PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

'อาจมีรัฐประหาร' แดงภูธรตีความ 'แม้ว' เดินหน้าสู้ต่อเพื่อประชาธิปไตย!

10 ก.พ. 62 - นายอานนท์ แสนน่าน แกนนำหมู่บ้านเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีเนื่อหาดังนี้ 
#เตรียมรับสถานการณ์
#อาจจะมีการเลื่อนเลือกตั้ง
#อาจจะมีปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง
วันนี้(10 กุมภาพันธ์ 2562) นายอานนท์ แสนน่าน ประธานหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตย แห่งประเทศไทย นายศักดิ์ชาย พรหมโท ประธานผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย(ผรท.) แห่งประเทศไทย นายสมชัย แสงทอง ประธานหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตยภาคเหนือ นางนิตยา นาโล ประธานหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตยภาคอีสาน และ นางธนภัทร พันธวาส ประธานเครือข่าย ร่วมประชุมวางแผนรับสถานการณ์เกี่ยวกับการเมืองปัจจุบัน ว่า "หมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตย" และ "สื่ออาสาหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตย เพราะมีกระแส "เลื่อนการเลือกตั้ง" และอาจจะมีการ "ปฏิวัติ-รัฐประหาร" เพื่อจะได้ส่งสัญญาณให้สมาชิกและมวลชนได้รับทราบ 

หลังจากที่ท่าน "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี โลโกัของความเป็นประชาธิปไตย และโลโก้ของความอยู่ดีกินดีของประขาชน ได้ส่งสัญญาณมาว่า "เชิดหน้าแล้วก้าวต่อไป เราเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต แต่มีชีวิตเพื่อวันนี้และอนาคต ร่าเริงเข้าไว้! ชีวิตต้องดำเนินต่อไป...”
#เราพร้อมทุกสถานการณ์

"บิ๊กป้อม" สยบข่าว "ปฏิวัติ" เรียกขุนทหารประชุมงานบรมราชาภิเษกฯ

สยบข่าวลือ!! "ประวิตร" เมินตอบข่าวลือรัฐประหารซ้อน หลังโซเชียลแห่แชร์ ราชกิจจานุเบกษาปลอม อ้างคำสั่ง หัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพ ขณะที่ ผบ.เหล่าทัพ ยังคงอยู่ประเทศไทยและปฏิบัติภารกิจประจำวันปกติ...

เมื่อเวลา 09:30 น. วันที่ 11 ก.พ.62 ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการถวายความปลอดภัย งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกฯ โดยมี พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมผู้แทนผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะตอบถึงกระแสข่าวลือถึงการรัฐประหารซ้อน หลังโซเชียล ตื่นตระหนกแห่แชร์ ราชกิจจานุเบกษาปลอม อ้างคำสั่ง หัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพ ทำให้ รัฐประหาร ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวว่า ผบ.เหล่าทัพมีภารกิจภายในกองทัพอยู่ในประเทศไทยแม้จะยังไม่ปรากฏตัว โดย ผบ.ทสส. และ ผบ.เหล่าทัพ มอบหมายให้ผู้แทนเข้าร่วมประชุมแทน โดย พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีกำหนดการประชุมมอบหมายงานตามวาระปกติ ที่ บก.ทสส. ถนนแจ้งวัฒนะ ส่วน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.และเลขาธิการ คสช. ไม่ได้เขาประชุม สำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(ลธ. คสช.) โดยมอบหมายให้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. ในฐานะ รองเลขาฯ คสช.ประชุมแทน โดยมีรายงานว่า ผบ.ทบ. เพิ่งเดินทางกลับจากราชการต่างประเทศ ด้าน พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร.มีกำหนดการต้อนรับ ผบ.ทร. กัมพูชา ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ วังเดิม ด้าน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผบ.ทอ. มีภารกิจ และกำหนดการที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง.
ไทยรัฐ

นายกฯบิ๊กตู่”เดินเข้า ดงทหาร ...

“นายกฯบิ๊กตู่”เดินเข้า ดงทหาร .....
ควง “บิ๊กแดง”วันวาเลนไทนส์ ตรวจเยี่ยม ฝึกหน่วยทหารรักษาพระองค์ร่วมเหล่าทัพ ฝึกในพื้นที่ส่วนหลัง. การบรรเทาสาธารณภัย ที่ หน่วยรบพิเศษ 14กพ.นี้/ ไม่ได้หวัง สยบข่าวลือ เพราะกำหนดไว้นานแล้ว....แต่งานนี้ คงมีสีสัน ไม่น้อย “นายกฯบิ๊กตู่” อยู่ท่ามกลางขุนทหาร ท่ามกลางข่าวลือ ปฏิวัติรัฐประหาร ที่ไม่รู้ว่า ใครจะทำ และทำเพื่อใคร เพื่ออะไร??!
เป็นกำหนดการ เดิม ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ ที่แล้ว.....พลเอกประยุทธ์ และ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ./ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 จะไปตรวจเยี่ยมการฝึก ทั้งในส่วนของ ฉก.ร่วม หน่วยทหารรักษาพระองค์ และ การฝึกในพื้นที่ส่วนหลัง. การบรรเทาสาธารณภัย ที่ กรมรบพิเศษ ที่1 ลพบุรี
ทั้งนี้ การฝึก ร่วมหน่วยทหารรักษาพระองค์ร่วมเหล่าทัพ นี้ เริ่ม 1-21 กพ.2562 โดยมีการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ ของหน่วยรักษาพระองค์ ทั้งหมด ไปที้ ลพบุรี ทั้งที่ ศูนย์การบินทหารบก ศูนย์การทหารปืนใหญ่ และ กรมรบพิเศษที่1 ป่าหวาย

'ผลจากเหตุ' ที่มัน 'อยู่ไม่สุข'

"เมื่อผมไม่เป็นสุข ใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่เป็นสุข"!
    นำประโยคนี้มาย้อนคิด.........
    ผนวกกับเหตุการณ์ ๘ กุมภา ๖๒ ที่ "ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช" หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ
    นำ "บุคคลชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์"
    มาเสนอเป็น "นายกฯ ของพรรค" ต่อ กกต.ในการเลือกตั้ง ส.ส. ๒๔ มีนา ทำให้อดสงสัยไม่ได้ ว่า 
    "เป็นไปได้หรือ?"
    ที่พรรคไทยรักษาชาติ จะไม่ทราบว่า การนำบุคคลในสถาบันพระมหากษัติย์ มาเกี่ยวข้องทางการเมือง
    "ขัดต่อกฎหมาย" มีผลถึงขั้น "ยุบพรรค"?
    อีกอย่างหนึ่ง การทำเช่นนั้น พรรคไทยรักษาชาติ จะไม่ตระหนักเชียวหรือว่า
    ขัดต่อโบราณราชประเพณี ต่อขนบธรรมเนียม ต่อวัฒนธรรมของชาติ เป็นการกระทำมิบังควร ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง!
    ผมพิเคราะห์แล้ว......
    เป็นไปไม่ได้ ที่พรรคไทยรักษาชาติ จะไม่ทราบทั้ง ๒ กรณีนั้น คือ ทั้งด้านกฎหมาย และด้านสำนึกในความเป็นคนไทย
    ในด้านกฎหมาย..........
    "ไทยรักษาชาติ" เป็นพรรคส่วนต่อขยายจากพรรค "เพื่อไทย" อย่างที่เรียกกันว่า "พรรคตระกูลเพื่อ"
    ใน "ตระกูลเพื่อ" ได้ชื่อว่า ศูนย์รวม "มือกฎหมาย"
    มีตั้งแต่ระดับอดีตรัฐมนตรียุติธรรม อดีตอธิบดีศาล อดีตตุลาการ อดีตอัยการสูงสุด อดีตอธิการบดีมหา'ลัย และทนาย     
    รับใช้ "ระบอบทักษิณ" อยู่ที่นั่น ยุ่บยั่บ ฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ทราบ ถึง......
    ระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๖๑ หมวด ๔ 
    "ลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง" ในข้อ ๑๗ ที่ว่า
    "ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับ การหาเสียงเลือกตั้ง"  
    และยิ่งเป็นไปไม่ได้........
    ที่จะไม่ทราบถึงผลแห่งการกระทำ นั้น ตามกฎหมายลูก ว่าด้วย "พรรคการเมือง" พ.ศ.๒๕๖๐  มาตรา ๙๒ (๑)(๒) ที่ว่า
    เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
    (๑) กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
    (๒) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองกระทำการตามวรรคหนึ่ง 
    ให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น
    ในด้านสำนึกความเป็นคนไทย.........
    ร.ท.ปรีชาพล "หัวหน้าพรรค" ยศนำหน้าชื่อก็บอกชัด เคยรับราชการเป็นทหาร
    ฉะนั้น ด้านสำนึกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมต้องสูงกว่าชาวบ้านทั่วไป
    ยิ่งกว่านั้น ร.ท.ปรีชาพล เป็นบุคคลในครอบครัว "ข้า-ราชะ-การ" โดยตรง
    คือบิดา "นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช" รับราชการมาตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอ จนถึงระดับปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรัฐมนตรีถึง ๒ กระทรวง ยุคทักษิณและยิ่งลักษณ์
    ผลงานโดดเด่น ร่วมขบวนการ "นปช." เมื่อปี ๕๓ และเรื่อยมา
    อีกทั้งมารดา "นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช" ก็เคยรับราชการ คลุกคลีอยู่ในระบบราชการ มีตำแหน่งเป็น "ยอดหญิง" และ "แม่ดีเด่น"
    ด้วยคุณสมบัติ ด้วยข้าวแดง-แกงร้อนรดหัว ในความเป็น "ข้า-ราชะ-การ" เลี้ยง จนมีชีวิตวันนี้  
    จึงยากที่จะพูดว่า........
    ร.ท.ปรีชาพล จะไร้ซึ่งจิตสำนึก จนแยกแยะไม่ออกว่า
    อะไรควร-ไม่ควร, ใช่-ไม่ใช่, ผิดหรือถูก ต่อการนำบุคคลชั้นสูงใน "พระบรมราชวงศ์" เสนอ กกต.เป็นนายกฯ พรรค ด้วยหวังใช้เป็นประโยชน์ทางการเมือง
    อย่างน้อยที่สุด........
    ร.ท.ปรีชาพล เคยเป็น ส.ส.มาแล้ว ต้องรู้ ใครก็ตาม เมื่อเข้าสู่การเมือง ไม่ว่าตำแหน่งไหน
    ที่จะไม่ถูกด่าว่า ไม่ถูกใส่ร้าย ไม่ถูกหยามประณาม ไม่ถูกลบหลู่ ลามถึงขั้นวงศ์ตระกูล
    ไม่มีเลย!
    ในเมื่อ รู้-ทั้งรู้ แล้ว ร.ท.ปรีชาพล และคณะบริหารพรรคไทยรักษาชาติ ทำอย่างที่ทำไป ด้วยเจตนาใด
    หรือมีใคร "บงการ" ให้ทำ?
    และดูจากแถลงการณ์พรรคไทยรักษาชาติ ที่ออกเมื่อ ๙ ก.พ.๖๒ 
    ไม่มีข้อความใด บ่งบอกถึง "ความสำนึกผิด" ต่อสิ่งที่ทำและมีเจตนาขอพระราชทานอภัยโทษ
    มีเพียงข้อความ ว่า.....
    "พรรคไทยรักษาชาติ ขอน้อมรับพระราชโองการข้างต้นไว้ด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ทุกพระองค์"
    ก็แปลก แถลงการณ์ "ขอน้อมรับพระราชโองการ"..........
    แต่ในย่อหน้าของบรรทัดต่อมา 
    ทำประหนึ่งแถลงการณ์ซ้อนแถลงการณ์ ด้วยข้อความว่า
    "พรรคไทยรักษาชาติซาบซึ้งในพระเมตตาของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ มหิดล ที่ได้ให้ความเมตตาต่อพรรคฯ พรรคไทยรักษาชาติ......."
    มันเป็นเรื่องอันผู้มีการศึกษาและกตัญญูชนพึงรู้กาลอันควรแต่ละกรณีมิใช่หรือ?
    จากที่ลำดับความมา พรรคไทยรักษาชาติ "ผิด-ถูก" เป็นเรื่อง กกต.จะพิจารณา มีกฎหมายเป็น "กรอบ-กฎ" ชัดเจนแล้ว
    สิ่งเหล่านี้    ทำให้ต้อง "ย้อนคิด" อย่างว่า นั่นแหละ
    "เมื่อผมไม่เป็นสุข ใครก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่เป็นสุข"!
    ทุกคนรู้ อะไรผิด-อะไรถูก แต่ก็ทำกัน
    แล้วใครล่ะ อยู่เบื้องหลัง?
    ผมรู้แต่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ทวีตข้อความวันต่อมา
    "Chin up and keep moving forward! We learn from past experiences but live for today and  the future. Cheer up! Life must go on!"
    มันเชื่อมโยงถึงบทบาทไทยรักษาชาติครั้งนี้ได้ลงตัว
    เราเรียนประวัติศาสตร์กันทั้งนั้น 
    ทราบใช่มั้ย ก่อนพวกฝรั่งจะยึด "ลาว-เขมร-พม่า-ญวน" เป็นเมืองขึ้นได้ เขาทำกับอะไรก่อน?
    ล้ม "สถาบันกษัตริย์" ก่อน!
    เมื่อล้มสถาบันกษัตริย์ได้ เท่ากับล้มและยึดประเทศได้
    เหลือแต่ไทยเราเท่านั้น ฝรั่งหรือใครก็ล้ม "สถาบันพระมหากษัตริย์" เราไม่ได้
    ในภูมิภาคนี้ จึงมี "ไทย" ประเทศเดียว ที่ดำรงเอกราช!
    เพราะเช่นนี้แหละ 
    ระบบราชการ มันก็เจาะ พุทธศาสนา มันก็เจาะ สถาบันศาล มันก็เจาะ ระบบรัฐสภา มันก็เจาะ
    หวังล้มให้กับมัน แต่ประเทศไทย ก็ไม่ล้ม
    เพราะอะไร? 
    เพราะ "รากแก้ว" ที่เป็น "แกนหลัก" ในความเป็นชาติ-เป็นประเทศไทย อยู่ที่
    "สถาบันพระมหากษัตริย์"!
    โดยนัยนี้ เมื่อมันเจาะทุกทางก็แล้ว ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้านก็แล้ว ก็ยังเปลี่ยนระบอบ-ล้มสถาบันไม่ได้
    มันอยู่ไม่เป็นสุข  
    มันจึงทำ เพื่อให้สถาบันไม่เป็นสุขด้วย!
    ครั้งนี้ ถ้าสำเร็จ ได้ทั้ง "ล้มสถาบัน"
    ได้ทั้ง "กลับบ้าน" ครองอำนาจ เป็นสุข
    แต่ถ้าไม่สำเร็จ อย่างที่เป็นตอนนี้ พวกสมุน-ลูกน้อง-ขี้ข้ารับใช้ ก็ตายไป เข้าคุกไป ยุบพรรคไป 
    พวกโคตรเหง้ากู มุดช่องทางธรรมชาติ ไปใช้เงินโกงอยู่เมืองนอกสบาย!
    ฉะนั้น มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม.........
    แค่ ร.ท.ปรีชาพล ชูกระดาษที่มีพระรูป "ทูลกระหม่อมหญิงฯ" ให้นักข่าว-ช่างภาพดู เมื่อเช้า ๘ ก.พ.
    มันได้ทำลาย "สถาบันพระมหากษัตริย์" สมใจปรารถนามันแล้ว!
    เพราะพลัน-ข่าว/ภาพ พรึ่บทั่วโลก
    สังคมโลก เกิดทัศนคติหักเหต่อสถาบันทันที ด้วย "เข้าใจผิด" ต่อข่าวสารที่ "ฝรั่งสื่อออกไปผิดๆ"
    CNN ระบุในข่าว เหมือนที่ "พรรคตระกูลเพื่อ" เจตนาสื่อให้คนไทยเข้าใจ
    "สถาบันส่งลงไป" เนื้อหาหลักเป็นเช่นนี้ 
    ซึ่งไม่เป็นความจริง และต่อมาวันเดียวกัน ก็มี "พระราชโองการ" ดังประจักษ์แล้ว ความสำคัญว่า
    "การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมืองไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
    แต่ก็นั่นแหละ.....
    การได้กัดเซาะ เจาะช่อง ให้เป็นร่องน้ำซึม มันคนนั้น ได้ทำกับสถาบัน "สะใจมัน" แล้ว 
    "ความจริง" ที่มาทีหลัง พลังแรงย่อมสู้ "ความเท็จ" เหมือนน้ำหลากที่มาก่อนไม่ได้
    ผิดต่อสถาบันครั้งนี้ เท่า "อนันตริยกรรม"
    สถาบันกษัตริย์ คือ "ความมั่นคง" ประเทศ ถ้าไม่เด็ดขาด เท่ากับประเทศ "เริ่มไม่มั่นคง"
    ใน "ภาคธุรกิจ" เขาเริ่มถามกันแล้ว ต่อจากนี้ มั่นใจต่อการ "ลงทุน" ได้แค่ไหน?
    บอกให้แก้ ไม่ใช่บอกให้กลัว!     

'สามัญชน'ชูจุดยืนไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ ไม่สนับสนุนนายกฯคนนอก



11 ก.พ.62- ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรคสามัญชน ซึ่งส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบแข่งเขตจำนวน 16 เขต จาก 9 จังหวัดและบัญชีรายชื่อ 6 รายชื่อ  ทั้งนี้พรรคสามัญชน ยังได้ออกแถลงการณ์  ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ  นายกฯต้องมาจาก ส.ส. โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เปิดช่องให้มี “นายกฯ คนนอก” ได้สองแบบ ดังนี้ 1. นายกคนนอกแบบแรกคือ “นายกฯ คนนอกตามบทถาวร” ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 ที่กำหนดให้แต่ละพรรคการเมืองสามารถเสนอรายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 3 รายชื่อ ซึ่งสังคมส่วนใหญ่ยังสับสนว่าการเสนอรายชื่อดังกล่าว ไม่ใช่ “นายกฯ คนนอก” นั้น
 พรรคสามัญชนขอเรียนชี้แจงว่ารัฐธรรมนูญฯไม่ได้กำหนดไว้ว่า 3 รายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอมานั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ดังนั้น จึงเป็นใครก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เป็น ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่งเสียก่อน ตรงนี้เองคือคุณสมบัติของ “นายกฯ คนนอก” ไม่ใช่นายกฯ คนในตามที่สังคมส่วนใหญ่เข้าใจแต่อย่างใด
2. นายกฯ คนนอกแบบที่สองคือ “นายกฯ คนนอกตามบทเฉพาะกาล” ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 272 ที่กำหนดให้ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน มีอำนาจและหน้าที่ในการเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. โดยเสนอบุคคลใดที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 88 ให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยบุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เป็น ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่งเสียก่อนเช่นเดียวกับข้อ 1. 
ดังนั้น หลักการเรื่องนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้เป็น ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่งเสียก่อนจึงเป็นหลักการที่สำคัญอย่างที่สุด เพราะผู้ปกครองซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลอย่างนายกรัฐมนตรีต้องรับประกันว่าการใช้อำนาจจะต้องผ่านประชาชนโดยระบบเลือกตั้งด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณสมบัติสำคัญข้อแรกของนายกรัฐมนตรีควรต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่งเสียก่อนเท่านั้น นอกเหนือไปจากนี้จึงเรียกว่า “นายกฯ คนนอก”
พรรคสามัญชน ระบุด้วยว่า ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด พรรคสามัญชนจึงไม่ขอสนับสนุนบุคคลใดก็ตามที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ตามมาตรา 88 และจาก ส.ส. และ ส.ว. แต่งตั้ง ตามมาตรา 272 โดยที่บุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคใดพรรคหนึ่งเสียก่อนเพราะบุคคลนั้นคือ “นายกฯ คนนอก” ที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและความผิดทั้งปวงจากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมืองที่เสนอชื่อบุคคลนั้น และไม่มีความยึดโยงผูกพันใด ๆ ทั้งสิ้นกับสมาชิกพรรคการเมืองที่เสนอชื่อบุคคลนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่ต้องรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงในบรรดามติ กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่งของคณะกรรมการบริหารพรรคและในการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการบริหาร พรรคการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญฯ
และบุคคลนั้นซึ่งไม่ได้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. เขต หรือ ส.ส. บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใด จะมีสายสัมพันธ์ยึดโยงการใช้อำนาจกับประชาชนเจ้าของประเทศได้อย่างไรพรรคสามัญชน จะไม่สนับสนุนนายกจากคนนอก และพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และ ‘นายกคนนอก’ ในอนาคต

'ประยุทธ์' สยบลือปลด 'ผบ.เหล่าทัพ' ลั่นเป็นไปไม่ได้



11 ก.พ.62 - ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า วันนี้ต้องแก้ปัญหาเรื่องของข่าวลือและข่าวเท็จ ข่าวปลอมที่มีมากมาย โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมาก จึงฝากสื่อมวลชนให้ช่วยกันแก้ไขด้วย ทั้งนี้ ไม่ทราบเหตุผลว่ามีการปล่อยข่าวปลอมเพราะอะไร เช่น การปล่อยข่าวว่ามีการปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย หากเป็นความจริง ตนจะต้องแจ้งอยู่แล้วเรื่องการโยกย้ายหรือออกคำสั่งจะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ไม่สามารถใช้ ม.44 แต่งตั้งหรือปลดใครได้ทุกตำแหน่ง เพราะจะใช้ม.44 เฉพาะคนที่มีปัญหาเท่านั้น ที่แล้วมาตนก็ไม่เคยมีปัญหากับใครทั้งสิ้น และขอสื่ออย่าเขียนว่าสถานการณ์ในเหล่าทัพไม่ดี เพราะมันดีมาโดยตลอด เป็นพี่น้องกันมาตั้งนานแล้วหลายสิบปี ถือเป็นภาระความผูกพัน ถ้าทุกคนต่างทำความดีก็ต้องส่งเสริมซึ่งกันและกัน หากไม่ดีและเขาไม่ชอบตน ตนก็ต้องยอมรับ โดยต้องยอมรับซึ่งกันและกัน 
เมื่อถามว่า ตอนนี้นายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐแล้ว บทบาทหลังจากนี้ต่อผู้บัญชาการเหล่าทัพจะเป็นอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็วางบทบาทว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในการแต่งตั้งของกองทัพ เพราะมีการเสนอมาผ่านกระทรวงกลาโหม ตนเพียแค่อนุมัติและเซ็นทูลเกล้าฯ เท่านั้น การคัดกรองเป็นเรื่องของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง หากไม่ดีก็จะถูกโยกย้าย แต่คนที่จะขึ้นมาถึงข้างบนนั้น ก็ถือว่าร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว 
ถามว่า หลังจากตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ มั่นใจว่าพรรคจะได้รับชัยชนะหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของพรรคที่ดำเนินการ ที่พรรคเสนอชื่อตนก็ขอบคุณ ส่วนตนจะได้เป็นนายกฯ อีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของพรรค แต่วันนี้ตนขอทำงานในส่วนของรัฐบาล เพราะถือว่าสำคัญที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะไม่มั่นใจว่าในวันหน้าหลายอย่างที่ทำอยู่จะได้รับการสืบสานหรือไม่ เราควรจะห่วงเรื่องนี้มากกว่า เมื่อถามว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกอึดอัดใจหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่อึดอัด ไม่หนักใจ ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง 

ปชป.ระส่ำ!'วิฑูรย์'เจ็บปวดถูกประหารชีวิตทางการเมือง แพ้ทุนพรรคถูกจัดปาร์ตี้ลิสต์ลำดับท้าย



11 ก.พ.62- นายวิฑูรย์ นามบุตร  รองหัวหน้าพรรคดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสาน และผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 40 โพสต์ข้อความในไลน์กลุ่มส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า  “ดูบัญชีรายชื่อ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ท่านคิดอย่างไร เอาหลักคิด วิธีการจัดลำดับอย่างไร คนไม่ออกทุน ได้ 21  คนไม่ออกแรง ไม่ออกทุน ไม่ทำกิจกรรมร่วมกับพรรค ไม่ลงพื้นที่ ลำดับ 28 เอาพวกเด็กๆ  อยู่ลำดับ 10-20-30

ส่วนรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน ออกทุน ออกแรง เป็นคนเก่า มั่นคงกับ ปชป.ไม่เคยย้ายพรรค สู้ไม่ถอย แม้กระทั่งเหลือ ปชป.อุบลฯคนเดียว ก็สู้ ช่วงเลือกหัวหน้าพรรค ก็ออกแรงเชียร์อภิสิทธิ์ เต็มตัว เต็มที่ จนกลุ่มท่านบัญญัติ หมอวรวค์ ไม่พอใจ แต่ก็เปิดหน้าชนเพื่อนายอภิสิทธิ์จะได้เป็นหัวหน้าพรรค  สุดท้ายนายอภิสิทธิ์ จัดให้ลำดับ 40 ใครช่วยตอบที แบบนี้มันประหารกันชัดๆๆ เลือกตั้งครั้งนี้ จะพิสูจน์ว่า อีสาน จะเหลือ และจะได้ ส.ส.อีสาน กี่คน อีกไม่นานเกินรอ ก็จะรู้ ใครไม่เป็นผมไม่รู้หรอกครับว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน  มันประหารชีวิตทางการเมืองกันชัดเจน ขอโทษเพื่อนๆนะครับ ขอบ่นหน่อย มีอะไรก็อยากบอกให้ทราบ สุดท้ายผมก็ประชาธิปัตย์ เลือดทุกหยดคือ ปชป. เพราะชีวิตนี้เลือกแล้วการเมืองคือ ประชาธิปัตย์พรรคเดียวและพรรคสุดท้ายครับ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพูดนั้น ลำดับที่ 21 คือ นายสุทัศน์ เงินหมื่น  ลำดับที่ 28 นายไชยยศ  จิรเมธากร   ลำดับที่ 10 นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู  ลำดับที่ 20  น.ส.จิตภัสร์  ตั้น  กฤดากร   และลำดับที่ 30 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข  ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเครือข่ายหรือคนใกล้ชิดของนายจุติ ไกรฤกษ์  เลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม  มีการวิเคราะห์กันว่าลำดับที่ปลอดภัยจะได้เป็นส.ส.นั้น อยู่ระหว่างลำดับที่ 30-35  ทั้งนี้ ภายหลังจากที่พรรคเปิดเผยผลการจัดลำดับลำดับ มีบางคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ายุคนี้ผู้บริหารพรรคที่กุมอำนาจมุ่งบริหารงานพรรคสไตล์พรรคประชากรไทย เพราะคิดถึงกลุ่มทุน ผลประโยชน์ก่อนคนทำงานและเสียสละให้พรรค.

ทางลง-ทางหนี 'ทษช.'

11/2/62 ไทยโพสต์
////////

หลายฝ่ายจับตาอนาคตของ "พรรคไทยรักษาชาติ" (ทษช.) ต่อจากนี้ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป หลังมีพระราชโองการ กรณีพรรค ทษช.เสนอพระนาม ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค เมื่อวันศุกร์ที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา
      เพราะนอกจากมีข่าวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวภายในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าอาจจะได้ข้อยุติในการประชุม กกต.วันจันทร์ที่ 11 ก.พ.นี้ หรืออย่างช้าก็ไม่เกินเส้นตายศุกร์ที่ 15 ก.พ.ที่ กกต.จะต้องประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกฯ-รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ของทุกพรรคทุกคน ขณะเดียวกัน ก็มีบางกลุ่มเช่น นายศรีสุวรรณ จรรยา ก็เตรียมไปยื่นเรื่องต่อ กกต.เพื่อขอให้พิจารณายุบพรรคไทยรักษาชาติ ในวันที่ 11 ก.พ.นี้ โดยอ้างว่า การกระทำของ ทษช.ขัดต่อกฎหมายและระเบียบการหาเสียงของ กกต. อันเข้าข่ายองค์ประกอบมาตา 92 (2) ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 
      โดยมีข่าวว่า ตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กรรมการบริหารพรรค ทษช. ที่มีด้วยกัน 14 คน อันประกอบด้วย   ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค-รองหัวหน้าพรรค คือ ฤภพ ชินวัตร, น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร, พฤฒิชัย วิริยะโรจน์, นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล, มิตติ ติยะไพรัช รองเลขาธิการพรรค คือ ต้น ณ ระนอง, คณาพจน์ โจมฤทธิ์, วิม รุ่งวัฒนจินดา
      กรรมการบริหารพรรคได้แก่ รุ่งเรือง พิทยศิริ, จุลพงษ์ โนนศรีชัย นายทะเบียนสมาชิกพรรค น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์, พงษ์เกษม สัตยาประเสริฐ โฆษกพรรค และ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ เหรัญญิกพรรค
      ต่างมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวันเพื่อคอยเช็กข่าว ความเคลื่อนไหวต่างๆ รวมถึงแกนนำพรรคที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ซึ่งส่วนใหญ่ย้ายมาจากเพื่อไทยและลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ก็คอยร่วมตรวจสอบทิศทางข่าวและให้คำแนะนำกับคนในพรรค โดยข่าวว่า ส่วนใหญ่ต่างบอกว่าให้สื่อสารกับคนในพรรคโดยเฉพาะพวกผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต ว่าให้หาเสียงในพื้นที่ไปตามปกติ และหากมีประชาชนมาสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว ก็ไม่ให้แสดงความคิดเห็นใดๆ เพราะเป็นเรื่องที่กก.บห.พรรคจะเป็นผู้ตัดสินใจ แก้ปัญหาต่างๆ ไปทีละสเต็ปเอง

จนเป็นที่มาของการพยายามแก้สถานการณ์ เช่น การให้ทีมโฆษกพรรคแจ้งข้อความผ่านไลน์กลุ่มสื่อมวลชนที่ทำข่าวพรรค ทษช.และการสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กพรรคเมื่อช่วงสายวันที่ 10 ก.พ.ระบุว่า
      "พรรคไทยรักษาชาติ ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่หลั่งไหลกันเข้ามาให้ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เราขอยืนยันกับพี่น้องประชาชน พรรคไทยรักษาชาติยังคงมีจุดยืนดังเดิมและจะเดินหน้าต่อไปในสนามเลือกตั้งเพื่ออาสาแก้ปัญหาให้ประเทศและประชาชน"
      ขณะเดียวกัน ก็มีกระแสข่าวว่า คนในพรรค ทษช.มีการไปตั้งวงหารือกันทั้งวงเล็ก-วงใหญ่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น บ้านพักแกนนำ ทษช.เพื่อประเมินสถานการณ์ โดยส่วนใหญ่บอกว่าให้รอดูท่าทีของ กกต.ก่อนว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างไร ขณะที่บางฝ่ายก็เสนอว่า ควรที่แกนนำพรรคจะต้องมีแอคชั่นใดๆ ออกมาก่อนที่จะมีมติ กกต. เพราะไม่เช่นนั้นอาจถูกมองว่า พอมีมติ กกต.ชี้ขาดเรื่องดังกล่าวออกมาแล้ว ทษช.ค่อยขยับ อาจช้าเกินไป
      ท่ามกลางกระแสข่าวว่า กรรมการบริหารพรรคบางคนก็เตรียมสละเรือทิ้ง ขอออกจากพรรค เช่นมีกระแสข่าวว่า "รุ่งเรือง พิทยศิริ" หนึ่งใน กก.บห.ที่เคยอยู่กับทั้งพรรคความหวังใหม่และไทยรักไทย จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อแสดงความบริสุทธิใจว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมติของพรรคในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีรวมถึงจะไปยื่นขอลาออกจากสมาชิกพรรคต่อ กกต.ในวันที่ 11 ก.พ.นี้ด้วย 
      ขณะที่มีกระแสข่าวด้วยว่า วงหารือแกนนำพรรค ทษช.มีคนในพรรคบางส่วนเสนอว่า ควรที่พรรคจะทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ จากนั้นพิจารณายุติบทบาทพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือยุบพรรคไป แต่แนวคิดดังกล่าว คนในพรรค ทษช.หลายคนคัดค้านเพราะมองว่า ต่อให้ กกต.ตีความในทางไม่เป็นคุณกับ ทษช. จนถึงขั้นส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ทษช. แต่ขั้นตอนดังกล่าวก็ใช้เวลาอีกอย่างน้อยก็ร่วม 2-3 เดือน ซึ่งก็คือหลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.ไปแล้ว หากยุติบทบาทตอนนี้จะกระทบกับยุทธศาสตร์ตั้ง ทษช.เป็นพรรคสาขาเพื่อเอาคะแนน-เก้าอี้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ อีกทั้งทางกฎหมาย เมื่อยื่นสมัคร ส.ส.ไปแล้ว การถอนตัวออกก็ทำไม่ได้  จึงเห็นว่า ทษช.ควรลุยเลือกตั้งไป เพราะแกนนำพรรคจากแดนไกล ส่งสัญญาณมาว่า ให้สู้ต่อไป ไม่ต้องถอย แต่หาก กกต.มีมติใดๆ ออกมาในทางไม่เป็นคุณกับพรรค ก็แค่ให้ กก.บห.รับผิดชอบไป เช่น ประกาศลาออก แต่คงสมาชิกภาพไว้ เพื่อไม่ให้กระทบกับคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.
      ทางหนี-ทางออกของ ทษช. จะออกมาในรูปไหน ต้องรอติดตาม แต่ข่าวว่า งานนี้ แกนนำ-ผู้สมัคร ส.ส.ของ ทษช.หลายคน เครียดหนักกับสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างรวดเร็วในค่ำคืนวันศุกร์ที่ 8 ก.พ.

สังศิต วิเคราะห์สถานการณ์เปลี่ยน

สถานการณ์ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองและการเลือกตั้งของไทยในขณะนี้ค่อนข้างสูง กล่าวคือ
1.พรรคไทยรักษาชาติต้องยุติบทบาททางการเมืองในแง่พฤตินัยอย่างน้อยที่สุดเป็นการชั่วคราว แต่มีความโน้มเอียงสูงว่าพรรคการเมืองพรรคนี้อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายด้วย ดังนั้นพรรคไทยรักษาชาติคงไม่สามารถรณรงค์หาเสียงต่อไปได้แล้ว ยุทธศาสตร์ของคุณทักษิณที่กำหนดไว้ให้ทษช.เป็นพรรคที่เก็บคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อจึงไม่เป็นจริงอีกต่อไป
2.ผลกระทบของทษช.ส่งผลให้พรรคการเมืองของคุณทักษิณทำงานได้ลำบาก พรรคเพื่อชาติ พรรคเพื่อไทยและพรรคที่เหลือทั้งหมดต่างต้องถอยหลังหรือประกาศยุติการหาเสียงในบางพื้นที่แล้ว การต้องเสียงเวลากับการปรับกลยุทธ์ในการหาเสียงใหม่หมดเป็นตัวกำหนดให้เกิดกระแสนิยมของคุณทักษิณทั้งหมดตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว
3.พลังสำคัญที่ไปเร่งให้พรรคการเมืองของคุณทักษิณตกต่ำหนักลงไปอีกคือความหวาดระแวงและความกลัวของบรรดานายทุนที่สนับสนุนทางด้านการเงินให้แก่พรรคของคุณทักษิณจะถอยห่างออกมา พรรคการเมืองที่ขาดน้ำเลี้ยงในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เหมือนกองทัพที่มีทหารแต่ไม่มีข้าวปลาอาหารจะบริโภค ขวัญของทหารจะตกต่ำและค่อยๆพากันหนีทัพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และ
4.คะแนนนิยมส่วนตัวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและพรรคพลังประชารัฐจะตีกลับ คนจะตัดสินใจเลือกพลเอกประยุทธ์เพราะเห็นว่าการกระทำความผิดของคุณทักษิณในครั้งนี้โจ่งแจ้งและมิบังควรเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้คนไทยทั้งประเทศตกอยู่ในความไม่แน่นอนของอนาคตอยู่ตลอดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
พฤติกรรมของ ทษช.ในครั้งนี้ได้ทำให้ภูมิรัฐศาสตร์ของไทยเปลี่ยนแปลงไปหมด ฝ่ายรุกตกเป็นฝ่ายรับ และฝ่ายรับกลับมาเป็นฝ่ายรุก เพราะคนได้เห็นภาวะความเป็นผู้นำของพลเอกประยุทธ์ในการรับมือและการเผชิญหน้ากับการก่อตัวของวิกฤติการเมืองไทยครั้งใหม่อย่างสงบนิ่ง รวมทั้งยังมาจากกลยุทธ์ที่ผิดพลาดของคุณทักษิณที่ทำให้คนเห็นว่าคุณทักษิณทำได้ทุกอย่างเพียงแค่ได้อำนาจกลับคืนเท่านั้น
จากผมเอง สังศิต พิริยะรังสรรค์
10 กุมภาพันธ์ 2562

"หมอเสริฐ"ยอมจำนน กัดลิ้นจ่ายค่าปรับ ปั่นหุ้นBA 500 ล้าน :

(Feb 11) "หมอเสริฐ"ยอมจำนน กัดลิ้นจ่ายค่าปรับ ปั่นหุ้นBA 500 ล้าน : “หมอเสริฐ” พร้อมพรรคพวก ยอมจ่ายเงินค่าปรับทางแพ่ง 499.45 ล้านบาท พร้อมสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารบจ. 2 ปี หลังปั่นหุ้น BA
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ อดีตผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BA) ตกลงยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งตามที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) โดยชำระค่าปรับทางแพ่งจำนวน 257,284,350.00 บาท และมีคำสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564
ด้านนางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ชำระค่าปรับทางแพ่ง 235,036,775.00 บาท รวมถึงมีคำสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 และนางนฤมล ใจหนักแน่น ชำระค่าปรับทางแพ่ง 7,126,800.00 บาท ห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในช่วงระหว่างวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 12 มกราคม 2559 นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ นางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ และนางนฤมล ใจหนักแน่น ร่วมกันซื้อขายหลักทรัพย์ BA อย่างต่อเนื่องและจับคู่ซื้อขายหลักทรัพย์ BA ระหว่างกันเองในลักษณะอำพรางการซื้อขาย ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งผลให้ราคาและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ BA ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด
สำหรับก่อนหน้านี้ นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า ก.ล.ต. ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยัง นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ, แพทย์หญิงปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ และนางนฤมล ใจหนักแน่น หลังจากพบว่า มีการสร้างราคาหลักทรัพย์ BAโดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 499.45 ล้านบาท ในขั้นตอนต่อไปทั้ง 3 ราย จะต้องมาชำระค่าปรับในจำนวนเงินดังกล่าวกับ ก.ล.ต. ภายใน 14 วัน นับตั้งแต่ที่ ก.ล.ต. ส่งหนังสือแจ้งไป ทั้งนี้ หากทั้ง 3 ราย ไม่ยินยอมเปรียบเทียบปรับจากคณะกรรมการพิจารณามาตราการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ทาง ก.ล.ต. จะส่งเรื่องให้อัยการเพื่อส่งฟ้องต่อไป
Source: ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thansettakij.com/content/387492

วาเลนไทน์ตู่แดง

“นายกฯบิ๊กตู่”เดินเข้า ดงทหาร .....

ควง “บิ๊กแดง”วันวาเลนไทนส์ ตรวจเยี่ยม ฝึกหน่วยทหารรักษาพระองค์ร่วมเหล่าทัพ ฝึกในพื้นที่ส่วนหลัง. การบรรเทาสาธารณภัย ที่ หน่วยรบพิเศษ 14กพ.นี้/ ไม่ได้หวัง สยบข่าวลือ เพราะกำหนดไว้นานแล้ว....แต่งานนี้ คงมีสีสัน ไม่น้อย  “นายกฯบิ๊กตู่” อยู่ท่ามกลางขุนทหาร ท่ามกลางข่าวลือ ปฏิวัติรัฐประหาร ที่ไม่รู้ว่า ใครจะทำ และทำเพื่อใคร เพื่ออะไร??!

เป็นกำหนดการ เดิม ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ ที่แล้ว.....พลเอกประยุทธ์ และ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ./ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 จะไปตรวจเยี่ยมการฝึก ทั้งในส่วนของ ฉก.ร่วม หน่วยทหารรักษาพระองค์ และ การฝึกในพื้นที่ส่วนหลัง. การบรรเทาสาธารณภัย ที่ กรมรบพิเศษ ที่1  ลพบุรี 

ทั้งนี้ การฝึก ร่วมหน่วยทหารรักษาพระองค์ร่วมเหล่าทัพ นี้ เริ่ม 1-21 กพ.2562 โดยมีการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ ของหน่วยรักษาพระองค์ ทั้งหมด ไปที้ ลพบุรี  ทั้งที่ ศูนย์การบินทหารบก ศูนย์การทหารปืนใหญ่ และ กรมรบพิเศษที่1 ป่าหวาย

คสช. แฉมีขบวนการปล่อยข่าวลือ ปฏิวัติซ้อน

คสช. แฉมีขบวนการปล่อยข่าวลือ ปฏิวัติซ้อน  

ชี้ ทำราชกิจจาฯปลอม ปลด ผบ.เหล่าทัพ สร้างเรื่องเท็จ หวังให้บ้านเมืองวุ่นวาย  ให้กระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศในห้วงเวลาสำคัญนี้ ชี้ สังคมอ่อนไหว ประชาชน ต้องใช้สติเพื่อรู้เท่าทันข่าวสาร 
               
พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคสช. กล่าวว่า. สื่อสังคมออนไลน์ ได้มีการเผยแพร่ราชกิจจานุเบกษาปลอม ลักษณะเป็นเอกสาร การปลอม คำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  เรื่อง ให้ข้าราชการ ผบ.เหล่าทัพ พ้นจากตำแหน่ง 
              
จึงขอเรียนให้ทราบว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมที่ถูกจัดทำขึ้นทั้งฉบับ  เป็นการสร้างเรื่องเท็จ  มุ่งประสงค์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด อาจหวังให้สังคมเกิดความวุ่นวาย  

ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของการเผยแพร่  เพื่อใช้มาตราการทางกฎหมายดำเนินการ 

จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนและประชาชนหลีกเลี่ยงการส่งต่อเรื่องอันเป็นเท็จดังกล่าว  เพราะอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายได้
            
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันอาจมีกลุ่มไม่หวังดี กำลังมีความพยายามสร้างความวุ่นวายทางข้อมูลข่าวสาร  ในลักษณะสร้างเรื่องเท็จ บิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิดทั้งในตัวบุคคลหรือองค์กรก็ตาม ไปนำเสนอเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดีย   

ซึ่งอาจมีข้อสังเกตได้ว่าอาจจะเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นกระบวนการ   หวังให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมีนัย โดยเฉพาะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศในห้วงเวลาสำคัญนี้ด้วย  
           
จึงขอความร่วมมือ เนื่องด้วยช่วงนี้สังคมมีความอ่อนไหวต่อทุกข้อมูลข่าวสาร การจะนำเสนอข้อมูลใดๆ ควรจะอยู่ในกรอบกติกาอย่างเหมาะสม   

และเชื่อว่าในช่วงนี้สังคมจะได้ใช้วิจารณญาณที่ดีในการบริโภคข่าวสารมากขึ้น รวมถึงสามารถรู้เท่าทันต่อวิธีการต่างๆ ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อสังคมและประเทศชาติ

“บิ๊กตู่” .....แอ่นอก!! ถ้าผม ทำไม่ดี ผบ.เหล่าทัพ จะไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับ!!

“บิ๊กตู่” .....แอ่นอก!! ถ้าผม ทำไม่ดี ผบ.เหล่าทัพ จะไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับ!! ยัน สัมพันธ์ดี พี่น้องกันมาหลายสิบปี สยบข่าวลือ ปฏิวัติซ้อน
“นายกฯบิ๊กตู่” ลั่น เป็นไปไม่ได้เลย ที่ผมจะย้าย ผบ.เหล่าทัพ ชี้เป็น พี่น้องผูกพันกันมาหลายสิบปี แต่ถ้าเมื่อใด ผมทำไมีดี และ เขา ไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับซึ่งกันและกัน
ชี้ ไม่รู้ คนทำเอกสารคำสั่งหัวหน้าคสช. ปลอม ย้าย ผบ.เหล่าทัพ. นั้น ทำเพื่ออะไร ยัน เป็นไปไม่ได้ เลย ที่ผมจะโยกย้าย ผบ.เหล่าทัพ ถ้าเป็นไปได้ ผมจะย้ายใครจะโกรธใคร ผมจะต้องเป็นคนแจ้ง ต้องทำตามขั้นตอน ถ้าจะย้ายใคร ไม่มีทางที่จะใช้ ม.44 จะใช้กับคนที่มีปัญหา เท่านั้น แต่ใช้กับเฉพาะคนที่มีปัญหาเท่านั้น แล้วผมก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร กับ ผบ.เหล่าทัพ ไม่มีสถานการณ์ไม่ดีอะไร เพราะก็เป็นพี่น้องกันมาเป็นหลายสืบปี ถ้าต่างคนต่างทำความดี ก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าผมทำไม่ดี แล้ว เขา ไม่ชอบผม ผมก็ต้องยอมรับ ซึ่งกันและกัน
ยันไม่เคยยุ่งเกี่ยว เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายทหารเลย กลาโหม ส่งมา ผมก็ลงนามและนำขึ้นทูลเกล้าฯ มีคณะกรรมการกลั่นกรองหลายชุด ถ้าไม่ดีเขาก็ย้ายหมด ขึ้นมานี่ต้อง 100% แล้ว

ส่อตายยกเข่ง ทษช.

    ทษช.ส่อชะตาขาด! กกต.นัดพิจารณาคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.-แดนดิเดตนายกฯ เล็งตั้งคณะทำงานปมเสนอชื่อนายกฯ ผิด ม.92 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ก่อนชงศาล รธน.ยุบพรรค "พี่ศรี" บุกยื่น กกต.ฟัน ทษช.แน่ "แก้วสรร" เขียนบทความ "คำสารภาพสีแดง" ยกข้อความ "ธิดา" มัด ชี้อาจเอื้อมใช้บารมีพระมหากษัตริย์แสวงหาอำนาจ ทษช.โพสต์ยังเดินหน้าต่อไป แต่ กก.บห.เตรียมชิ่ง แจ้ง กกต.ขอลาออกจากสมาชิกพรรคปัดไม่มีเอี่ยว เปิดแนวทางหนีตายทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษยุติบทบาทพรรค "เรืองไกร" ตอกพวกกันเองควรมีสำนึกชั่วดี บี้ กก.บห.ลาออกแสดงความรับผิดชอบ ขณะที่ "ปรีชาพล" โผล่ทำบุญที่อยุธยา   
    เมื่อวันอาทิตย์ ยังเป็นที่จับตาถึงการกระทำของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่อาจเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. ที่ห้ามผู้สมัครพรรคการเมือง หรือผู้ใดนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียง ที่อาจมีผลถึงขั้นยุบพรรค
     โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เปิดเผยว่า กกต.จะมีการประชุมกันทุกวันจันทร์และวันอังคาร ซึ่งในวันที่ 11 ก.พ. คาดจะมีวาระการพิจารณาในเรื่องของพรรคไทยรักษาชาติด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีคำร้องเข้ามาให้พิจารณา ส่วนเรื่องบัญชีชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค ทษช.ต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ต้องพิจารณากันในที่ประชุม กกต. และมีการให้ความเห็นร่วมกันหรือออกเป็นมติบนพื้นฐานของกฎหมายก่อน
    สำหรับกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา จะยื่นคำร้องให้ กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ทษช.นั้น นายอิทธิพรกล่าวว่า กกต.จะพิจารณาก่อนว่าคำร้องดังกล่าวสมควรจะรับไว้หรือไม่ อย่างไร ตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน กกต. เมื่อรับคำร้องแล้วก็จะเสนอมาให้ กกต.พิจารณาต่อไป ยืนยันว่าทุกเรื่องที่ กกต.รับไว้จะพิจารณาไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ขอย้ำว่าจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และมีความเป็นธรรมมากที่สุด
    มีรายงานว่า ในการประชุม กกต.วันที่ 11 ก.พ.นี้ จะมีการรายงานผลการเปิดรับสมัคร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ และรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอ พร้อมรายละเอียดการตรวจสอบคุณสมบัติ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้แจ้งมาให้ กกต.ได้พิจารณา ร่วมกับประเด็นข้อกฎหมาย ว่า กกต.จะมีอำนาจในการที่จะตรวจสอบคุณสมบัติรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ หรือมีอำนาจเพียงต้องประกาศรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอมา ซึ่งมีแนวโน้มว่า กกต.จะประกาศรับรองรายชื่อทั้งสองส่วนโดยเร็ว ก่อนครบกำหนด 7 วันในวันที่ 15 ก.พ. เนื่องจากต้องการให้พรรคการเมืองสามารถนำภาพแคนดิเดตนายกฯ ไปใช้ในการหาเสียงได้เร็วขึ้น ตามที่ก่อนหน้านี้เลขาธิการ กกต.ขอให้ทุกพรรครอการประกาศรับรองรายชื่อจาก กกต.ก่อนค่อยเริ่มใช้ภาพแคนดิเดตนายกฯ หาเสียง
    ขณะเดียวกัน มีแนวโน้มว่า พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง จะใช้อำนาจตามมาตรา 93 ความปรากฏต่อนายทะเบียน ตั้งคณะทำงานรวบรวมพยานหลักฐาน ว่ากรณีการเสนอชื่อว่าที่นายกฯ ของ ทษช.เป็นการกระทำการที่เข้าข่ายผิดมาตรา 92 กฎหมายเดียวกันที่นายทะเบียน ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน เพื่อเสนอพร้อมความเห็นต่อ กกต.พิจารณาส่งให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ และเพิกถอนสิทธิสมัครกรรมการบริหารพรรคหรือไม่
    ทั้งนี้ ตามมาตรา 92 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง กำหนดไว้ว่า เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการ (1) ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ (2) กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น
บี้ กกต.ฟัน ทษช.
    ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อคืนวันที่ 8 ก.พ.2562 ว่า มิให้ "ทูลกระหม่อมหญิงฯ" ลงเล่นการเมือง เนื่องจากเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ รวมทั้งขัดรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ โดยพรรคไทยรักษาชาติ จึงเป็นการเสนอผู้ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13 วรรคสอง ประกอบมาตรา 14 (2) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 ที่สำคัญเป็นการดำเนินการที่ละเมิดต่อข้อ 17 ของระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.2561 โดยชัดแจ้ง อันเข้าข่ายองค์ประกอบมาตา 92 (2) ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 จึงเห็นว่า กกต.ควรจะต้องนำกรณีดังกล่าวเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติต่อไป โดยสมาคมฯ จะไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 11 ก.พ.2562 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการฯ อาคาร B หลักสี่ กทม.
    นายธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า กกต.มีอำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 14 กำหนดให้การเสนอรายชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กกต.จึงย่อมต้องมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในกรณีของการเสนอพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรค ทษช. ซึ่งขัดกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ที่พระบรมราชวงศ์ดำรงอยู่เหนือการเมืองและมีความเป็นกลางทางการเมือง และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองได้ จึงย่อมต้องถือว่าเป็นการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ ที่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และมาตรา 14 วรรคสอง 
    "จึงถือว่าไม่มีการเสนอพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นนายกฯ โดย ทษช. เปรียบทำนองเดียวกับถือว่าการเสนอพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ โดย ทษช.เป็นโมฆะ ไม่มีผลตามกฎหมาย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการถอนพระนามของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ จากรายชื่อนายกฯ โดย ทษช.หรือโดยทูลกระหม่อมหญิงฯ แต่อย่างใด และจึงคงไม่มีประเด็นปัญหาให้ต้องมาพิจารณาว่าหลังปิดรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ไปแล้วจะถอนรายชื่อบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ได้หรือไม่" นายธนกฤติกล่าว
     นายแก้วสรร อติโพธิ เขียนบทความเรื่อง คำสารภาพสีแดง? ถึงกรณีที่มีผู้เรียกร้องให้ยุบพรรคทษช. ว่า ข้อแรกคือปัญหาว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการแสวงหาอำนาจโดยผิดครรลองรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าทูลกระหม่อมฯ มีคุณสมบัติและประสบการณ์เหมาะสม ตรงสเปกจริงๆ และท่านก็ห่วงบ้านเมืองเห็นด้วยกับนโยบายพรรคจริงๆ แล้วทำไมจะทูลเชิญท่านไม่ได้ มันผิดที่ตรงไหน ข้อเท็จจริงมันเป็นยังงั้นจริงหรือไม่ คุณลองอ่านเฟซบุ๊กของที่ปรึกษา นปช. คุณธิดา ถาวรเศรษฐ  ต่อไปนี้ดูสิครับว่า เป็น “คำสารภาพสีแดง” หรือไม่?
    นายแก้วสรรยกข้อความที่นางธิดาโพสต์ ซึ่งระบุว่า “ประชาชนต้องให้โอกาสพระองค์ท่านที่เสียสละ..ฝ่ายที่มอง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นปฏิปักษ์อย่างแรงกล้าจะไม่สามารถเอาเรื่องของราชวงศ์หรือสถาบันมาอ้างได้อีกแล้ว..นี่คือการเล่นไพ่หรือยุทธวิธีในการทำอย่างไรให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะ..ขณะนี้แคนดิเดตนายกฯ กลายเป็นพลเอกประยุทธ์กับทูลกระหม่อมฯ...การเอาชนะทางเลือกตั้งไม่พอ ต่อให้มี ส.ส. 250 ก็ถูกจัดการได้โดย 250 ส.ว.โดยกลไกรัฐ.. ตรงนี้ทำให้ปฏิบัติการ ทษช.ครั้งนี้เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่ายิ่งกว่าเหยียบเมฆ โอกาสที่ทูลกระหม่อมฯ จะเป็นนายกฯ ประเทศไทยนั้นมีสูงมาก นี่คือ “สภาวะใหม่ทางการเมืองไทย” ที่ฝ่ายถูกกระทำทางการเมืองมีกลยุทธ์สามารถที่จะจัดการอาวุธสำคัญของฝ่ายอนุรักษนิยมทำให้อาวุธนั้นใช้ไม่ได้ 
อาจเอื้อมใช้บารมีกษัตริย์
    "ทั้งหมดนี้คุณอ่านดูแล้วคุณว่า ถ้าคิดอย่างนี้จริงๆ เราจะยอมรับว่าเป็นการใช้เสรีภาพทางการเมืองตามวิถีทางรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าเป็นนามสกุลชินวัตรของน้องสาวที่ชื่อยิ่งลักษณ์เช่นที่เคยทำมาแล้ว หรือจะใช้นามสกุลใหญ่โตที่ไหนก็แล้วแต่ เชิญคุณทำได้ตามสบาย แต่นี่เป็นการใช้บารมีสถาบันพระมหากษัตริย์ชัดๆ ตรงนี้แหละครับที่มันผิด ที่อาจเอื้อมเอาบารมีสถาบันมาใช้เพื่อแสวงอำนาจโดยผิดครรลอง กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 92 ระบุไว้ชัดเจน"
    นายแก้วสรรระบุด้วยว่า กกต.ต้องสอบให้เขาอธิบายว่า ได้คิดกันมีมติกันได้อย่างไร ให้ผู้ใหญ่คนไหนไปเจรจาไปทูลเชิญ ใครคือผู้ใหญ่คนนั้น ถ้าตอบว่าคือ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไปคุย แล้วสั่งลงมาให้ไปทูลเชิญ ก็ปรากฏเป็นเหตุยุบพรรคอีกข้อหนึ่ง คือเป็นพรรคที่ตกอยู่ใต้บงการของคนนอก เป็นเหตุยุบพรรคได้ตาม ม.92 (3)  
    ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 24 และคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ทษช.กล่าวว่า การที่มีบุคคลไปร้อง กกต.ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค โดยหยิบยกเหตุว่า การกระทำของพรรคอาจขัดต่อกฎหมายและระเบียบการหาเสียงของ กกต.ข้อ 17 อันเข้าข่ายตามองค์ประกอบมาตา 92 (2) ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 แต่ในตามมาตรา 92 (2) ระบุถึงกระทำการอาจเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งคำนี้เป็นคนละคำกับคำว่า ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 แม้คนร้องจะไปร้องได้ แต่ถ้าวินิจฉัยออกมาแล้วไม่ใช่ ผู้ร้องก็อาจจะมีโทษตามมาก็ได้ การพิจารณาจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ กกต. ที่จะมีการประชุมในวันที่ 11 ก.พ. 
    นายเรืองไกรกล่าวว่า ตนเคยไปร้องให้ กกต.ตรวจสอบประเด็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เข้าข่ายทำความผิดมาตรา 98 ของรัฐธรรมนูญ ถือว่าเข้าข่ายเป็นเจ้าของสื่อหรือไม่ ถ้า กกต.ไม่ประกาศรับรองชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้เหมาะสม สมควรอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จริง เท่ากับว่าพรรคนั้นๆ ไม่ได้เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี
     ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิเคราะห์ไปถึงว่าพรรคทษช.อาจถูกยุบพรรคได้ นายเรืองไกรกล่าวว่า เรื่องการยุบพรรคคงอีกไกล เพียงแต่ตอนนี้เป็นเรื่องความรู้สึกของคนที่เห็นแตกต่างทางสังคม ทษช.มีแถลงการณ์น้อมรับพระราชโองการ ถือเป็นเรื่องคนไทยทุกคนควรรับมาปฏิบัติ ส่วนความรับผิดชอบกรรมการบริหารพรรคส่วนตัว ผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ควรมี ควรรับ มาปฏิบัติทางไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะพิจารณาตัวเองหรือไม่
    "แต่ถ้าเป็นผม คงแถลงว่า ขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ จะลาออกสถานะใด จากสมาชิกพรรค จากกรรมการบริหารพรรค ก็ว่ากันไป แต่ก็ยังมีข้อพิจารณา หากลาออกจากกรรมการบริหารพรรค ถือว่าพ้นจากตำแหน่งทางการบริหารเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าลาออกจากสมาชิกพรรค ถือว่าขาดหมดเลย จะพ้นสภาพไปโดยปริยาย ทั้งสมาชิก กรรมการบริหารพรรค และอาจรวมถึงความเป็นผู้สมัคร ส.ส.ด้วย ควรมีสำนึกรับผิดชอบชั่วดี" นายเรืองไกรกล่าว 
    นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สมาชิกพรรค ทษช. กล่าวถึงการกดดันให้กรรมการบริหาร ทษช.ลาออก ว่า ยังไม่ถึงเวลาแสดงสปิริต จะเป็นความผิดหรือไม่ยังไม่รู้ เพราะพรรคก็ทำตามกฎหมาย และมีแถลงการณ์น้อมรับพระราชโองการ ส่วนตัวขอไม่ออกความเห็นมาก รอให้ กกต.พิจารณาออกมาก่อน แล้วเราค่อยมาว่ากัน เวลานี้อยากให้ทุกคนสงบ ไม่อยากให้มีการดึงสถาบันเพื่อมาทำร้ายคนอื่น เพราะถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ให้รอ กกต.พิจารณาออกมาก่อน ถ้า กกต.วินิจฉัยว่าเราทำไม่ถูกต้องก็จบกระบวนการ 
    ส่วนเรื่องข่าวลือแกนนำพรรคถูกควบคุมตัว นพ.เชิดชัยกล่าวว่า คงเป็นโรคประสาท มีการไปสร้างข่าวลือต่างๆ นานา แต่ความจริงคืออะไรยังไม่มีใครรู้ แม้ส่วนตัวจะยังไม่ได้พูดคุยกับหัวหน้าพรรค แต่เชื่อว่า ยังสบายดี ไม่มีอะไร ตนได้คุยกับรองหัวหน้าพรรคบางท่านบ้าง ก็ไม่เห็นมีอะไร เท่าที่สอบถาม ทุกคนก็ปลอดภัยดี อีกทั้ง คสช.ก็บอกเลิกเรียกไปปรับทัศนคติแล้ว เรื่องนี้ควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาพูดกันดีกว่า 
ขอพระราชทานอภัยโทษ
    ส่วนบรรยากาศที่ทำการพรรค ทษช. ถนนแจ้งวัฒนะ ตลอดช่วงเช้าวันอาทิตย์ เป็นไปอย่างเงียบเหงาติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ไร้เงาคณะกรรมการบริหาร แกนนำพรรค และสมาชิกพรรค ทษช. เดินทางเข้ามา  มีเพียงเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งที่เดินทางมาทำงาน
    มีรายงานข่าวจากพรรค ทษช.เปิดเผยว่า หลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของพรรคที่อาจเข้าข่ายผิดเจตนารมณ์รัฐ ล่าสุดในวันที่ 11 ก.พ. นายรุ่งเรือง พิทยศิริ หนึ่งในกรรมการบริหารพรรคทษช. จะเดินทางไปยื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมติของพรรคในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในนามพรรค ที่มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคไปเมื่อวันที่ 4 ก.พ.โดยจะนำเอกสารการยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไปยื่นต่อ กกต.
    มีรายงานอีกว่า คณะทำงานทีมยุทธศาสตร์พรรคทษช. ได้มีการหารือต่อกรณีที่เกิดขึ้น โดยมีผู้เสนอให้ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ จากนั้นพิจารณายุติบทบาทพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือยุบพรรคไป อย่างไรก็ดี มีบางส่วนเห็นแย้งเกี่ยวกับการยุติบทบาทหรือยุบพรรค โดยเห็นว่ากระบวนการยุบพรรคนั้นคงต้องใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร ส่วนการยุติบทบาทของพรรคนั้น อาจกระทบต่อยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ที่ ทษช.ส่งผู้สมัคร 175 เขต แม้จะแพ้แต่ก็จะได้คะแนนเพื่อนำไปคำนวณที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อให้มากที่สุด 
    ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย (พท.) ส่งผู้สมัคร 250 เขตเลือกตั้ง เน้นในส่วนของ ส.ส.เขต หาก ทษช.ยุติบทบาท เท่ากับจะมีถึงราว 100 เขตทั่วประเทศ ที่ไม่มีผู้สมัครของทั้ง 2 พรรคลงสมัคร เป้าหมายที่ต้องการได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.รวมกันให้เกิน 250 เสียง หรือกึ่งหนึ่งก็จะทำได้ยาก ดังนั้นจึงได้ข้อยุติเบื้องต้นว่า จะมีการประกาศลาออกและยุติบทบาทเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้อง แต่คงสมาชิกภาพไว้ เพื่อไม่ให้กระทบกับคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.
     ขณะที่ผู้สื่อข่าวยังตามหาตัว ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรค ทษช. และนายมิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรคไม่เจอ โดยผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านพักของ ร.ท.ปรีชาพล บริเวณหมู่บ้านโอษธิศ 1 ซอยโชคชัย 4 ถนนลาดพร้าว กรุงเทพฯ บรรยากาศของบ้านปิดเงียบไว้ ไม่มีคนอยู่ภายในบ้านแต่อย่างใด
     ก่อนหน้านี้ นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช แม่ ร.ท.ปรีชาพล เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ร.ท.ปรีชาพลได้โทรศัพท์มาหา เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของแม่ โดยลูกชายบอกแค่ว่าไม่เป็นไร ยังสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง
    ส่วนที่บ้านติยะไพรัช ที่บ้านดง ต.สันทราย อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นบ้านพักของนายมิตติ ไม่มีวี่แววความเคลื่อนไหวใดๆ โดยประตูบ้านได้เปิดเอาไว้ ภายในมีเพียงคนที่ทำงานบ้านเท่านั้น
    ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่านายมิตติหลบหนีไปแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวตรวจสอบไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆ นอกจากนี้ กรรมการบริหารพรรคทษช.คนอื่นๆ ก็เก็บตัวเงียบ และมีข่าวลือว่ากรรมการบางคนเตรียมหนีเช่นกัน
     สำหรับกรรมการบริหารพรรค ทษช. มีจำนวน 14 คน ได้แก่ 1.ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช 2.นายฤภพ ชินวัตร (ลูกนายพายัพ ชินวัตร) รองหัวหน้าพรรค คนที่ 1 3.นางสุณีย์ เหลืองวิจิตร รองหัวหน้าพรรค คนที่ 2, 4.นายพฤฒิชัย วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค คนที่ 3 5.น.พ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล รองหัวหน้าพรรค คนที่ 4  6.นายมิตติ ติยะไพรัช ( ลูกชายนายยงยุทธ ติยะไพรัช) เลขาธิการพรรค 7.นายต้น ณ ระนอง รองเลขาธิการพรรค คนที่ 1 8.นายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองเลขาธิการพรรค คนที่ 2, 9.นายคณาพจน์ โจมฤทธิ์ รองเลขาธิการพรรค คนที่ 3 10.นายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ โฆษกพรรค 11.นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ (ลูกสาวนางเยาวเรศ ชินวัตร) นายทะเบียนสมาชิกพรรค 12.นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ (ภรรยานายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ) เหรัญญิกพรรค 13.รศ.ดร.รุ่งเรือง พิทยศิริ และ 14.นายจุลพงศ์ โนนศรีชัย กรรมการบริหารพรรค
    ขณะเดียวกัน ทางเพจเฟซบุ๊กพรรค ทษช.ได้ขึ้นกราฟฟิกข้อความว่า พรรคไทยรักษาชาติขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้กับเรา เพื่อก้าวเดินต่อไป และโพสต์ข้อความว่า “พรรคไทยรักษาชาติ ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่หลั่งไหลกันเข้ามาให้ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เราขอยืนยันกับพี่น้องประชาชน พรรคไทยรักษาชาติยังคงมีจุดยืนดังเดิม และจะเดินหน้าต่อไปในสนามเลือกตั้งเพื่ออาสาแก้ปัญหาให้ประเทศและประชาชน” 
"เต้น"ยังไม่หนีแค่ลืมโทรศัพท์
    นายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองเลขาธิการพรรค ทษช.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับตัวกรรมการบริหารพรรค เช่น การถูกคุมตัว ว่ากระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ทางพรรคยังคงทำงานของพรรคตามปกติ แต่เนื่องจากช่วง 2 วันนี้เป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ กรรมการบริหารพรรคบางท่านอาจจะติดภารกิจ จึงไม่ได้เข้าไปที่พรรค
    ต่อมาช่วงบ่าย น.ส.ชยิกาได้โพสต์รูปขณะไปทำบุญร่วมกับ ร.ท.ปรีชาพล ที่วัดหน้าพระเมรุราชิการาม จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อสยบข่าวลือ ร.ท.ปรีชาพล ถูกควบคุมตัว โดยบุคคลที่ไปร่วมทริปดังกล่าวมี ร.ท.ปรีชาพล, น.ส.ชยิกา และนายสรพันธ์ คุณากรวงศ์ ซึ่งเป็นว่าผู้ที่ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 
    ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานรณรงค์หาเสียงพรรค ทษช. ยืนยันผ่านเฟซบุ๊กว่าเขายังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ที่ติดต่อไม่ได้เพราะลืมโทรศัพท์ไว้ ต่อมานายณัฐวุฒิได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ข้าพเจ้าชมชอบนิยายกำลังภายใน เยาว์วัยใฝ่ฝัน อยากหยิบฉวยพู่กันสรรค์สร้างเรื่องราวของเหล่าชาวยุทธ์ ฉากหนึ่งในยุทธภพ ดึกสงัดในคืนเดือนมืด ม่านวิกาลบดบังทุกสายตา แต่ "เล่งฮู้ชง" ยังมองเห็น แสงสว่างมาจากที่ใด "เล่งฮู้ชง" ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบพลุสัญญาณจุดส่งถึงเพื่อนร่วมสำนัก เชิญตักเติมกำลังใจจากหัวใจข้าพเจ้า เช่น ที่ข้าพเจ้าตักเติมกำลังใจจากทุกท่านตลอดมา เรามิได้ประสงค์เผชิญหน้ากับค่ายพรรคสำนักใด แต่มิอาจละวางความหวังของเหล่าชาวยุทธ์ในห้วงทุกข์เข็ญได้ นี่คือปณิธานของสำนักเรา
    ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัด ผู้สมัครพรรค ทษช.ยังคงหาเสียงปกติ อาทิ ที่ จ.ตรัง เขต 1,  จ.สงขลา เขต 3, จ.พิจิตร เขต 1 เป็นต้น 
    วันเดียวกัน นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง ความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ : ไทยทั้งผองต้องปกป้อง ว่า 70 ปีของรัชกาลที่ 9 ที่จบลงเมื่อ 13 ตุลาคม 2559 นั้น คืออีกหนึ่ง “ยุคทอง” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ประชาชนล้วนเทิดทูนบูชาพระองค์ท่านดั่ง "พ่อ" ของแผ่นดิน อย่างไรก็ดี สถานะของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะนับตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั้น มีที่ถูกโยกคลอน จนไหวเอน จะล้มมิล้มแหล่ก็หลายครั้ง ในทุกวันนี้เองสถานะของพระมหากษัตริย์ก็ใช่ว่าจะมิถูกสั่นคลอน ยังมีคนจำนวนหนึ่งท้าทายสงสัย กังขาหรือกระทั่งนินทาใส่ร้าย วิพากษ์โจมตี บางพวกกระทำการอยู่ใต้ดินบางพวกกระทำการในต่างประเทศ ยังมีที่เคลื่อนไหวเชื่อมโยงเข้ากับพรรคหรือกลุ่มฝ่ายบนดิน 
    "จึงเป็นหน้าที่ของทุกกลุ่มทุกพรรครวมทั้ง “รวมพลังประชาชาติไทย” ที่จะช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชน ร่วมกันต่อต้านพวก “ชังเจ้า” หรือ พวก “ล้มเจ้า” แต่ในขณะเดียวกัน ก็มิยอมให้ผู้ใดนำสถาบันเข้าไปเป็นฝักฝ่าย สถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ย่อมมิเป็นของพรรคใดฝ่ายใด หากเป็น “ของ” พวกเราทั้งมวล ซึ่งหมายถึงทุกพรรคทุกฝ่ายที่จงรักภักดีและศรัทธาบูชาต่อแผ่นดิน” นายเอนกระบุ
    นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการร่วมงานกับพรรค ทษช. ว่า หลักการของเรา เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏแล้วก็ต้องนำไปสู่การหารือกันอย่างแน่นอน ระหว่างพรรคการเมือง พปชร.มีอุดมการณ์ชัดเจนว่า เราทำเพื่อแผ่นดิน ประชาธิปไตย เรายืนอยู่ข้างประชาธิปไตย ที่เป็นของแท้ของคนไทย เพราะฉะนั้น ถ้าอุดมการณ์ไม่ตรงกัน เราก็คงไม่ร่วมงาน พรรคการเมืองที่เราจะร่วมงานด้วย ต้องเหมือนตัวเรา ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย กฎกติกาของการเลือกตั้ง เคารพธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติของคนไทย ในสิ่งที่คนไทยถือปฏิบัติมา ยึดถือในสิ่งที่คนไทยไม่ทำ ส่วน พปชร.จะยื่นร้องเรียน ทษช.ต่อ กกต.หรือไม่นั้น เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับเรา เรามุ่งมั่นทำงานในส่วนของเรา ไม่ไปวอกแวกว่าพรรคอื่นจะมีอะไรเกิดขึ้น
คสช.โต้ข่าวลือปฏิวัติ
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ในส่วนของพรรค ปชป.ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ทษช.ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำลงไป อีกทั้งเป็นหน้าที่ของ กกต. จะพิจารณาว่าต้องดำเนินการอย่างไรหรือไม่ และหลังจากที่มีพระราชโองการออกมาแล้วนั้น ต้องเป็นเรื่องที่ให้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าแต่ละฝ่ายสมควรจะทำอย่างไร ยืนยันว่า ปชป.ไม่มีการไปยื่นให้ยุบ ทษช.
    เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของพรรคจะจับมือกับทษช. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เดิมทางพรรคไม่ได้คิดถึงเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว และบอกแล้วว่าขอเดินหน้าที่จะเป็นแกนนำรัฐบาล และยึดภารกิจหลักของเรา คือ การแก้จน สร้างคน สร้างชาติ โดยเสนอตัวเป็นทางหลักที่จะออกจากการเมืองที่สับสนวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม ใครที่คิดว่าจะทำงานตามแนวของเราได้ถึงจะมาคุยกัน ฉะนั้นวันนี้หน้าที่ของเราคือ เดินหน้าขอคะแนนเสียงจากประชาชน
    พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยโดยท่านหัวหน้าพรรคยืนยันมาตลอดว่า เราเทิดทูนสถาบันเหนือสิ่งอื่นใดมาโดยตลอด ซึ่งเรื่องการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองอื่นนั้น ตนคงให้ความเห็นอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องกิจการภายในของแต่ละพรรคการเมือง เราเคารพการตัดสินใจของแต่ละพรรค เราเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น 
    ส่วนที่สำนักเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ (พช.) ได้ส่งข้อความถึงสมาชิกพรรค พช.ทุกท่าน ระบุว่า ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้มีความอ่อนไหว ขอให้สมาชิกทุกท่านระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นในทุกรูปแบบ และขอให้เดินหน้าทำหน้าที่ของตนเองตามที่ได้รับอาสาพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ต่อไป      
    ยังมีความเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดง โดยนายอานนท์ แสนน่าน ประธานหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย, นายศักดิ์ชาย พรหมโท ประธานผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) แห่งประเทศไทย, นายสมชัย แสงทอง ประธานหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตยภาคเหนือ, นางนิตยา นาโล ประธานหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตยภาคอีสาน และนางธนภัทร พันธวาส ประธานเครือข่ายฯ ร่วมประชุมวางแผนรับสถานการณ์เกี่ยวกับการเมืองปัจจุบันว่า “หมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตย” และ “สื่ออาสาหมู่บ้านเพื่อประชาธิปไตย” เพราะมีกระแส “เลื่อนการเลือกตั้ง” และอาจจะมีการ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร” เพื่อจะได้ส่งสัญญาณให้สมาชิกและมวลชนได้รับทราบ       
    พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล ร.2 รอ.) ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีคลิปวิดีโอที่มีประชาชนนำมาเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดีย เป็นภาพยานเกราะล้อยางวิ่งอยู่บนถนนหลวง มุ่งหน้ากรุงเทพฯ ว่า ยานพาหนะดังกล่าวเป็นของ พล ร.2 รอ. ที่จะเดินทางไปทำการฝึกหน่วยทหารรักษาพระองค์ที่ จ.ลพบุรี ซึ่งในห้วงเวลานี้จะมีการฝึก 3 ส่วน โดยส่วนที่ 1 จะมีการขนย้ายยุทโธปกรณ์จาก จ.ปราจีนบุรี เดินทางไปยัง จ.ลพบุรี เป็นรถยานเกาะล้อยาง (BTR) ซึ่งสามารถวิ่งไปเองได้ และส่วนที่ 2 จาก จ.ชลบุรีไป จ.ลพบุรี  จะเป็นยานเกาะล้อยาง (BTR) ที่สามารถวิ่งไปเองได้เช่นเดียวกัน และส่วนที่ 3 จาก จ.สระแก้ว ไป จ.ลพบุรี ยานเกาะสายพาน (APC) ซึ่งหากระยะทางเกิน 100 กิโลเมตร จะต้องใส่รถบรรทุกชานต่ำ เพื่อขนย้าย ไปร่วมการฝึก ทั้งนี้ เมื่อจบภารกิจช่วงปลายเดือน ก.พ. จะมีการเคลื่อนย้ายกลับที่ตั้ง ด้วยวิธีเดิมที่เคลื่อนย้ายมา ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก.