PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

คนไทย อย่าทำร้ายกัน....



อย่าทำร้ายกัน....
ทีมโฆษกคสช. ขอร้องพี่น้องประชาชน อย่าทำร้ายกัน ใช้สติ ระงับอารมณ์โกรธ อย่าให้เสียบรรยากาศเศร้าโศก ควรใช้ กม.แก้ปัญหา อย่าทำร้ายคนที่เราคิดว่าไม่รักสถาบัน ขอแค่แจ้งเบาะแสมา ทางจนท.จะไปดำเนินการตาม กฏหมาย / กอ.รส.เตรียมที่พักรองรับปชช.ต่างจังหวัด ที่มาถวายความอาลัย
พันเอก ปิยพงศ์ กลินพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. แสดงความห่วงใย กรณีที่มีประชาชนรุมทำร้าย บุคคลที่คิดว่า ไม่รักสถาบัน หรือการมองที่ การไม่ใส่เสื้อดำ. จึงขอให้ประชาชน ใช้สติ ระงับอารมณ์ อย่าใช้การทำร้าย. แต่ให้ใช้กฏหมายดำเนินการ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสีย ต่อบรรยากาศในเวลานี้ อย่าทำร้ายคนที่เราคิดว่าไม่รักสถาบัน ขอแค่แจ้งเบาะแสมา ทางจนท.จะไปดำเนินการตาม กฏหมาย
นอกจากนี้ อย่ามองคนที่ไม่ใส่เสื้อสีดำขาว ว่า ไม่จงรักภักดี เพราะเขาอาจมีเหตุผล ไม่มีเสื้อ ส่วนเรื่องพฤติกรรมให้ดูเป็น รายๆไป และควรใช้กฏหมาย ดำเนินการ อย่าใช้การทำร้ายกัน
นอกจากนี้ กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(กอ.รส.) จัดให้ประชาชน จาก ต่างจังหวัด ที่มาถวายความอาลัยพระบรมศพ ไปพักแรม ได้ที่ สวนเจ้าเชตุ หน่วยบัญชาการรักษาดืนแดน ที่จะรองรับได้ราว1 พันคน โดยติดต่อจนท. ที่ กอ.รส. วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์
ทั้งนี้ พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ./ เลขาฯคสช. มีความเป็นห่วงประชาชน กำชับให้ดูแลความปลอดภัย และระวังพวกมิจฉาชีพ และ ดูแลปชช.จากต่างจังหวัด ที่ไม่มีที่พัก ด้วย

บิ๊กตู่ เดินสนามหลวง ให้กำลังใจ ปชช. และขอให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง

I love u
บิ๊กตู่ เดินสนามหลวง ให้กำลังใจ ปชช. และขอให้ช่วยกันดูแลบ้านเมือง สั่งจนท.ดูแล เต็มที่ทุกด้าน/ แจกI love u /ชาวบ้านตะโกนเชียร์ให้อยู่ต่อ 8 ปี บิ๊กตู่ ยัน ขออยู่ปีหน้าอีกปีหนึง
ที่กองอำนวยการร่วมกรุงเทพมหานคร สนามหลวง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมารับฟังรายงานสรุปและติดตามสถานการณ์ในภาพรวม และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่
โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุม
โดยในที่ประชุม นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำการดูแลประชาชนอย่างดี โดยเฉพาะ เด็ก คนชรา และผู้พิการ
รวมทั้งเรื่องการแก้ปัญหาคนหาย กำชับให้เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกัน ให้พยายามดูแลข้อร้องเรียนต่างๆ เพราะประเทศไทยมีปัญหาหลากหลาย ทั้งการศึกษา ความไม่เท่าเทียม และเรื่องของรายได้ ประเทศไทยมีผู้มีรายได้น้อยจำนวนมาก
ขณะเดียวกันคนไทย มุ่งแต่อยากได้เสรีภาพ ดังนั้นต้องจัดระเบียบ ดูแลความเดือนร้อนและทุกข์สุขประชาชน ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่
ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังร่วมประชุมว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี มีการประสานงานเป็นที่น่าพอใจ และขอบคุณเจ้าหน้าที่และประชาชนทุกคน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินเยี่ยมชมพร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ที่มาอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน อาทิ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร กองประชาสัมพันธ์และกองอำนวยการกองทัพบก
จนมาถึงบริเวณหน้าวัดมหาธาตุฯ ประชาชนที่มารอร่วมแสดงความอาลัยได้โผเข้ากอด พร้อมร้องไห้ บอกให้นายกฯสู้ และให้กำลังใจว่า ให้อยู่ทำงานต่อ 8 ปี
พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวปลอบใจประชาชนด้วยน้ำตาซึม ว่า "ให้ช่วยกันดูแลรักษาบ้านเมือง ลุงอยู่ปีหน้าอีกปีหนึง"
จากนั้น นายกฯได้เดินทักทายและให้กำลังใจประชาชนตลอดเส้นทางพร้อมยกนิ้วแสดงสัญลักษณ์มือ I love uท่ามกลางเม็ดฝนที่เริ่มตกลงหนาขึ้น แต่ก็เดินไปเรื่อยๆโดยมีประชาชนขอถ่ายรูปตลอดและบอกว่าตัวจริงหล่อสมาท
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า การติดตามสถานการณ์ภาพรวมทุกอย่างเป็นด้วยความเรียบร้อยทุกจุด เป็นที่น่าใจ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งการทำงานเราให้ดูแลประชาชนเป็นหลักขณะที่ได้เน้นท้องถิ่น หากประชาชนจะเดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานคร หรือต้องการดำเนินการใดๆให้ประสานงานมายังกองอำนวยการร่วมเพื่อทำงานเอกภาพและการบริหารจัดการได้ง่าย

ปฏิบัติหน้าที่แทน ประธานองคมนตรี ชั่วคราว....



ปฏิบัติหน้าที่แทน ประธานองคมนตรี ชั่วคราว....
นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ที่อาวุโสสูงสุด รองจาก ป๋าเปรม จะปฏิบัติหน้าที่ประธาน องคมนตรี ชั่วคราว แทน พลเอกเปรม
คาด การให้"ท่าน ธานินทร์" ปฏิบัติหน้าที่ ปธ.องคมนตรี ชั่วคราว แต่ยังไม่ใช่เป็นปธ.องคมนตรี เลย นั้น อาจ เพื่อรอ ป๋าเปรม พ้นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์.กลับมานั่งตามเดิม เมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ องค์ใหม่ ที่ พลเอกประยุทธ์. นายกฯ ระบุว่า จะทำตาม รธน.มาตรา23 ให้ สนช. เสนอชื่อ พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เมื่อ งานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล 15วัน ผ่านไปแล้ว ระยะหนึ่ง
เพราะหาก เป็นประธานองคมนตรี ก็ตัองมีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง แต่หากแค่ปฏิบัติหน้าที่แทน ปธ.องคมนตรี ก็ไม่ต้องมีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมีรัชกาลใหม่ แล้ว ก็เป็นพระบรมราชวินิจฉัยของ พระมหากษัตริย์ พระองค์ใหม่ ว่า จะทรงแต่งตั้ง ประธานองคมนตรี และองคมนตรี ใหม่หรือไม่
รองนายกรัฐมนตรี ระบุคณะองคมนตรีเลือก “ธานินทร์ กรัยวิเชียร” ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีชั่วคราว ตั้งแต่ 14 ต.ค. ยัน “ป๋าเปรม” ยังกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อพ้นจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยไม่ต้องทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ ส่วนตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการเผยแพร่เอกสารสำนักเลขาธิการทำเนียบองคมนตรี แจ้งมายังปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่าคณะองคมนตรีได้เลือกนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรีทำหน้าที่ประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราว ผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า เอกสารจริงหรือปลอมไม่รู้
แต่ข้อเท็จจริงคือเมื่อประธานองคมนตรี คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 24 ระบุไว้ โดยได้เขียนว่า ในระหว่างที่ประธานองคมนตรีปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวนั้น ไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ของประธานองคมนตรีด้วย
แม้ว่าจะยังเป็นประธานองคมนตรีอยู่ก็ตาม ต้องแยกกัน และรัฐธรรมนูญมาตรา 25 ได้เขียนต่อรองรับไว้ว่า กรณีที่เกิดเหตุเช่นว่านี้ ให้คณะองคมนตรีเลือกองคมนตรีขึ้นมาคนหนึ่งมาปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน
นายวิษณุ กล่าวว่า โดยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. คณะองคมนตรีได้มีการปรึกษาและเลือกนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน โดยไม่ใช่ให้เป็นประธานองคมนตรี
และเมื่อถึงเวลาที่ พล.อ.เปรมได้พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ของประธานองคมนตรีตามปกติ โดยไม่ต้องทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นวันนี้ พล.อ.เปรมจะมีตำแหน่งประธานองคมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีไม่ได้เท่านั้นเอง และรัฐบาลได้รับแจ้งเรื่องนี้แต่เรื่องแล้ว และไม่ต้องมีการประกาศเช่นเดียวกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เมื่อถามว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคต คณะองคมนตรีต้องพ้นไปด้วยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่มีการบัญญัติไว้แบบนั้น แต่กลับเขียนไว้อีกอย่างว่า การดำรงตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ธานินทร์ กรัยวิเชียร ปัจจุบันอายุ 89 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยลอนดอน สหราชอาณาจักร และเนติบัณฑิตอังกฤษจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายของเนติบัณฑิตยสภา สำนักเกรย์สอินน์ อังกฤษ เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 14 หลังจากที่คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ก่อนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2520

รายการ"คืนความสุขฯ"...ลาจอ ชั่วคราว แต่นายกฯ บิ๊กตู่ ยังอยู่



รายการ"คืนความสุขฯ"...ลาจอ ชั่วคราว แต่นายกฯ บิ๊กตู่ ยังอยู่
นายกฯ สั่งปรับมาเป็นรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" มาเป็นรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน"นายกฯพูดถึง การนำพระราชดำรัส แนวทางของในหลวง มาบริหารประเทศ เริ่ม21ตค.
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้สั่งการให้มีการปรับรูปแบบรายการ"คืนความสุขให้คนในชาติ"ที่ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์ มาเป็นรายการ"ศาสตร์พระราชา สู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืน"
โดยเนื้อหารายการ นายกฯ จะพูดถึงการดำเนินงานของรัฐบาลที่เชื่อมโยงกับพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การบริหารประเทศของรัฐบาล จะทำภายใต้หลักการมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
รัฐบาลจะนำหลักการที่ทรงพระราชทานเอาไว้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและเรื่องอื่นๆ นำมาให้พี่น้องประชาชนเห็นว่ารัฐบาลได้นำมาปฏิบัติตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยเร่ิมตั้งแต่วันศุกร์ที่ 21 ต.ค.โดยออกอากาศหลังงานพระราชพิธี

ภาพประวัติศาสตร์ทหารพระราชา



"ขอรองบาท ราชวงศ์พงศ์จักรี
จนชีวีสูญสิ้น ดินกลบกาย"
กองทัพ กับ "ในหลวง" และพระราชวงศ์....ปกป้องสถาบัน ด้วยชีวิต
ภาพประวัติศาสตร์ที่แชร์กันในหมู่ทหาร
เมื่อครั้ง ทั้งทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ ทหารเสือฯ ทหารเสริม ทหารรักษาพระองค์ ....นำโดย พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก พลเอกวิโรจน์ แสงสนิท พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี พลเอกอารียะ อุโฆษกิจ พลเอกวัฒนา สรรพานิช พลเอกศัลย์ ศรีเพ็ญ พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา พลเอกชำนาญ พาสุนันท์ พลเอกนิพนธ์ ภารัญนิตย์ พลเอกธิติพงษ์ เจนนุวัตร พลเอกสนั่น มะเริงสิทธิ์ พลเอกทวีป สุวรรณสิงห์ พลเอกสุนทร ฉายเหมือนวงศ์ พลเอก ณพล บุญทับ ร่วมกันถวายอารักขา ทุกพระองค์
ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ด้วยพระบารมี

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๗.๓๕ น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ คุณพลอยไพลิน เจนเซน คุณสิริกิติยา เจนเซน ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล สัตตมวารครบ ๗ วัน พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงวางพวงมาลาของสมเด็จพระเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และของส่วนพระองค์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
ภาพ : สำนักพระราชวัง

“ธงทอง จันทรางศุ” อธิบายขั้นตอน การสืบราชสันตติวงศ์-พระราชพิธีพระบรมศพ

หมายเหตุ – นายธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐทีวี ถึงขั้นตอนการสืบสันตติวงศ์ และขั้นตอนพระราชพิธีพระบรมศพ
ขั้นตอนการสืบสันตติวงศ์
สำหรับแนวทางการสืบราชสันตติวงศ์ที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นคำอธิบายที่ตรงตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายแล้ว โดยผมขอแยกเป็น 2 ส่วน เพื่อเป็นการกล่าวเสริม แต่มิได้แตกต่างกับแนวทางที่นายวิษณุได้กรุณาเล่าผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
ข้อเท็จจริงส่วนแรก นั่นคือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับการสถาปนาให้ทรงดำรงตำแหน่งพระรัชทายาท ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2515 มาแล้ว ก่อนหน้านั้น ท่านดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ แต่เมื่อเจริญพระชนมพรรษามากขึ้น จนถึงขีดขั้นที่ทรงบรรลุราชนิติภาวะ คือมีพระชนมพรรษา 20 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ มีพระราชดำริในครั้งนั้นว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว ประกอบกับทรงสดับคำกราบบังคมทูลจากบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองว่า เป็นเวลาอันสมควรที่จะสถาปนาพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ให้ทรงดำรงตำแหน่งเป็นพระรัชทายาท
ทั้งหมดเป็นการสร้างความชัดเจนขึ้นในทางข้อเท็จจริงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงหมายพระราชหฤทัย และมีกฎหมายสนับสนุนถูกต้องตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ว่า ทรงกำหนดให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงอยู่ในฐานะรัชทายาทตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ในหมวดพระมหากษัตริย์ เขียนไว้สั้นมาก โดยบอกให้ย้อนกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพราะดูจะเป็นความเหมาะสมแล้ว มีหลักการที่ตรงกับรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่บังคับใช้มาก่อนหน้านั้น ซึ่งหลักการดังกล่าวอยู่ในมาตรา 23
ในกรณีราชบัลลังก์หากว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้ว ซึ่งตรงตามเท็จจริง และเป็นที่รู้ทั่วไปในหมู่คนไทย ในหมู่ชาวโลกด้วยซ้ำไปว่า พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพระรัชทายาทไว้แล้ว
จากนั้น ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
ทั้งหมดเป็นขั้นตอนว่า เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม นายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นคณะรัฐมนตรีก็จะมีหนังสือไปยังรัฐสภาเพื่อเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ ไม่ใช่ลงมติเห็นชอบ เพราะการกำหนดพระรัชทายาทเป็นพระราชประสงค์ และเป็นพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เรียบร้อยชัดเจนแล้ว รัฐสภาก็เพียงแต่รับทราบ และออกประกาศว่าประธานรัฐสภาได้เชิญพระรัชทายาทขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่แล้ว
อย่างไรก็ตาม จะพบว่าขั้นตอนทั้งหมดไม่ได้กำหนดเวลาว่า หลังจากที่พระราชบัลลังก์ว่างลงแล้ว การปฏิบัติตามมาตรา 23 ต้องทำภายในเวลาเท่าไร
ขณะที่ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง คือ ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้แถลง และตามที่นายวิษณุก็ได้ยืนยันเช่นเดียวกัน นั่นคือ เป็นพระราชปรารภในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมารว่า ต้องพระราชประสงค์
หรือมีพระราชดำริว่า อยากจะทรงร่วมทุกข์โศกกับประชาชนทั้งหลายต่อความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ครั้งสำคัญนี้ และจะให้น้ำหนักความสำคัญต่อการจัดงานพระบรมศพให้ลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย
พระราชปรารภนี้ดั่งที่นายวิษณุได้ชี้แจง เป็นพระราชปรารภที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานให้กับท่านนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสด็จสวรรคต คือเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีพระราชพิธีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม
ดังนั้น ในเวลาอันสมควรในอนาคตภายหน้าก็จะได้มีพระราชกระแสให้นายกรัฐมนตรีปฏิบัติภารกิจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 23 แจ้งให้รัฐสภาทราบอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นในเวลานี้ยังทรงดำรงฐานะเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และเป็นพระรัชทายาทที่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรองรับตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ของประเทศไทยที่ตราไว้ตั้งแต่ดึกดําบรรพ์รองรับ และเป็นข้อเท็จจริงที่ชาวไทยชาวโลกรับรู้เป็นการทั่วไป จังหวะเวลาที่รอกันอยู่ในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่จะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง สุดแท้แต่พระราชปรารภจะมีพระราชดำริ
21
ขั้นตอนพระราชพิธีพระบรมศพ
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ได้มีพระราชพิธีสงฆ์พระบรมศพ และได้เริ่มมีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในช่วงเย็นช่วงค่ำต่อเนื่องกันไป นับตั้งแต่เมื่อวันวานก็มีการสวดพระอภิธรรมเป็นเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องเป็นเวลา 100 วัน เช้าวันนี้ (15 ต.ค.) เป็นเช้าวันแรก โดยเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งเราได้เห็นการปฏิบัติในส่วนนี้ไปแล้ว และจะทำไปจนเวลาเที่ยงคืน โดยจะมีการเว้นช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึง 6 โมงเช้า
นอกจากมีการสวดพระอภิธรรมแล้ว ยังมีการประโคมย่ำยาม ซึ่งเป็นประเพณีโบราณตามพระเกียรติยศ โดยจะมีการประโคมย่ำยามทุกๆ 3 ชั่วโมง โดยพระสงฆ์จะทำการสวดพระอภิธรรมตลอดเวลา ตั้งแต่ 6 โมงเช้าไปจนถึงเที่ยงคืน แต่คำว่าตลอดเวลา ไม่ใช่ไม่หยุดพักเลย เพราะถึงแม้จะมีพระสงฆ์ที่สวดพระอภิธรรมในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนั่งประจำอยู่ 2 สำรับพร้อมกันอยู่แล้ว แต่ท่านผลัดกันสวด มีหยุดพักที่เป็นครู่ใหญ่เฉพาะเวลารับพระราชทานฉันเช้าและฉันเพล และจะดำเนินต่อไปเช่นนี้อีก 100 วันเต็มๆ จนถึงเดือนมกราคม 2560
ส่วนพี่น้องประชาชนอยากมีโอกาสเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศพได้หรือไม่ อย่างไร ก็ต้องเรียนว่าคงต้องรอฟังประกาศจากสำนักพระราชวังเรื่องการชี้แจงจากสำนักพระราชวัง แต่แนวปฏิบัติที่ผ่านมา ก็ต้องเรียนว่า เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังต้องตระเตรียมพร้อมกับหน่วยงานทั้งหลายอีกมาก ทั้งการอำนวยความสะดวกและจัดระเบียบในการปฏิบัติ
จากตัวอย่างประสบการณ์เมื่อครั้งงาน พระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในปี 2538 เมื่อมีการแจ้งข่าวให้ประชาชนสามารถเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศพได้แล้ว มีผู้คนทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดที่มีหัวใจตรงกันเข้ามาจำนวนมาก จึงต้องมีการเตรียมการอำนวยความสะดวกประชาชน ดังนั้น เมื่อมีความพร้อมคงมีการแจ้งข่าวให้ประชาชนรับทราบ
เนื่องจากในเวลานี้ แม้สิ้นรัชกาลที่เราเกิดและเติบโตมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ โดยพระราชบัณฑูรในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งทรงเป็นพระรัชทายาท ได้มีพระราชประสงค์ที่อยากทรงปฏิบัติสนองพระเดชพระคุณในฐานะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน เพราะเช่นนั้นผมจึงมีความเข้าใจว่าพระราชอาสน์ 2 องค์ที่ทอดผ้าอยู่และมีผ้าเยียรบับปกคลุมอยู่นั้น เป็นพระราชอาสน์สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามพระเกียรติยศ แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว แต่ยังเป็นพระราชประสงค์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ก็จะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีพระราชบัณฑูรเป็นประการอื่น
อยากเรียนย้อนความไปในประวัติศาสตร์ของเรา ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ มีพระมหากษัตริย์ที่เสด็จสวรรคตนอกพระบรมมหาราชวังอยู่ 3 รัชกาล
ครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
ครั้งที่สอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลานั้นได้สละราชสมบัติแล้ว และทรงประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ ในระหว่างสงครามด้วย ดังนั้น ในพระราชพิธีพระบรมศพก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเลย และมีการถวายพระเพลิงในประเทศอังกฤษ
ครั้งที่สาม เป็นวาระของพระราชแผ่นดินของเราที่เสด็จสวรรคตนอกพระบรมมหาราชวัง ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเป็นสมัยแรกที่มีการอัญเชิญพระบรมศพผ่านไปตามท้องถนนให้ประชาชนมีโอกาสได้ถวายบังคม และวาระเมื่อวันวานจึงเป็นครั้งที่ 2 ความต่างก็จะมีอยู่บ้าง เพราะเมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต รุ่งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2453 ได้มีการถวายน้ำสรงพระบรมศพยังพระที่นั่งอัมพรสถานแล้ว หลังจากนั้นก็อัญเชิญพระบรมศพประดิษฐานในพระโกศ แล้วแห่แบบโบราณ มีพระยานมาศสามลำคาน ซึ่งเป็นคานหามขนาดใหญ่ซ้ายขวาตามปกติแล้ว ยังสอดคานกลางขนาดใหญ่เพื่อรับน้ำหนัก โดยมีคนแบกราว 32 คน
หากใครได้อ่านบันทึกแต่เก่าก่อน เช่น หนังสือเรื่อง 3 กรุง ของ น.ม.ส. หรือ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทรงบันทึกบรรยากาศและประสบการณ์ส่วนพระองค์ของท่านไว้ หรือเรื่อง 4 แผ่นดิน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มี แม่พลอย เป็นตัวเอกของเรื่อง ไปเฝ้าถวายบังคมพระบรมศพอยู่ข้างทาง ก็ได้เก็บเรื่องราวจากเรื่องที่เป็นความจริงหรือบันทึกของ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ก็เล่าเรื่องไว้ไม่ต่างกับแม่พลอย
ในส่วนตัวของผม มีแต่ประสบการณ์มาจากการอ่านหนังสือ ไม่เคยพบจริง เมื่อวันวานนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกิดมา ที่ได้ผ่านเหตุการณ์นี้ร่วมกับผู้คนอีกมากมาย แต่เดิมผมตั้งใจเดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากพ้นจากราชการแล้ว พอมีเวลาไปไหนมาไหนบ้าง แต่สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์ใกล้ตัวเข้ามาก็ไม่มีแก่ใจจะไปเที่ยว ก็ได้งดการเดินทาง
ตั้งแต่ค่ำวันแรกที่ทุกคนได้ข่าวอันร้าวรานที่สุด คือการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ตอนกลางคืนนั้นผมตอบตัวเองว่าอยู่บ้านไม่ได้ ก็วางแผนว่าตนเองจะไปอยู่ไหน โดยเชื่อว่าจะมีคนจำนวนมากที่มีหัวใจไม่แตกต่างกัน
จึงไปพึ่งบารมีพระรูปหนึ่งที่คุ้นเคยกันอยู่ที่วัดชนะสงครามใกล้พื้นที่พระบรมมหาราชวัง โดยนัดกันกับเพื่อนหลายคนหลายวัย ทานข้าวปลาอาหารแล้วก็เดินไปยังเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ตั้งแต่บ่ายโมง จากนั้นก็เดินลัดเลาะหมู่คนจำนวนมาก ขอทางเดินเข้าไป สอบถามเส้นทางเคลื่อนพระบรมศพ สุดท้ายก็ลงนั่งตรงพื้นที่ริมถนนเจ้าฟ้า บริเวณก่อนถึงด้านหน้าหอศิลป์เจ้าฟ้า ร้อนแดดร้อนผิวจราจร แต่ผมคิดว่า ใครๆ ก็จะทำอย่างที่ผมทำเมื่อวันวาน
ถ้าเป็นธรรมเนียมโบราณ ถ้าอ้างตามที่แม่พลอยใน 4 แผ่นดิน ผู้คนก็จะเตรียมธูปและเทียน โดยเป็นธูปไม้ระกำ โดยแม่พลอยได้เตรียมธูปเทียนไปจุด ผมก็เป็นคนอ่านหนังสือและรักษาธรรมเนียมเก่า ก็ได้อาศัยเมตตาจากพระ องค์ที่ผมไปอาศัยกุฏิได้จัดธูปเทียนให้ตามธรรมเนียมโบราณ
เมื่อได้เคลื่อนพระบรมศพออกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้ว ก็ตั้งใจจะจุดธูปจุดเทียน แต่ตำรวจที่รักษาระเบียบอยู่บริเวณก็ได้มาขอร้องว่าอย่าจุดเลย ให้ถวายบังคมและกราบแต่เพียงอย่างเดียว ผมก็เข้าใจ เพราะคนจำนวนมากอาจเกิดอุบัติเหตุ เกิดความวุ่นวายขึ้นได้ หลังจากจุดไปได้จำนวนหนึ่งก็ดับเสีย แต่สุดท้ายก็ได้นัดหมายกันเมื่อถึงบ้านพักแล้วก็ต่างคนต่างจุด โดยถวายบังคมไปทางพระบรมมหาราชวัง เพื่อทำตามธรรมเนียมโบราณที่ปู่ย่าตายายได้ทำไว้