PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

เมื่อพล.อ.ประยุทธยังเป็นเด็ก

ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแห่งร.ร.วัดนวลนรดิศ

ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแห่งโรงเรียนวัดนวลนรดิศ : สุพินดา ณ มหาไชย/เนชั่นสุดสัปดาห์รายงาน 

          นับจากวันนี้ไป ชื่อโรงเรียนวัดนวลนรดิศ (น.ด.) จะถูกสื่อมวลชนพูดถึง หรือทีวีบางช่องอาจยกกองไปทำสกู๊ปข่าวถึงโรงเรียนดังย่านริมคลองบางหลวงอย่างชนิดหัวบันไดแทบไม่แห้ง

          เมื่อศิษย์เก่าที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (น.ด.8969) กำลังก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ลงมติโหวตด้วยเสียงท่วมท้นม้วนเดียวจบ

          "ธานี คุ้มชนะ" อดีตครูวิชาภาษาไทย ผู้เคยสอน "เด็กชายประยุทธ์" รู้สึกดีใจและปลาบปลื้มเป็นที่สุด แม้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ศิษย์ผู้นี้จะมาไกลถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเพียงแค่ขึ้นรับหน้าที่ผู้บัญชาการทหารบก ตามที่สามีของเธอซึ่งเคยเป็นครูสอนวิชาช่าง ไปบนบานศาลกล่าวเอาไว้ ก็ชื่นชมมากอยู่แล้ว

          "ท่านเป็นคนใจซื่อ มือสะอาด โปร่งใส ฉายแสงความซื่อสัตย์มาตั้งแต่เด็ก" ครูธานี ในวัย 74 ย้อนความทรงจำถึง "นด.8969" หรือรุ่น 77 แห่งวัดนวลนรดิศ ซึ่งมีเพื่อนร่วมรุ่นที่จัดได้ว่าเรียนเก่งอีกหลายคน อย่าง ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศ.ดร.สิทธิชัย ขุนทองแก้ว คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

          "พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนสุขุมมาตั้งแต่เด็ก พูดน้อย เดาใจยาก เป็นคนที่เรียนเก่ง มีความมุมานะในการเรียน เอาใจใส่การเรียนอย่างสม่ำเสมอ" ครูธานีชื่นชมศิษย์ของเธอ ซึ่งบุคลิกเช่นว่ามานี้ สะท้อนให้ครูธานีเชื่อในอีกหลายปีต่อมาว่า ศิษย์ผู้นี้ จะบริหารงานด้วยความโปร่งใส แม้อาจจะมีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้นในการทำงาน แต่ความซื่อสัตย์ และบุคลิกที่ทำให้ผู้ร่วมงานเกรงใจ จะทำให้การบริหารงานราบรื่น 

          "เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะสื่อ อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ให้เวลาท่านทำงานก่อน" ครูธานีขอโอกาสให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ 

          "ประเสริฐ ผุดผ่อง" ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ได้ข้อมูลจากเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนเงียบๆ เรียนเก่ง ชอบอ่านหนังสือ และเอาจริงเอาจังตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อีกทั้งยังเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ

          “เพื่อนร่วมรุ่นนายกฯ บอกว่า ท่านเป็นคนที่หล่อที่สุดในห้องเรียน และอายุน้อยที่สุดในห้องด้วย คนอื่นๆ จะเป็นเด็กรุ่น 2495-2496 แต่นายกฯ เกิด 2497 อย่างไรก็ตาม ที่ผมสัมผัสได้คือ ท่านเป็นคนรักโรงเรียน อย่างวันเกิดโรงเรียนเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้เชิญท่านมาร่วมงานด้วย ท่านติดภารกิจมาร่วมงานไม่ได้ แต่ก็ได้มอบเงินช่วยเหลือโรงเรียนมาสองแสนบาท"  ผอ.ประเสริฐ บอกเล่าสอดคล้องกับครูธานีที่บอกก่อนหน้านี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนมีน้ำใจ และรักโรงเรียนมาก ตั้งแต่เริ่มรับราชการทหาร จะให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเท่าที่จะทำได้มาตลอดไม่เคยขาด

          โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ตั้งอยู่บริเวณวัดนวลนรดิศ ซอยเพชรเกษม 19 แขวงปากคลอง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ

          ตามประวัติโรงเรียนวัดนวลนรดิศนั้น เปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2433 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 รัตนโกสินทรศก 109 ปีแรกมีนักเรียน 9 คน ใช้ศาลาการเปรียญและกุฏิเป็นที่เรียน มีพระเดชพระคุณพระสาสนานุรักษ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดนวลนรดิศ เป็นสอน

          "พล.อ.ประยุทธ์" ไม่ได้เกิดที่ฝั่งธนบุรี แต่มาเรียนที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เพราะเป็นครอบครัวทหาร บิดาคือ พ.ท.ประพัฒน์ และนางเข็มเพชร จันทร์โอชา เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2497 เป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 4 คน

          การเรียนชั้นประถมนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เรียนที่โรงเรียนสหกิจวิทยา จ.ลพบุรี จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จึงได้ย้ายไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย ในจังหวัดเดียวกัน แต่เรียนอยู่ได้เพียงปีเดียว ก็ย้ายเข้ามาเรียนต่อที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ระหว่างนั้นบิดาของเขาประจำการอยู่ที่ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์

          คอลัมน์ "เรียนดี" ของนิตยสารชัยพฤกษ์ สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ปี 2512 โดย "มนตรี" ได้เขียนถึงนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ที่ชื่อ "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" (บทความชิ้นนี้ นำมาเผยแพร่โดยสำนักข่าวอิศรา)

          "...นักเรียนที่เรียนดีที่ทาง 'ชัยพฤกษ์' จะนำมาลงในคอลัมน์ 'เรียนดี' คราวนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก. ของโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ประวัติการเล่าเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นี้ ไม่เคยได้ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เลย นักเรียนเรียนดีที่จะแนะนำให้มิตรรู้จักคราวนี้คือ ประยุทธ์ จันทร์โอชา

          ...เมื่อถูกถามว่า ถ้าสอบได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว จะสอบเข้าเรียนต่อที่ไหน ประยุทธ์บอกกับผู้สัมภาษณ์ว่าเขาตั้งใจจะเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร และหวังว่าจะได้เป็นทหารบกในอนาคต

          ...วิชาที่ประยุทธ์ถนัดเป็นพิเศษ ได้แก่ คณิตศาสตร์ อังกฤษ และวิทยาศาสตร์ นอกจากจะเก่งวิชาเหล่านี้แล้ว ประยุทธ์ยังชอบเรียนวิชาพวกนี้อีกด้วย เขาให้เหตุผลว่าถ้าจะเรียนอะไรก็ตามที่ให้ได้ผล ควรจะมีใจรักในสิ่งนั้นๆ ด้วย

          นอกจากจะเป็นคนที่รักการเรียนเองแล้ว ประยุทธ์ยังได้รับการสนับสนุนในการเรียนจากบิดา มารดา นับได้ว่าประยุทธ์ เป็นเด็กโชคดีที่จะมีโอกาสดำเนินชีวิตผิดไปได้ยากมาก...

          ประยุทธ์แม้จะเป็นคนขรึม แต่เขาก็เป็นคนมีน้ำใจ เมื่อกลับจากโรงเรียนเขามักจะช่วยพี่น้องทำงานบ้านทั่วๆ ไป เป็นต้นว่า รดน้ำต้นไม้ กวาดลานบ้าน แม้จะต้องทำงานบ้าง เขาก็พอใจด้วยเหตุที่ว่าความสำเร็จในชีวิตข้างหน้านั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเรียนหนังสือแต่อย่างเดียว ถึงเขาจะมุ่งดูหนังสือมาก แต่ก็ยังมีเวลาสำหรับการบันเทิง เมื่อรู้สึกเมื่อยล้าจากการดูหนังสือเขาจะหยุดทันที และหันมาดูอย่างอื่นเป็นการพักผ่อนสมองแทน เช่น ดูทีวี ประยุทธ์ชอบดูหนังญี่ปุ่น และหนังสารคดีต่างแดน


          ความหวังของประยุทธ์อยู่ที่การเป็นทหารบก เพราะได้รับแรงดลใจจากบิดาซึ่งเป็นนายทหาร เชื่อแน่ว่าความหวังของประยุทธ์ จะเป็นผลสำเร็จภายในเวลาอันเร็วนี้"

          ในทำเนียบศิษย์เก่านวลนรดิศ รุ่น 77 จึงมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (น.ด.8969) และน้องชาย พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา (น.ด.9319) แม่ทัพภาคที่ 3 ก็เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนวัดนวลนรดิศ รุ่น 79 เช่นกัน

          เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2555 สมาคมนักเรียนเก่านวลนรดิศ ได้จัดงาน 'ราตรีดอกบุนนาค 122 ปี นวลนรดิศ' ณ หอประชุมกองทัพเรือ ห้องเจ้าพระยา โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นักเรียนเก่านวลนรดิศ น.ด.8969 เป็นประธานในพิธี

          พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นศิษย์เก่าที่ชาวนวลนรดิศปลาบปลื้ม และในฐานะ ผบ.ทบ. ก็ให้เกียรติโรงเรียนเก่าเป็นอย่างดียิ่ง

          "ผมมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการอบรม ประสิทธิ์ประสาทวิชา ความรู้ เสริมสร้างปัญญา และสร้างพื้นฐานทางการศึกษาที่ดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานตามภาระหน้าที่ต่างๆ ในเวลาต่อมา.." (สารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโอกาสจัดงานราตรีดอกบุนนาค 122 ปี นวลนรดิศ)

          ปัจจุบัน นายกสมาคมนักเรียนเก่านวลนรดิศ ชื่อ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเตรียมการจัดงานราตรีดอกบุนนาค 124 ปี นวลนรดิศ ที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้

-------------------------------

(หมายเหตุ : ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชาแห่งโรงเรียนวัดนวลนรดิศ  : สุพินดา ณ มหาไชย/เนชั่นสุดสัปดาห์รายงาน)
 

ฮิวแมนไรวอร์ชติงไทย

องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ แถลงวิจารณ์ ป.ป.ช. ฟอกขาวให้เจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุสลายการชุมนุม ปี 2553

องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ แถลงการณ์วิจารณ์โอกาสของรัฐไทยในการพิสูจน์ตัวเองว่ามีกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เลือกข้างและการปรองดองพร่าเลือนไปอีก หลังป.ป.ช. ยกคำร้องถอดถอน และคำร้องกล่าวหา อดีตนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และผู้บัญชาการทหารบก จากกรณีมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตระหว่างการสลายชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 

องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ แถลงถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ยกคำร้องคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ยกคำร้องขอให้ถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รวมถึงไม่ยอมรับคำวินิจฉัยที่ยกข้อกล่าวหาฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยระบุว่า การวินิจฉัยดังกล่าวได้ “เติมน้ำหนักการหยามหมิ่นต่อความเจ็บปวดของเหยื่อและครอบครัว” ด้วยการ “ฟอกขาว” ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการสลายการชุมนุมดังกล่าว 

ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. ได้เผยแพร่คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ระบุว่าจากหลักฐานที่มีนั้น รับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผล และมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป 

แบรด อดัม ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุในแถลงการณ์ว่าดูเหมือนว่าหน่วยงานของไทยจะยังคงปกป้องกองทัพและนักการเมืองจากกระบวนการยุติธรรม

“นี่คือการเพิ่มน้ำหนักในการหยามหมิ่นต่อความเจ็บปวดของเหยื่อและครอบครัวมากขึ้น เพราะหลังจากผ่านมา 6 ปีแล้วสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือความพยายามอีกครั้งหนึ่งในการจัดการกลบเกลื่อนกับอาชญากรรมโดยเจ้าหน้าที่รัฐและทหารจากหน้าประวัติศาสตร์ของไทย” แบรด อดัมกล่าว

ฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้อ้างถึงรายงานขององค์กรที่เผยแพร่เมื่อเดือน พฤษภาคม 2554 ระบุว่า “กองทัพใช้กำลังในระดับที่มากอย่างเกินความจำเป็นซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการตายและบาดเจ็บจำนวนมากในระหว่างการเผชิญหน้าเมื่อปี 2553 ในบรรดาผู้เสียชีวิตจำนวนมากนั้นประกอบไปด้วย ผู้ชุมนุม อาสาสมัครพยาบาล ผู้สื่อข่าว ช่างภาพข่าวและผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากการประกาศ “เขตใช้กระสุนจริง” รอบๆ พื้นที่ชุมนุมของ นปช. ซึ่งมีทั้งการใช้นักแม่นปืนและสไนเปอร์” 

รายงานฉบับเดียวกันยังระบุว่าฝ่ายผู้ชุมนุมเองมีกลุ่มที่ติดอาวุธที่เรียกว่า “ชายชุดดำ” ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่สังหารเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และพลเรือนด้วย และรายงานยังระบุถึงกรณีที่ผู้นำการชุมนุมบางคนปราศรัยปลุกเร้ายั่วยุรวมถึงการยั่วยุให้มีการเผาและขโมยสิ่งของ

ในแถลงการณ์ดังกล่าว ยังได้เสนอว่ารัฐบาลไทยควรจะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำการสืบสวนสอบสวนและนำเอาผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการตายและบาดเจ็บในระหว่างการสลายการชุมนุมในปี 2553 เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยทันที “เป็นเรื่องที่น่าคับแค้นที่ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนายทหารระดับบังคับบัญชาหรือทหารแม้แต่คนเดียวที่รับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมที่นองเลือดในปี 2553” ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุพร้อมสำทับว่า โอกาสของรัฐบาลไทยที่จะพิสูจน์ตัวเองว่ามีกระบวนการการยุติธรรมที่ไม่เลือกข้าง และโอกาสในการสร้างความปรองดองทางการเมืองนั้นพร่าเลือนไปอย่างรวดเร็ว

แฟ้มภาพ พ่อของนายสมาพันธ์ ศรีเทพ และแม่ของน.ส. กมนเกด อัคฮาด ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 เดินเท้าจากหน้าวัดปทุมวนารามไปยังหน้าอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เมื่อวานนี้ เพื่อประท้วงคำตัดสินของ ป.ป.ช.

นายกปรามชาวสวนยางชุมนุม12ม.ค.

นายกฯ บิ๊กตู่ ปราม ม็อบสวนยาง หาก ออกมา ก็ผิด ขออย่าเรียกร้อง เผย รัฐบาลช่วยไปแล้ว ภาษีประชาชนทั้งนั้น ขอบใจเด็กส่งการ์ดอวยพร เผยชอบที่เด็ก เพราะความบริสุทธิ์ใจ มีความจริงใจ เพราะเด็กไม่มีมารยา และไม่มีจริตเหมือนผู้ใหญ่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีกลุ่มเกษตรชาวสวนยางพารา เตรียมออกมาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือจากปัญหาราคายางตกต่ำ ว่า ถ้าออกมา ก็จะถูกดำเนินคดี 

ที่ผ่านมารัฐบาลได้บรรเทาความเดือนร้อนในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางไปแล้ว ไร่ละ 1,500 บาท ซึ่งการทำอะไรต้องใช้เงิน 

ส่วนที่ระบุว่าราคาในปัจจุบัน ทนไม่ไหวแล้วนั้น ชาวสวนยางต้องปรับปรุงตัวเองและช่วยตัวเองด้วย โดยการปลูกพืชเสริม เช่น สตอร์เบอรี่ หรือกล้วยหอม เหมือนที่เกษตรกรบางรายแก้ปัญหา วันนี้มีเกษตรกรปลูกยางทั้งหมด 5 ล้านไร่ และมีผลผลิตเกินความต้องการ ต้องไปดูว่าใครทำให้ปลูกมากขนาดนี้ 

ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขทั้งระบบในการจัดตั้งโครงการRubber city  แต่ไม่สามารถทำได้ในวันเดียว 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ได้คิดแบบนี้ มีการชดเชยไปกว่า 1.5 แสนล้านบาท รู้หรือไม่เอาเงินมาจากไหน มาจากภาษีประชาชนทั้งนั้น หากจะเอาภาษีให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องทำโครงสร้าง ทำให้ถูกวิธี ไม่ใช่ชดเชยเรื่อยเปื่อย ดังนั้นไม่มีประโยชน์หากจะออกมาชุมนุมเคลื่อนไหว เพราะรัฐบาลไม่ให้ตามที่เรียกร้องอยู่แล้ว แต่จะช่วยเหลือด้วยวิธีการที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นการปฏิรูป 

โดยเบื้องต้นจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจอยู่แล้ว

ส่วน ส.ค.ส. ของ ด.ช.อาริฟ บลูกาวาวี นักเรียนจาก รร.บ้านตันหยง จ.ยะลา ที่เขียนว่าอยากให้ขึ้นราคายาง นั้น นายกฯกล่าว ว่า ขณะนี้รัฐบาลได้แก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว 

ส่วนคำอวยพรของเด็กที่ส่งมาทั้งหมดนั้น ตนได้อ่านทั้งหมด 
"ชอบที่เด็กมีความบริสุทธิ์ใจ มีความจริงใจ เพราะเด็กไม่มีมารยา และไม่มีจริตเหมือนผู้ใหญ่ เด็กคืออนาคตของชาติในวันหน้า เด็กดีครูดี ครูดีเด็กดี“

นายกฯเตือนชาวสวนยางชุมนุมผิดกม.ปัดม.44สอบไฟกทม.


ข่าวการเมือง วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ.2559 13:13 น.
670120
นายกรัฐมนตรี เตือนชาวสวนยางชุมนุม ระวังผิด กม. ชี้ ข้อเรียกร้องทำไม่ได้ ยันแก้ตามขั้นตอนที่ยังยื่น ต้องใช้เวลา ปัดใช้ ม.44 สอบประดับไฟ กทม.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มชาวสวนยางภาคใต้ จะมีการนัดรวมตัวในวันที่ 12 มกราคม นี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ว่า หากออกมาเคลื่อนไหว ก็ไม่มีประโยชน์ และจะมีคดีติดตัว เพราะยืนยันว่าจะไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้อง โดยรัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ และใช้วิธีการที่มีความยั่งยืน แต่ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ ประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือและปรับปรุงปฏิรูปตัวเองด้วย เช่น การปลูกพืชเสริมในสวนยาง

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกรณีมีการเสนอให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตรวจสอบโครงการประดับไฟตกแต่งบริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) มูลค่ากว่า 39 ล้านบาท เพื่อให้ตรวจสอบได้เร็วขึ้นว่า อะไรที่เป็นกระแสสังคม อยากให้เร็ว ก็จะให้แต่ตนเองใช้อำนาจ แต่เรื่องใดที่ควรจะเร็วกลับบอกไม่ต้องใช้ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวก็อย่าไปเป็นประเด็นการเมือง เพราะมีการเมืองแอบอยู่ข้างหลัง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธแสดงความเห็นที่มีกระแสข่าวว่า ทางเกาหลีเหนือ ได้มีการทดลองระเบิดไฮโดรเจน โดยระบุว่า ขออย่าไปยุ่งกับเรื่องความขัดแย้ง

ชาวสวนยางใต้ชุมนุม12ม.ค.จี้รัฐแก้ราคาตกต่ำ


ข่าวภูมิภาค วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ.2559 10:07 น.
670054
กลุ่มชาวสวนตรัง และเครือข่ายยางภาคใต้ เคลื่อนไหว วันที่ 12 มกราคม นี้ ที่ สกย.จ.ตรัง หลังรัฐบาลล้มเหลว แก้ปัญหาราคายางตกต่ำ 
นายวิรัตน์ อันทรัตน์ ประธานเครือข่ายชาวสวนยางอำเภอเมืองตรัง เปิดเผยว่า 1. ให้รัฐเร่งจ่ายเงินในโครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยาง 1.3 หมื่นล้านบาท 2. โครงการขายยางให้กับจีนแบบรัฐต่อรัฐ โดย กยท. ทำสัญญาขายยางให้บริษัท ไซโนแคม ของจีน จำนวน 2 แสนตัน และ 3. ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2558 ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการให้ใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมทำถนน ต้องใช้ยางในประเทศ 2.3 หมื่นตัน ขณะที่เครือข่ายชาวสวนยางเฉพาะแกนนำกว่า 200 คน นัดชุมนุมวันที่ 12 มกราคม นี้ ที่ สกย.จ.ตรัง โดยจะเคลื่อนไหวเร่งผลักดันให้รัฐบาลแก้ปัญหา 3 เรื่องดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ ราคาน้ำยางสดในท้องตลาดจังหวัดตรัง อยู่ที่กิโลกรัมละ 25 บาท ราคายางแผ่นดินชั้น 3 ราคาท้องตลาด กิโลกรัมละ 32 บาท

สมเด็จฮุนเซ็น' สุดยอดรัฏฐาธิปัตย์แห่งโลกการเมืองกัมพูชา


7 มกราคม, 2016 - 09:28 | โดย dulyapak


นบรรดาชนชั้นนำผู้ทรงอำนาจบนหน้าประวัติศาสตร์อาเซียนยุคใหม่ อย่าง มาร์กอสของฟิลิปปินส์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ของไทย นายพลอาวุโสตานฉ่วยของพม่า องค์สุลต่านโบลเกียห์ของบรูไน หรือแม้แต่ ลีกวนยิวของสิงคโปร์ และมหาเธร์ของมาเลเซีย ฯลฯ ดูเหมือนว่า บุรุษเหล็กนาม 'ฮุนเซ็น' จะกลายเป็นองค์อธิปัตย์ที่ทรงอิทธิพลต่อการวิเคราะห์ฐานอำนาจชนชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่น่าสนใจอยู่มิใช่น้อย
ทั้งนี้ เนื่องจากฮุนเซ็นมีคุณสมบัติเป็นทั้งนักการเมือง นักธุรกิจและนักการทหารที่เชี่ยวชาญช่ำชองในกุศโลบายการใช้อำนาจอย่างลึกซึ้ง จนมีลักษณะใกล้เคียงกับแมคเคียอาเวลลีหรือซุนวูแห่งกัมพูชา
นอกจากนั้น ฮุนเซ็นยังถือเป็นผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในโลกการเมืองเอเชียอาคเนย์สมัยใหม่ พร้อมแผ่แสนยานุภาพเข้าคุมเขตปริมณฑลทหาร-พลเรือน-ประชาชน ตลอดจนสามารถขยายอิทธิพลแทรกซึมเข้าไปในโครงสร้างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งถือเป็นสามเสาหลักแห่งอำนาจอธิปไตยของรัฐสมัยใหม่
สำหรับความละเมียดละไมของศิลปะการใช้อำนาจ ฮุนเซ็นได้ย้อนกลับไปหาจารีตการใช้อำนาจแบบเก่าในสังคมเขมรโบราณซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในโลกทรรศน์ความรับรู้ของคนเขมรปัจจุบัน อาทิ หลักการที่ว่าอำนาจ (omnaich) จะต้องเกิดจากการประกอบเข้าด้วยกันของสิ่งมงคล อย่างเช่น บุญญาบารมีและยศถาบรรดาศักดิ์ ซึ่งก็ทำให้ฮุนเซ็นได้รับการยอมรับจากชาวเขมรบางกลุ่มว่าเป็นองค์อธิปัตย์ที่ทรงบารมีมาแต่ชาติปางก่อน
ซึ่งก็มีคนเขมรอีกจำนวนมิน้อยที่เชื่อว่าเขาคือร่างอวตารของ 'เสด็จกอน' (Sdech Korn/Kon/Kan) กษัตริย์เขมรในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีพื้นเพมาจากสามัญชน หากแต่ได้ทำการโค่นบัลลังก์อดีตกษัตริย์ผู้ไร้ทศพิธราชธรรม พร้อมปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่แห่งกัมพุชประเทศ
โดยฮุนเซ็นเอง มักแสดงท่าทียกย่องเสด็จกอนค่อนข้างชัดเจน ดังเห็นได้จากการสนับสนุนให้ตีพิมพ์หนังสือพระราชประวัติของกษัตริย์องค์ดังกล่าวเป็นจำนวน 5,000 เล่ม พร้อมทั้งเขียนคำนิยมยอพระเกียรติเสด็จกอนในฐานะมหาวีรบุรุษผู้ทรงวางรากฐานปฏิรูปบ้านเมืองให้รัฐกัมพูชาอย่างมั่นคง
ขณะเดียวกัน เขายังประกาศใช้ราชทินนามเพื่อสำแดงยศถาบรรดาศักดิ์อันเกรียงไกร อย่าง 'สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซ็น 'ម្តេចអគ្គមហាសេនាបតីតេជោ ហ៊ុន សែន' เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ปกคลุมไปทั่วงานบริหารราชการแผ่นดินทุกระดับ รวมถึงสำแดงพละกำลังอันฮึกห้าวในการควบคุมบังคับบัญชากองทัพแห่งราชอาณาจักร
นอกจากอำนาจในโลกจารีตประเพณีแบบเก่า ฮุนเซ็นยังวางวิสัยทัศน์เพื่อหนุนเสริมให้ตนได้เป็นองค์รัฎฐาธิปัตย์บนแผ่นดินกัมพูชาออกไปอีกราว 10 ปี หรือจนกว่าที่ตนจะมีอายุประมาณ 74 ปี ซึ่งก็ทำให้ฮุนเซ็นยังคงต้องทุ่มความพยายามเพื่อยึดกุมกลไกอำนาจรัฐสืบต่อไป พร้อมเตรียมสะสมเครือวานธุรกิจการเมืองเพื่อดันให้คนในตระกูลตนสามารถปกครองประเทศได้ยาวนานที่สุดโดยปราศจากผู้ท้าทายทางการเมือง
ต่อวิสัยทัศน์ดังกล่าว ฮุนเซ็นได้ผลักดัน 'ฮุนมาเนต' บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนขึ้นเป็นพลโท พร้อมมีอิทธิพลควบคุมกองกำลังพิทักษ์องครักษ์ (ซึ่งถือเป็นกองทหารส่วนตัวของฮุนเซ็น) รวมถึงกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายที่ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยรบพิเศษระดับแนวหน้าของกองทัพกัมพูชา ประกอบกับผลักให้ 'ฮุนมานี' บุตรชายอีกคนขึ้นแท่นเป็นผู้ทรงอิทธิพลในสายงานราชการพลเรือน พร้อมดัน 'ฮุนมานา' บุตรสาวขึ้นคุมสถานีโทรทัศน์บายนซึ่งถือเป็นสื่อกระแสหลักของรัฐบาล
ในอีกทางหนึ่ง ฮุนเซ็นยังได้สร้างเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อเปิดคลังทรัพยากรทางเศรษฐกิจอย่างน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ป่าไม้และอัญมณีนานาชนิดให้กับกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ โดยเขาได้ควบคุมบริหารสำนักปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา (Cambodian National Petroleum Authority/CNPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการน้ำมันของประเทศโดยตรง พร้อมสนับสนุนให้พวกพ้องเข้าคุมสัมปทานธุรกิจตามเขตจังหวัดต่างๆ อาทิ พระตะบอง ศรีโสภณ รัตนคีรี สีหนุวิลล์ และแม้แต่กลุ่มจังหวัดรอบทะเลสาบเขมรซึ่งเริ่มมีการสำรวจน้ำมันที่ทับถมอยู่ใต้ตะกอนโคลนตม (คล้ายคลึงกับทะเลสาบแคสเปียนในเอเชียกลาง)
นอกเหนือจากนั้น โครงสร้างอำนาจนิติบัญญัติหรือการบริหารราชการแผ่นดินในทุกระดับ ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ใต้การควบคุมของนักการเมืองจากพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People Party/CPP) โดยเห็นได้จาก จำนวน ส.ส. และ ส.ว. ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุคลากรจากพรรคซีพีพีของฮุนเซ็น
ขณะที่แผงอำนาจระดับสูงในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ แม้จะมีการแตกกระจายออกเป็นมุ้งการเมืองยิบย่อย เช่น กลุ่มของประธานวุฒิสภาและรัฐมนตรีมหาดไทย หรือธรรมเนียมการกันโควต้ารัฐมนตรีบางส่วนไปให้กับพรรคฝ่ายค้านอย่างฟุนซินเปค (FUNCINPEC) แต่กระนั้น จำนวนสมาชิกของพรรคการเมืองฮุนเซ็นก็ยังคงมีสัดส่วนที่มากพอที่จะกระชับอำนาจในสภาและคณะรัฐบาลได้อย่างมั่นคงต่อไป
ขณะเดียวกัน การปกครองแบบรัฐเดี่ยวที่ถ่ายระดับจากจังหวัด ลงมายังอำเภอ คอมมูน (หน่วยปกครองท้องถิ่นใกล้เคียงกับตำบล) และหมู่บ้าน ก็ยังคงมีลักษณะที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของเครือข่ายอำนาจฮุนเซ็น
โดยรากฐานวัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์และความจำเป็นในการพัฒนาชนบท ได้นำพาให้ผู้นำท้องถิ่นอย่างกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน จำเป็นต้องกระชับสายสัมพันธ์ร่วมกับเครือข่ายชนชั้นนำที่ถูกส่งมาจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อย่าง ผู้ว่าราชการจังหวัด ข้าราชการพลเรือน ตลอดจนกองกำลังตำรวจและกองทหารประจำกองทัพภาคต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ล้วนเป็นกลุ่มบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการเมืองร่วมกับพรรคซีพีพีและเครือข่ายวงศ์วานของฮุนเซ็นแทบทั้งสิ้น
ท้ายที่สุด คงมิเกินเลยนัก หากจะกล่าวว่า "สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซ็น" คือสุดยอดรัฏฐาธิปัตย์ที่ทรงอานุภาพแห่งโลกการเมืองกัมพูชา ซึ่งนอกจากจะแผ่ปริมณฑลแห่งอำนาจครอบคลุมแทบทุกองคาพยพของสังคมการเมืองกัมพูชาแล้ว บุรุษเหล็กผู้นี้ยังอาจจะมีบทบาทในม่านละครการเมืองเขมรสืบต่อไป ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการเมืองในราชสำนักและการเมืองระหว่างประเทศอันสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างไทย!

ดุลยภาค ปรีชารัชช

แหล่งอ้างอิง
Chandler, D. A History of Cambodia, 4th ed., Westview Press, Boulder, Colorado, 2008.
Edwards, P. Cambodge: The cultivation of a nation, University of Hawaii Press, Honolulu, 2007.
Jacobsen, T. and M. Stuart Fox. 'Power and Political Culture in Cambodia', Asia Research Institution, No. 200, May 2013.
Martin, M. ‘Social Rules and Political Power in Cambodia’, Indochina Report, No. 22, Jan-March 1990.
Norén-Nilsson, A. ‘Performance as (re)incarnation: The Sdech Kân narrative’, Journal of Southeast Asian Studies, 44 (2013), pp. 4-23.
- See more at: http://blogazine.pub/blogs/dulyapak/post/5606#sthash.NG9xj93S.ffnauLiN.dpuf

จากเหลืองสู่แดง

จากเหลืองมาสู่แดง ประเทศไทยครับผมขอโทษ
CR: พันทิพย์ ( ราชดำเนิน )

ช่วงก่อนปี 2549  ช่วงเวลานั้นผมสนใจการเมืองมาก หลังจากที่เบื่อมานานแสนนาน กับ รัฐบาลในระบบพรรคร่วม ที่วันๆเอาแต่เล่นการเมือง
บริหารไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  จนกระทั่ง ทักษิณ เป็นนายก เริ่มทำนโยบายใหม่ๆ ผมเฝ้าติดตามหลายๆอย่าง ทั้งที่สำเร็จ อย่าง 30 บาท
กองทุนหมู่บ้าน  ปฏิรูปการบริการของระบบราชการ  สนามบินสุวรรณภูมิ   ส่วนที่ล้มเหลว ผมก็ได้มองเห็น อย่าง อีลิทการ์ด   

เขาเป็นนักการเมืองที่สร้างอะไรใหม่ๆ ทั้งดี และ แย่ แต่ด้วยความที่ทำเยอะ ได้เสียงที่เสถียร เขาจึงมีจุดพลาดเยอะตามไปด้วย   
ด้วยความหยิ่งในตัวเองของผม   ที่คิดว่า ผมเองก็ จบสูง เรียนสูง บวกกับนิสัยส่วนตัวที่ชอบหาอะไรมาโต้แย้งตลอด  เพราะจะทำให้รู้สึกดีว่า
"เราชนะเขา  เราดักทางเขาถูก โอ๊ยทักษิณคิดอะไร ผมตามเขาทัน "   ความคิดแบบนี้ หรือการพูดการกระทำแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองฉลาด 

ผมเริ่มค้นหาข้อมูลโต้แย้ง แล้วเริ่มซื้อหนังสือ รู้ทันทักษิณ เริ่มรู้จัก ASTV เริ่มฟัง สนธิ มากขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าเขาเป็นข้อมูลโต้แย้ง ที่สามารถรู้ทันและดักทางทักษิณได้   ผมฟังสนธิ และ เชื่อ   ผมเริ่มทิ้งสายวิทยาศาสตร์ที่ผมเรียนมาทั้งหมด ผมทิ้งความจริง และ ใช้ความเชื่อมาบังหน้าผมด้วยเหตุผลเดียว
"เราต้องให้คนดีได้ครองอำนาจ หากคนส่วนใหญ่เป็นคนโง่ และ ชั่ว เราก็ต้องตัดสิทธิพวกเขา"

ผมเริ่มไปชุมนุม กับ พธม. เริ่มสนับสนุน พธม.  อาจารย์ที่ผมนับถือได้ห้ามปราม  
"ว่าเราไม่สามารถ ทำให้ทุกอย่างเป็นปกติได้ด้วยสิ่งที่ผิดปกติยิ่งกว่า"
"คนไทยสู้มามากเพื่อสิทธิ ทำไมเราต้องไปสู้เพื่อยกสิทธินั้นให้คนอื่นล่ะ ?"   

ผมโกรธอาจารย์ของผมครับ ผมคิดว่าท่านคร่ำครึ หัวโบราณ ผมบอกท่านไปว่า "ก็คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว เลือกแบบตามๆกันมา เราเลยได้การเมืองห่วยๆแบบนี้"  หลังจากนั้นผมก็ไม่คุยกับท่านอีก รุ่นพี่หลายๆท่านที่ผมนับถือ ถ้าใครแย้งผมตอนนั้น ผมก็จะไม่คุยอีก  ตอนนั้นผมใจผมปิดทุกอย่างจริงๆครับ
ผมใช้เวลาช่วงที่อยู่ พธม. เริ่มคุย เริ่มช่วย พธม. แล้วก็หาสมาชิกให้ พธม.ได้เพิ่มมาเยอะแยะ   พร้อมกับความสามารถในการแยกแยะของผมที่สูญเสียลงทุกขณะ  

หลังจากที่มีการรัฐประหารไป คืนนั้นผมดีใจมาก ผมโทร ผมพูด ผมคุย และ ชื่นชมกับการกระทำของทหาร และ พธม. ทั้งหมด  การต่อสู้ที่ผมคิดว่าทำในนามของความดีงาม จบสิ้นลงแล้ว ผมโทรไปหาอาจารย์ตอนกลางดึก  ท่านได้แต่ตอบผมว่า "ถ้าคิดได้แบบนั้นวันนึงเธอนั่นล่ะจะต้องเสียใจ"  
หลังการต่อสู้ต้านรัฐประหาร ที่เวลานั้นยังไม่เป็นเอกภาพเท่าที่ควร  อาจารย์ของผมท่านเป็นมะเร็งมานานแล้วและท่านก็จากไป  ผมตัดสินใจที่จะไม่ไปงานศพของท่าน  ตอนนั้นใจผมคิดอย่างเดียวว่า ถ้าชนชั้นนำที่รู้และฉลาด กว่าชนชั้นรากหญ้าของไทย ได้บริหารประเทศอย่าง ปรีชาสามารถ และ มีองค์กรราชการทั้งหมดสนับสนุน ประเทศของเราคงจะทรงพลัง และ พุ่งไปข้างหน้า 

ผมเฝ้าติดตามการทำงานของรัฐบาลขิงแก่ ที่มีคนบอกว่า หม่อมอุ๋ยเป็นผู้ที่สุดยอดมากในทางเศรษฐกิจ แต่จากผลงานตลาดหุ้นทิ้งดิ่งวันเดียว จนต้องเกิด 
Circuit breaker  ทำให้ผมเริ่มสั่นคลอน  การต่อต้าน เผด็จการยังมีอยู่เป็นระยะๆ  รธน. 50 ถูกเขียนขึ้น โดยที่มี คนดี เลือก สว.ให้ประชาชนตั้งเกือบครึ่งของ สว. ทั้งหมด   รัฐบาลขิงแก่ เจอเรื่องเขายายเที่ยง งบลับทหาร   สุดท้ายก็มีการจัดเลือกตั้งใหม่   ตอนนั้นผมคิดว่า ขิงแก่ทำได้ดี น่าจะลบทักษิณออกไปได้   ผมเองก็อยากเห็นว่าในกฏเลือกตั้งอันใหม่ ทุกอย่างจะเป็นยังไง เลยสมัครไปประจำหน่วยเลือกตั้ง

ผมได้เห็นคนมากมายมาลงคะแนน บางคนนั่งรถเข็น บางคนแขนด้วน  บางคนตาบอด  เขตที่ผมอยู่มันใกล้โรงพยาบาล ที่มีผู้พิการเยอะมาก  แต่คนเหล่านี้ก็ทั้งเดิน ทั้งเข็น มาตั้งไกล ข้ามสะพานเล็กๆ มายังหน่วย และ ลงคะแนนอย่างภูมิใจ   ดูพวกเขาภูมิใจกับสิทธิของพวกเขามาก    ผมเลยเริ่มตั้งคำถามว่า
"จริงๆแล้วคนไทยต้องการ  ความดีที่จับต้องไม่ได้  หรือ สิทธิเสรีภาพที่จับต้องได้มากกว่ากัน"  แต่ตอนนั้นผมก็ยังคิดว่าชาวบ้านคงคิดได้ไม่ยาวนักเท่ากับคนในเมือง การเลือกตั้งจบลง สมัครเป็นผู้ชนะ  

สมัคร และ สมชาย ในสายตาผมก็ยังคงเป็นผู้ที่บริหารแบบเน้นประชานิยม   ไม่ต่างจากทักษิณมากเท่าไหร่ ทุกอย่างในประเทศกำลังไปข้างหน้า สุดท้ายก็มี คดีทำกับข้าว และ คดียุบพรรค ซึ่งผมไม่แปลกใจมากนัก เพราะคิดว่าพรรคเลวๆแบบนี้ก็สมควรแล้ว  แต่ผมแปลกใจที่ พรรคประชาธิปัตย์ กลับรอดจากการยุบพรรค ด้วยเหตุผลแปลกๆ เช่นเรื่องของนายทะเบียน พรรคการเมือง  "ถ้าเขาเป็นคนดีจริง ทำไมเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นคนดีมันจึงดูไม่เข้าท่าแบบนี้"

ผมเริ่มคิดถึงอาจารย์ผม ผมเริ่มที่จะหยุดความเชื่อของตัวเอง และ เริ่มกลับไปใช้ความจริงตามที่ผมได้เรียนมาและเริ่มสังเกตุการณ์ รัฐบาลในค่ายทหารประชาธิปัตย์  ผู้น่าผิดหวังสำหรับผม   ทางที่ถูกต้อง  อภิสิทธิ์น่าจะปฏิเสธเนวิน แล้วลงเลือกตั้งมากกว่า  เขาไม่น่าไปสวมกอดกันแบบนั้น  ผมคิดว่า ปชป ที่บอกว่า เป็นคนดี เน้นประเทศเข้มแข็ง ไม่เน้นประชานิยมให้ประชาชนอ่อนแอ  น่าจะดีกว่า พรรคสายทักษิณ

แต่ผมก็คิดผิด พรรคคนดีใช้ประชานิยม แถมเป็นประชานิยมแบบเกทับ แบบโง่ๆด้วย ตั้งแต่ เช็ค2พัน ร้องเพลงชาติ  เปลี่ยน30บาท เป็นรักษาฟรี หลายอย่างไม่เข้าท่า สุดๆ  และที่น่าตกใจคือ ทั้งนักวิชาการ  พวกผู้ดี จาก พธม. ที่ผมเคยอยู่กลับเชียร์กันอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหตุผลที่ดูเหมือนเขาจะมีบ้างตอนชำแหละทักษิณ ตอนนี้กลับไม่มีการชำแหละ อภิสิทธิ์แม้แต่นิดเดียว

ผมเริ่มตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับเสื้อแดง แบบห่างๆ เข้ามาเรียนรู้ เข้ามาศึกษาประวัติศาสตร์ พยายามมอง แล้วเทียบกับความจริง ผมตัดสินใจและ ศึกษาอย่างเงียบๆ มาเป็นปี สุดท้ายเลยตัดสินใจร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงตอนปี 53 และ ก็รอดมาได้      ผมซึ่งเคยผ่านเวที พธม. และ นปช. ผมได้พบความต่างของหน่วยงานรัฐที่กระทำต่อประชาชน  ฝั่งหนึ่งได้รับการคุ้มครองโดยกองทัพ ถึงขนาดไปออกทีวีเพื่อกดดันให้ รบ. ลาออก  ในขณะที่อีกฝั่งมีกระสุนไม่อั้นไว้สำหรับยิงคนที่เรียกร้องการใช้สิทธิเลือกตั้ง  หรือว่า สองมาตรฐานในประเทศนี้มีจริง

ยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้ง สิ่งที่ผมเริ่มแตกหักกับพวก พธม. คือการที่ยิ่งลักษณ์ถูกด่าตั้งแต่รับตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคาว โลกีย์  ผมไม่สนใจว่าเรื่องส่วนตัวใครจะยังไง ผมสนใจว่าเวลางานของเขาคืองานจริงๆ แต่ถ้าหากสหาย พธม. ของผมเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานมันก็เป็นที่น่าสงสัยว่าจริงๆ แล้ว  พวกเขา ใช้ความเชื่อ หรือ ความจริงกันแน่  สิ่งที่ชัดเจนที่สุดสำหรับยิ่งลักษณ์ คือ การหยุดสงครามกับ กัมพูชา การเจริญไมตรีกับ ต่างประเทศ 
และ ความกล้าที่จะขับเคลื่อนนโยบายขนาดยักษ์ เหมือนทักษิณ  ผมให้อำมาตย์ได้ลองบริหารแล้ว และมันไม่เข้าท่า ผมน่าจะต้องให้ฝ่ายที่เคยมีผลงานได้ลองทำอีกครั้ง ผมตัดสินใจที่จะเชื่อในเสียงประชาชน  และ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

วันนี้ทุกอย่างชัดเจน ขบวนการแย่งอำนาจประชาชนมีแบบเห็นๆ   ไม่ว่าจะขัดขวางการเลือกตั้ง  แต่มี ศาลคุ้มครอง  กองทัพทำตัวผิดที่ผิดทาง
องค์กรอิสระ  ฝ่ายค้านที่ตัวเองไม่มีความสามารถแต่กลับอยากได้ อำนาจแบบหน้าด้านๆ   ผมเสียใจที่เคยด่าประชาธิปไตย ด่าชาวบ้าน ผมเสียใจที่ไม่ยอมฟังอาจารย์จนถึงท้ายที่สุด    ผมเสียใจที่เคยโน้มน้าวให้คนที่ไม่รู้ไปสนับสนุนเผด็จการอย่างออกหน้าออกตา  

วันนี้ผมลืมตาตื่นแล้ว  จากเหลืองมาสู่แดง   ผมจะใช้ทุกความรู้ ความสามารถทั้งหมดที่ผมมี เพื่อช่วยเหลือฝ่าย ปชต. 
ผมขอโทษประเทศไทย และ คนไทยหัวใจ ปชต. ทั้งหมด   และ ผมจะให้เผด็จการได้เห็นว่าพลังของประชาชนยิ่งใหญ่แค่ไหน

ขอบคุณครับ

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี2559

แนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2559

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.6% จากเมื่อปีที่แล้วที่ 3.1% แอนดรูว์ วอล์คเกอร์ ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจของบีบีซีภาคบริการโลก รายงานว่าหากการคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟและหน่วยงานกระแสหลักอื่น ๆ ถูกต้อง เศรษฐกิจในปีนี้จะแข็งแกร่งกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยมีจีนกับสหรัฐฯเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางสถานการณ์เศรษฐกิจโลก 

อย่างไรก็ตาม นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ในเยอรมนี เตือนว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้จะทำให้หลายฝ่ายผิดหวัง โดยระบุว่าการฟื้นตัวจากการถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังวิกฤตการเงินระหว่างประเทศ จะยังคงดำเนินต่อไป แต่แนวโน้มการฟื้นตัวจะไม่สดใส 

ผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ 
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ เพราะทำให้การกู้ยืมเงินมีต้นทุนสูงขึ้นและค่าเงินอ่อนลง เพราะว่าเงินจะไหลเข้าไปยังสหรัฐฯ จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และจะส่งผลให้การจ่ายคืนเงินกู้ด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แพงขึ้นด้วย โดยสถานการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่เฟดจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยซ้ำ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง 

ถึงขณะนี้ยังไม่มีวิกฤตด้านการคลังในตลาดเกิดใหม่ และเป็นไปได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น แต่มีความเสี่ยงว่าอาจจะเกิดความผันผวนด้านการเงินการคลังในประเทศตลาดเกิดใหม่ได้ 

สถานการณ์น่าเป็นห่วงแค่ไหน ?
ศ. คาร์เมน ไรน์ฮาร์ท แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด แสดงความเป็นห่วงถึงเรื่องภาระหนี้ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งหากเทียบกับปริมาณหนี้ในประวัติศาสตร์ถือว่าอยู่ในระดับกลาง แต่อาจมองได้ว่าเป็นการประเมินที่ต่ำไป ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ภาระหนี้ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการหมุนเวียนของกระแสเงินมากกว่าที่ประเมินไว้ และอาจรุนแรงถึงขั้นก่อให้เกิดวิกฤตได้ 

อย่างไรก็ตาม ด้านนายนูเรียล รูบินี นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่เคยเตือนถึงวิกฤตการเงินโลกก่อนที่จะเกิดวิกฤตขึ้นจริง กลับเห็นว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจจะไม่แพร่ลามไปทั่วโลก โดยก่อนหน้านี้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักต่างเห็นพ้องว่า ในช่วงที่ผ่านมานโยบายและกลไกต่าง ๆ ของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้พัฒนาขึ้นมาก และมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต้านทานความผันผวนในตลาดการเงินโลกได้ 

อย่างไรก็ตาม อาจมีบางประเทศที่จะประสบปัญหาร้ายแรงจากความผันผวนในตลาดโลก เช่น รัสเซีย เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง บราซิลจากวิกฤตทางการเมืองในประเทศ ขณะที่เวเนซุเอลามีปัญหาทั้งการเมืองและราคาน้ำมัน 

การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 
เศรษฐกิจจีนไม่สามารถขยายตัวโดยเฉลี่ย 10% ต่อปีได้ตลอดไป แบบที่เป็นมาตลอด 30 ปีจนถึงปี 2553 ตามที่ทางการจีนระบุ โดยหลังจากนั้น เศรษฐกิจจีนเริ่มลดความร้อนแรงลง ซึ่งก่อให้เกิดคำถามว่า ช่วงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจีนจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่

จนถึงขณะนี้ยังไม่มีวิกฤตเกิดขึ้น มีเพียงตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนัก และเกิดความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์หลายครั้งเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ขณะที่เริ่มต้นปีนี้ก็ส่อแววไม่สดใส ดัชนีหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวลดลง 7% และต้องระงับการซื้อขายโดยอัตโนมัติ เหตุผลหนึ่งที่ตลาดหุ้นจีนร่วงหนักครั้งล่าสุดนี้มาจากความกังวลเรื่องผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมเมื่อเดือนธันวาคมที่ตกลง ซึ่งเป็นหลักฐานเพิ่มเติมอีกชิ้นที่บ่งว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกร่วงลง เช่น น้ำมัน โลหะและอาหาร 

ผลลัพธ์ของราคาน้ำมันที่ร่วงลงยังไม่เด่นชัด
ราคาน้ำมันที่ร่วงลงเป็นข่าวดีสำหรับบางประเทศ แต่ก็ถือว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับประเทศที่ส่งออกน้ำมันอย่างซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งอาร์เจนตินาที่ส่งออกถั่วเหลือง และแซมเบียที่ส่งออกทองแดง ทั้งนี้ราคาน้ำมันไม่ได้ปรับตัวขึ้นเลยในช่วงปีที่ผ่านมา แบบที่นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์เอาไว้ โดยตอนนี้ราคาน้ำมันถูกกว่าเมื่อปีก่อน และร่วงลงราว 2 ใน 3 จากราคาเมื่อเดือน มิ.ย. 2557 

ศ. เคนเนธ โรกอฟฟ์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด และอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ บอกว่าผลของราคาน้ำมันที่ถูกลงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ค่อนข้างเงียบ เพราะบางประเทศใช้โอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าวตัดลดการอุดหนุนจากภาครัฐ แทนที่จะให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์โดยตรง  

ภาพประกอบ (แฟ้มภาพ) - นักลงทุนจีนที่ตลาดหุ้นแห่งหนึ่งในมณฑลอานฮุุย