PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ

'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ ฝ่ายหลังแตกหนีกระเจิงเหตุมีจำนวนน้อยกว่า เศษขยะเกลื่อนเมือง

เมื่อเวลา 16.30น. วันที่ 14 มิ.ย.2556 หลังจากที่กลุ่มหน้ากากขาวในจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ระหว่างที่มีการรวมตัวกันบริเวณหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ถนนนิมานเหมินทร์ ซอย 13 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 กว่า 100 คน ได้เข้ามาปะทะกับกลุ่มหน้ากากขาวเชียงใหม่ที่มีจำนวน 50 คน โดยเหตุการณ์เริ่มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาขยะใส่กลุ่มหน้ากากขาว และมีการดึงป้ายผ้าที่เขียนว่า "โค่นล้มระบอบทักษิษ" ทำให้เกิดการชุลมุมจนเกิดกากชกต่อยระหว่างคน 2 กลุ่ม แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 คนเข้าห้ามปราบแต่ไม่สำเร็จ

นอกจากนี้ ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้มีการระดมกำลังคนเข้ามาบริเวณที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยที่กลุ่มหน้ากากขาวได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในอาคารพาณิชย์ของเอกชน เพื่อหลบเลี่ยงการถูกโจมตี แต่เบื้องต้นกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ฝ่าเข้าไปในอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และเกิดการชุลมุนชกต่อยกับทางกลุ่มหน้ากากขาวอีกคครั้ง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตอนนี้ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51ได้นำรถยนต์เข้ามาปักหลักบริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และมีการนำเครื่องขยายเสียงแสดงเจตนารมณ์ปกป้องทักษิณ และมีการด่าทอไปยังกลุ่มหน้ากากอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาสิ่งของใส่กลุ่มหน้ากากขาวจนแตกกระเจิง บางส่วนได้วิ่งหลบหนีไปหลบซ่อนอยู่ตามซอยในถนนนิมานเหมินท์ ขณะที่บางส่วนถอยล่นเข้าไปหลบที่ฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ห่างจากจุดปะทะประมาณ 200 เมตร

กระทั่งเกิดการปะทะกันอีกครั้งที่บริเวณเซเว่นอีเลฟเว่นข้างกับฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ถนนนิมานเหมินท์ คาดว่ามีกลุ่มคนหน้ากากขาวได้รับบาดเจ็บหลายราย ขณะเดียวกัน ทางรปภ.ของฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นไม่กลุ่มเสื้อแดงเข้ามา เนื่องจากระหว่าางที่มีการปะทะกันนั้น กลุ่มเสื้อแดงได้ขว้างปาเศษขยะ ขวดน้ำ ขวดแก้ว เข้ามาภายในคอนโดฯ จนทำให้บริเวณด้านหน้าทางเข้าเต็มไปด้วยเศษขยะเกลื่อนกระจัดกระจาย

ขณะที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังปักหลักเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ที่ย่านถนนนิมานเหมินท์ เนื่องจากมีสายของกลุ่มเสื้อแดง รายงานว่ายังกลุ่มหน้ากากขาวบางส่วนยังหลบซ่อนตัวอยู่ และการ์ดของกลุ่มหน้ากากขาว มีการพกพาอาวุธปืนและจะทำร้ายกลุ่มเสื้อแดง พร้อมประกาศจะปกป้องคนที่ให้ร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนากรัฐมนตรีและจ้องจะล้มรัฐบาล

http://www.komchadluek.net/detail/20130614/161025/แดงเชียงใหม่ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ.html#.Ubsxc-eNkwo

หญ้าปักกิ่ง ยืดอายุคนเป็นมะเร็ง

ถิ่นกำเนิดของหญ้าปักกิ่งอยู่ในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบันมีการปลูกหญ้าปักกิ่งทั่วไปในประเทศไทย

ยาจีนใช้หญ้าปักกิ่งบรรเทาอาการเกี่ยวกับทางเดินหายใจและขับพิษส่วนในประเทศไทย ผู้ป่วยมะเร็งประเภทต่างๆ ดื่มน้ำคั้นจากส่วนเหนือดินของหญ้าปักกิ่งรักษาตนเอง เพื่อช่วยยืดชีวิตและลดผลข้างเคียงจากการรักษาแผนปัจจุบันมานานกว่า 30 ปี 

งานวิจัยหญ้าปักกิ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล (พ.ศ. 2532-2537) องค์การเภสัชกรรม (พ.ศ. 2542-2543) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (พ.ศ. 2546) มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และเงินบริจาคจากภาคเอกชน ก่อให้เกิดองค์ความรู้ด้านการต้านมะเร็งของหญ้าปักกิ่ง

สารที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งในหญ้าปักกิ่ง คือ กลัยโคสฟิงโกไลปิด (Glycosphingolipid) ที่มีชื่อว่า G1b ซึ่งเป็นกลุ่มไขมันที่มีขั้วเป็นองค์ประกอบของเซลล์ผิว กลัยโคสฟิงโกไลปิดมีหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน พบว่า กลัยโคสฟิงโกไลปิดของเซลล์มะเร็งแตกต่างจากเซลล์ปกติ จึงคาดว่า นอกจากฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งโดยตรงต่อเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่และตับ ระดับปานกลางในหลอดทดลอง G1b อาจมีฤทธิ์ปรับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจากการทดลองเบื้องต้นพบว่า G1b เพิ่มอัตราส่วนของ CD 3, 4 : CD 3, 8 ที่ผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพาะเลี้ยงในวันที่ 3 และ 7 จากการตรวจความเป็นพิษเฉียบพลันและความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของน้ำคั้น พบว่ามีความปลอดภัย

การเตรียมน้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง

การเตรียมน้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง หญ้าปักกิ่งส่วนเหนือดิน 100-120 กรัม นำไปแช่น้ำเกลือหรือน้ำด่างทับทิม 10 – 15 นาทีและล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปคั้นน้ำ ด้วยเครื่องปั่นแยกกาก น้ำคั้นที่ได้เทผ่านผ้าขาวบาง และบีบน้ำคั้นออกจากกาก จะได้น้ำคั้นประมาณ 60 มลลิลิตร ให้แบ่งดื่มก่อนอาหารเช้า-เย็น ดื่มติดต่อกัน 7 วัน แล้วหยุด 4 วัน เพื่อป้องกันการรับประทานเกินขนาด การเตรียมน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสามารถเตรียมให้ใช้ได้ 2-3 วัน โดยเก็บรักษาน้ำคั้นไว้ในตู้เย็


ที่มา : รศ. ดร. วีณา จิรัจฉริยากูล/by สาระแห่งสุขภาพ

บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ

บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ : บทบรรณาธิการประจำวันที่14มิ.ย.2556


               ในช่วงนี้เกิดเหตุการณ์การหายตัวอย่างมีเงื่อนงำของคนที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลถึง 2 รายซ้อน แม้จะเกิดคนละประเทศคนละทวีป แต่ก็มีเงื่อนปมชวนสงสัยไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง รายแรกก็คือการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ก่อนจะพบศพในเวลาต่อมา โดยตำรวจพยายามโน้มน้าวให้สังคมมีความเห็นคล้อยตามว่าถูกคนขับรถอุ้มฆ่าเพื่อชิงทรัพย์หรือเพราะความแค้นส่วนตัว

               ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่เทคนิคของสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ซึ่งกลายเป็นขอมดำดินเพื่อความปลอดภัยในชีวิตหลังจากเช็กเอาท์จากโรงแรมแห่งหนึ่งในฮ่องกงที่ใช้เป็นที่กบดานนานนับสัปดาห์ เมื่อมีสัญญาณชัดเจนมากขึ้นว่าวอชิงตันพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวอดีตซีไอเอผู้นี้กลับประเทศ ทั้งในทางแจ้งด้วยการขอให้เขตปกครองพิเศษฮ่องกงที่มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันส่งตัวกลับประเทศในข้อหาคุกคามความมั่นคงของประเทศ หรืออาจข้อหาร้ายแรงกว่านั้นคือทรยศต่อประเทศชาติ หรือในทางลับด้วยการอุ้มจะเป็นอุ้มฆ่าหรือลักพาตัวก็แล้วแต่

               แม้จะเกิดต่างกรรมต่างวาระ แต่การหายตัวของนายเอกยุทธและนายสโนว์เดนกลับมีอะไรคล้ายคลึงกันหลายประการด้วยกัน ที่น่าสนใจก็คือทั้งสองคนล้วนแต่เป็นจอมแฉที่กำลังเป็นที่หมายหัวของรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของนายเอกยุทธมุ่งเปิดโปงเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ไปจนถึงกรณี โฟร์ซีซันส์ 2 รวมทั้งตามเปิดโปงระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละ นอกเหนือจากเตรียมกระชากหน้ากากนักการเมือง-ข้าราชการของไทยบางคนว่าเป็นจอมเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน ส่วนนายสโนว์เดนยอมเผยตัวว่าเป็นแหล่งข่าวของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่กำลังขุดคุ้ยโครงการลับสุดยอด “พริซึม”ว่าทำเนียบขาวได้ไฟเขียวให้หน่วยข่าวกรองระดับชาติจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันด้วยการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีของสหรัฐ 9 แห่ง ตลอดจนดักฟังโทรศัพท์ของประชาชนกว่า 10 ล้านคน ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์

               การกระทำของทั้งสองคนถือว่าเป็นไปตามกฎหมายที่รับประกันสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าโปร่งใสมากน้อยเพียงใด แต่กลับถูกคุกคามจากอำนาจมืดที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สื่อได้ลุกขึ้นทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งสิทธิส่วนบุคคลหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สื่อไทยส่วนใหญ่ต่างนำเสนอความเห็นแย้งกับตำรวจและมุ่งเจาะประเด็นว่าอาจเป็นเรื่องของการสมคบคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์จากการเปิดโปงของนายเอกยุทธ ส่วนสื่อตะวันตกช่วยกันปกป้องการกระทำของนายสโนว์เดนว่าไม่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงของประเทศ เป็นการเปิดโปงเพื่อประโยชน์ของประชาชน

"ทนายนกเขา" ชำแหละตำรวจทำคดี "เอกยุทธ" ไม่รัดกุม หนุนญาติสู้ต่อเพื่อชาติ

"นิติธร" ยันสังหาร "เอกยุทธ" ไม่ใช่แค่ชิงทรัพย์ จับพิรุธเจ้าหน้าที่ทำงานไม่รัดกุมหลายอย่างส่งผลทำคดีเบี่ยงเบน แนะญาติร้องกรมสอบสวนกลาง - คณะกรรมการสิทธิฯ พร้อมทั้งดึง "หมอพรทิพย์" เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ชี้ทำเพื่อช่วยประเทศชาติให้หลุดพ้นจากรัฐตำรวจ เชื่อประชาชนจะร่วมส่งกำลังใจให้มหาศาลเพราะเอือมตำรวจเต็มทน

...วันที่ 13 มิ.ย. 2556 นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความที่รับว่าความคดีเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ได้กล่าวในรายการ "คนเคาะข่าว" ทางเอเอสทีวี ถึงคดีอุ้มฆ่านายเอกยุทธ ว่า ได้มีโอกาสเข้าร่วมการสอบสวนนายสันติภาพ เพ็งด้วง ซึ่งกรณีต้องชมพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ( ผบช.น.) ที่เปิดโอกาสให้ทนายความและผู้เสียหายเข้าร่วม ในระหว่างนั้นตนได้สอบถามตำรวจที่ทำเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์ เราก็เห็นหลายจุดเลยถามว่ากรณีที่เซลล์ไซต์ใช้ในจุดนี้ ได้ตรวจสอบเบอร์ที่ใช้เซลล์ไซต์ใกล้เคียงกันหรือไม่ เพราะไม่มีใครใช้เบอร์ปกติหรอก แต่ตำรวจก็บอกทำไม่ได้ ตนเห็นว่าแค่เรื่องเบอร์ก็ทำงานไม่รัดกุมเพียงพอ ถ้าทำรัดกุมจะได้หลักฐานอีกหลายอย่าง

นอกจากนี้การเข้าขุดศพ ภายในคืนนั้นตำรวจไม่เข้าอ้างว่าฝนตก ซึ่งทางคดีต้องเข้าทันที เพราะสันนิษฐานตรงกันว่านายสันติภาพไม่ได้ทำคนเดียว ตอนนั้นเป้าชัดเจนว่าเราต้องการเข้าไปค้นหาศพ ถ้าทอดเวลาไปจะต้องมีคนในกระบวนการฆ่าเข้าไปทำลายศพแน่ ฉะนั้นไม่มีเหตุว่าฝนตกแล้วไม่เข้า แล้วคนที่เข้าไปควรเป็นนิติเวช แม้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเสียสละทำหน้าที่ แต่ถ้าต้องการหลักฐานต้องไม่ทำงานแบบนี้ เพราะต้องกั้นพื้นที่เก็บร่องรอยทั้งหมด

ส่วนหลักฐานในรถ อาจบังเอิญก็ได้ เพราะพอเราไปถึง รถก็ถูกส่งไปตรวจพอดี ตอนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าส่งคนไปตรวจรถ แต่ก็ทำให้เห็นนัยบางอย่าง เพราะพนักงานสอบสวน ผู้เสียหาย และทนาย ต้องทำร่วมกัน ไม่ควรทำเพียงคนใดคนหนึ่ง

แล้วคดีนี้เริ่มต้นที่กองปราบ ส่วนสน.วังทองหลางเป็นเพียงการแจ้งลงประจำวันไว้ว่าติดต่อนายเอกยุทธไม่ได้ แต่กรณีนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ไม่เห็นว่ามีการประสานงานกองปราบให้เข้ามาร่วม จะเห็นว่ามีอะไรหลายอย่างที่เบี่ยงเบนต่อผลคดีทั้งนั้น

นายนิติธร ยังกล่าวด้วยว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่านายสันติภาพ ตั้งใจให้โดนจับเพื่อปิดคดี เพราะรถติดจีพีเอส ไม่มีใครโง่ขับรถตะลอนไปทั่ว นายสันติภาพบอกว่าติดหนี้พนันบอล 4-5 แสนบาท เทียบกับเงิน 5 ล้านบาท มันไม่สมดุลย์กัน แล้วบอกว่าแค้นที่แฟนโดนไล่ออกจากงาน มันไม่มีใครรู้สองคนนี้เป็นแฟนกันจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นก็ไม่กี่เดือน รักกันถึงขนาดต้องทำขนาดนี้หรือเปล่า แล้วถ้าเราเป็นนายเอกยุทธ ไล่พนักงานออกแล้วยังจะเอาแฟนเขาไว้อีกหรือ

ความเห็นตนคือหลังจากนายสันติภาพส่งนายเอกยุทธที่ร้านอาหารแล้ว ได้เอารถไปรับคนให้เข้าไปในรถ แล้วเปลี่ยนที่จอด โดยถอยหลังจอดพร้อมออกทันที ตนมองว่าเรื่องนี้กะทันหันมาก อาจมีการเตรียมการมานาน แต่ไม่มีจังหวะทำ แต่ตอนนั้นมีจังหวะพอดี จึงมีกระบวนการต่างๆเพิ่มเข้ามา ทั้งการทอดเวลาเพื่อเอาเงิน คือถ้าทำไม่สำเร็จก็กลายเป็นนายสันติภาพทำ ถ้าได้เงินไปด้วยก็เป็นการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ คิดกะทันหันบนพื้นฐานว่าต้องหาแพะให้ได้ก่อน ถ้าทีมเตรียมการได้ตัวนายเอกยุทธแล้วไปทันทีมันจะตัดตอนไม่ได้ เมื่อดำเนินภารกิจเสร็จ จึงขับรถตะลอนไปพัทลุง แล้วรอดพ้นด่านตรวจได้อย่างไร เว้นแต่คนพิเศษ มีอำนาจพิเศษที่ทำได้

ดูแรงจูงใจของนายสันติภาพ เพื่อประสงค์ต่อเงิน 5 ล้านบาท ดูแล้วไม่มีเลย หากเทียบกับเรื่องโฟร์ซีซั่นส์ มัลดีฟส์ และกรณีมีคดีพิพาทกับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ด้วย แบบนี้จะไม่ให้สงสัยเป็นไปไม่ได้ รวมถึงตอนสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เกิดการอุ้มฆ่าทนายสมชาย กรือเซะ ฆ่าตัดตอนยาเสพติด แล้วขณะนี้รัฐบาลก็อยู่ในรากระบอบทักษิณ เกิดขึ้นในสภาวะที่ตำรวจกระจายไปทุกหน่วยงาน ดีเอสไอก็เป็นรากหนึ่งของตำรวจตอนนี้แทบไม่เหลือสภาพแล้ว ตามบอร์ดหน่วยงานต่างๆก็มีตำรวจไปนั่ง มันเหมือนรัฐตำรวจไปแล้ว จะให้คนไม่สงสัยเป็นไปไม่ได

การที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้จะเป็นวัฏจักรวน เช่น เมื่อครั้งที่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ทำรัฐตำรวจขยายอำนาจจนเกิดรัฐประหาร สมัยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ตำรวจขยายอำนาจก็เกิดวงจรรัฐประหาร พอมาถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รัฐตำรวจมีอำนาจ ก็นำไปสู่รัฐประหาร เพราะถ้าตำรวจชั่วทุกอย่างจบหมด

นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ตรวจดูตำรวจที่ทำคดีนายเอกยุทธว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ใครเดินทางไปต่างประเทศ ทำอะไร เป้าหมายคืออะไร มันจะมองเห็นภาพชัดเจนขึ้น

นายนิติธร ได้กล่าวแนะนำว่า ญาตินายเอกยุทธควรร้องกรมสอบสวนกลาง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองปราบอีกที ให้ร่วมทำคดี ร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้เข้ามาร่วม และเปิดโอกาสให้หน่วยงานนิติเวชเข้ามาทำงาน เอาแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันทน์ ที่สังคมยอมรับเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ถึงจะจัดการกับคนพวกนี้ได้ เรื่องนี้หากประนีประนอมเหมือนเรายอมจมอยู่กับอำนาจนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าให้กรมสอบสวนกลางทำคดี ข้อมูลจะละเอียดกว่านี้ คดีเปลี่ยนแน่

ตอนนี้ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน์ของญาตินายเอกยุทธโดยตรง แต่ทำเพื่อประเทศชาติ สำคัญกว่าการทำอะไรเพื่อให้เป็นอณุสรณ์ให้นายเอกยุทธด้วยซ้ำ อีกทั้งนายเอกยุทธมีอุดมการณ์ในเรื่องนี้ ถ้าคนข้างหลังจะทำให้เขา เชื่อว่ามีจะกำลังใจมหาศาลจากประชาชน เพราะทุกวันนี้คนได้รับผลกระทบจากตำรวจหนักหนาสาหัสมากพอแล้ว

บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ

บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ

บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ : บทบรรณาธิการประจำวันที่14มิ.ย.2556


               ในช่วงนี้เกิดเหตุการณ์การหายตัวอย่างมีเงื่อนงำของคนที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลถึง 2 รายซ้อน แม้จะเกิดคนละประเทศคนละทวีป แต่ก็มีเงื่อนปมชวนสงสัยไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง รายแรกก็คือการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ก่อนจะพบศพในเวลาต่อมา โดยตำรวจพยายามโน้มน้าวให้สังคมมีความเห็นคล้อยตามว่าถูกคนขับรถอุ้มฆ่าเพื่อชิงทรัพย์หรือเพราะความแค้นส่วนตัว

               ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่เทคนิคของสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ซึ่งกลายเป็นขอมดำดินเพื่อความปลอดภัยในชีวิตหลังจากเช็กเอาท์จากโรงแรมแห่งหนึ่งในฮ่องกงที่ใช้เป็นที่กบดานนานนับสัปดาห์ เมื่อมีสัญญาณชัดเจนมากขึ้นว่าวอชิงตันพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวอดีตซีไอเอผู้นี้กลับประเทศ ทั้งในทางแจ้งด้วยการขอให้เขตปกครองพิเศษฮ่องกงที่มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันส่งตัวกลับประเทศในข้อหาคุกคามความมั่นคงของประเทศ หรืออาจข้อหาร้ายแรงกว่านั้นคือทรยศต่อประเทศชาติ หรือในทางลับด้วยการอุ้มจะเป็นอุ้มฆ่าหรือลักพาตัวก็แล้วแต่

               แม้จะเกิดต่างกรรมต่างวาระ แต่การหายตัวของนายเอกยุทธและนายสโนว์เดนกลับมีอะไรคล้ายคลึงกันหลายประการด้วยกัน ที่น่าสนใจก็คือทั้งสองคนล้วนแต่เป็นจอมแฉที่กำลังเป็นที่หมายหัวของรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของนายเอกยุทธมุ่งเปิดโปงเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ไปจนถึงกรณี โฟร์ซีซันส์ 2 รวมทั้งตามเปิดโปงระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละ นอกเหนือจากเตรียมกระชากหน้ากากนักการเมือง-ข้าราชการของไทยบางคนว่าเป็นจอมเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน ส่วนนายสโนว์เดนยอมเผยตัวว่าเป็นแหล่งข่าวของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่กำลังขุดคุ้ยโครงการลับสุดยอด “พริซึม”ว่าทำเนียบขาวได้ไฟเขียวให้หน่วยข่าวกรองระดับชาติจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันด้วยการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีของสหรัฐ 9 แห่ง ตลอดจนดักฟังโทรศัพท์ของประชาชนกว่า 10 ล้านคน ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์

               การกระทำของทั้งสองคนถือว่าเป็นไปตามกฎหมายที่รับประกันสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าโปร่งใสมากน้อยเพียงใด แต่กลับถูกคุกคามจากอำนาจมืดที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สื่อได้ลุกขึ้นทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งสิทธิส่วนบุคคลหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สื่อไทยส่วนใหญ่ต่างนำเสนอความเห็นแย้งกับตำรวจและมุ่งเจาะประเด็นว่าอาจเป็นเรื่องของการสมคบคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์จากการเปิดโปงของนายเอกยุทธ ส่วนสื่อตะวันตกช่วยกันปกป้องการกระทำของนายสโนว์เดนว่าไม่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงของประเทศ เป็นการเปิดโปงเพื่อประโยชน์ของประชาชน