊กกี่" ได้เป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม

ที่สำคัญ พล.อ.เชษฐา กับ "บิ๊กป้อม" ก็ถือเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ในหน่วย พล.ร.2 รอ. และบิ๊กเหวียง จึงเป็นกำลังสำคัญที่สนับสนุนบิ๊กป้อมขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

บิ๊กกี่เป็นนายทหาร ที่รู้จักผู้คนกว้างขวาง โดยเฉพาะนักการเมืองก็คุ้นเคยเกือบทุกพรรค รวมถึงสื่อมวลชนระดับคอลัมนิสต์ขาใหญ่ ซึ่งคณะที่ปรึกษา คสช. ได้มอบหมายให้บิ๊กกี่ ทำงานด้านสื่อ เพื่อการอธิบายความเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ของ คสช.

ทั้งบิ๊กป้อมกับบิ๊กกี่ ยังสนิทชิดเชื้อกับสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค ปชป. อันเนื่องมาจากการจัดตั้ง "รัฐบาลพลิกขั้ว" ในหน่วย ร.1 รอ. เมื่อปลายปี 2551

วงใน กปปส.ก็พูดถึงชื่อบิ๊กป้อมอยู่บ้าง จนไปสู่การขยายผลโจมตีอดีต ผบ.ทบ.ของคนเสื้อแดง

จะอย่างไรก็ตาม รายชื่อที่ปรึกษา คสช. ทั้ง 10 คน จะมีโครงสร้างคล้าย "คณะรัฐมนตรี" ภายใต้โครงสร้าง คสช. ที่มีหัวหน้า คสช. ที่เป็นทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ จะเป็นผู้ขอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนประเทศ

เชื่อว่า คณะที่ปรึกษาทั้งหมดนี้ ก็คือตัวเต็งที่จะได้รับเลือกให้ไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อย่างแน่นอน

Tags : พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ • ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล • เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น • คสช. • พล.อ.อนุพงษ์ • พล.อ.ประยุทธ์

กระเทาะเปลือก ครมประยุทธ

กะเทาะเนื้อใน “ครม.ประยุทธ์ 1” “ทหาร+เทคโนแครต” และสายสัมพันธ์ “ประวิตรคอนเน็กชั่น”! 

 “นักการเมือง-อดีต ส.ว.” วิเคราะห์ ครม.ประยุทธ์ 1 เป็น “ครม.ทหาร+เทคโนแครต” ภาพดีกว่ารัฐบาลยุคที่ผ่านมา แต่เตือน!อยู่นานเกิน 1 ปีครึ่งไม่ได้ เพราะประชาชนจะออกมาประท้วงซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ เจาะแนวคิดทหาร ทำไมต้องคุม “กลาโหม-มหาดไทย” และอีก 7 กระทรวงหลัก พร้อมเปิดสายสัมพันธ์แนบแน่น “ประวิตรคอนเน็กชั่น”

“3 ป. 3 พี่น้อง บูรพาพยัคฆ์”

ไม่พลิกโผแต่อย่างใด สำหรับโฉมหน้า ครม.ประยุทธ์ 1 ที่ฉายความสัมพันธ์อันแนบแน่นของ 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ที่เข้ามาเป็นใหญ่โดยพร้อมเพรียง คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ,พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่น้องอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป้อม” พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ได้ตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ควบ รมว.กระทรวงกลาโหม
ในส่วนของพล.อ.ประวิตร เคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงกลาโหมมาแล้วครั้งหนึ่ง ในยุคนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (20 ธ.ค.51-9 ส.ค.54) ก่อนหน้านี้เป็นผู้บัญชาการทหารบก (1 ต.ค.47-30 ก.ย.48)
บารมีบิ๊กป้อมฉายแววมากที่สุดหลังการทำรัฐประหารของ คสช.ครั้งนี้ โดยได้รับตำแหน่งเป็น ประธานที่ปรึกษา คสช. ในก่อนวันคล้ายวันเกิดล่วงหน้าในวันที่ 11 ส.ค. 2557 ที่ผ่านมานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคสช.พร้อมทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน ได้แก่ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ., พล.อ. ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ.,พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผช.ผบ.ทบ. และพล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ได้ไปอวยพรวันเกิดอายุ 69 ปี ถึงบ้านตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 2557
บารมีอีกเรื่องของบิ๊กป้อม ที่เป็นคุณต่อน้องชาย "พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ" คือ หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีอาญาและวินัยร้ายแรงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ต.ค. 2551 และพล.ต.อ.พัชรวาทได้รับโทษปลดออกจากราชการโดยคำสั่งสำนักนายกฯ วันที่ 19 ต.ค.52 แต่ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 17 ก.ค.57 หัวหน้า คสช.ได้เซ็นต์คำสั่งยกโทษปลดให้พล.ต.อ.พัชรวาท และประกาศลงราชกิจจานุเบกษาอย่างเงียบๆในวันที่ 23 ก.ค. 57 ด้วย นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2557
ขณะที่พี่รองบูรพาพยัคฆ์อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นั่งเป็น รมว.กระทรวงมหาดไทย
พล.อ.อนุพงษ์ หรือ “บิ๊กป๊อก” เป็นอดีตผบ.ทบ. (1 ต.ค.50-1 ต.ค.53) เป็นหนึ่งในทหารผู้ก่อการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณมาโดยตลอด หลังการทำรัฐประหารปี 2549 สำเร็จ พล.อ.อนุพงษ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) คู่กับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และเป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คมช.
นอกจากนี้คนที่โดดเด่นอีกคนหนึ่งคือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร หรือ “บิ๊กโด่ง” ได้รับตำแหน่ง รมช.กลาโหม ในครั้งนี้ โดย “บิ๊กโด่ง” มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพล.อ.ประวิตร ในฐานะ “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” อีกคนหนึ่ง เรียนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 14 และ “บิ๊กโด่ง”คนนี้เองที่เป็นหนึ่งในรายชื่อโผทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีสิทธิจะมีการแต่งตั้งให้เป็น “ผบ.ทบ.” คนต่อไปมากที่สุดในเวลานี้

“9 กระทรวง ทหารคุม”

ตามมาด้วยทหารรุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่ได้ดียกแผงตามมา ตั้งแต่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร (ตท.12) ผบ.สส.ได้ตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ (ตท.12 และจปร.23 รุ่นเดียวกันกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้เป็นรมว.กระทรวงพาณิชย์,พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (ตท.12 และจปร.23 รุ่นเดียวกันกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) รมว.กระทรวงแรงงาน,พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (ตท.12 และจปร.23 รุ่นเดียวกันกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เป็นรมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง (ตท.13) เป็น รมว.กระทรวงคมนาคม,พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย (ตท.13) รมว.กระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา (ตท.15,จปร.26) ฉายามือปราบเสื้อแดง พล.อ.ไพบูลย์ ได้ชื่อว่าเป็นน้องรักพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรณ ครม.ประยุทธ์ 1 นี้ได้นั่งเป็น รมว.กระทรวงยุติธรรม และ พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงษ์ (ตท.14) รมช.ศึกษาธิการ
จะเห็นได้ว่า งานที่ คสช.ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ที่ให้ทหารคนสนิทเข้านั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นประกอบด้วย งานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย ที่ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์ นั่งเป็นเจ้ากระทรวงด้วยตนเอง
ขณะที่งานด้านอื่นที่ทหารให้ความสำคัญจึงตามมาด้วย กระทรวงศึกษาธิการที่ให้ทั้ง พล.ร.อ.ณรงค์ และพล.ท.สุรเชษฐ นั่งในตำแหน่ง รมว. และ รมช.กระทรวงศึกษา ตามมาด้วยกระทรวงคมนาคม ที่ให้พล.อ.ประจิน เป็น รมว. ส่วนกระทรวงยุติธรรม ให้พล.อ.ไพบูลย์ เป็น รมว.รับงานหนักทั้งการชี้แจกกับต่างประเทศ และยังเกี่ยวเนื่องกับระบบยุติธรรมทางการเมืองทั้งหมดที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอยู่เสมอว่าทุกอย่างใครทำผิดจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่นายทหารเป็นเจ้ากระทรวงทั้งหมด
“ทหารนั่งกระทรวงไหน ก็บ่งบอกว่าทหารคิดอะไร หลักคิดของการยึดอำนาจครั้งนี้ ต้องย้อนไปว่าที่ผ่านมาฝ่ายการเมือง นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นระบบที่ล้มเหลวมาก ภาคประชาชนเองก็อยู่ในระดับที่ยันกันเอง จนหมดสภาพไปทุกฝ่าย ดังนั้นที่ทหารเข้ามาคือเรื่องของความมั่นคง ดังนั้นกระทรวงกลาโหม กับกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงสำคัญในเรื่องของความมั่นคงเป็นหลัก” แหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีต ส.ว. รายหนึ่งกล่าว
“ประวิตรคอนเน็กชั่น” +เซนต์คาเบรียล และ "เนวินคอนเน็กชั่น" 
คอนเน็กชั่นของ 3 พี่น้อง บูรพาพยัคฆ์ ที่มีพล.อ.ประวิตรเป็นพี่ใหญ่ ยังส่งผลมาถึงการคัดเลือกตัว รมต.ด้านเศรษฐกิจ ที่ได้หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล หรือหม่อมอุ๋ย เป็นรองนายกรัฐมนตรี คุมงานเศรษฐกิจ และ นายสมหมาย ภาษี รมว.กระทรวงการคลัง โดยสมหมาย ภาษี นี้เป็นอดีต รมช.กระทรวงการคลังในยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ หม่อมอุ๋ย ถือว่าเป็นคนในเครือข่าย “บิ๊กป้อมคอนเน็กชั่น” ที่แนบแน่น"จาก “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น" อย่างยิ่ง
ในความเป็นจริงแล้ว 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ นำโดยพล.อ.ประวิทย์นี้ ถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมืองมามากกว่า 5 ปีแล้ว ว่าเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ที่น่าสนใจ
ในกลุ่มอำนาจนี้ นอกจากความสนิทส่วนตัวในฐานะ “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น" ของบิ๊กป้อม ที่ประกอบด้วยนักการเมือง และนักธุรกิจตัวเป้งๆ แล้ว พล.อ.ประวิทย์ยังมีความสนิทสนมกับนักการเมืองเก่าอย่าง "นายเนวิน ชิดชอบ" และ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นอย่างยิ่งด้วย กระทั่งเคยจับมือกันไปคัดค้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีกรณีปลดพล.ต.อ.พัชรวาท น้องชายพล.อ.ประวิตรมาด้วยกันในช่วงปี พ.ศ. 2552
“เนวิน วิชัย เขาสนิทกับ พล.ต.อ.พัชรวาท แล้วก็พล.อ.ประวิตร มาก เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มก๊วนเดียวกันมานาน ทำงานด้วยกันมาหลายอย่าง” แหล่งข่าวนักการเมืองอาวุโสอีกรายกล่าวกับทีมข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์ 
ดังนั้นอย่าแปลกใจที่ ครม.ประยุทธ์ 1 มีชื่อของ “ปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” คนที่ได้ชื่อว่าใกล้ชิด นายเนวิน ชิดชอบอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสมัยที่ นายเนวินเป็น รมว.กระทรวงเกษตรฯ และนายปีติพงษ์ เป็นปลัดกระทรวงเกษตรฯ นอกจากนี้ยังรวมไปถึง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.คนล่าสุดที่ว่ากันว่ามีความสนิทแนบแน่นกับนายเนวินอีกคนหนึ่งที่ได้ตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลนี้ แม้ไม่ได้เป็นหนึ่งในครม.
กระทั่งวันนี้มีกระแสข่าวว่า นายเนวิน ชิดชอบ และ นายวิชัย รักศรีอักษร ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ และตัวแทนบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเกษตรแห่งหนึ่งได้เข้าพบตัวแทน คสช. ไปแล้วเรียบร้อย?
ครม. “ทหาร+เทคโนแครต” ภาพรวม "ดี"
อย่างไรก็ดี แม้จะยอมให้มีคนของเครือข่ายทางการเมืองติด ครม.มาด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ครม.ชุดนี้ ยังเน้นหนักไปที่ความเป็น ครม.ทหาร ผสม ข้าราชการ หรือ เทคโนแครตที่เป็นภาพที่เด่นชัด
“ความที่ควบคุมอำนาจของการรักษาความสงบของประเทศไว้ทุกอย่างเวลานี้ ทำให้ทหารไม่ต้องเกรงกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการจัด ครม. แต่เท่าที่เห็นคือ การที่มีเครือข่ายนักการเมืองเข้าร่วม ครม.น้อย และมีทหารและกลุ่มข้าราชการมาก มองดูแล้วในภาพรวมก็ยังดีกว่ารัฐบาลในฝ่ายการเมืองในระบบที่ผ่านมา” แหล่งข่าวอดีต ส.ว.กล่าว
ในส่วนของข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และนักวิชาการ จึงมีชื่อของ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีต รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในคณะรัฐมนตรีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (2528-2534) และเป็นผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (2535-2541) ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี
ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (พ.ศ. 2529 - 2541) ได้รับแต่งตั้งเป็น รมช.กระทรวงศึกษาธิการ
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) เป็น รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. วิษณุ เครืองาม รับราชการพลเรือนในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, รักษาการในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2535 สมัยรัฐบาลพล.อ.สุจินดา คราประยูร,อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2545 และศาสตราภิชานคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และช่วยดูงานด้านกฎหมายให้ คสช.
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล เริ่มต้นเข้ารับราชการในกองทัพบก ตำแหน่งอาจารย์สังกัดส่วนการศึกษา กองวิชากฎหมายและสังคมศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นยศร้อยเอก รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ อดีต ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสมหมาย ภาษี รมว.กระทรวงการคลัง อดีต รมช.กระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเคยถูกศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากกรณีสั่งพักงาน นายทัศพงษ์ วิชชุประภา ผู้บริหารบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด เมื่อปี พ.ศ. 2547 แต่ล่าสุดออกมาเปิดเผยว่ามีการอุทธรณ์และชนะคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่สื่อไม่ให้ความสนใจ ทำให้ตนเองยังถูกเข้าใจผิดเสมอมาว่าถูกศาลตัดสินจำคุก
นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ และเคยเป็นทูตใหญ่ประจำในหลายประเทศ ก่อนเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ได้รับตำแหน่ง รมช.ต่างประเทศ ว่ากันว่าเป็นอดีตทูตที่ฝีมือและฝีปากได้รับการยอมรับอย่างมาก 
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เป็น รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)ได้รับตำแหน่ง รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นับเป็นนายตำรวจที่ค่อนข้างมีชีวิตพลิกผันในช่วงชีวิตราชการปีนี้ เพราะตอนต้นปีถูกกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.โจมตีอย่างหนักพร้อมองค์กร สตช. และในช่วงต้นเมื่อ คสช.ยึดอำนาจการปกครองก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจมากนัก กระทั่งได้เก้าอี้รัฐมนตรีในที่สุด 
นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอดีตปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็น รมช.กระทรวงคมนาคม
ดร. พรชัย รุจิประภา อดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็น รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
นายสุธี มากบุญ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยและเคยเป็นผู้ว่าฯหลายจังหวัดทางภาคอีสาน มาช่วยงานในตำแหน่ง รมช.มหาดไทย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็น รมว.กระทรวงวัฒนธรรม
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ รัชตะ รัชตะนาวิน ประธานที่ประชุมอธิการบดี (ทปอ.) และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ตำแหน่ง รมว.กระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์ สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ เลขาธิการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และผู้มีบทบาทสำคัญในคณะกรรมการสมัชชาปฎิรูปประเทศ ที่มี นายแพทย์ ประเวศ วะสี เป็นประธาน เป็น รมช.กระทรวงสาธารณสุข
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่เคยนำอดีตข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้นเวที กปปส.ปทุมวันมาแล้ว ได้รับการแต่งตั้งเป็น รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม
เตือน! อย่าอยู่เกิน 1 ปีครึ่ง
“การจัดระเบียบใหม่ครั้งนี้ของทหาร มีความชอบธรรม เพราะตรงกับค่านิยมรักความสงบของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่ว่าอยู่นานได้ เพราะคนไทยก็ไม่ชอบให้ใครมาบังคับอะไรนานๆ ดังนั้นมองว่าทหารไม่ควรอยู่เกิน 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง เพราะประชาชนจะออกมาเรียกร้องสิทธิ์คืน ก็จะซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ ที่ทหารเข้ามาแก้ปัญหาทางการเมือง แต่ไม่ยอมออกจากอำนาจ” แหล่งข่าวซึ่งเป็นอดีต ส.ว.กล่าว
เช่นเดียวกับแหล่งข่าวนักการเมืองอาวุโส ที่มองว่า ทหารจะอยู่ในอำนาจนานไม่ได้ และไม่ควรอยู่นาน เพราะจะมีแผลได้ โดยเฉพาะหากแก้ปัญหาคนชั้นกลาง ไปถึงคนระดับรากหญ้า 3 เรื่องไม่สำเร็จ ได้แก่ ราคาผลผลิตทางการเกษตร,ค่าครองชีพ และหนี้สินประชาชน
“ปัญหาด้านเศรษฐกิจมันแย่ เพราะการบริหารของหลายรัฐบาลที่ผ่านมา เรียกว่าเศรษฐกิจไทยอ่วมมากแล้ว ทหารมาในวันที่เศรษฐกิจมันซบเซามาก ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจระดับปากท้องได้ คิดว่าประชาชนจะไม่ยอม”
นี่คือความเห็นของอดีตผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองที่ทำให้ ครม.ทหาร + เทคโนแครต วันนี้จึงต้องรับบทหนักในหมวกของการบริหารบ้านเมือง...
 
รายงานพิเศษโดย ณฐา จิรอนันตกุล และ วรรณพร แก้วแพรก ทีมข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์  

ข้อมูลผู้สมัคร สปช.ที่มีชื่อเสียง

ข้อมูล สปช.(บุคคลที่สมัคร)

ระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม-2 กันยายน คสช.ได้เปิดให้มีการเสนอชื่อบุคคลเพื่อสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แบ่งเป็น 11 ด้าน โดยมีบุคคลมีชื่อเสียงถูกเสนอชื่อเข้ามาจำนวนมาก เพื่อไปคัดเลือกให้เหลือจำนวน 250 คน
1.#ด้านการเมือง
1.สุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่
2.นายชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา สัดส่วนพรรคภูมิใจไทย
3.พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 (พรรคชาติพัฒนา)
4.นายชัยอนันต์ สมุทวณิช อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
5.นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.
6.นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต ส.ว.สรรหา
7.พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ อดีต ส.ว.
8.พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรอง ผบ.ทบ.
9.นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีต ส.ว. แกนนำกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ
10.นายดำรงค์ พิเดช หัวหน้าพรรคทวงคืนผืนป่า อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ
11.พล.ร.ท.ณรงค์ ชโลธร อดีตประธาน กกต.กทม.
12.นายบวร ยสินทร นักเคลื่อนไหว
13นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
14.นายสมศักดิ์ โกสัยสุข อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
15.นายจเด็จ อินสว่าง อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
16.นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการ นักการเมือง
17.นายอมร วาณิชวิวัฒน์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
18.นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีต ส.ว.สรรหา
19.นายประพันธ์ คูณมี อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
20.นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.
21.นายพิเชต สุนทรพิพิธ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
22.นายประพันธ์ นัยโกวิท อดีต กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง
23.นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
24.พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา อดีตประธาน กกต.กทม.
25.นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง
26.นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
27.พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาสันติ
28.นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
29.นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
2.#ด้านบริหารราชการแผ่นดิน
1.นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ อดีรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
2.พล.ร.อ.ประเสริฐ บุญทรง อดีต ผบ.ทร.
3.พล.อ.เผด็จการ จันทร์เสวก อดีตเสนาธิการทหาร
4.นายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต
5.นายพิทูร พุ่มหิรัญ อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
6.นายจุฑาธวัช อินทรสุขศรี อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน
7.นายสุชาติ ชวางกูร อดีตนักร้อง
8.นายพลเดช ปิ่นประทีป อดีต รมช.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
9.นางถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า
10.นายพยนต์ พันธ์ศรี อดีตเลขาธิการ ปปง.
11.นายสุชาติ เวโรจน์ อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง
12.พล.อ.อ.มนัส รูปขจร น้องชาย พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธาน ส.ว.
13.นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง
14.นายวิชัย ชื่นชมพูนุท รองประธานศาลปกครองสูงสุด
15.นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น
16.นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
17.นายสุภรัฐ จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน)
18.นายวิชัย ศรีขวัญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
19.นายผัน จันทรปาน อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
20.พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 
21.นายวีระ สมความคิด อดีตแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
22.นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
3.#ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
1.นางลีนา จังจรรจา
2.นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.
3.นายวันชัย สอนศิริ อดีต ส.ว.สรรหา
4.นายสงวน ลิ่วมโนมนต์ อดีตประธาน กกต.กทม.
5.พล.ต.อ.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ อดีต รมช.มหาดไทย
6.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ นักวิชาการ อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
7.นายอุดม รัฐอมฤต อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
8.นายชาติชาย สุทธิกลม เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
9.นายปัญญา อุดชาชน ที่ปรึกษาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
10.นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ
11.นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.
12.พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา (รอง ผบก.ศ.)
13.นายวรินทร์ เทียมจรัส อดีตส.ว.
14.นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตนายกสภาทนายความ และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 และ 50
15.พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี 
16.นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ
17.นายประเกียรติ นาสิมมา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย
18.พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
19.นายเฉลิมศักดิ์ จันทรทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
20.นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
21.พล.อ.จิระ โกมุทพงศ์ เจ้ากรมพระธรรมนูญ
22.นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
23.นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และอดีตกรรมการ กสทช.
4.#ด้านการปกครองท้องถิ่น
1.พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรคเพื่อไทย
2.นายนพดล แก้วสุพัฒน์ นายกสมาคมองค์กรบริหารส่วนตำบล
3.นายทองดี นามแสงโคตร (สหายพิชิต) อดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เคยนำกลุ่มชุมนุมต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สนามหลวง
4.นายพิพัฒน์ วงศาโรจน์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก
5.นายเศวต ทินกูล อดีต ส.ส.ร.2550
6.นายยุวัฒน์ วุฒิเมธี อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัด
7.นายระวี รุ่งเรือง ประธานเครือข่ายชาวนาไทย
8.คุณหญิงณัษฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม.
9.นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ อดีตปลัด กทม.
10.นายมนตรี เพชรขุ้ม อดีต ส.ส.ร.2550
11.นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
12.นายวุฒิสาร ตันไชย อดีต ส.ส.ร.2550 นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า
13.คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และ ส.ว.กทม.
14.นายจรัส สุวรรณมาลา อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต กปปส.
15.พ.ท.กมล ประจวบเหมาะ อดีต ส.ว.
16.นายวัลลภ พริ้งพงษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
5.#ด้านการศึกษา
1.นายบรรจง โซ๊ะมณี ประธานมูลนิธิเพื่อคุณธรรม
2.นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.นายศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ นายกสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย
4.นางจรวยพร ธรนินทร์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
5.นายวิทยากร เชียงกูล อาจารย์มหาวิทยารังสิต
6.นายวิบูลย์ แช่มชื่น อดีต ส.ว.
7.นายชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย นักวิชาการ
8.นายสุเมธ แย้มนุ่น อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
9.นายมีชัย วีระไวทยะ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
10.นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ "อาจารย์ยักษ์" อดีตผู้อำนวยการกองประเมินผลงาน สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
11.นายอมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
12. นายพนม พงษ์ไพบูลย์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
13.นายพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
14.นายประเสริฐ ผุดผ่อง ผอ.โรงเรียนวัดนวลนรดิศ
6.#ด้านเศรษฐกิจ
1.นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการบริษัทแพรนด้า จิวเวลรี่ เคยเคลื่อนไหวร่มกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
2.นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานสันนิบาตสหกรณ์แห่งชาติ
3.นายธนิต โสรัตน์ อดีตรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
4.นายวิชัย อัศรัสกร เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น
5.นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด (มหาชน)
6.นายพิสิฐ ลี้อาธรรม คณบดีเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อดีตรมช.คลัง
7.นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้
8.นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการพยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
9.นายอุเทน ยังประภากร ผู้บริหารฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ
10. นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
11.นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
7.#ด้านพลังงาน
1.นายณอคุณ สิทธิพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน
2.นายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตรองปลัดกระทรวงพลังงาน
3.นายบรรจง นะแส อดีตแกนนำต่อต้านท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย
4.นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อาจารย์เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5.นายอำนวย ทองสถิต อดีตอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทน
6.นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บมจ.ไทยออยล์
7.น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.
8.นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
9.นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด
8.#ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
1.นายเก่งกาจ จงใจพระ โหร
2.นางภรณี ลีนุตพงษ์ อดีตรองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ภรรยา นายถาวร ลีนุตพงษ์ อดีต ส.ว.และนักธุรกิจ)
3.นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
4.นายปานเทพ รัตนากร คณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
5.นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีต ส.ว. อดีตอธิบดีกรมชลประทาน
6.นพ.ประจวบ อึ๊งภากรณ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย
9.#ด้านสื่อสารมวลชน
1.นายณัฎฐชัย อักษรดิษฐ นายกสมาคมเคเบิลทีวี
2.พล.อ.สุภกิจ นุตสถิตย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทย
3.นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ อดีต ส.ส.ร. 2550
4.นายมานิจ สุขสมจิตร นักหนังสือพิมพ์
5.นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าว
6.นายนิพนธ์ นาคสมภพ อดีตผู้อำนวยการ อสมท
7.นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ อดีตผู้อำนวยการ อสมท
8.นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการหนังสือพิมพ์มติชน
9.นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
10.พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย อดีตโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส. )
11. นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี
10.#ด้านสังคม
1.นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
2.น.ส.ชรินทร์รัตน์ พุทธปวน อดีต ส.ส.หลายพรรค
3.นายสุทิน นพเกตุ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
4.นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตรองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
5.นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีต ส.ว.
6.นายชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ แกนนำกลุ่มศูนย์ประสานงานเพื่อประชาธิปไตย (คนเสื้อแดง)
7.นายประสงค์ นุรักษ์ อดีตส.ว.สรรหา
8.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี
9. นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.
10.นายวินัย พันธุรักษ์ นักร้องวงดิอิมพอสซิเบิ้ล
11.เรืออากาศตรีสุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ
12. นายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง
13.นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ
14.นายสมชาย เสียงหลาย อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
15.นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาฯมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
11.#ด้านอื่นๆ
1.นายสันติภาพ เตชะวนิช อดีตผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย
2.นายเทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.นายปกรณ์ ปรียากร อดีต ส.ส.ร.2550
4.พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีต รมช.กลาโหม
5.นายนัสเซอร์ ยีหมะ อดีตหัวหน้าการ์ดเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย
6.พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพน ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ พี่ชายนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
7.นายพิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร อดีตนักร้อง
8.นายชิน ฝ้ายเทศ หรือ ชินกร ไกรลาศ ศิลปินแห่งชาติ
9.นายธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินขลุ่ยชื่อดัง
10.นายศรสุทธา กลั่นมาลี หรือ ถั่วแระ เชิญยิ้ม นายกสมาคมศิลปินตลก
11.นายวิจิตร เกตุแก้ว อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย

ลีน่าจัง กับการเมืองไทยๆ

ลีนา จังจรรจา หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ ลีน่าจัง!! มาดูประวัติกันทำไหมเธอถึงได้หลุด 3 โลกได้ขนาดนี้!!

(เกิด 14 กันยายน 2502) เป็นนักธุรกิจชาวไทย เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปี 2547, 2551 และ 2552 นอกจากนี้ ลีนายังเปิดร้านขายเครื่องสำอาง "ไฮโซไซตี้" ที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ และประกอบอาชีพทนายความ

***ประวัติ....
ลีนาเกิดในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน มีชื่อแต่แรกเกิดว่า ลีนา แซ่จัง เป็นบุตรคนที่ 9 จากทั้งหมด 12 คน บิดาชื่อ คี่หงอ แซ่จัง มารดาชื่อ ล่วงมุ้ย แซ่ตั้ง ลีนาสมรสกับนายวันชัย แสงพรศรีอรุณ มีบุตรชายด้วยกันสองคน ต่อมาหย่าร้างกัน

เธอกล่าวถึงที่มาของชื่อว่า เมื่อบิดาของเธอไปแจ้งเกิดที่อำเภอ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยตั้งชื่อจริงให้เธอ ปรากฏว่าช่วงนั้นมีภาพยนตร์อินเดียที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งมีนางเอกชื่อ ลีนา เจ้าหน้าที่จึงตั้งชื่อดังกล่าวให้ ส่วนนามสกุล "จังจรรจา" เธอได้เปลี่ยนในปี พ.ศ. 2547 เมื่อครั้งลงสมัครเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร

ลีนาสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง[4] เคยร่วมขับไล่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี โดยแต่งกายฉูดฉาด เพราะอยากเป็นจุดเด่น และยังแต่งกายลักษณะเดียวกันเข้าชมการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ด้วย

ลีนาเปิดและเป็นประธานบริษัทขายส่งเครื่องสำอาง ตั้งร้านชื่อไฮโซไซตี้อยู่ที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ ลีนายังเปิดมูลนิธิลีนา เพื่อให้การช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่ประชาชน และเคลื่อนไหวทางการเมือง ลีนาเป็นจุดเด่นเพราะมักปฏิบัติกิจกรรมโดยแต่งกายฉูดฉาด เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกถอดออกจากช่อง 9 ลีนาก็ได้มอบดอกไม้ให้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ระหว่างดำเนินรายการนอกสถานเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 ด้วย

วันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ลีนาให้ข่าวแก่เอเอสทีวีผู้จัดการว่า สภาทนายความแห่งประเทศไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนที่ให้เงินเจ็ดหมื่นบาทแก่แม่บ้านของนาธาน โอมาน และการให้สัมภาษณ์ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยโดยไม่เหมาะสม

***บทบาททางการเมือง...
ในปี 2547 ลีนาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้หมายเลข 6 หาเสียงโดยใช้ถ้อยคำโฆษณาว่า "ลีนา มาจ๊ะจรรจา มาจ๊ะจรรจา มาจ๊ะ เบอร์ 6" แล้วร้องรำทำเพลงเต้นเริงร่าอยู่บนหลังรถกระบะที่ใช้หาเสียงแห่ไปบริเวณสยามสแควร์ คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงถอดถอนลีนา เพราะกฎหมายห้ามจัดมหรสพหรืองานรื่นเริงเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง

ใน 2549 ลีนาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หมายเลข 142 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง

ใน 2551 ลีนาได้ลงสมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกครั้ง ได้หมายเลข 7 ใช้ถ้อยคำโฆษณาว่า "ผู้หญิงมีต่อมความชั่วน้อยกว่าผู้ชาย" นำเสนอนโยบายจัดให้มีตั๋วอัจฉริยะอันเป็นตั๋วใช้โดยสารยวดยานสาธารณะทุกประเภท ทั้งรถประจำทาง รถไฟฟ้ามหานคร รถไฟฟ้าบีทีเอส และเรือด่วนเจ้าพระยา ขณะเดินหาเสียง ลีนาตกคลองแสนแสบพร้อมผู้ช่วยขณะพากันตรวจพิสูจน์น้ำคลอง โดยผู้ช่วยคนดังกล่าวถึงแก่ความตายด้วย มีการวิจารณ์กันว่าเป็นการสร้างภาพ

ต่อมาในปี 2552 ลีนาลงเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีก หลังการลาออกของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลีนา ได้หมายเลข 3 แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง

ต่อมา ลีนาได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพื่อลงเลือกตั้งในปลายปี 2550 แต่พรรคไม่สนับสนุน ลีนาจึงฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายหนึ่งพันล้านบาทจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรค ทว่า ศาลยกฟ้อง ลีนาจึงย้ายไปพรรคพลังแผ่นดินไทย แต่ที่สุดก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง

ในวันที่ 16 มกราคม 2551 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเปิดรับสมัครพนักงานเป็นวันแรก ลีนาได้ไปสมัครเป็นผู้ประกาศข่าวด้วย แต่ไม่ได้รับเลือก

ในหนังสือ "ปรากฏการณ์ยิ่งลักษณ์" ของสำนักพิมพ์วัฏฏะ คลาสสิฟายด์ส ลีนากล่าวตอนหนึ่งว่า บางครั้งคนกรุงเทพมหานครก็โง่เลือกคุณอภิสิทธิ์ เพราะรูปหล่อ และกล่าวโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าไม่มีความจริงใจ และเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2553 ลีนาเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ว่า "ดิฉันขอเรียกร้องให้ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์เปิดโอกาสให้คนเสื้อแดงได้ชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิด้วย" และว่า ตนเองได้รับผลกระทบเช่นกันจากการเป็นนักธุรกิจย่านท่าประตูน้ำ แต่ก็ยินดีที่จะเสียสละ

ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 หลังสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมฮอตทีวีของลีนาถูกสั่งปิดโดยประกาศกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ตามการประกาศกฎอัยการศึก ลีนาได้เข้าขอความเป็นธรรมกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะ ผอ.รส. ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต

***งานแสดง
พ.ศ. 2552 ลีนาได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง แต๋วเตะตีนระเบิด กำกับโดยนายพจน์ อานนท์ 
พ.ศ. 2552 ลีนาได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง หอแต๋วแตก แหกกระเจิง กำกับโดยนายพจน์ อานนท์ แต่ในวันแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น

รูปภาพของ มล เลิศคอนสาร
รูปภาพของ มล เลิศคอนสาร
รูปภาพของ มล เลิศคอนสาร

จับตาคดีเลือหตั้งผู้ว่า กทม.

01092557 คดีเลือกตั้งผู้ว่ากทม 3 มีนาคม 2556

• 31 สิงหา 2557 ทีมทนายความของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ทีมกฎหมายยังมีความมั่นใจในแนวทางการต่อสู้คดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง 
ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ใหม่ 
กรณีผู้สนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ปราศรัยใส่ร้ายคู่แข่งด้วยข้อความเท็จ
เป็นเหตุให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้เป็นไปโดยไม่สุจริต 
ตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 57 (5) ซึ่งทีมกฎหมาย 
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พร้อมเคารพคำวินิจฉัยของศาลรวมถึงเคารพกระบวนการยุติธรรม 
ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 5 กันยายน เวลา 09.30 น.
โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์และทีมทนายความทั้งหมดจะเดินทางไปรับฟังคำตัดสินในวันนั้นด้วย ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลอุทธรณ์จะมี 2 แนวทางคือ 
1. ยกฟ้องคดี
2. สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามคำร้องของ กกต.

• ทั้งนี้ผู้สันทัดกรณ๊ ที่ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และ
ติดตามพฤติกรรมของฝ่ายต่างๆที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
มีความเห็นว่า 
โอกาสที่ศาล จะยกฟ้องคดีมีสูง
เพราะน้ำหนักของคดีและหลักฐานที่นำมาอ้างฯ มีน้อยมากหรือเบามาก 
ซึ่งข้อเท็จจริงที่สาธารณชนรับทราบกัน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ไม่ได้นำเรื่องนี้ มาวินิจฉัยในการ จะตัดสินใจเลือกใครเป็นผู้ว่ากทม.
@ หากใช้กรณีมาตัดสินเรื่องใหญ่ที่เป็นมติของมหาชนแล้ว
ต่อไปจะเป็นเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดีต่อ การเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ฯ