'แดงเชียงใหม่'ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ ฝ่ายหลังแตกหนีกระเจิงเหตุมีจำนวนน้อยกว่า เศษขยะเกลื่อนเมือง
เมื่อเวลา 16.30น. วันที่ 14 มิ.ย.2556 หลังจากที่กลุ่มหน้ากากขาวในจังหวัดเชียงใหม่ได้นัดรวมตัวจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ระหว่างที่มีการรวมตัวกันบริเวณหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ถนนนิมานเหมินทร์ ซอย 13 อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มวลชนคนเสื้อแดงกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 กว่า 100 คน ได้เข้ามาปะทะกับกลุ่มหน้ากากขาวเชียงใหม่ที่มีจำนวน 50 คน โดยเหตุการณ์เริ่มรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาขยะใส่กลุ่มหน้ากากขาว และมีการดึงป้ายผ้าที่เขียนว่า "โค่นล้มระบอบทักษิษ" ทำให้เกิดการชุลมุมจนเกิดกากชกต่อยระหว่างคน 2 กลุ่ม แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 20 คนเข้าห้ามปราบแต่ไม่สำเร็จ
นอกจากนี้ ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้มีการระดมกำลังคนเข้ามาบริเวณที่เกิดเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยที่กลุ่มหน้ากากขาวได้ถอยร่นเข้าไปอยู่ในอาคารพาณิชย์ของเอกชน เพื่อหลบเลี่ยงการถูกโจมตี แต่เบื้องต้นกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ได้ฝ่าเข้าไปในอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และเกิดการชุลมุนชกต่อยกับทางกลุ่มหน้ากากขาวอีกคครั้ง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ตอนนี้ทางกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51ได้นำรถยนต์เข้ามาปักหลักบริเวณหน้าอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และมีการนำเครื่องขยายเสียงแสดงเจตนารมณ์ปกป้องทักษิณ และมีการด่าทอไปยังกลุ่มหน้ากากอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ปาสิ่งของใส่กลุ่มหน้ากากขาวจนแตกกระเจิง บางส่วนได้วิ่งหลบหนีไปหลบซ่อนอยู่ตามซอยในถนนนิมานเหมินท์ ขณะที่บางส่วนถอยล่นเข้าไปหลบที่ฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ห่างจากจุดปะทะประมาณ 200 เมตร
กระทั่งเกิดการปะทะกันอีกครั้งที่บริเวณเซเว่นอีเลฟเว่นข้างกับฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ถนนนิมานเหมินท์ คาดว่ามีกลุ่มคนหน้ากากขาวได้รับบาดเจ็บหลายราย ขณะเดียวกัน ทางรปภ.ของฮิลไซด์คอนโดมิเนียม ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นไม่กลุ่มเสื้อแดงเข้ามา เนื่องจากระหว่าางที่มีการปะทะกันนั้น กลุ่มเสื้อแดงได้ขว้างปาเศษขยะ ขวดน้ำ ขวดแก้ว เข้ามาภายในคอนโดฯ จนทำให้บริเวณด้านหน้าทางเข้าเต็มไปด้วยเศษขยะเกลื่อนกระจัดกระจาย
ขณะที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงยังปักหลักเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ที่ย่านถนนนิมานเหมินท์ เนื่องจากมีสายของกลุ่มเสื้อแดง รายงานว่ายังกลุ่มหน้ากากขาวบางส่วนยังหลบซ่อนตัวอยู่ และการ์ดของกลุ่มหน้ากากขาว มีการพกพาอาวุธปืนและจะทำร้ายกลุ่มเสื้อแดง พร้อมประกาศจะปกป้องคนที่ให้ร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนากรัฐมนตรีและจ้องจะล้มรัฐบาล
http://www.komchadluek.net/detail/20130614/161025/แดงเชียงใหม่ปะทะหน้ากากขาวเจ็บอื้อ.html#.Ubsxc-eNkwo
PR
วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556
หญ้าปักกิ่ง ยืดอายุคนเป็นมะเร็ง
ถิ่นกำเนิดของหญ้าปักกิ่งอยู่ใน แคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบันมีการปลูกหญ้าปักกิ่งทั ่วไปในประเทศไทย
ยาจีนใช้หญ้าปักกิ่งบรรเทาอาการ เกี่ยวกับทางเดินหายใจและขับพิษ ส่วนในประเทศไทย ผู้ป่วยมะเร็งประเภทต่างๆ ดื่มน้ำคั้นจากส่วนเหนือดินของห ญ้าปักกิ่งรักษาตนเอง เพื่อช่วยยืดชีวิตและลดผลข้างเค ียงจากการรักษาแผนปัจจุบันมานาน กว่า 30 ปี
งานวิจัยหญ้าปักกิ่งได้รับการสน ับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล (พ.ศ. 2532-2537) องค์การเภสัชกรรม (พ.ศ. 2542-2543) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (พ.ศ. 2546) มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และเงินบริจาคจากภาคเอกชน ก่อให้เกิดองค์ความรู้ด้านการต้ านมะเร็งของหญ้าปักกิ่ง
สารที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเ ร็งในหญ้าปักกิ่ง คือ กลัยโคสฟิงโกไลปิด (Glycosphingolipid) ที่มีชื่อว่า G1b ซึ่งเป็นกลุ่มไขมันที่มีขั้วเป็ นองค์ประกอบของเซลล์ผิว กลัยโคสฟิงโกไลปิดมีหน้าที่เกี่ ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน พบว่า กลัยโคสฟิงโกไลปิดของเซลล์มะเร็ งแตกต่างจากเซลล์ปกติ จึงคาดว่า นอกจากฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งโ ดยตรงต่อเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่และตับ ระดับปานกลางในหลอดทดลอง G1b อาจมีฤทธิ์ปรับระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจากการทดลองเบื้องต้นพบว่า G1b เพิ่มอัตราส่วนของ CD 3, 4 : CD 3, 8 ที่ผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพาะ เลี้ยงในวันที่ 3 และ 7 จากการตรวจความเป็นพิษเฉียบพลัน และความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังของน ้ำคั้น พบว่ามีความปลอดภัย
การเตรียมน้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง
การเตรียมน้ำคั้นหญ้าปักกิ่ง หญ้าปักกิ่งส่วนเหนือดิน 100-120 กรัม นำไปแช่น้ำเกลือหรือน้ำด่างทับท ิม 10 – 15 นาทีและล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปคั้นน้ำ ด้วยเครื่องปั่นแยกกาก น้ำคั้นที่ได้เทผ่านผ้าขาวบาง และบีบน้ำคั้นออกจากกาก จะได้น้ำคั้นประมาณ 60 มลลิลิตร ให้แบ่งดื่มก่อนอาหารเช้า-เย็น ดื่มติดต่อกัน 7 วัน แล้วหยุด 4 วัน เพื่อป้องกันการรับประทานเกินขน าด การเตรียมน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งสาม ารถเตรียมให้ใช้ได้ 2-3 วัน โดยเก็บรักษาน้ำคั้นไว้ในตู้เย็ น
ที่มา : รศ. ดร. วีณา จิรัจฉริยากูล/by สาระแห่งสุขภาพ
บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ
บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ : บทบรรณาธิการประจำวันที่14มิ.ย.2556
ในช่วงนี้เกิดเหตุการณ์การหายตัวอย่างมีเงื่อนงำของคนที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลถึง 2 รายซ้อน แม้จะเกิดคนละประเทศคนละทวีป แต่ก็มีเงื่อนปมชวนสงสัยไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง รายแรกก็คือการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ก่อนจะพบศพในเวลาต่อมา โดยตำรวจพยายามโน้มน้าวให้สังคมมีความเห็นคล้อยตามว่าถูกคนขับรถอุ้มฆ่าเพื่อชิงทรัพย์หรือเพราะความแค้นส่วนตัว
ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่เทคนิคของสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ซึ่งกลายเป็นขอมดำดินเพื่อความปลอดภัยในชีวิตหลังจากเช็กเอาท์จากโรงแรมแห่งหนึ่งในฮ่องกงที่ใช้เป็นที่กบดานนานนับสัปดาห์ เมื่อมีสัญญาณชัดเจนมากขึ้นว่าวอชิงตันพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวอดีตซีไอเอผู้นี้กลับประเทศ ทั้งในทางแจ้งด้วยการขอให้เขตปกครองพิเศษฮ่องกงที่มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันส่งตัวกลับประเทศในข้อหาคุกคามความมั่นคงของประเทศ หรืออาจข้อหาร้ายแรงกว่านั้นคือทรยศต่อประเทศชาติ หรือในทางลับด้วยการอุ้มจะเป็นอุ้มฆ่าหรือลักพาตัวก็แล้วแต่
แม้จะเกิดต่างกรรมต่างวาระ แต่การหายตัวของนายเอกยุทธและนายสโนว์เดนกลับมีอะไรคล้ายคลึงกันหลายประการด้วยกัน ที่น่าสนใจก็คือทั้งสองคนล้วนแต่เป็นจอมแฉที่กำลังเป็นที่หมายหัวของรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของนายเอกยุทธมุ่งเปิดโปงเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ไปจนถึงกรณี โฟร์ซีซันส์ 2 รวมทั้งตามเปิดโปงระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละ นอกเหนือจากเตรียมกระชากหน้ากากนักการเมือง-ข้าราชการของไทยบางคนว่าเป็นจอมเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน ส่วนนายสโนว์เดนยอมเผยตัวว่าเป็นแหล่งข่าวของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่กำลังขุดคุ้ยโครงการลับสุดยอด “พริซึม”ว่าทำเนียบขาวได้ไฟเขียวให้หน่วยข่าวกรองระดับชาติจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันด้วยการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีของสหรัฐ 9 แห่ง ตลอดจนดักฟังโทรศัพท์ของประชาชนกว่า 10 ล้านคน ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์
การกระทำของทั้งสองคนถือว่าเป็นไปตามกฎหมายที่รับประกันสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าโปร่งใสมากน้อยเพียงใด แต่กลับถูกคุกคามจากอำนาจมืดที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สื่อได้ลุกขึ้นทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งสิทธิส่วนบุคคลหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สื่อไทยส่วนใหญ่ต่างนำเสนอความเห็นแย้งกับตำรวจและมุ่งเจาะประเด็นว่าอาจเป็นเรื่องของการสมคบคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์จากการเปิดโปงของนายเอกยุทธ ส่วนสื่อตะวันตกช่วยกันปกป้องการกระทำของนายสโนว์เดนว่าไม่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงของประเทศ เป็นการเปิดโปงเพื่อประโยชน์ของประชาชน
"ทนายนกเขา" ชำแหละตำรวจทำคดี "เอกยุทธ" ไม่รัดกุม หนุนญาติสู้ต่อเพื่อชาติ
"นิติธร" ยันสังหาร "เอกยุทธ" ไม่ใช่แค่ชิงทรัพย์ จับพิรุธเจ้าหน้าที่ทำงานไม ่รัดกุมหลายอย่างส่งผลทำคดี เบี่ยงเบน แนะญาติร้องกรมสอบสวนกลาง - คณะกรรมการสิทธิฯ พร้อมทั้งดึง "หมอพรทิพย์" เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ชี้ทำเพื่อช่วยประเทศชาติให ้หลุดพ้นจากรัฐตำรวจ เชื่อประชาชนจะร่วมส่งกำลัง ใจให้มหาศาลเพราะเอือมตำรวจ เต็มทน
...วันที่ 13 มิ.ย. 2556 นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความที่รับว่าความคดีเก
นอกจากนี้การเข้าขุดศพ ภายในคืนนั้นตำรวจไม่เข้าอ้
ส่วนหลักฐานในรถ อาจบังเอิญก็ได้ เพราะพอเราไปถึง รถก็ถูกส่งไปตรวจพอดี ตอนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรเพรา
แล้วคดีนี้เริ่มต้นที่กองปร
นายนิติธร ยังกล่าวด้วยว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่านายสันติ
ความเห็นตนคือหลังจากนายสัน
ดูแรงจูงใจของนายสันติภาพ เพื่อประสงค์ต่อเงิน 5 ล้านบาท ดูแล้วไม่มีเลย หากเทียบกับเรื่องโฟร์ซีซั่
การที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้จ
นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ตรวจด
นายนิติธร ได้กล่าวแนะนำว่า ญาตินายเอกยุทธควรร้องกรมสอ
ตอนนี้ไม่ใช่ทำเพื่อประโยชน
บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ
บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ
บทบาทสื่อกับการหายตัวของสองจอมแฉ : บทบรรณาธิการประจำวันที่14มิ.ย.2556
ในช่วงนี้เกิดเหตุการณ์การหายตัวอย่างมีเงื่อนงำของคนที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลถึง 2 รายซ้อน แม้จะเกิดคนละประเทศคนละทวีป แต่ก็มีเงื่อนปมชวนสงสัยไปในทิศทางเดียวกันว่าอาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง รายแรกก็คือการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ก่อนจะพบศพในเวลาต่อมา โดยตำรวจพยายามโน้มน้าวให้สังคมมีความเห็นคล้อยตามว่าถูกคนขับรถอุ้มฆ่าเพื่อชิงทรัพย์หรือเพราะความแค้นส่วนตัว
ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการข่าวการหายตัวอย่างลึกลับของนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตเจ้าหน้าที่เทคนิคของสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) ซึ่งกลายเป็นขอมดำดินเพื่อความปลอดภัยในชีวิตหลังจากเช็กเอาท์จากโรงแรมแห่งหนึ่งในฮ่องกงที่ใช้เป็นที่กบดานนานนับสัปดาห์ เมื่อมีสัญญาณชัดเจนมากขึ้นว่าวอชิงตันพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวอดีตซีไอเอผู้นี้กลับประเทศ ทั้งในทางแจ้งด้วยการขอให้เขตปกครองพิเศษฮ่องกงที่มีสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันส่งตัวกลับประเทศในข้อหาคุกคามความมั่นคงของประเทศ หรืออาจข้อหาร้ายแรงกว่านั้นคือทรยศต่อประเทศชาติ หรือในทางลับด้วยการอุ้มจะเป็นอุ้มฆ่าหรือลักพาตัวก็แล้วแต่
แม้จะเกิดต่างกรรมต่างวาระ แต่การหายตัวของนายเอกยุทธและนายสโนว์เดนกลับมีอะไรคล้ายคลึงกันหลายประการด้วยกัน ที่น่าสนใจก็คือทั้งสองคนล้วนแต่เป็นจอมแฉที่กำลังเป็นที่หมายหัวของรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ของนายเอกยุทธมุ่งเปิดโปงเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่กรณี ว.5 โฟร์ซีซันส์ ไปจนถึงกรณี โฟร์ซีซันส์ 2 รวมทั้งตามเปิดโปงระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละ นอกเหนือจากเตรียมกระชากหน้ากากนักการเมือง-ข้าราชการของไทยบางคนว่าเป็นจอมเลี่ยงภาษีและฟอกเงิน ส่วนนายสโนว์เดนยอมเผยตัวว่าเป็นแหล่งข่าวของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษที่กำลังขุดคุ้ยโครงการลับสุดยอด “พริซึม”ว่าทำเนียบขาวได้ไฟเขียวให้หน่วยข่าวกรองระดับชาติจารกรรมข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันด้วยการเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีของสหรัฐ 9 แห่ง ตลอดจนดักฟังโทรศัพท์ของประชาชนกว่า 10 ล้านคน ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์
การกระทำของทั้งสองคนถือว่าเป็นไปตามกฎหมายที่รับประกันสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาล ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าโปร่งใสมากน้อยเพียงใด แต่กลับถูกคุกคามจากอำนาจมืดที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของคนที่มีอิทธิพลทางการเมือง ครั้งนี้จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สื่อได้ลุกขึ้นทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งไม่อยู่ภายใต้การชี้นำของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อปกป้องไว้ซึ่งสิทธิส่วนบุคคลหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สื่อไทยส่วนใหญ่ต่างนำเสนอความเห็นแย้งกับตำรวจและมุ่งเจาะประเด็นว่าอาจเป็นเรื่องของการสมคบคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์จากการเปิดโปงของนายเอกยุทธ ส่วนสื่อตะวันตกช่วยกันปกป้องการกระทำของนายสโนว์เดนว่าไม่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงของประเทศ เป็นการเปิดโปงเพื่อประโยชน์ของประชาชน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)