PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปูด! “พล.อ.เลิศรัตน์”สปช.สายพลังงาน โผล่นั่งปธ.บอร์ด WEH เผย “นพพร” ถือหุ้นทำธุรกิจบริษัทหลายแห่งไม่มีรายได้ พบทุนจดทะเบียน 12 บริษัท 4.95 พันล้านบาท

ปูด! “พล.อ.เลิศรัตน์”สปช.สายพลังงาน โผล่นั่งปธ.บอร์ด WEH เผย “นพพร” ถือหุ้นทำธุรกิจบริษัทหลายแห่งไม่มีรายได้ พบทุนจดทะเบียน 12 บริษัท 4.95 พันล้านบาท
พบ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สปช.สายพลังงาน นั่ง กก.วินด์ เอนเนอร์ยี่ แถมได้รับเลือกนั่งประธานบอร์ด ข้อมูลชี้ “นพพร ศุภพิพัฒน์” ถือหุ้น 12 บริษัทพลังงาน มูลค่าเกือบ 5 พันล้าน
ASTVผู้จัดการ – พบ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สปช.สายพลังงาน นั่ง กก.วินด์ เอนเนอร์ยี่ แถมได้รับเลือกนั่งประธานบอร์ด ข้อมูลชี้ “นพพร ศุภพิพัฒน์” ถือหุ้น 12 บริษัทพลังงาน มูลค่าเกือบ 5 พันล้าน
ภายหลังศาลทหาร ออกหมายจับ นายนพพร หรือ นิค ศุภพิพัฒน์ อายุ 43 ปี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง บริษัทผลิตไฟฟ้าพลังลมรายใหญ่ของประเทศไทย ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้จ้างวานให้อุ้มนักธุรกิจเพื่อลดหนี้ให้กับตนเอง ซึ่งในระหว่างการเจรจา มีการข่มขู่ผู้เสียหาย โดยการแอบอ้างเบื้องสูง โดยมีรายงานว่านายนพพร ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศแล้ว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบแล้วว่า อยู่ในประเทศไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการประสานงานเพื่อขอตัวกลับมาดำเนินคดี
ก่อนหน้าที่จะมีการออกหมายจับนายนพพร นั้น ทางฝ่ายสืบสวนได้มีการเชิญตัวนายนพพร มาสอบปากคำไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยนายนพพร เดินทางมาพร้อมทนายความ เบื้องต้นให้การยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะมีการจ้างวานใครให้มาอุ้มผู้เสียหาย
“เพียงแต่ไปบ่นให้กลุ่มเพื่อนที่รู้จักกันฟังว่าเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น และก็มีคนมาติดต่อว่าจะเคลียร์ปัญหาเรื่องนี้ให้ และไม่รู้ข้อมูลว่าผู้ที่มาเคลียร์ปัญหาให้เป็นใครบ้าง”
• เครือข่าย “นพพร”บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง
ASTVผู้จัดการ ตรวจสอบข้อมูล ทางธุรกิจของ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ และบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง หรือWEH ระบุว่า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2552 ทุนปัจจุบัน 1,088,373,000 บาท สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 87 อาคารเอ็ม.ไทย.ทาวเวอร์ ออลซีซั่นส์เพลส ชั้น 27 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทที่ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า
นายนพพร ศุภพิพัฒน์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ รวมกับ นายธันว์ เหรียญสุวรรณ และนางสาวนันทิดา กิตติอิสรานนท์ รายชื่อกรรมการบริษัทฯประกอบไปด้วย นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ,นายธันว์ เหรียญสุวรรณ พบว่าเป็น ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลยุทธ์ลูกค้าบุคคลและกลยุทธ์และพัฒนาลูกค้าธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ,รศ.สมนึก ธีระกุลพิศุทธิ์ พบว่า เป็นอดีตคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ปัจจุบันเป็น สมาชิกสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน
นายอภิชาติ นารถศิลป์ พบชื่อเป็นกรรมการ บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ เป็น กรรมการบริษัท AIGGIC (Thailand) Ltd. ที่ปรึกษาแนะนําการลงทุน ,มิสเตอร์เพียร์ ครอก เมลการ์ด (ไม่ปรากฏข้อมูล)
น.ส.อณิชา อาศิรอโณ หรือแพม ปรากฏข้อมูล เรียนจบคณะ MBA มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ , น.ส.นันทิดา กิตติอิสรานนท์ ปรากฎข้อมูลเป็นบุตรสาวนายประเดช กิตติอิสรานนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ดีดีมาร์ท โฮลดิ้ง จำกัดและเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) (DEMCO)โดยถือหุ้นอยู่หลายบริษัท
ส่วน นายศรีสันต์ จิตรวรนันท์ ปรากฏชื่อ เป็นกรรกมารผู้จัดการ บริษัท อัลแฝบ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดผลิตภัณฑ์โลหะอื่น ๆ เป็นผู้จัดการกองทุน ออรีออส เซาท์ อีสท์ เอเชีย มีชื่อปรากฏถือหุ้นหลายแห่ง โดยเป็นผู้หนึ่งที่นิยมภาพวาดราคาแพง และมีชื่อประมูลภาพได้หลายครั้ง และ มีสเตอร์อามาน ลาคานีย์ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกองทุนกับนายศรีสันต์
• พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานบอร์ด WEH
“ในปี 2557 ทั้งนี้บริษัท มีความคืบหน้าในส่วนนี้ คือ ได้เลือกที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมดูแลเรื่องการขายหุ้นในส่วนของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศและเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา และได้มีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 โดยได้พิจารณาแต่งตั้งให้ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ (Chairman of the Board) และนายอภิชาติ นารถศิลป นายเพียร์ ครอก เมลการ์ด นางสาวนันทิดา กิตติอิสรานนท์ นางสาวอณิชา อาศิรอโณ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของ WEH ที่จะเดินหน้ารุกธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมอย่างจริงจัง”
จากบทความ InfoQuest News - คอลัมน์: CSR ACTIVITIES: 'วินด์เอนเนอร์ยี่'ผุดโครงการ'วินด์ฟาร์ม'เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตชุมชน-แหล่งน้ำ วันที่ 23 กรกฎาคม 2556 สัมภาษณ์นายนพพร ศุภพิพัฒน์
• ‘นพพร’ ชื่อโผล่ ถือหุ้น 12 บริษัทพลังงาน มูลค่าเกือบ 5 พันล้าน
จากการตรวจสอบยังพบว่า นายนพพร หรือนิค ยังปรากฎรายชื่อเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทเอกชน จำนวน 10 แห่ง คือ
1. บริษัท วะตะแบก วินด์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 2,236,985 บาท
2. บริษัท เค.อาร์. วัน จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มีรายได้รวม 1,984 บาท ขาดทุนสุทธิ 469,527 บาท
3. บริษัท เฟิร์ส โคราช วินด์ จำกัด แจ้งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท อีโอลัส พาวเวอร์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุดบริษัท จูบุ อีเล็คทริค พาวเวอร์ โคราช บี.วี. (เนเธอแลนด์) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) รายละ 39,920,400 หุ้น (20%) นายนพพร ศุภพิพัฒน์ มีชื่อเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มีรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า 1,235,408,881 บาท กำไรสุทธิ 611,935,292 บาท
4. บริษัท อีโอลัส พาวเวอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทที่ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาทล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 2,335,869 บาท
5. บริษัท เซาท์ กฤษณา วินด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด แจ้งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ กำไรสุทธิ 8,767.94 บาท
6. บริษัท แบ๊คค่า โมเดล แมเนจเม้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แจ้งประกอบธุรกิจบริการจัดหานักแสดง นายแบบ นางแบบ โมเดลลิ่ง (ที่มิใช่กิจการจัดหางาน) นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถือหุ้นใหญ่สุด 49,998 หุ้น มูลค่า 2,499,900 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มีรายได้ จากการบริการ 537,000 บาท ขาดทุนสุทธิ 649,326.88 บาท
7. บริษัท ร่มเกล้า วินด์ พาวเวอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 720,679 บาท
8. บริษัท ร้อยเอ็ด วินด์ พาวเวอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 408,664 บาท
9. บริษัท อีสต์ ห้วยบง วินด์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาทล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 399,311 บาท
10. บริษัท ไอส์แลนด์ วินด์ พาวเวอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า นายตฤณ รุจิรวณิช ถือหุ้นใหญ่ สุด นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ถืออยู่ 1 หุ้น มูลค่า 10 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ไม่มีรายได้ ขาดทุนสุทธิ 14,824.41 บาท
ขณะที่บริษัทหลายแห่งทำธุรกิจล่าสุดไม่มีรายได้ ทุนจดทะเบียน 12 บริษัท 4,959,194,300 บาท
• รายชื่อผู้ถือหุ้นร่วมบริษัทลูก
ขณะที่พบว่า รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2557 มีจำนวน 25 ราย ประกอบไปด้วย บริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ถืออยู่ 66,441,468 หุ้น มูลค่า 349,168,707.50 บาท บริษัท ดีดี มาร์ท โฮลดิ้ง จำกัด ถืออยู่ 18,657,106 หุ้น มูลค่า 113,064,347.50 บาท นายประเดช กิตติอิสรานนท์ ถืออยู่ 5,000,000 หุ้น มูลค่า 31,250,000 บาท บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) ถืออยู่ 4,210,526 หุ้น มูลค่า 42,105,260 บาท นายกำธร กิตติอิสรานนท์ ถืออยู่ 2,161,070 หุ้น มูลค่า 13,506,687.50 บาท
นางสาวเจนจิรา กิตติอิสรานนท์ ถืออยู่ 2,161,070 หุ้น มูลค่า 13,506,687.50 บาท นางสาวนันทิดา กิตติอิสรานนท์ ถืออยู่ 2,161,070 หุ้น มูลค่า 13,506,687.50 บาท นายสมพงษ์ กิตติพิพัฒน์ภูติ ถืออยู่ 850,000 หุ้น มูลค่า 8,500,000 บาท นางสาวจารุวรรณ วงษ์มา ถืออยู่ 700,000 หุ้น มูลค่า 4,375,000 บาท นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ถืออยู่ 507,000 หุ้น มูลค่า 5,070,000 บาท
นายชาย กุลวานิช ถืออยู่ 300,000 หุ้น มูลค่า 1,875,000 บาท นายวัชระ แก้วสว่าง ถืออยู่ 255,000 หุ้น มูลค่า 2,550,000 บาท นายศราวุธ อนรรฆธรรม ถืออยู่ 254,000 หุ้น มูลค่า 2,540,000 บาท นางจรีพร อนันตประยูร ถืออยู่ 253,500 หุ้น มูลค่า 2,535,000.00 บาท นายสมยศ อนันตประยูร ถืออยู่ 253,500 หุ้น มูลค่า 2,535,000 บาท นางสาวทวี ศรีอุทัย ถืออยู่ 250,000 หุ้น มูลค่า 2,500,000 บาท นาย สถาพร โพธิ์ทอง ถืออยู่ 217,000 หุ้น มูลค่า 2,170,000 บาท นายธันว์ เหรียญสุวรรณ ถืออยู่ 157,950 หุ้น มูลค่า 1,579,500 บาท นายสถาพร โพธิ์ทอง ถืออยู่ 150,000 หุ้น มูลค่า 1,500,000 บาท
บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ถืออยู่ 126,800 หุ้น มูลค่า 1,268,000 บาท นายโยธิน ธาราหิรัญโชติ ถืออยู่ 76,200 หุ้น มูลค่า 762,000 บาท นายวีราพัชร์ กิตติพิพัฒน์ภู ถืออยู่ 65,800 หุ้น มูลค่า 658,000 บาท นางสาว วรลักณ์ กุศลเพิ่มพูล ถืออยู่ 45,630 หุ้น มูลค่า 456,300 บาท นายวิชัย โอเจริญรัตน์ ถืออยู่ 25,300 หุ้น มูลค่า 253,000 บาท นางสาวจิระวดี เตชะวาทิน ถืออยู่ 2,002 หุ้น มูลค่า 12,512.50 บาท
ล่าสุดนำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ระบุว่า มีรายได้จากการบริการ 63,205,447 บาท ขาดทุนสุทธิ 323,698,287 บาท สินทรัพย์ 1,874,139,739 บาท หนี้สิน 992,971,368 บาท ขาดทุนสะสม 689,441,869 บาท
ส่วนบริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอยี คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด แจ้งจดทะเบียน 18 เมษายน 2549 ทุนปัจจุบัน 132,500,000 บาท ตั้งอยู่เลขที่ 24/38 ซอยรามอินทรา 34 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ประกอบธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ปรากฎชื่อนาย นพพร ศุภพิพัฒน์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว และถือหุ้นใหญ่สุด จำนวน 9,867,494 หุ้น มูลค่า 25,174,940 บาท ล่าสุดนำส่งงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 ระบุว่า มีรายได้รวม 93,748,531.79 บาท กำไรสุทธิ 46,734,342.31 บาท
ที่มาhttp://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…


ปัตตานี

Ampaipan Wachaporn ได้เพิ่มรูปภาพใหม่ 3 รูป
วันที่ 30 พ.ย.57 เผย..อาณาจักรปัตตานี เคยเป็นประเทศราชสยาม มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย (ตอนแรก)
Cr:แฉ..ความลับ @ เสธ นํ้าเงิน
ดั่งคำที่ว่า “หากเราไม่เรียนรู้อดีต ก็เท่ากับตามืดบอด และไม่อาจคาดอนาคต“ ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีกลุ่มวาฮาบี นอกรีตศาสนา นำไปเป็นข้ออ้างแบ่งแยกดินแดน จนมีกำลังพล และประชาชน สูญเสียชีวิตไปแล้วกว่า 5,350 คน บาดเจ็บกว่า 9,970 คน
อะไรคือรากเหง้าความเป็นมาของปัญหา ข้อเท็จจริงประวัติศาสตร์เป็นดังกลุ่มก่อการร้ายกล่าวอ้างจริงหรือไม่ ประชาชนควรได้ศึกษาประวัติ ของอาณาจักรปัตตานี้ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาปัจจุบัน และมองทางแก้อนาคตด้วย
อาณาจักรปัตตานี (มาเลย์: كراجأن ڤتاني; Kerajaan Patani) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสในปัจจุบัน อาณาจักรปัตตานีถือกำเนิดสืบเนื่องไปถึงสมัยลังกาสุกะ ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11
พ.ศ.1836 อาณาจักรสิงหัดสาหรี ตั้งอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกเจ้าชายจายากัตวัง แห่งแคว้นเคดิรี ลอบเข้ามาโจมตีนครหลวง ในขณะที่พระเจ้า เกอรตานาการา กำลังประกอบพิธีบูชาศิวะ พุทธเจ้า เจ้าชายวิชายา ราชบุตรเขย ซึ่งยอมจำนนต่อเจ้าชายจายากัตวัง และได้รับการแต่งตั้งให้ไปปกครองดินแดนในแถบลุ่มน้ำ Brantas
ได้รวบรวมกำลังขึ้นต่อสู้กู้เอกราชกลับคืนมาได้ และได้จัดตั้ง อาณาจักร มัชฌปาหิต ขึ้น อิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปาหิต ได้ส่ง กองทัพเรือ เข้ามายึดครอง ดินแดนตามหมู่เกาะ ตลอดขึ้นมาถึงปลายแหลมไทย-มลายู ยึดปาหัง เสียมวัง กลันตัน และตรังกานู ฯลฯ ซึ่งเรียกรวมๆ กันว่า ลังกาสุกะ
พ.ศ.1838 ในระยะเดียวกันนี้ อาณาจักรสุโขทัย ก็ได้แผ่อำนาจเข้ามาครอบครองรัฐละโว้-อโยธยา สุพรรณภูมิ และนครศรีธรรมราช ไว้ และได้ผนวกกำลังกันเข้าทำการขับไล่อิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปาหิต ออกไปจากแหลมไทยมลายู จีนส่งทูตมาตักเตือนสุโขทัย ไม่ให้รุกรานมาลิยูเออร์
รัฐลังกาสุกะ จึงเข้ามารวมอยู่ “ ในพระราชอาณาจักรของชาวสยาม” เป็นครั้งแรก ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพระญาติของพระเจ้าขุนรามคำแหง ตั้งแต่นั้นมา
พ.ศ.1866 อาณาจักรสุโขทัย หลังจากพ่อขุนรามคำแหงสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มา ไม่สามารถดำรงความเป็นผู้นำไว้ได้ พระบรมราชากษัตริย์แห่งรัฐละโว้ อโยธยา ทรงปฏิเสธต่ออำนาจอาณาจักรสุโขทัย และได้เข้ายึดครองเมืองนครศรีธรรมราช ตลอดไปจนถึงหัวเมืองต่างๆ บนแหลมมลายู
พ.ศ.1885 กษัตริย์ละโว้-อโยธยา ส่งพระพนมวัง-นางสะเดียงทอง ออกมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราช พระพนมวัง ได้สร้างเมืองนครดอนพระ (อำเภอกาญจนดิษฐ์) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นเป็นศูนย์การปกครองอยู่ชั่วคราว
พ.ศ.1887 พระพนมวัง แต่งตั้งให้พระฤทธิเทวา (เจสุตตรา) ออกไปครองเมืองปัตตานี โดยเรียกชื่อเมืองปัตตานีสมัยนั้นว่า "เมืองโกตามหลิฆัย" หรือ เรียกว่า "ลังกาสุกะ"
พ.ศ.1890 – 1893 พระฤทธิเทวา (พระเปตามไหยกา ของพญาอินทิรา) ได้นำชาวเมืองโกตามหลิฆัย ไปช่วยพระเจ้าอู่ทอง สร้างพระนครศรีอยุธยา
พ.ศ.1892 สยาม (อาณาจักรละโว้-อโยธยา ของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง) โจมตี Tammasik (สิงคโปร์) พระฤทธิ์เทวา (เจสุตตรา) ครองเมืองโกตามหลิฆัยอยู่จนถึงปี พ.ศ.1927 ก็สิ้นพระชนม์ รวมเป็นระยะเวลาที่ครองราชย์อยู่ 40 ปี กษัตริย์องค์ต่อมา เป็นสมเด็จพระอัยกาของพญาอินทิรา พระโอรสมีนามว่าพญาตุกูรุปมหาจันทรา
พ.ศ.1944 กษัตริย์มะละกาขณะนั้น คือ เจ้าชายปรเมศวร มีเชื้อสาย มาจาก ราชวงศ์ ไศเลนทร์ แห่งเมืองปาเล็มบัง ไปได้เจ้าหญิงในราชวงศ์มัชฌปาหิตมาเป็นพระชายา ต่อมาเกิดขบถขึ้นในเมืองมัชฌปาหิต โดยเจ้าชาย วีรภูมิเป็นผู้นำ จึงลี้ภัยการเมืองมาอาศัยเจ้าเมือง Tamasik (สิงคโปร์) ภายหลังเจ้าชาย ปรเมศวร ได้ลอบฆ่าเจ้าเมือง Tammasik
พ.ศ.1946 เจ้าเมืองปัตตานี ซึ่งเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง Tammasik ได้ขับไล่ปรเมศวรออกไปจากเมือง Tammasik ปรเมศวร จึงหนีมาตั้งเมืองมะละกาขึ้นใน ต่อมา เจ้าชายปรเมศวรได้อภิเษกสมรส กับ พระธิดาเจ้าเมืองปาไซ ในเกาะสุมาตรา ที่นับถือศาสนาอิสลาม
เจ้าชาย ปรเมศวร จึงเปลี่ยนจากการนับถือ ศาสนาฮินดู (ศิวะพุทธ) มาเป็นศาสนาอิสลาม และได้เฉลิมพระนามตามหลักการของศาสนาอิสลามมีนามว่า เมกัตอิสกานเดอร์ชาฮ์ พระองค์เดินทางไปเฝ้าจักรพรรดิ์จีน เพื่อขอให้จีนช่วยเจรจาห้ามปรามกษัตริย์ไทย ทำการรุกราน มะละกา แต่ฝ่ายไทยถือว่า ดินแดนมะละกา อยู่ในความปกครองของสยามมาก่อน
ตามหลักฐาน พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศว่า ครั้งนั้น พระยาประเทศราชเมืองขึ้น 16 เมือง ของสยาม คือ เมืองมะละกา เมืองชวา เมืองตะนาวศรี เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองเมาะลำเลิง เมืองสงขลา เมืองจันทบูร เมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย เมืองพิชัย เมืองสวรรคโลก เมืองพิจิตร เมืองกำแพงเพชร เมืองนครสวรรค์
พ.ศ.1903 - 1990 กฎมณเฑียรบาล ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ระบุว่ากษัตริย์ แต่ได้ถวายดอกไม้ทองเงินนั้น เมืองใต้ เมืองอุยงตาหนะ (หรือฮุยงเมทนี ยะโฮร์ และสิงคโปร์) เมืองมะละกา เมืองมลายู เมืองวรวารี (ไทรบุรี)
เดิมอาณาจักรปัตตานีนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่ในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ได้เริ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม และมีความเจริญรุ่งเรืองมาก โดยบางช่วงอาณาจักรแผ่ขยายครอบคลุมถึงกลันตันและตรังกานู ตอนกลางของมาเลเซีย
เมืองปัตตานี พัฒนาขึ้นมาจากหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งทะเล เมื่อมีเรือสินค้ามาจอดแวะอยู่บ่อยๆ เมืองก็ขยายตัวออกไป มีผู้คนมาอาศัยหนาแน่น รายาศรีวังสา จึงย้ายเมืองหลวงจากเมืองโกตามะห์ลิฆัย เมืองหลวงเก่า ไปยังปัตตานี สมัยนั้นการติดต่อกับต่างชาติ โดยเฉพาะอินเดียและอาหรับ ได้ส่งผลสำคัญคือการยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม
ในรัชสมัยของพญาอินทิรา (รายาอินทิรา) พระองค์ทรงประชวรด้วยโรคผิวหนังที่ไม่มีใครสามารถรักษาให้หายได้ (น่าจะเป็นโรคเรื้อน) หมอเป็นมุสลิม ชื่อ เช็คสอิด (เช็กซาฟานุคดีน) เป็นชาวเมืองปาไซ ในเกาะสุมาตรา ซึ่งเข้ามาตั้งบ้านอยู่ ณ หมู่บ้านปาไซ (บ้านป่าศรี ในท้องที่ อำเภอยะหริ่ง) ได้รับอาสาถวายการพยาบาล
โดยมีเงื่อนไขว่า หากพระองค์ได้รับการรักษาจนหายจากโรคแล้ว ขอให้รายาอินทิรา ทรงเปลี่ยนจากการเป็นพุทธมามกะ มาเป็นอิสลามิก ซึ่งต่อมาพระองค์ก็ได้รับการพยาบาลจากหมอเช็คสอิด จนโรคผิวหนังนั้นหายขาดสนิท และทรงปฏิบัติตามสัญญา ที่ให้ไว้แก่หมอเช็คสอิด
ด้วยการเข้ารับศาสนาอิสลาม เป็นพระองค์แรก ของกษัตริย์เมือง โกตามหลิฆัย และทรงเปลี่ยนพระนามพระองค์ ตามประเพณีศาสนามีนามว่า สุลต่านอิสมาแอล ชาห์ ซิลลุลลอฮ์ ฟิลอาลาม (สุลต่าน อิสมาเอลชาฮ์ หรือ สุลต่านมูฮัมหมัดชาฮ์) และการดัดแปลงอักษรอาหรับเป็นอักษรยาวี นอกจากนี้ยังติดต่อกับอาณาจักรอยุธยาอย่างใกล้ชิด
มีการย้ายเมืองหลวงจากโกตามาหาลิไกย มาตั้งที่กรือเซะ แล้วเปลี่ยนเป็นเมือง "ปตานิง" หรือ "ปาตานี" และเรียกชื่อเมืองปาตานีเป็น “ปาตานีดารุส สาลาม” แล้วมีการสืบทอดการปกครอง อาณาจักรปาตานีดารุส สาลาม เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา
พ.ศ.1988 – 2002 รัฐปัตตานี เปลี่ยนศาสนาเพราะมะละกา สาเหตุเพราะมะละกา โกรธแค้นไทยที่เคยไปโจมตีมะละกา สุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ จึงส่งกองทัพมาตีหัวเมืองประเทศราชของไทย คือ ปาหัง ตรังกานู และปัตตานีไว้ได้ระยะหนึ่ง
ในปี พ.ศ.2002 - 2020 ในสมัยของสุลต่านมันสุร์ชาฮ์ ราชโอรสของสุลต่านมุซัฟฟาร์ชาฮ์ ซึ่งครองราช ต่อจากพระราชบิดา จึงยอมตกลงเป็นมิตรกับไทย ดังนั้น หัวเมืองประเทศราชของไทย ซึ่งเคยนับถือศาสนาพุทธมาก่อน
ได้แก่ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน ปัตตานี และไทรบุรี ก็ทำการเปลี่ยนศาสนา ในรัชสมัยของกษัตริย์มะละกา เพราะระยะนั้น อาณาจักรมะละกา มีอำนาจทางการเมืองเข้มแข็งมาก และยังทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลาง การเผยแพร่ศาสนาอิสลามอีกด้วย
ระหว่างปี พ.ศ.2012 - 2057 ระยะเวลาที่พญาอินทิรา เจ้าเมืองปัตตานี ผู้เปลี่ยนศาสนา มารับอิสลาม ครองเมืองปัตตานี นั้น ใกล้เคียงกับสมัยของสุลต่านมันสุร์ชาฮ์มาก
พ.ศ. 2106 พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา รายามุซซอฟาร์ ได้ส่งทัพไปช่วย แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่ากองทัพปัตตานี กลับบุกเข้าไปในเมือง แม้จะยึดพระราชวังไว้ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกตีตอบโต้กลับมา รายามุซซอฟาร์สิ้นพระชนม์ขณะยกทัพกลับ พระศพถูกฝังไว้ที่ปากอ่าวริมแม่น้ำเจ้าพระยา โอรสของพระองค์จึงได้ชื่อว่า รายาปาเตะสิแย
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ความสัมพันธ์กับอยุธยาตกต่ำลง ขณะที่เหตุการณ์ภายใน ก็เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจในหมู่เครือญาติเรื่อยมา จนกระทั่งไม่มีผู้สืบทอดอำนาจหลงเหลือ บัลลังก์รายาจึงตกเป็นของสตรีในที่สุด
พ.ศ. 2127-2131 อาณาจักรปัตตานีในช่วงสมัยรายาฮีเยา ถึงรายากูนิง ซึ่งล้วนเป็นกษัตรีย์ ถือเป็นอาณาจักรของชาวมลายู หลังจากมะละกา ตกเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส ทำให้ปัตตานี กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขาย และมีความรุ่งเรืองมากที่สุด
พลเมืองปัตตานีมีชายอายุ 16-60 ปี มีอยู่ถึง 150,000 คน เมืองปัตตานีมีผู้คนหนาแน่น เต็มไปด้วยบ้านเรือน ราษฎร ตั้งแต่ประตูราชวัง ถึงตัวเมือง ปลูกสร้างเรียงรายไม่ขาดระยะ หากว่ามีแมวเดินบนหลังคาบ้านหลังแรกไปยังหลังสุดท้าย ก็เดินได้โดยไม่ต้องกระโดดลงบนพื้นดิน เจริญเทียบเท่ากับเมืองอัมสเตอร์ดัมในสเปนก็ไม่ปาน
ปัตตานีมีแคว้นต่างๆ อยู่ภายใต้การปกครองถึง 43 แคว้น รวมทั้งตรังกานู และกลันตันด้วย ในสมัยรายาฮิเยา การติดต่อค้าขายกับต่างชาติเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือสินค้าเข้ามาเทียบท่าอย่างไม่ขาดสาย และเริ่มการค้ากับ ฮอลันดา สเปน และ อังกฤษ เป็นครั้งแรก
พระองค์ยังพระราชทาน พระขนิษฐาอูงู แก่สุลต่านแคว้นปาหัง เพื่อคานอำนาจกับแคว้นยะโฮร์ ต่อมาในสมัยรายาบีรู ปัตตานีและกลันตัน รวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐปัตตานี และทรงพระราชทานพระธิดากูนิง ธิดาของพระขนิษฐาอูงู กับสุลต่านแคว้นปาหัง แก่ออกญาเดโช บุตรเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
พ.ศ. 2167 หลังจากรายาบีรู สวรรคต รายาอูงู ซึ่งเสด็จกลับมาจากปาหัง ก็ตัดสัมพันธ์กับอยุธยา ทรงยุติการส่งบรรณาการแด่อยุธยา ยกทัพตีเมืองพัทลุง และนครศรีธรรมราช พระนางยังให้พระธิดากูนิง ภรรยาของออกญาเดโช อภิเษกกับสุลต่านแคว้นยะโฮร์
พ.ศ. 2177 ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้พระเจ้าปราสาททอง ทรงส่งกองทัพเข้าโจมตีเมืองปัตตานี แต่ไม่อาจเอาชนะได้ เมื่อถึงปี พ.ศ. 2178 รายาอูงู เสด็จสวรรคต นำไปสู่การเจริญสัมพันธไมตรีที่แน่นแฟ้นของ 2 อาณาจักรขึ้นใหม่ในช่วงสั้นๆ ปัตตานีส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองแก่อยุธยาตามเดิม
พ.ศ. 2184 รายากูนิง เสด็จเยือนกรุงศรีอยุธยา แต่ความสัมพันธ์กับกลันตัน กลับตกต่ำลง ราชวงศ์ศรีวังสา สิ้นสุดลง เมื่อกองทัพกลันตันยกทัพตีเมืองปัตตานี แตกในปี พ.ศ. 2231 รายากูนิง เสด็จหนีไปแคว้นยะโฮร์ และสิ้นพระชนม์ลงระหว่างทางที่แคว้นกลันตัน
หลังจากนั้นมาอาณาจักรปัตตานี ก็ไม่สามารถกลับมารุ่งเรืองได้อย่างเก่าอีก และอยู่ภายใต้การปกครองของกลันตัน เศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้อาณาจักรอ่อนแอลง ปาตานีได้เปลี่ยนผู้ปกครองอีกหลายต่อหลายสมัย จนถึง สุลต่านอะหมัด
พ.ศ. 2329 รัชกาลที่ 1 ทรงยกกองทัพสยามตีเมืองปัตตานี เพราะถือเป็นเมืองประเทศราชเก่าแก่มาตั้งแต่อยุธยาตอนต้น โดยเข้าโจมตีทางบกและทางเรือ สุลต่านอะหมัด สิ้นชีพในการต่อสู้กับศัตรู ชาวมลายูปาตานีหลบหนี แยกย้ายกันไปอาศัยเมืองข้างเคียงอื่นๆ
บางกอก เป็นการทำสงครามครั้งที่ 6 ปาตานีต้องสูญเสียอำนาจแก่สยาม ประชาชนส่วนหนึ่งเป็นเชลย กองทัพสยามยึดเอาทรัพย์สมบัติ และปืนใหญ่ที่หล่อในสมัยรายาบีรูไป 3 กระบอก แต่เหลือมาถึงกรุงเทพเพียง 1 กระบอก คือปืนใหญ่พญาตานี (ปัจจุบันอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม )
ปัตตานีจีงเป็นประเทศราช ของสยามอีกครั้งตั้งแต่บัดนั้นมา สยามได้สถาปนา เต็งกูลัมมีเด็น เป็นเจ้าเมืองปาตานี แต่ภายหลังก็ต้องเสียชีวิต ในการทำสงครามกับสยามที่เขาลูกช้าง ในเมืองสงขลา
พ.ศ. 2334 - 2351 เกิดกบฏครั้งใหญ่ 4 ครั้ง ดาโต๊ะปังกาลัน ก็พ่ายแพ้แก่แม่ทัพสยามที่ปากน้ำปาตานี หลังจากนั้นอีก 5 ปี นายกวงไส ชาวจีนจากจะนะ เป็นเจ้าเมืองปาตานี
พ.ศ.2359 ในสมัยรัชกาลที่ 2 ทรงได้ปฏิรูปหัวเมืองประเทศราชโดย แบ่งแยกอาณาจักรปาตานีออกเป็น 7 หัวเมือง เพื่อลดทอนอำนาจของปาตานีลง และให้อยู่ภายใต้การควบคุมของสงขลา แต่งตั้งให้ ต่วนสุหลง เป็นเจ้าเมืองปาตานี , ต่วนนิ เป็นเจ้าเมืองหนองจิก , ต่วนมันโซร์ เป็นเจ้าเมืองรามัน
ต่วนยาลอ เป็นเจ้าเมืองยะลา , ต่วนนิดะห์ เป็นเจ้าเมืองระแงะ , ต่วนนิเด๊ะ เป็นเจ้าเมืองสายบุรี และนายพ่าย (ชาวสยาม) เป็นเจ้าเมืองยะหริ่ง
ปี พ.ศ. 2375 เกิดสงครามระหว่างสยาม กับ มลายู โดยเต็งกูเด็น แม่ทัพของสุลต่านอาหมัด ตายูดดีน แห่งรัฐเคดะห์ เมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆ ของปาตานี ต่างก็ถูกเกณฑ์ไปร่วมกับสยามโดยหัวเมืองสงขลา และนครศรีธรรมราช ต่อสู้กับเคดะห์
แต่การณ์กลับตาลปัด ที่บรรดาเจ้าเมืองมายู กลับเข้าร่วมกับกองทัพของเต็งกูเด็น แม่ทัพเคดะห์ เข้ารบพุ่งกับกองทัพสยาม จนต้องล่าถอยไป จวบจนกระทั่งกองทัพใหญ่จากกรุงเทพฯ ลงมาร่วมกับนครศรีธรรมราช สงขลา เข้าตีกองทัพเคดะห์ และปาตานี จนแตกล่าถอยไป
ต่อมา ต่วนกูสุหลง เจ้าเมืองปัตตานี , ต่วนกูโน เจ้าเมือง ยะลา , และต่วนกือจิ เจ้าเมืองหนองจิก สามพี่น้อง ถูกจับกุมตัวและถูกประหารชีวิตโทษฐานเป็นกบฏต่อสยาม หลังจากนั้นเจ้าเมืองสงขลา ได้แต่งตั้งเจ้าเมืองปกครองหัวเมืองปัตตานีต่างๆ เสียใหม่ ภายใต้การควบคุมของเมืองสงขลาเช่นเดิม เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้ง ตกทอดแก่ชาวมลายูบ้าง ชาวสยามบ้างตามสถานการณ์
พ.ศ. 2374 - 2381 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงตัดสินพระทัย ให้ราชวงศ์กลันตัน ปกครองปัตตานี
** ในตอนต่อไปจะยิ่งเข้มข้น ถึงจุดการล่มสลายของเจ้าผู้ปกครองรัฐปัตตานี ที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/295017520688282
@ เสธ น้ำเงิน3

กรณีศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาสั่งให้ "กทม.-เขตปทุมวัน" รื้อถอนโรงแรมสูง 24 ชั้น "ดิ เอทัส บางกอก"

ประชาชนเป็นใหญ่ ในแผ่นดิน !
ข่าวศาลปกครองสูงสุด
มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาสั่งให้ "กทม.-เขตปทุมวัน" รื้อถอนโรงแรมสูง 24 ชั้น "ดิ เอทัส บางกอก"
ข่าว "ศาลปกครองสูงสุด" มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น พิพากษาสั่งให้ "กทม.-เขตปทุมวัน" รื้อถอนโรงแรมสูง 24 ชั้น "ดิ เอทัส บางกอก" ซึ่งตั้งอยู่ในซอยร่วมฤดี ให้เหลือเพียง 10 ชั้น ภายใน 60 วัน ถือเป็นข่าวสั่นสะเทือนวงการอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง
โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า...เขตทางของถนนซอยร่วมฤดีมิได้มีเขตทางกว้าง 10.00 เมตร ตลอดแนว คือมีความกว้างน้อยกว่า 10.00 เมตร ถึง 8 จุด การก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร จึงไม่ชอบด้วยข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่า "กทม.-เขตปทุมวัน" ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 และมาตรา 43 แห่งพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ดำเนินการ ซึ่งก่อสร้างอาคารดังกล่าวนี้ ขัดต่อข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึง "ละเลย" ต่อหน้าที่ตามที่พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 กำหนดให้ต้องปฏิบัติ
หลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่า ถนนซอยร่วมฤดีมีความกว้างไม่ถึง 10 เมตรก็คือ เมื่อปี 2553 "กรมที่ดิน" ได้ทำการรังวัดและพบว่า ถนนตลอดทั้่งแนวมี 8 จุด ที่มีความยาว 9.146 เมตร 9.207 เมตร 9.949 เมตร 9.434 เมตร 9.492 เมตร 9.150 เมตร 9.658 เมตร และ 9.283 เมตร ตามลำดับ
นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ "ศาลปกครองสูงสุด" เห็นว่า "กทม.-เขตปทุมวัน" ซึ่งเป็นผู้อนุญาตให้มีการก่อสร้าง "ละเลย" ต่อหน้าที่ โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่ระบุไว้ว่า "ซอยที่มีความกว้างไม่เกิน 10 เมตรตลอดแนวไปจนถึงถนนสาธารณะ ไม่สามารถก่อสร้างอาคารที่มีความสูงเกิน 8 ชั้น หรือเกินกว่า 23 เมตรได้"
หลังมีคำพิพากษาออกมา "เฉลิมพงษ์ กลับดี" หัวหน้าศูนย์ทนายความอาสา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า คดีนี้เป็นบทเรียนให้กับ "กทม." ที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ก่อนจะอนุญาตให้มีการก่อสร้างอาคารใหญ่ในพื้นที่ซอยแคบ โดยศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี คือ "ผู้ว่าฯกทม." และ "ผู้อำนวยการเขตปุทมวัน" ต้องปฏิบัติตามกฏหมายควบคุมอาคาร 2522 ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง โดยกทม.ต้องดำเนินการให้เจ้าของอาคาร ปรับปรุงอาคาร หรือแก้ไขให้ถูกต้องตามกฏหมาย
6 ปีเต็มแห่งการต่อสู้ของ "ชุมชนชาวร่วมฤดี" ถือเป็นบรรทัดฐานอย่างดีว่า "กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย"
และเป็นบูมเมอแรงดีดใส่ "ผู้ว่าฯกทม." และ "ผอ.เขตปทุมวัน" ว่า...เซ็นใบอนุญาตให้โรงแรมแห่งนี้ก่อสร้างได้อย่างไร???
คนระดับ "ผู้ว่าฯกทม." และ "ผอ.เขตปทุมวัน" จะไม่รู้เชียวหรือว่า...กฎหมายมีข้อห้ามนี้ไว้!!!
ซึ่ง 6 ปีก่อนคนที่นั่งเป็นผู้ว่าฯกทม.ชื่อ "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" และคนที่นั่งเป็นผอ.เขตปทุมวันชื่อ "สุรเกียรติ์ ลิ้มเจริญ"
สำหรับ "อภิรักษ์" นั้น...ในช่วงที่นั่งเป็นผู้ว่าฯกทม. นอกเหนือจากเรื่องร้อนๆ นี้แล้ว ยังมีเรื่อง "รถ-เรือดับเพลิงฉาว" อีก...ยังจำกันได้หรือไม่
กรณีนี้...เป็นบทเรียนชั้นดีให้กับ "นักการเมือง" และ "ข้าราชการ" ได้ตระหนักรู้เป็นอย่างดีว่า การบังคับใช้กฎหมายที่แท้จริงให้เกิดผลสูงสุดต่อสังคมและประเทศ...เป็นอย่างไร ???
.........................................


'ผบ.ทบ.'รูดซิป'มทภ.1'แฉ5นศ. ปัดตอบเลิกอัยการศึกช่วงปีใหม่

'ผบ.ทบ.'รูดซิป'มทภ.1'แฉ5นศ. ปัดตอบเลิกอัยการศึกช่วงปีใหม่
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มการยกเลิกกฎอัยการศึกในช่วงปีใหม่ในพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อลดความกดดันกระแสการต่อต้านว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้ายังมีสิ่งที่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษก็ยังต้องใช้อยู่ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีแนวความคิดอะไรเลย ยอมรับว่ามีแต่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ถ้าสถานการณ์นิ่งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่หากยังมีกระแสอะไรอยู่บ้างก็ยังจำเป็นอยู่
เมื่อถามว่ากลุ่มคนที่ชู 3 นิ้วเป็นปัจจัยที่ต้องคงกฎอัยการศึกหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็คงต้องทำความเข้าใจ คิดว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจ ส่วนกรณีที่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (ผบ.กกล.รส.) ออกมาเปิดเผยข้อมูลของกลุ่มเคลื่อนไหวนั้น แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และตนเป็น ผบ.ทบ. ถ้ามีอะไรก็มาถามตนได้ เรื่องนี้อาจจะมีข้อมูล แต่ต้องตรวจสอบต่อไป การที่พูดออกไปก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นอะไร ในเรื่องของข้อมูลอาจจะมีบ้าง แต่กลุ่มคนเหล่านั้นก็เป็นเด็กนักศึกษา ตนเองก็มีลูกและมีความเข้าใจ ไม่ได้ไปปิดกั้นอะไร แต่อยากตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทำกับผู้นำสูงสุดของประเทศสมควรหรือไม่ ตนเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็เห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ลงพื้นที่ด้วยความตั้งใจดี อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ต้องทำความเข้าใจ โดยมีกระบวนการในการแก้ไขความไม่เหมาะสมนี้บ้าง ซึ่งก็ขอให้เข้าใจ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นก็ต้องตามว่าเป็นใคร เป็นเรื่องปกติ เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็ทำความเข้าในเพิ่มเติม
“ผมขอร้องว่าอย่าให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต จากนี้ต่อไปมีอะไรขอให้ถามผม และไม่ต้องถามแม่ทัพภาคที่ 1 แล้ว ผมเป็นผู้บังคับบัญชาแม่ทัพภาคที่ 1 ผมจะตอบให้เอง เราไม่ได้ตั้งใจจะไปละเมิดอะไรต่างๆ แต่เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องหาข้อมูลและพูดอะไรออกไปบ้างก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนต่อไป ขอให้ทุกคนเข้าใจ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ต่อไป ส่วนผู้มีผลกระทบจะชี้แจงอะไร ทางกองทัพบกยินดีรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันว่าสิ่งไหนถูกต้องหรือไม่” พล.อ.อุดมเดช กล่าว
เมื่อถามว่ามีนักการเมืองได้ขออนุญาต คสช. เดินทางออกไปนอกประเทศช่วงปีใหม่หรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ก็มี เมื่อมีการดำเนินการผ่านทาง คสช. ก็จะพิจารณาความเหมาะสม หากบุคคลเหล่านั้นมีความเรียบร้อยดีและปฏิบัติตัวดีอยู่กรอบ ตนก็เข้าใจ เมื่อถามย้ำว่ามีชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ตนยังไม่เห็น แต่โดยทั่วไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ละคนที่เดินทางไปต่างประเทศก็ให้ความร่วมมือกับ คสช. ซึ่งต้องขอขอบคุณด้วย ถ้าดำเนินการเรียบร้อยดีเช่นนี้โรดแมปที่ คสช.กำหนดไว้ก็จะสำเร็จ อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือทุกคนช่วยกัน
ที่มา : แนวหน้า


นายกรัฐมนตรีพบผู้บริหารสื่อ

'ประยุทธ์'ถกผู้บริหารสื่อ 16 สำนัก ชี้แจงการทำงาน'รัฐบาล-คสช.'
Cr:แนวหน้า
3 ธ.ค.57 ที่ห้องราชาวดี สโมสรราชพฤกษ์ นอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เชิญผู้บริหารสื่อสิงพิมพ์ 16 ฉบับ อาทิ นายสราวุธ วัชรพล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ , นายคำรณ ชูดี หัวหน้าข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ , นายประชา เหตะกูล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ , นายฐากูร บุนปาน บรรณาธิการอำนวยการเครือมติชน , นายภัทระ คำพิทักษ์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ , นายฉัตรชัย นามตาปี บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ , นายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น เป็นต้น เข้ารับฟังการชี้แจงทำความเข้าใจการทำงานของรัฐบาล และ คสช.
สำหรับการเชิญสื่อครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้ทีมงานส่วนตัวโทรศัพท์ประสานโดยตรงไปยังผู้บริหารสื่อสิ่งพิมพ์แต่ละแห่ง โดยไม่ได้ผ่านเจ้าหน้าที่สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้มีรัฐมนตรี และ คสช.อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิก คสช. , นายวิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี , พล.อ.จีระศักดิ์ ชมประสพ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ร่วมด้วย
ทั้งนี้ บรรยากาศในการพูดคุยเป็นแบบกันเอง นั่งพูดคุยโต๊ะกลม โดยใช้เวลาพูดคุยกว่า 1 ชั่วโมง โดย นายกฯ ได้ชี้แจงเหตุผลการเข้ายึดอำนาจ และการทำงาน คสช.และรัฐบาล ได้ทำอะไรไปบ้าง รวมถึงงานที่จะทำต่อไป นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้มอบชุเ "พระพุทธเมตตาเสนานาถ" ประกอบด้วยกัน 4 องค์ ให้เป็นที่ระลึก


สถานการณ์ข่าว3ธ.ค.57

สปช./กมธ.ยกร่าง

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นัดประชุมเพื่อพิจารณารายงานจาก 10 อนุฯ ต่อเนื่อง ขณะบ่าย สสส. เตรียมยื่น "บวรศักดิ์" ขอเสนอแนวทางจัดทำรัฐธรรมนูญ

บรรยากาศที่รัฐสภา เช้านี้ การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยในเวลา 10.00 น. ยังคงมีการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2557

เพื่อพิจารณารายงานข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมาธิการด้านเนื้อหา ทั้ง 10 คณะ ในการประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการวิสามัญการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิด
เห็นของประชาชน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นัดประชุมเพื่อพิจารณาการตั้งคณะอนุกรรมาธิการฯ ประจำจังหวัด

สำหรับช่วงบ่ายเวลา 13.00 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะรับยื่นหนังสือจาก มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาดร่วมกับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และ

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) เพื่อเสนอแนะแสดงความคิดเห็นต่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญรวมทั้งแนวทางในการปฏิรูปด้านต่าง ๆ
-------
ปธ.อนุ กมธ.ชุดที่ 8 ย้ำเสนอความเห็น เน้นการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตั้งสภาตรวจสอบ 77 จังหวัด สมัชชาคุณธรรม สภาคุ้มครองสิทธิ์ฯ จี้ปฏิรูป กสทช. - อสส.

นายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการ คณะที่ 8 รับผิดชอบศึกษาเกี่ยวกับ ภาค 3 นิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หมวด 2 การ

ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ องค์กรอิสระ องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ เปิดเผยกับสำนักข่าว INN ว่า กรอบเนื้อหาเบื้องต้นที่ได้รายงานต่อ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญชุดใหญ่ไปนั้น มี 2 ส่วน ประกอบด้วย

เรื่องการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งจะมีการเพิ่มกลไกตรวจสอบของภาคประชาชน เช่น ตั้งสภาตรวจสอบ 77 จังหวัด ขณะที่ ส่วนกลาง ก็จะตั้ง สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ และสภาคุ้มครองสิทธิ

มนุษยชน และสิทธิผู้บริโภค ขึ้นมา

ส่วนเรื่ององค์กรอิสระ ก็จะมีการปรับปลี่ยนใหม่ เป็นองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เช่น คณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), ผู้

ตรวจการแผ่นดิน, สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เป็นต้น และ องค์กรกำกับดูแลอื่น ๆ เช่น กสทช. ที่จะต้องมีการยกเครื่องใหม่ เพราะการทำหน้าที่ มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส ใช้งบประมาณตรวจ

สอบไม่ได้ และควรเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นคณกะรรมการกำกับสื่อสารสารธารณแห่งชาติเท่านั้น ตลอดจนองค์กรอัยการก็ควรจะมีการปรับปรุงด้วยเช่นกัน
------------
"วันชัย" แจงปฏิรูปตำรวจเพื่อแก้ปัญหาสะสมยาวนาน ป้องกันการเมืองแทรก พร้อมเดินหน้าทันที ยกร่างกฎหมายลูกรองรับ

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า เบื้องต้น กมธ. มีมติเสนอให้มี

การปฏิรูปตำรวจอย่างเป็นระบบ เพราะเห็นว่ามีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถึอว่าป็นการผ่าตัดใหญ่ เพื่อให้มีอิสระในการทำหน้าที่ ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง รวมถึงเพื่อ กระจายอำนาจ

ตำรวจ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเข้าไปบริหารองค์กรตำรวจมากขึ้น

ทั้งนี้ ในส่วนของรายละเอียดต่าง ๆ นั้น จะต้องรอดูเนื้อหาของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้งว่าจะบัญญัติไว้อย่างไรบ้าง และ กมธ. จะต้องดำเนินการต่อในการร่างกฎหมายประกอบรัฐ

ธรรมนูญ ซึ่งเบื้องต้นมีการวางแผนที่จะตั้งอนุกรรมาธิการในแต่ละด้านที่จะต้องปฏิรูปตำรวจ ศึกษารายละเอียดและยกร่างกฎหมายขึ้นมา เพื่อเสนอให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกเป็นกฎ
หมายต่อไป
-----------------
"สมบัติ" ระบุ ต้องปรับโครงสร้างทางการเมือง ให้ ปชช. มีส่วนร่วม ฝ่ายบริหาร - นิติบัญญัติ ต้องมีเสถียรภาพสูง ส.ส. ไม่จำเป็นสังกัดพรรค

ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองกล่าวปาฐกถา หัวข้อเรื่อง "การปฏิรูปโครงสร้างการเมืองไทย" โดยกล่าว

ถึงโครงสร้างทางการเมืองในประเทศไทยที่ผ่านมาว่า จะต้องมีการปรับโครงสร้างการเมืองใหม่เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีเสถียรภาพสูง สามารถ

อยู่ครบกำหนด พร้อมไม่มีการยุบสภาและไม่ไว้วางใจ มีการตรวจสอบเข้มข้น เนื่องจากอัยการมีความเป็นอิสระไม่มีการแทรกแซง ทั้งนี้ การใช้ระบบ 2 สภา ทำให้การแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และ

ส.ส. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีจุดอ่อน เพราะประเทศไทยไม่ใช่ระบบพรรคการเมือง 2 พรรค และฝ่ายบริหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงทำให้เกิดปัญหาอย่างเช่นปัจจุบัน
--------------
คำนูณ เผย กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เตรียมพิจารณาคณะอนุกรรมาธิการที่ 2 ว่าด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมือง

บรรยากาศการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการ ล่าสุด เข้าสู่การประชุมแล้ว โดย นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่าง

รัฐธรรมนูญ เปิดเผยก่อนประชุมว่า วันนี้จะพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการคณะที่ 2 เกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ ของพลเมือง ประเด็นการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยมีกรอบสาระสำคัญ คือ

กระบวนการที่ให้ประชาชนมีส่วนในร่วมรับฟังความคิดเห็น ซึ่งจะนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2550 หมวด 3 ว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย มาเป็นแนวทาง

จากนั้น จะเป็นการพิจารณาเรื่องศาลและกระบวนการยุติธรรมของคณะอนุกรรมาธิการคณะที่ 7 ส่วนข้อเสนอรูปแบบการเลือกตั้งแบบประเทศเยอรมนี นั้น คณะกรรมาธิการยกร่างฯ จะพิจารณาใน

วันที่ 12 และ 13 ธันวาคมนี้
----------------
กมธ.ปฏิรูปการเมืองได้ข้อสรุปชง กมธ.ยกร่างฯ มี 2 สภาเหมือนเดิม ส.ส.แบ่งเป็นเขตใหญ่ ฝ่ายบริหารต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรง

นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง คณะกรรมาธิการวิสามัญประจำสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวว่า เบื้องต้น ที่ประชุมคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองได้ข้อสรุปในการ

ปฏิรูปประเทศด้านการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะเร่งดำเนินการส่งให้กับคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป

โดยรายละเอียดสำคัญ คือเสนอให้ยึดหลัก 2 สภา ให้ฝ่ายนิติบัญญัติทำหน้าที่พิจารณากฎหมายและตรวจสอบอำนาจรัฐ รวมถึงกำหนดให้สภาสูงมีอำนาจในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ส่วนการได้มาซึ่ง ส.ส.แบ่งเขตไม่เกิน 3 คน ส่วนเขตไหนเล็กก็จะมีการลดจำนวน ส.ส. ลงมา ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ และการได้มาซึ่ง ส.ว. ยังคงใช้การเลือกตั้งจากกลุ่มสาขาอาชีพต่าง ๆ แต่ขณะนี้

ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ตลอดจนการได้ซึ่งฝ่ายบริหารต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และเบื้องต้นให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งเสนอบุคคลที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งคณะ แล้ว

ให้ประชาชนเป็นคนเลือก รวมถึงต้องเสนอบุคคลเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรี

นอกจากนี้ จะเสนอให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติ ว่ากระทรวงไหนหรือองค์กรอิสระจะแต่งตั้งใครเข้าในข้าราชการระดับสูงและตั้งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบ เพื่อลดการ

แทรกแซงด้วย
--------------
"เทียนฉาย" เผย เตรียมแถลงรายงานสรุปต่อ กมธ.ยกร่าง รธน. 19 ธ.ค. นี้ โยนที่ประชุม สปช. พิจารณาเลือกตั้งนายกฯ-ครม. โดยตรง

นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า วันที่ 19 ธันวาคมนี้ เตรียมแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงรายงานสรุปข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นที่จะส่งไปยังคณะกรรมมา

ธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งครบกำหนดกรอบเวลา 60 วัน ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 นับจากที่มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาตินัดแรก

พร้อมกันนี้ กล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งโดยตรงของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีว่า เรื่องนี้ยังไม่เข้าสู่ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นเพียงความเห็นในชั้นอนุกรรมาธิการเบื้องต้นเท่านั้น

ทั้งนี้ เห็นว่าหากมีการสรุปในคณะอนุกรรมาธิการ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณาก่อน สำหรับปัญหาการทุจริตการเลือกตั้ง การซื้อ

สิทธิ์ขายเสียง ตนขอไม่แสดงความคิดเห็นส่วนตัว เพราะทำหน้าที่ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ
--------------------
สาทิตย์" ชี้ การปฏิรูปการเมือง ต้องเริ่มที่ปรับโครงสร้าง มีระบบตรวจสอบที่เข้มข้น กระจายอำนาจอย่างเท่าเทียม แนะลดอำนาจ กกต.

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ จ.ตรัง และ แกนนำ กปปส. กล่าวว่า การปฏิรูปการเมืองไทยจะต้องปรับโครงสร้างชัดเจน เพื่อเข้าสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งปัญหาที่ผ่านมาคือตัวแทนทางการเมืองไม่มาจากเจตจำนงของประชาชน และพรรคการเมืองยังเป็นแหล่งนายทุนต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และการถ่วงดุลอำนาจยังไม่ใช่ระบบที่ยุติธรรม ใช้อำนาจเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงการตรวจสอบ และการทุจริตเชิงนโยบาย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตั้งกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นถึงจะเป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ การกระจายอำนาจส่วนกลางออกไปสู่ส่วนต่าง ๆ เพื่อไม่ให้กระจุกตัว คือ ต้องเข้าสู่อำนาจที่อิงประชาชน กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และสร้างการตรวจสอบอำนาจ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นพรรคการเมืองต้องมีสมาชิกพรรรคมากกว่า 5% ของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ประชาชนสามารถตรวจสอบพรรคการเมืองได้ และควรลดอำนาจ กกต. ในการให้ใบเหลืองใบแดง โดยให้เป็นอำนาจศาลในการตัดสินนักการเมืองห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิต

ด้าน นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. กล่าวว่า วิธีการได้มาในการปฏิรูปประเทศนั้นมันต้องนำมาข้อมูลทั้งหมดนำมาแก้ไขเพื่อให้ได้วิธีเหมาะสมกับประเทศ ส่วนฝ่ายการเมืองและฝ่ายบริหารนจะมาจากการเลือกตั้งทางตรงตรงหรือทางอ้อมหรือได้แต่ต้องมาจากการตรสจสอบจากประชาชนในการตรวจสอบอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
---------------------
"สุริยะใส" ความผิดพลาดของการเมืองไทย คือ การพยายามย่อลงมาอยู่ในรัฐธรรมนูญทั้งหมด แต่ตอบไม่ได้อยู่ภายใต้ รธน.

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย หรือ สปท. กล่าวว่า โจทย์สำคัญคือการออกแบบรัฐธรรมนูญออกมาให้ดีที่สุดหรือยัง และความผิดพลาดของการเมืองไทย คือ การเมือง

ไทยถูกย่อลงมาอยู่ในรัฐธรรมนูญทั้งหมด และคำตอบทั้งหมดไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเราเจอปัญหานอกรัฐธรรมนูญมามาก ดังนั้น คำถามใหญ่ คือ รัฐบาลควรมาจากประชาชนและรัฐบาลไม่

เคยตามสนองความต้องการของประชาชน และเห็นว่าต้องปรับกลไกการกระจายอำนาจระหว่างรัฐบาลและประชาชน และกลไกการปฏิรูปต้องมีความต่อเนื่อง ตลอดจนสร้างความปรองดองและ

อิสระจากลุ่มขั้วทางการเมือง
---------------------------
"สมบัติ" เผย ที่ประชุม กมธ.ปฏิรูป มีมติเสียงข้างมากเสนอ กมธ.ยกร่าง รธน. ให้ ฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยตรง

นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีมติเสียงข้างมากในประเด็นข้อเสนอโครงสร้างทางการเมือง เพื่อเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ อาทิ เห็นควรกำหนดให้ฝ่ายบริหาร หรือคณะรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง หรือ cabinet list และให้ทำหน้าที่เฉพาะฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว โดยให้พรรคการเมืองเสนอบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรี กำหนดตำแหน่งทั้งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงอยู่ในบัญชีรายชื่อ ส่วนโครงสร้างของฝ่ายนิติบัญญัติ กำหนดให้มี 2 สภา คือสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา

ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมาธิการในวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคมนี้ จะสรุปรวมข้อเสนอ เพื่อส่งต่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ก่อนที่จะประชุมสรุปข้อเสนอทั้งหมด ส่งต่อให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญประกอบการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
----------------------
กต. ผนึกกำลังสำนักเลขาฯ สภา จัดสานเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อการปฏิรูป 

กระทรวงการต่างประเทศ โดยความร่วมมือกับสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะจัดงานสานเสวนาปฏิรูป “On the Path to Reform” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและเรียนรู้จากประสบการณ์การปฏิรูปของประเทศต่างๆ และจะมีผู้เข้าร่วมจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ หน่วยราชการ ภาควิชาการ และผู้แทนคณะทูตานุทูต และองค์การระหว่างประเทศ

ซึ่งภายในงาน พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ นายมาร์ติน ชุนก็อง (Mr.
Martin Chungong) เลขาธิการสหภาพรัฐสภา จะกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงพิธีเปิด

นอกจากนี้ ที่ประชุมจะได้รับฟังทัศนะและประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญในสาขาการปฏิรูปจากมิตรประเทศต่างๆ อาทิ โปรตุเกส สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และองค์กร Center for Humanitarian Dialogue ในสามสาขาของการปฏิรูป ได้แก่ การปฏิรูปการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน และการปกครองส่วนท้องถิ่น
----------------------
"พรเพชร" ย้ำหลักการออกกฎหมาย สนช. มี 5 ข้อ เป็นธรรม เคารพสิทธิ์ ไม่ก่อขัดแย้งสร้างปรองดอง ลดความเหลื่อมล้ำ

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวในงานสานเสวนาปฏิรูป “On the Path to Reform” ว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งการดำเนินงานได้เป็นไปตามโรดแมป ที่ คสช. ตั้งไว้ โดยขณะนี้อยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการบริหารบ้านเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่ง สนช. ได้ทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ในการตรากฎหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ นายพรเพชร ยังกล่าวถึงคุณหลักการสำคัญในการตรากฎหมายของ สนช. ชุดนี้ ประกอบด้วย 5 ข้อ คือ อาทิ เป็นธรรม สอดคล้องกับหลักนิติธรรม เคารพสิทธิ ไม่เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมยืนยันว่า สมาชิก สนช. มีความมุ่งมั่นพยายามตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการทั้ง 5 ข้อ ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม สนช. ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนในการตรากฎหมายโดยเปิดโอกาสให้กับประชาชนเสนอความเห็นมาได้โดยตรง เพราะมองว่า การปฏิรูปประเทศ ต้องอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจและตระหนักว่า แม้ สนช. จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่ต้องเคารพและรับฟังเสียงของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้น การปฏิรูปจะสำเร็จได้ต้องได้รับความเข้าใจและการยอมรับจากประชาชน
------------------------
กมธ.ปฏิรูปคุ้มครองผู้บริโภค เสนอความเห็นเตรียม กมธ.ยกร่าง รธน. 7 ประเด็น ชูคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตามมาตรฐานสากล ลดเหลื่อมล้ำ

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง คณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. แถลงว่า เสนอให้บรรจุสาระสำคัญการคุ้มครองผู้บริโภค 7 ประเด็น คือ ยกระดับความคุ้ม

ครองสิทธิผู้บริโภคตามมาตราฐานสากล ทำกฎหมายสนับสนุนคุ้มครองผู้บริโภคและพร้อมให้องค์กรผู้บริโภคตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายได้ พัฒนากลไกชดเชยเยียวยาความเสียหายทันที
และสะดวก สนับสนุนให้เกิดศาลผู้บริโภคในศาลยุติธรรม สนับสนุนให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีอำนาจส่งเสริมการคุ้มครองผู้บริโภคในท้องถิ่นได้ พร้อมทั้งพิจารณาพระราชบัญญัติที่ประชาชนเข้าชื่อ

เสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ทุกขั้นตอนของการพิจารณาใน สนช. และรัฐต้องจัดกลไกในการป้องกันการผูกขาดทางการค้าที่มีประสิทธิภาพไม่ให้เกิดการผูกขาดตัดตอนโดยกลุ่มธุรกิจขนาด
ใหญ่

ทั้งนี้ เพื่อให้มีกลไกป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพ ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน และมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัด เป็นธรรมในรัฐธรรมนูญ
-------------------
พล.อ.ธนะศักดิ์ ระบุ มอบสถานทูตรวบรวมความคิดเห็นคนไทยในต่างแดนส่ง สปช. ขณะ "พรเพชร" ชี้ ปฏิรูปประเทศต้องฟังเสียงต่างประเทศด้วย 

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรววงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเปิดการสานเสวนาปฎิรูป On the Path t  Reform ว่า การเสวนาครั้งนี้ถือเป็น

การจัดขึ้นครั้งแรก ซึ่งต่อจากนี้จะมีการจัดแบบนี้งานเสวนาอีกหลายครั้ง ส่วนการเสวนาครั้งนี้ เป็นในหัวข้อด้านบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูป การปกครองท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำ

ให้เกิดความเข้าใจนโยบายของรัฐบาล โดยความเห็นทั้งหมดจากการเสวนาจะรวบรวมและนำสิ่งที่ดีมาใช้ประโยชน์เพื่อการปฏิรูป

นอกจากนี้ รัฐบาลจะรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายทั้งทั้งมนและต่างประเทศ โดยการรับฟังความเห็นคนไทยในต่างประเทศนั้น ได้มอบให้สถานเอกอัคราชฑูตทำหน้าที่รวบรวมความคิดเห็นเพื่อ

ส่งให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต่อไป

ขณะที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ความเป็นไปของประเทศไทยอยู่ในสายตาของต่างประเทศ ดังนั้นการปฏิรูปนอกจากฟังเสียประชาชนแล้วต้องรับ

ฟังความเห็นของต่างประเทศด้วยแต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามแบบอย่างของต่างประเทศทุกอย่าง โดยสำหรับหลักการอยู่ร่วมกันในสังคม ความยุติธรรม ความเสนมอภาค และหลักของกฎหมายนั้น

เป็นสิ่งที่ต้องรับฟังและจะนับมา ปรับให้เข้ากับวัฒนธรรรมและรูปแบบการปกครองของไทยตามความเหมาะสม โดยไม่ทิ้งหลักการร่วมกันที่ใช้กันเป็นสากล
----------------------
ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ย้ำรัฐบาลต้องเสนอ พรบ.นิรโทษกรรมเอง เพราะสนช. ไม่มีหน้าที่เสนอกฎหมาย พร้อมคัดค้านกฎหมายที่สร้างความขัดแย้ง ขณะคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 

พิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการ 2 คณะ

ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระบุว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมต้องเริ่มจากรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นจาก

ประชาชนจนตกผลึก ก่อนเสนอร่างกฎหมายมายัง สนช. เพื่อพิจารณาตามหลักการ เพราะ สนช. ไม่มีหน้าที่เสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาเอง

ขณะเดียวกัน นายพรเพชร กล่าวด้วยว่า การประชุม สนช. พรุ่งนี้ มีวาระพิจารณากฎหมายที่สำคัญคือ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ที่สมาชิก สนช.ให้ความสนใจ โดยสมาชิกบางส่วนเห็นว่า ควรยก

เว้นการเสียภาษีสำหรับเกษตรกรที่รับมรดกที่ดิน เพื่อใช้ในการเกษตรกรรม ซึ่งที่ประชุมจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่เกิดปัญหาโต้แย้งในภายหลัง

ขณะที่การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการฯ แถลงผลการประชุมว่า กมธ.ได้พิจารณาข้อเสนอของอนุ กมธ.2 คณะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ

หลักสิทธิเสรีภาพของพลเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ โดย อนุ กมธ.เสนอให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองประชาชนทุกคน ตามหลักสิทธิขั้นพื้นฐาน
อย่างเท่าเทียมกัน และให้คนไทยมีสิทธิทางพลเมือง

นอกจากนี้ อนุ กมธ. เกี่ยวกับนิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เสนอแนวทางเกี่ยวกับศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเสนอให้สามารถทบทวนคำวินิจฉัย

ได้ โดยเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีการเสนอให้เพิ่มองค์ประกอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และให้มีความหลากหลายมากขึ้น ส่วนศาลยุติธรรม กำหนดให้คดีทั่วไปสิ้นสุด

ขณะเดียวกันเรื่องของกระบวนการยุติธรรม กำหนดให้มีความเที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฏหมาย มีบรรทัดฐานการดำเนินคดีที่ชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ
--------------
กมธ.ยกร่าง รธน. พิจารณารายงานของอนุกรรมาธิการเสร็จแล้ว 2 คณะ หลักสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของอนุกรรมธิการ 2 คณะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักสิทธิเสรีภาพของพลเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมือง และการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ โดยเสนอให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองประชาชนทุกคน ตามหลักสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน และให้คนไทยมีสิทธิทางพลเมือง ส่วนอนุกรรมาธิการ เกี่ยวกับนิติธรรม ศาล และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เสนอแนวทางเกี่ยวกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้สามารถทบทวนคำวินิจฉัยได้ พร้อมเปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ ขณะที่ ศาลรัฐธรรมนูญ มีการเสนอให้เพิ่มองค์ประกอบของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และให้มีความหลากหลายมากขึ้น

ขณะเดียวกัน เรื่องของกระบวนการยุติธรรม กำหนดให้มีความเที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย มีบรรทัดฐานการดำเนินคดีที่ชัดเจน ไม่เลือกปฏิบัติ
------------------
"ถวิลวดี" ชี้ ความเชื่อคนไทย ยังเห็นว่าการทุจริตเป็นเรื่องจำเป็น แนะถึงเวลาปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้บังคับใช้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สถาบันพระปกเกล้า จัดแถลงผลงานวิชาการเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อนำข้อมูลข้อเสนอแนะความคิดเห็น พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อเสนอ ความเป็นไปได้ที่รวบรวมจากทุกภาคส่วน เพื่อนำเสนอ

ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการหาทางออกจากความขัดแย้ง และการปฏิรูปประเทศไทย อย่างยั่งยืน

นางสาวถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา ที่เสนอผลงานในหัวข้อ "แนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริต เพื่อสร้างดุลอำนาจอย่างแท้จริง" ระบุว่า จากการศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า

พบว่าที่มาของความเชื่อมั่น เรื่องการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่ลดลงเป็นเพราะประสิทธิภาพในการกำจัดการทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ผล และความเชื่อของคนไทย ยังเห็นว่าการทุจริตเป็นเรื่อง

จำเป็น เพราะจะทำให้เกิดผลงาน ซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นว่า การทุจริตระดับชาติเกิดขึ้นมากกว่าระดับท้องถิ่น เพราะงบประมานที่แตกต่างกัน อีกทั้ง ปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่จะเอาผิดกับผู้ที่ทำการ

ทุจริตยังล้าสมัย เพราะไม่ได้รับการปรับปรุง ดังนั้น จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้การบังคับใช้มีประสิทธิภาพสูงสุด
-----------------
กมธ.ปกครองส่วนท้องถิ่น ทำความเห็นเสนอ สปช.เสร็จแล้ว80% คาดสัปดาห์หน้าครบถ้วน เน้นการมีส่วนร่วม ปชช.กระจายอำนาจเต็มรูปแบบ 

นาย เกรียงไกร ภูมิเหล่าแจ้ง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น เปิดเผยกับสำนักข่าว INN  ว่า กมธ.ปฏิรูปด้านการปกครองส่วน

ท้องถิ่น มีการรวบรวมความเห็น เพื่อเตรียมเสนต่อที่ประชุมใหญ่ สปช. เพื่อส่งต่อให้กับ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 80 ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะ
ตกผลึกกรอบความคิดได้เสร็จอย่างแน่นอนโดยมีเนื้อหาที่สำคัญประกอบด้วย เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน  ที่อาจจะมีการจัดตั้งสภาพลเมือง มาเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นร่วมกับกลุ่มที่มาจากการ

เลือกตั้ง รวมถึงเรื่องของการกระจายอำนาจเต็มรูปแบบ  

ทั้งนี้ นายเกรียงไกร ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนของเนื้อหา รายละเอียดทั้งหมด นั้นอาจจะต้องมีการลงพื้นที่จริง สอบถามความคิดเห็นของส่วนราชการต่างๆ เพิ่มเติมว่าเห็นด้วยกับกรอบดังกล่าวหรือ

ไม่ด้วย
///////////////
นายกฯ

นายกฯ นำ ขรก.ถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท แก้ปัญหาประเทศชาติ

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2557 ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีคณะรัฐมนตรี ข้าราชการพลเรือนทุกส่วนราชการ ทั้งทหาร ตำรวจ ผู้บริหารของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ เข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และนำข้าราชการที่ร่วมงานกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดำเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนแห่งศาสนาตามแนวทางพระบรมราโชวาทตลอดไป
-----------
เลขาธิการสภาฯ นำข้าราชการถวายสัตย์ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2557

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ถือฤกษ์เวลา 09.09 น. ร่วมเป็นประธานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2557 ที่บริเวณห้องโถง อาคารรัฐสภา 1

โดยเริ่มจากผู้อำนวยการสำนักงานบริหารส่วนกลาง กล่าวรายงาน จากนั้นประธานในพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายความเคารพพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ถวายเครื่องสักการะแล้วถวายความเคารพ จุดเทียนชัย พร้อมกล่าวถวายพระพรชัยมงคลและกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณตน ต่อด้วยการร่วมร้องเพลงพ่อแห่งแผ่นดิน เพลงจำขึ้นใจ และเพลงสรรเสริญพระบารมี ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

ทั้งนี้ บริเวณโดยรอบได้จัดบูธนิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติพระองค์ท่าน พร้อมจัดสถานที่ลงนามถวายพระพรด้วย
------------------
เลขาธิการวุฒิสภา นำถวายสัตย์เป็นข้าราชการที่ดี ขณะ "วุฒิสาร" แถลงผลงานวิชาการเพื่อการปฏิรูปประเทศ

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด นางนรรัตน์ พิมเสน เลขาธิการวุฒิสภา นำคณะผู้บริหารและข้าราชการสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถวายพระพรชัยมงคลและถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2557

ทั้งนี้ บรรดาข้าราชการต่างสวมใส่เสื้อเหลือง เพื่อถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว

ขณะเดียวกัน นายวุฒิสาร ตันไชย สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะรองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ร่วมเป็นประธานเปิดงานสัมมนา เรื่อง "แถลงผลงานวิชาการเพื่อการปฏิรูปประเทศ” ภายใต้โครงการสู่ทศวรรษที่เก้า : ก้าวใหม่ของระบอบประชาธิปไตย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองแบบตัวแทนกับการเมืองภาคพลเมืองที่เหมาะสม โดยจะมีการนำเสนอผลงานวิชาการในหัวข้อต่าง ๆ ด้วย

--------------------
ปลัด กห. นำบุคคลากรถวายสัตย์ปฏิญาณตน เป็นข้าราชการที่ดี ตามรอยพระยุคลบาท พร้อมจะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน

กระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล ทรงเจริญพระชนมพรรษา 87 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคม 2557 โดยมี พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งในพิธีมีตัวแทนจากหน่วยงานต่าง ๆ  สังกัดกระทรวงกลาโหมถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่มทอง-พานพุ่มเงิน อาทิ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ เป็นต้น

จากนั้นได้ร่วมถวายพระพรชัยมงคล พร้อมถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยกล่าวว่าจะเป็นข้าราชการที่ดีและตามรอยพระยุคลบาท พร้อมจะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน เสริมสร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน โดยยึดมั่นในหลักธรรมและความถูกต้องตลอดไป

ทั้งนี้ ข้าราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมยังได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงพ่อแห่งแผ่นดิน เพื่อถวายความเคารพและจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
--------------------
พล.อ.อุดมเดช นำกล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล พร้อมถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีซื่อสัตย์ สุจริต

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานนำข้าราชการกองทัพบก กล่าวคำถวายพระพรชัยมงคล และคำถวายสัตย์ปฏิญาณในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อเป็นข้าราชการ

ที่ดี และเป็นพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 87 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2557

โดย พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ในนามของข้าราชการกองทัพบก ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะประพฤประติปฏิบัติเป็นข้าราชการที่ดีมีความซื่อสัตย์ สุจริต เจริญรอยรอยตามพระราชดำรัส มุ่งมั่นแน่วแน่

แก้ไขปัญหาสร้างสรรค์ให้ประโยชน์แผ่นดิน ดำเนินชีวิตตามคำสอนศาสนาและแนวทางพระบรมราโชวาทสืบไป
--------------
ประธาน ป.ป.ช. นำข้าราชการถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน ก่อนเตรียมลงนามความร่วมมือกับมหาดไทย

ที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. นำคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 7 คน และข้าราชการใน

สังกัด เข้าถวายพระพร และถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดินต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัว 5 ธันวามหาราช โดยกรรมการและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองตราสัญลักษณ์

ขณะที่ เวลาประมาณ 10.30 น. จะมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือในการรณรงค์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระหว่าง ป.ป.ช. และกระทรวงมหาดไทย

-------------
"ยงยุทธ" ยัน ยังไม่ลาออก ทำหน้าที่ตามปกติ เร่งเตรียมการแถลงผลงานรัฐบาล 3 เดือน 

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าว จะลาออกจากตำแหน่งโฆษกรัฐบาลว่า ยังคงทำหน้าที่ตามปกติ  ซึ่งทีมโฆษกรัฐบาลยังคงประสานงานช่วยเหลือกันและไม่มีปัญหา โดยยังคงมุ่งมั่นทำงานทุ่มเทเต็มที่เช่นเดิม อีกทั้งตลอดเวลาที่ทำงานมา นายกรัฐมนตรี ยังให้กำลังใจมาโดยตลอด  และเชื่อว่า กระแสข่าวดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับกรณีการรับงานของบริษัทของตนแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน ร.อ.นพ.ยงยุทธ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการเตรียมแถลงผลงานรัฐบาล 3 เดือน ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางไว้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะแถลงเป็นหลักและมีรองนายกรัฐมนตรีบางส่วนร่วมแถลงในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย

ส่วนเรื่องของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้กับประชาชนนั้น มีเรื่องดี ๆ หลายเรื่องด้วยกัน ถือเป็นของขวัญให้กับประชาชนและมองไปสู่ปีหน้าที่ถือว่ามีความสำคัญ ซึ่งมีเรื่องการปฏิรูปที่จะต้องเดินหน้าต่อไป และอยากให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
  ----------------
นายกฯ ปาฐกถา หอการค้าต่างประเทศ ย้ำเดินหน้าตามโรดแมป จะมี ปชต.-เลือกตั้งแน่นอน ขออย่ากังวลอัยการศึก มีไว้เพื่อดูแลความปลอดภัยเท่านั้น 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เดินทางมากล่าวปาฐกถากับสมาชิกหอการค้าต่างประเทศในไทย ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี

โดยกล่าวย้ำว่า รัฐบาลมีการดำเนินการตามขั้นตอน 3 ระยะ ซึ่งระยะที่ 2 คือ การปฏิรูปประเทศ ใน 18 ประเด็น ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนตามโรดแมป พร้อมยืนยันว่า ประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยอย่างแน่นอน และในอนาคตจะมีการเลือกตั้ง และจะไม่ให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและอย่ากังวลเรื่องกฎอัยการศึก เนื่องจากมีไว้เพื่อความปลอดภัย โดยยืนยันว่ามีมาตรการดูแลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และยังเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยในไตรมาสแรกของปี 2558 จะดีขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลได้กำหนดแนวทางเรื่องเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ การพัฒนาการค้าขายตามแนวชายแดน เศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งยืนยันว่าไทยพร้อมผลักดันความร่วมมือกับทุกประเทศ
///////////////
คสช./อัยการศึก

พล.อ.อุดมเดช รับ พิจารณาตามสถานการณ์ คงกฎอัยการศึก ติง ชู 3 นิ้วต้านนายกฯ ไม่เหมาะ เดินหน้าทำความเข้าใจ พร้อมคุยสันติสุขแก้ใต้

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยถึง ของขวัญปีใหม่ที่จะมอบให้กับประชาชนว่า โดยทั่วไปของขวัญที่กองทัพบก จะมอบให้ประชาชน คือการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในการดูแลปก

ป้องผืนแผ่นดิน และงานที่เกี่ยวกับการดูแลประชาชนในส่วนอื่น ๆ กรณีการประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้น ต้องดูที่สถานการณ์เป็นหลัก ซึ่งหากเห็นว่า ยังมีความจำเป็นคงต้องคงกฎหมายพิเศษไว้

ส่วนกรณีที่ กลุ่มนักศึกษา ทำสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ให้แก่นายกรัฐมนตรีนั้น มองว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสม จึงต้องมีกระบวนการทำความเข้าใจ พร้อมกันนี้ ขออย่าให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต รวมถึงข้อมูลที่

พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ออกมาเปิดเผยว่า มีการจ้างวานนักศึกษากลุ่มดังกล่าว มีข้อมูลบางอย่างต้องตรวจสอบต่อไป

นอกจากนี้ พล.อ.อุดมเดช ยังกล่าวถึงกรณีการพูดคุยสันติสุขว่า ขณะนี้เป็นหน้าที่ของผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงคือ พล.อ.อักษรา เกิดผล ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด การกำหนดขั้นตอนต่าง

ๆ และรอความพร้อม เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากนี้จะใช้แนวทางเปิดโอกาศให้ผู้กระทำความผิด ได้กลับเข้ามาสู่แนวทางที่ถูกต้อง  ซึ่งเป็นแนวทางที่ต้องการปฏิบัติมากกว่าการใช้กำลังปราบ

ปรามผู้กระทำผิด
-------------------
"พรเพชร" โยนรัฐบาลเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ย้ำ สนช. ไม่มีหน้าที่เสนอกฎหมายเอง พร้อมค้านกฎหมายสร้างความขัดแย้ง

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระบุว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ต้องเริ่มจากรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนจนตกผลึก ก่อนเสนอ

ร่างกฎหมายมายัง สนช. เพื่อพิจารณาตามหลักการ เพราะ สนช. ไม่มีหน้าที่เสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาเอง ส่วนข้อเสนอที่จะให้บรรจุเรื่องนิรโทษกรรมไว้ในร่างรัฐธรรมนูญนั้น ต้องไปถาม นาย

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ขอยืนยัน สนช. ไม่สนับสนุนหากการออกกฎหมายนิรโทษกรรมส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง

ขณะเดียวกัน นายพรเพชร กล่าวด้วยว่า การประชุม สนช. พรุ่งนี้ มีวาระพิจารณากฎหมายที่สำคัญคือ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ที่สมาชิก สนช. ให้ความสนใจ โดยสมาชิกบางส่วนเห็นว่า ควรยก

เว้นการเสียภาษีสำหรับเกษตรกรที่รับมรดกที่ดิน เพื่อใช้ในการเกษตรกรรม ซึ่งที่ประชุมจะพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่เกิดปัญหาโต้แย้งในภายหลัง
------------------------
พล.อ.อนุพงษ์ แจงมหาดไทยเร่งทำงานเพื่อสร้างความปรองดอง วอนอย่างสร้างความขัดแย้ง ให้ชาติเดินหน้า

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง กระแสข่าวเรื่องที่นักการเมืองท้องถิ่นอยู่เบื้องหลังการออกมาต่อต้านรัฐประหารของกลุ่มดาวดิน ว่า ขณะนี้ ทางกระทรวง

มหาดไทยก็มีการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปรองดองซึ่งหากมีการลงพื้นที่ก็จะมีการเข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจว่าสิ่งใดทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อชาติ สิ่งใดที่ไม่ควรทำ แต่ถ้า

อาศัยความขัดแย้งไปทำให้เกิดเหตุการณ์ ประเทศชาติก็เดินไปไม่ได้

เมื่อถามว่า จะมีการป้องกันการต่อต้านตัวรัฐธรรมนูญที่กำลังจะออกมาอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนว่าจุดสำคัญของรัฐธรรมนูญ คือ การมีผลในอนาคตทำให้สังคมยอมรับ ทุกภาคส่วน ทุกฝ่าย

ที่อยู่ในความขัดแย้งหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการผู้มีประสบการณ์ นักการเมือง ทำให้ได้ข้อยุติ ทะเลาะกันก่อน เถียงกันให้พอ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญออกมาอยากให้ทุกคนยอมรับ
----------------------
ผบ.ทบ. ระบุ ยังไม่พบ "ยิ่งลักษณ์" ขออนุญาตไปต่างประเทศช่วงปีใหม่ รับมีนักการเมืองหลายคนประสานงานมาแล้ว

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นักการเมืองได้ขออนุญาตคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดิน

ทางออกไปนอกประเทศช่วงปีใหม่หรือไม่ ว่าได้มีการขออนุญาตมาบ้าง ซึ่งทาง คสช. ก็จะพิจารณาความเหมาะสมหากบุคคลเหล่านั้นมีความเรียบร้อยดีและปฏิบัติตัวดีอยู่ในกรอบ ส่วน น.ส.ยิ่ง

ลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขออนุญาตในการเดินทางไปต่างประเทศหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการขออนุญาตมาแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วแต่ละบุคคลที่เดินทางไปต่างประเทศก็ให้ความร่วมมือกับ คสช. ดังนั้นจึงต้องขอขอบคุณ และหากดำเนินการเรียบร้อยดีเช่นนี้โรดแมปที่ คสช. กำหนดไว้ก็จะสำเร็จ

ลุล่วงไปได้

นอกจากนี้ พล.อ.อุดมเดช ยังกล่าวถึงกรณีผบการตรวจสอบเฮลิคอปเตอร์ รุ่นเบลล์ 212 ที่ตกในจังหวัดพะเยานั้น เกิดจากความขัดข้องกระบวนการเครื่องยนต์ โดยไม่ใช่เรื่องสภาพอากาศหรือนักบิน

ซึ่งขณะนี้ กองทัพบกแม้ไม่ได้ระงับการใช้งานเฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าว แต่เฮลิคอปเตอร์ต้องได้รับการตรวจสอบทุกลำก่อนนำไปใช้ และทางกองทัพจะมีการพูดคุยในที่ประชุมถึงแผนการจัดหา

เฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่เพื่อนำมาใช้งานอีกด้วย
/////////////////
อญก.

ศาลอาญาพิพากษา จำคุก "จ่าประสิทธิ์" 5 ปี คดีหมิ่นสถาบัน สารภาพลดโทษเหลือ 2 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา  

ศาลอาญารัชดา อ่านคำพิพากษากรณีอัยการยื่นฟ้อง จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย หมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากกรณีเมื่อวันที่

7 พฤษภาคม 2557 จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ได้กล่าวปราศรัยบนเวทีในการจัดกิจกรรม “หยุดล้มล้างประชาธิปไตย” ที่ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สาขาลาดพร้าว

ซึ่งก่อนหน้านี้ ศาลได้ตรวจพยานหลักฐานในคดี แต่ จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ได้ให้การปฏิเสธ ต่อมา จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ได้ยื่นคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลขอกลับคำให้การ โดยขอรับ

สารภาพผิด ไม่ขอต่อสู้คดีอีกต่อไป เพราะสำนึกในความผิดที่ได้กระทำไป

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ มีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 5 ปี แต่รับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน

ทั้งนี้ ศาลได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี และรายงานการสืบเสาะแล้วเห็นว่า ข้อความที่ปราศรัยเป็นเรื่องร้ายแรงและจ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ เป็น ส.ส. ถึง 2 สมัย ย่อมต้องรู้ผิดชอบ มีวิจารณญาณ

มากกว่าคนทั่วไป และพบว่า จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ เคยมีประวัติกระทำความผิดมาแล้ว แต่กลับมาทำผิดอีกในเรื่องที่ร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมจึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

นอกจากนี้ จ่าสิบตำรวจประสิทธิ์ ระบุว่า เบื้องต้นไม่ติดใจที่จะอุทธรณ์ และขณะนี้ถูกคุมขังมานานแล้วกว่า 6 เดือน
-------------
คดีพงศ์พัฒน์

ออกหมายจับอีก 2 คน แก๊งอุ้มทวงหนี้ โยง พงศ์พัฒน์ - ตร. เร่งล่าเสี่ยนพพร

พ.ต.อ.ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง เปิดเผยว่า ศาลแขวงพระโขนง ได้อนุมัติหมายจับเครือข่าย พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. เพิ่มอีก 2 ราย คือ นายปรีชา ดาราไตร

และ นายไพเชษฐ์ เมธิสริย์พงศ์ ในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จ้างวาน ใช้กำลังข่มขู่ และทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เพื่อขอประนอมหนี้ จากกรณีที่ นายปรีชา ซึ่ง

เป็นเจ้าหนี้ ได้ร่วมกับ นายไพเชษฐ์ นำตัวผู้เสียหาย ซึ่งเป็นลูกหนี้มาข่มขู่บังคับที่บ้านพักของ นายไพเชษฐ์ ในท้องที่ สน.พระโขนง โดยมีการทำร้ายร่างกาย ในลักษณะข่มขู่บังคับให้ใช้หนี้ ต่อมา ผู้

เสียหายคนดังกล่าวได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ในขั้นตอนการติดตามตัวทั้ง 2 มาดำเนินคดีตามกฎหมาย
--------------

//////////////
ปรับโครง ตร.

พล.อ.ประวิตร มอบนโยบายตำรวจ เน้นย้ำงานป้องกันมากขึ้น ชี้ การปฏิรูปองค์กรตำรวจ ควรฟังเสียงจากตำรวจด้วย แต่ สปช. ก็มีสิทธิ์เสนอความคิดเช่นกัน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมามอบนโยบายแก่ข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับผู้บังคับการขึ้นไป โดยมีการตั้งแถวกองเกียรติยศจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวภายหลังว่า ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และ คสช. พร้อมกำชับให้ตำรวจเน้นกำชับเรื่องการป้องกันก่อนเหตุอาชญากรรม มากกว่าการปราบปรามอาชญากรรม โดยในระยะการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงที่ผ่านมาถือว่าสอบผ่าน เนื่องจากตำรวจทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรี พร้อมชื่นชมการทำงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันที่มีความตั้งใจและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยมองว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความสำคัญมาก ในองค์กรถือว่ามีทั้งคนดีและคนไม่ดี โดยเชื่อว่าตำรวจทุกคนมีกำลังใจที่ดีแม้จะมีกระแสข่าวด้านลบแต่ส่วนนั้นถือเป็นเรื่องบุคคล

ส่วนแนวคิดการปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น มองว่าเป็นสิ่งที่คิดหรือเสนอได้ ไม่ปิดกั้นแต่มองว่าคนที่รู้และเข้าใจเรื่องตำรวจดีที่สุดคือตำรวจเอง ซึ่งอาจจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันกับ สปช.
-------------
"วัชรพล" ชี้ ปรับโครงสร้างตำรวจต้องคำนึงผลประโยชน์ประชาชน หนุนการกระจายอำนาจ พร้อมส่งแนวคิดปรับโครงสร้างไปยังกรรมาธิการ สนช. แล้ว

พลต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะอนุกรรมการตำรวจและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เปิดเผย กรณีการปฏิรูปโครงสร้างตำรวจว่า ทุกคนมีสิทธิเสนอความคิดเห็นในการปรับโครงสร้าง แต่ที่สำคัญการปรับโครงสร้างต้องต้องคำนึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม เศรษฐกิจในประเทศด้วย แต่เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจขององค์กรตำรวจ ซึ่งในส่วนของอนุกรรมการได้มีการส่งแนวคิดปรับโครงสร้างไปยังกรรมาธิการ สนช. แล้ว

โดยเบื้องต้นมีแนวคิดจะกระจายอำนาจให้แต่ละกองบัญชาเป็นนิติบุคคล สามารถบริหารงานได้ด้วยตนเอง แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม พร้อมมองว่าการ

ให้ตำรวจไปขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ประเทศไทยยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากประเทศไทยปกครองแบบรัฐเดี่ยว ใช้กฎหมายฉบับเดียวปกครองทั่วราชอาณาจักร ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศ แต่อาจจะมีการนำระบบงานบางอย่างของต่างประเทศมาใช้บ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม โครงสร้างนี้ยังคงมีอยู่ในหลายประเทศที่มีความแตกต่างทางด้านสังคม และมิติอื่น ๆ

ขณะเดียวกันมองว่าคณะกรรมการข้าราชการ หรือ ก.ตร.ยังมีความจำเป็นและความสำคัญ เพราะควรจะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยบริหารจัดการองค์กรตำรวจให้ดียิ่งขึ้น
//////////////
คดีสำคัญ

ศาลสั่ง 'หมอนิ่ม' เป็นผู้จัดการมรดก กว่า 200 ล้านบาท ร่วมกับ 'พ่อเอ็กซ์-จักรกฤษณ์' ชี้ แม้เป็นภรรยาที่มิได้จดทะเบียนสมรส แต่มีส่วนได้เสียต้องดูแลบุตร 2 คน

ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อ่านคำสั่งในคดีที่ นายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ อดีตนักแม่นปืนทีมชาติไทย ซึ่งถูกลอบยิงเสียชีวิต เป็นโจทก์ยื่นเรื่องร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

ของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท โดย พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือ หมอนิ่ม ภรรยาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ได้ยื่นคัดค้านไว้ ซึ่งวันนี้ หมอนิ่ม หรือทนายความไม่ได้เดินทางไปฟังคำ

สั่งศาล โดยผู้พิพากษาไม่สามารถอ่านคำสั่งศาลได้ เนื่องจากทนายขอ งหมอนิ่ม ยังไม่ได้ยื่นค่าธรรมเนียมต่อศาลเป็นเงิน 200 บาท ซึ่งทนายโจทก์จึงได้ขอยื่นชำระแทน และศาลก็อนุญาต โดยศาลได้

พิเคราะห์คำร้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า นายมานพ บิดาของ เอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ซึ่งเป็นผู้ยื่นคำร้องมีสิทธิในการยื่นขอจัดการมรดก และผู้คัดค้านมีสิทธิ์ในการยื่น เนื่องจากเป็นภรรยาที่มิได้จดทะเบียน

สมรส แต่เป็นผู้มีส่วนได้เสียและต้องดูแลบุตร 2 คน ซึ่งเป็นทายาทตามกฎหมายของผู้ตาย จึงสั่งให้ นายมานพ เป็นผู้จัดการมรดก ร่วมกับ พญ.นิธิวดี ทั้งนี้ นายมานพ พร้อมด้วย ทนายความ ระบุ
จะนำคำสั่งศาลเข้าสู่คณะทำงานทนายความ เพื่อเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลต่อไป
----------
ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี เผย ทำได้เพียงรอให้พม่าส่งตัว เบนซ์ ท่าทราย มาให้ ชี้ คงต้องรอเรื่องเงียบก่อนจึงจะได้ตัว ไม่แน่ใจว่าพม่าจับได้จริง 

พล.ต.ต.ชัชชรินทร์ สว่างวงศ์ ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. จากกรณีความคืบหน้าสำหรับการติดตามตัว นายอดิศักดิ์ ศรีสะอาด หรือ "เบนซ์ ท่าทราย" ผู้ต้องหาที่โพสต์

เฟซบุ๊กขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเป็นพ่อค้ายาบ้าข้ามชาติรายใหญ่ในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ก่อนที่จะได้ทำการหลบหนีไปอยู่ในประเทศเมียนมา ว่า ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไทยยังคงต้องทำได้

เพียงแค่รอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายประเทศเมียนมานั้นทำการส่งตัวของผู้ต้องมาให้ เนื่องจากทางฝ่ายประเทศเมียนมานั้นมีความต้องการที่จะให้เรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับ "เบนซ์ ท่าทราย" ในฝั่ง

ประเทศไทย เงียบ และลดกระแสให้น้อยลงกว่านี้ก่อน จึงจะค่อยทำการส่งตัวของผู้ต้องหาคนดังกล่าวมาให้ยังกับฝ่ายประเทศไทย
 
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไทย ก็ยังคงไม่แน่ใจว่าทางประเทศเมียนมา นั้น ได้ทำการจับตัวของ เบนซ์ ท่าทราย ไว้ได้แล้วจริงหรือไม่
---------------