PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ตีตั๋วต่อท่ออำนาจ : “ประยุทธ์” ปั้นแบรนด์เจาะฐานคนรุ่นใหม่

ตีตั๋วต่อท่ออำนาจ : “ประยุทธ์” ปั้นแบรนด์เจาะฐานคนรุ่นใหม่



นับเป็นนักการเมืองอีกคนที่มีบทบาทโดดเด่นในสนามการเมืองใหญ่และการเมืองภาคประชาชน
มาวันนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคดีอาญาจ่อคอหอยอยู่ เพราะถูกกล่าวหาในสมัยเป็นแกนนำ กปปส.
ปัจจุบันกระแสของรัฐบาลปลายเทอมตกต่ำ ปัจจัยสำคัญอะไรถึงกล้าตัดสินใจทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อรับตำแหน่งนี้ นายพุทธิพงษ์ เปิดใจให้เห็นเส้นทางเข้าล่มหัวจมท้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์
โดยบอกถึงประสบการณ์ทางการเมืองตลอดเกือบ 20 ปี เช่น เคยเป็นกรรมการคัดสรรผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์พบว่า คนรุ่นใหม่มีโอกาสริบหรี่จะลงสมัคร
เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป มันย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง เปิดให้คนรุ่นใหม่ๆได้ลงสมัครบ้าง
ผมเห็นด้วยที่คนในพรรคเสนอให้สมาชิกได้เลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
ประชาชนต้องการเปลี่ยนพรรคให้เป็นสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง ยิ่งรัฐธรรมนูญมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นถึงความแตกต่างนอกจากความเป็นพรรคการเมือง คือมีคนรุ่นใหม่อยากเข้าวงการเมืองเยอะ แต่ทุกเขตเลือกตั้งมีเจ้าของพื้นที่เดิม วางเครือข่ายหัวคะแนนไว้เรียบร้อยและยังมีผู้ใหญ่ในพรรคอีก
พรรคการเมืองเดิมๆ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ แทบไม่เปิดช่องให้คนรุ่นใหม่ได้ลงสมัคร
3 ปีที่ผ่านมาผมไม่ได้สังกัดพรรคไหน ก็ไปเรียนหลักสูตรต่างๆ มีเพื่อนฝูงอยู่ในทุกหน่วยงาน เลยซึมซับอะไรมากมายจากการพูดคุย
“เริ่มมีแนวคิดว่าการเมืองต้องเปลี่ยน หากมีพรรคใหม่ คนรุ่นใหม่ย่อมมีโอกาสแจ้งเกิดทางการเมืองได้ เช่น พรรคอนาคตใหม่ ถ้าไม่มีในบางเรื่อง ผมว่าเขามีวิธีคิด ความตั้งใจก็น่าสนใจมาก”
ถ้าถามว่าทำไมผมรับตำแหน่งนี้ ที่ผ่านมาทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เคยทาบทามให้ไปเป็นประธานบอร์ดแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่เส้นทางของเรา ก็ปฏิเสธไป
ผมก็กลับไปทำงานตามปกติ อยู่มาวันหนึ่งมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับท่านสมคิด ติดต่อมาว่า ขณะนี้การเมืองเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่เปิดโอกาสหรือเปิดใจรับแนวคิดที่รัฐบาลทำมาตลอด 4 ปี และยังมีผลงานอะไรบ้างที่ได้ทำ แต่ไม่มีการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่า รัฐบาลทำงานให้ประชาชนเยอะมาก
และยังพูดถึงสถานการณ์การเมือง จะเป็นการเมืองแบบใหม่ มีคนรุ่นใหม่มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 6 ล้านคนทั่วประเทศ ถือเป็นตัวแปรการเลือกตั้ง เมื่อเปรียบเทียบฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
คนเหล่านี้สื่อสารกันด้วยสมาร์ทโฟน เล่นโซเชียลมีเดีย ระบบหัวคะแนนแบบเดิมเข้าไม่ถึง
ถ้าสามารถรณรงค์ให้ออกมาใช้สิทธิแค่ 3-4 ล้านคน จะทำให้การเลือกตั้งเปลี่ยนและการเมืองจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
อันนี้เป็นโจทย์การเมืองใหม่ที่น่าสนใจมาก ประกอบกับนายกฯทราบถึงข้อเขียนของผมที่บอกถึงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่อาจจะไม่เลือกทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้มีเพียงแค่พรรคอนาคตใหม่
ฉะนั้นเราคิดว่าต้องมีตัวเลือกมากกว่า 1 ทาง จุดหนึ่งที่น่าจะดึงนิวโหวตเตอร์ได้ จะต้องสื่อสารด้วยถ้อยคำง่ายๆให้ปังและโดนบนเนื้อหาสาระที่ใช่ ผ่านโซเชียลมีเดีย เชื่อว่าในอนาคตจะเป็นการต่อสู้แบบไร้ข้อจำกัด
ผมคิดว่าท่านนายกฯสนใจคนรุ่นใหม่ เลยให้คนทาบทามมาช่วยงาน รวมถึงช่วยด้านการสื่อสารการเมือง เมื่อมาช่วยงานรัฐบาลแล้วคงไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์อีก คนรุ่นใหม่ในพรรคก็จะมีจังหวะได้ขยับเข้ามาทดแทน
การเดินออกจากพรรคไม่ได้มีปัญหาหรือทะเลาะกับใคร ในช่วงให้ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค ยังพาชาวบ้านเขตเลือกตั้งเดิมใน กทม. ไปยืนยันความเป็นสมาชิกพรรค ได้พูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้ใหญ่ในพรรคอีกหลายคนตามปกติ ก่อนจะมาช่วยงานรัฐบาลยังไปลาหัวหน้าพรรค
จะเป็นสะพานเชื่อมหัวใจของคนรุ่นใหม่กับ คสช.ได้อย่างไร นายพุทธิพงษ์ บอกว่า ขณะนี้ได้นำผลงานของรัฐบาลที่มีเยอะมาก เร่งสื่อสารให้เข้าใจง่ายถึงประชาชนและคนรุ่นใหม่ เช่น การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล ขูดรีดดอกเบี้ยโหดแพงหูฉี่ รัฐบาลนี้ตั้งใจเร่งแก้จนสำเร็จ ชาวบ้านก็มีความสุขมาก
ในฐานะเป็นนักการเมืองเต็มตัวอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ก็จะทำงานด้านการเมืองด้วย แต่ตอนนี้ต้องระมัดระวัง เป็นเรื่องของอนาคต ท่านยังไม่ได้ตัดสินใจชัดเจน ถ้าจะประสานอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ผมก็ยินดี
มีชื่อจะเข้าพรรคพลังประชารัฐ นายพุทธิพงษ์ บอกว่า ไม่มีเงื่อนจะต้องไปอยู่พลังประชารัฐ
“วันนี้ผมสนใจมาอยู่กับท่าน ในอนาคตถ้าท่านตัดสินใจจะไปเป็นบัญชีของพรรคไหน เป็นสมาชิกของพรรคไหน ตามมารยาทเมื่อมาทำงานกับท่าน ผมก็พร้อมไปกับท่าน แต่วันนี้ท่านยังไม่ได้บอกว่าจะไปไหน
พลังประชารัฐอาจจะมีตัวตนขึ้นมา อาจจะมีท่านสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ (รมว.พาณิชย์) ท่านอุตตม สาวนายน (รมว.อุตสาหกรรม) ไปก็ไม่มีปัญหา ยังคุยกันได้ แต่ผมต้องดูนายกฯประยุทธ์เป็นหลัก 6 เดือนนับจากนี้ต้องติดตามสถานการณ์ทุกมิติ”
การรับตำแหน่งนี้ทำให้ถูกมองว่า กปปส.เคลื่อนไหวรู้กับกองทัพให้เข้ามายึดอำนาจ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายพุทธิพงษ์ บอกว่า ใครจะมองมุมนี้ก็ได้ ไม่ปฏิเสธ แต่ช่วงชุมนุมกว่า 200 วัน ผมเป็น 1 ใน 9 แกนนำ ประชุมทุกวันไม่เคยมีการติดต่อจากทหารเข้ามาช่วยเรา
จนถึงวันยึดอำนาจพวกผมก็ไม่รู้และยังถูกจับขึ้นรถไปอยู่ในค่ายทหาร เจอพี่ๆเพื่อนๆจากพรรคเพื่อไทย วันนั้นถึงวันนี้ไม่ได้สิทธิพิเศษอะไร แถมโดนคดีอาญาข้อหาร้ายแรง อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล
ภาพมันตอกย้ำเมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และนายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. ต่างมีท่าทีสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เหมือนแยกกันเดิน เพื่อกลับมารวมกันทีหลัง นายพุทธิพงษ์บอกว่าไม่ได้คิดอะไรลึกขนาดนั้น
นายสุเทพไปตั้งพรรคโดยไม่มี กปปส.ไปอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว เหตุที่นายสุเทพสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นคนเดียวที่ไว้ใจว่าจะปฏิรูปประเทศและบ้านเมืองสงบสุข ส่วนนายถาวรกลับไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อต้องการปฏิรูปพรรคก่อนปฏิรูปด้านอื่นๆ ในส่วนของผมมาอยู่ตรงนี้ เพราะมีอุดมการณ์ต้องการปฏิรูปประเทศ
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ในช่วงต้นบอกว่าสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยน รัฐธรรมนูญเปลี่ยน นิวโหวตเตอร์เปลี่ยน จะนำพาประเทศไปสู่อะไร นายพุทธิพงษ์ บอกว่า หลังเลือกตั้งไม่มีพรรคไหนชนะเด็ดขาด
ผมไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะถล่มทลาย เพราะการสื่อสาร กระบวนการเข้าถึงประชาชนมันเปลี่ยนไป
วันนี้เป็นเวลาของคลื่นลูกใหม่ ใจเย็นๆคิดว่าต้องมีทางเลือกให้คนรุ่นใหม่
แนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเห็นนิวโหวตเตอร์ ไปตรงกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่เข้ามามากๆ ทำไมแนวคิดถึงตรงกัน นายพุทธิพงษ์ บอกว่า แนวโน้มเทรนด์การเลือกตั้งของโลกเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยยังมีกระแสข่าวจะส่งนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ลูกเขยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นผู้นำพรรค
ถ้าพรรคไหนไม่คิดแบบนี้เตรียมตัวแพ้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือผมหรือใครก็ตาม
ที่สำคัญเมื่อคิดแล้วจะทำได้หรือไม่ ใครจะไปหาตัวเลือกคนรุ่นใหม่เก่งๆ จนเป็นกระแสให้เห็นว่าเลือกคนกลุ่มนี้เพื่ออนาคตของประเทศ
ผมมีความตั้งใจมากเรื่องหนึ่ง โดยไปรวบรวมคนรุ่นใหม่ 30-50 คน โปรไฟล์ดี ดีกรีนักเรียนทุนจบท็อปสกูลระดับโลก บางคนทำงาน 5-7 ปีอยู่ต่างประเทศ ถ้าไม่ชวนเขากลับบ้านเกิด ทำงานภาคเอกชนก็รับเงินเดือนเป็นแสน รับงานพิเศษเงินเดือนก็เฉียดล้านบาท วันนี้ถึงเวลาคนรุ่นใหม่กลับมารับใช้แผ่นดิน
แล้วใช้ความเป็นนักการเมืองอธิบายให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ คนเหล่านี้เป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ
อาจจะลง ส.ส.เขต หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ไม่แน่ใจจะลงสมัครครั้งนี้ทันหรือไม่
ขอให้ช่วยกันคิดจะทำอะไรให้คนรุ่นใหม่เลือกพวกคุณ เข้ามาบริหารประเทศเพื่ออนาคตลูกหลานของเรา

บนหลักการจะเลือกใครต้องคิดว่า ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร

ใครจะเป็นคนรับไม้ต่อในอนาคตลูกหลานเราถึงอยู่ได้อย่างมั่นคง
และถ้าประเทศไม่สงบก็ไม่มีทางนำไปสู่การแก้ปัญหาได้เลย.
ทีมการเมือง

ภาวะจำเป็น เลือกตั้งครึ่งใบ

ภาวะจำเป็น เลือกตั้งครึ่งใบ



ผ่าสถานการณ์ “คืนอำนาจ” บนเงื่อนไข “ทักษิณ”
เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายเดือนกันยายน สัปดาห์ของการเลี้ยงอำลาเกษียณอายุ
เวลาของการสิ้นสุดภารกิจชีวิตราชการและงานประจำ
ในท่ามกลางบรรยากาศร้อนๆที่สัมผัสได้ถึงสัญญาณเริ่มต้น “เกมรบตะลุมบอน”
สงครามชิงอำนาจทางการเมืองภาคใหม่
ไล่หลังจากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้ลงนามประกาศ “คลายล็อก” คำสั่ง คสช. เปิดทางให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมบางอย่างเพื่อเตรียมไปสู่การเลือกตั้ง
จังหวะ “แง้มฝาโลง” ปล่อยผี
ปรากฏตัวละครสำคัญตามท้องเรื่องโผล่มาทันทีทันใด
โดยเฉพาะไฮไลต์อยู่ที่คิวของ “นายใหญ่” อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ใช้โอกาสครบรอบ 12 ปีที่โดนยึดอำนาจในการรัฐประหาร “19 กันยายน 2549” โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
ซัดทหารปฏิวัติอดีตนายกฯ 2 พี่น้อง ทำประเทศถอยหลัง
ขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ตั้งคำถามประเทศไทยบอบช้ำพอหรือยัง ถึงเวลากบต้องออกจากกะลาซะที
พร้อมอโหสิกรรมคนที่ใส่ร้ายป้ายสี
ในอารมณ์แบบที่หนังสือพิมพ์บางฉบับพาดหัว “แม้วส่งซิกปลุกสมุน”
ยิ่งเป็นอะไรที่กระตุ้นต่อมฉุน ตามสถานการณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ตอบคำถามสื่อมวลชน เป็นเชิงย้อนถามอดีตผู้นำ
บ้านเมืองยุ่งเพราะใคร
นั่นก็ทำให้อดีตนายกฯทักษิณโซ้ยกลับเป็นเชิงเบิ้ลบลัฟประจาน “พี่ใหญ่ทีมบูรพาพยัคฆ์” โดยการทวีตข้อความสั้นๆผ่านทวิตเตอร์ว่า ท่าทีและน้ำเสียงขึงขัง น่ากลัวจัง
ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.
เช่นเดียวกัน ในเวลาไม่นานเพจหนุน “ลุงป้อม” ก็นำภาพที่ “ทักษิณ” พะเน้าพะนอกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด และอดีตหัวหน้า รสช. มาเบิ้ล “นายใหญ่” เป็นนัยประจานกลับ
อ่อนหวาน ขอสัมปทานดาวเทียม
“นายใหญ่” กับ “พี่ใหญ่” เปิดหน้าล่อกันตรงๆเลย
สถานการณ์มาถึงจุดแตกหัก จากเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ว่ากันว่า พล.อ.ประวิตรเป็นเพียงคนเดียวในฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษที่ “ทักษิณ” และครอบครัวยังพอต่อสายติด จากสายสัมพันธ์ในอดีตที่เกื้อหนุนกันมา
แต่เมื่อ “ทักษิณ” ฟัดดะ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องลับเอามาไขในที่แจ้ง
โดยอารมณ์ลึกๆแรงๆแบบที่ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม พูดนิ่มๆ เราเคยรู้กันอยู่ว่า ใครเคยทำอะไรไว้ ถามว่าจะเอาเรื่องในอดีตมาพูดกันทำไม
การนำเรื่องแบบนี้มาพูดแล้วจะมีใครคบด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด
ปิดโอกาสดีล “ทักษิณ” ต่อสาย คสช.ไม่ติดอีกต่อไป
มันเป็นอะไรที่สะท้อนเดิมพัน อาการ “ทักษิณ” ที่เสี่ยงเปิดเกม “หักดิบ”
ขยับออกตัวแรงๆด้วยการเดินเกมชน “พี่ใหญ่” ทีม คสช.
แน่นอน ตามฟอร์มแชมป์เก่าที่เป็นต่อในสนามเลือกตั้ง เป้าหมายอันดับแรกเลยก็คือการกระตุกกระแสท้ารบทหาร ส่งสัญญาณกระตุ้นลูกข่ายพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดง
ชิงภาพของฝ่ายประชาธิปไตย
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่เริ่มแกว่ง แรงของลูกข่ายพรรคเพื่อไทยเริ่มตก
ยี่ห้อ “ทักษิณ” ชักไม่ขลังอย่างที่ตีปี๊บ ตีขลุม ตีกิน
วัดตามตัวเลขที่อ้างอิงตามหลักวิชาการ โพลสำรวจคะแนนนิยม “นายกรัฐมนตรีคนต่อไปในสายตาประชาชน” ปรากฏชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ นำโด่งมาทุกโพล
กระแสความนิยมทางการเมืองเริ่มไหลแบบกู่ไม่กลับ
สถานการณ์หักมุมกับฝ่ายของพรรคเพื่อไทยที่ปล่อยชื่อ “นอมินีภาค 3” คนแล้วคนเล่า ทั้ง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ทั้งหลาน “ทักษิณ” ลูกชาย “เจ๊แดง” อย่างนาย
ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ “น้องเขย” นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ไปยันกระทั่ง “ลูกเขย” นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์
ก็ยังตีตื้นเรตติ้งมาเทียบ “นายกฯลุงตู่” ไม่ได้
หันซ้ายหันขวา นาทีนี้ก็เหลือแค่ “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องเล่นบท “นางกวัก” โผล่ออกมาโชว์ตัวในโซเชียลฯเลี้ยงกระแสกองเชียร์
ก่อนจะเป็นคิวของตัวพ่ออย่าง “ทักษิณ” ที่ต้องออกโรงกู้สถานการณ์
เดินหมาก “ขุนรุกฆาต” ตั้งแต่หัววัน
แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ไม่แน่ใจว่า “มุกเก่า” จะได้ผลเหมือนเดิมหรือไม่
ในเมื่อแนวรบการเลือกตั้งเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่เหมือนสถานการณ์ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ผู้นำรัฐบาล “ขิงแก่” ปล่อยอำนาจ แล้วพรรคพลังประชาชนภายใต้ “นอมินีรุ่น 1” อย่างอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล
ต่างจากสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำ “รัฐบาลส้มหล่น” ประชาธิปัตย์ รีบเลือกตั้ง แล้วพรรคเพื่อไทย ภายใต้ “นอมินีรุ่น 2” อย่าง “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างปรากฏการณ์นำทีมชนะแบบถล่มทลาย สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนายกฯหญิง คนแรกของไทย ที่เปิดตัวลงสนามการเมืองแค่ 49 วัน
“ทักษิณ” ขย่มทหาร กินรวบสนามเลือกตั้งแบบถล่มทลาย
“ปฏิวัติเสียของซ้ำซาก” จากการที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วปล่อยเลือกตั้ง
แต่มาถึงรอบนี้ สถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แปรสภาพเป็น “นายกฯลุงตู่”
ตลอดระยะ 4–5 ปี มีการอาศัยบทเรียนจากอดีตมาปรับเกมสู้บนเงื่อนไข “ทักษิณ”
ทั้งรัฐธรรมนูญที่พ่วงบทเฉพาะกาลเปิดทางลากยาวอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน กติกาการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม รวมถึงการยกเครื่องกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่
ปรับกระบวนการเข้าสู่อำนาจให้สลับซับซ้อนกว่าเดิม
ขณะเดียวกันในมุมของการบริหารกระแสความนิยม รัฐบาล คสช.ก็ทำแบบเดียวกับที่รัฐบาลเลือกตั้ง แถมยังได้เนื้อได้หนังมากกว่า จากการใช้อำนาจพิเศษเชิงบวก ในการสางปมปัญหาที่หมักหมมทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ การประมง มาตรฐานการบิน จนปลดล็อกจากที่ถูกแบนจากสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาได้ การเคลียร์มาเฟียหนี้นอกระบบ
และด้วยจุดเด่นในด้านความมั่นคงทำบ้านเมืองสงบ เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
การได้มือระดับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ มาเป็นตัวหลักในเชิงบริหาร ลากจากตัวเลขจีดีพีติดลบเพราะวิกฤติการเมือง พุ่งไปอยู่ที่ร้อยละ 4.8 แนวโน้มทะยานต่อเนื่อง สถานการณ์แบบที่ภาวะการเงินโลกผันผวน สงครามการค้า

สหรัฐอเมริกากับจีน แทบไม่มีผลกับเศรษฐกิจไทย
ตลาดหุ้นเด้งรับทันทีที่การเลือกตั้งชัดเจน
ยังมีการวางยุทธศาสตร์รองรับระบบเศรษฐกิจโลกอนาคต ปักหมุดเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0 ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี)
ขณะเดียวกันก็เน้นการอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ทั้งโครงการจำนำยุ้งฉาง ดันราคาข้าวขึ้นไปอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าโครงการจำนำข้าว การจัดสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการประชารัฐ ฯลฯ
ลดความเหลื่อมล้ำ ฉุดประเทศไทยให้หลุดพ้นกับดักความยากจน
นี่คือสิ่งที่ประชาชนสัมผัสจับต้องได้ มีหลักฐานเป็นรูปธรรมเห็นอยู่ตรงหน้า
มันสวนทางกันเลยกับลมปากลอยๆของ “ทักษิณ” ที่บอก 12 ปีไม่ไปไหน ประเทศไทยเป็นกบในกะลา
สถานการณ์ที่ทีม “ลุงตู่” ย้อนคอหอยได้ ใครกันแน่ที่ไม่ออกจากกะลา
“ทักษิณ” เองหรือเปล่า
ที่ “แค้นฝังใจ” จมอยู่แต่ในโลกของตัวเอง
อะไรไม่เท่ากับว่า มันหนีไม่พ้นวนอยู่กับเงื่อนไขสถานการณ์เดิมๆ ทันทีที่ “นายใหญ่” ขยับฟื้นฝอยปมโดนยึดอำนาจ ก็ไปกระตุกแนวต้านระบอบ “ทักษิณ” สื่อฝ่ายตรงข้าม “นายใหญ่” ดาหน้าออกมาซัดกลับ
ย้อนรอยฉายภาพซ้ำ ประจานพฤติการณ์ “นายใหญ่” ป่วนเมืองชิงอำนาจคืน
กลายเป็นเขี่ยไฟ เร้าชนวนขัดแย้งที่แฝงอยู่ในหมู่ขั้วขัดแย้งให้กระพือกลับมา
ตามปรากฏการณ์มันคือคำตอบว่า “ทักษิณ” ยังเป็นเงื่อนไข ตัวอันตรายในเกมอำนาจประเทศไทย
ไม่มีท่าทียอมหมอบราบคาบแก้วแต่อย่างใด
และมันก็คือคำตอบสุดท้าย ความจำเป็นที่ “ลุงตู่” ต้องตีตั๋วไปต่อ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่เข้าใจได้ กับการเลือกตั้งภายใต้บริบทประชาธิปไตยครึ่งใบ
คสช.ต้องค่อยๆ “คลายล็อก” ให้พรรคการเมืองขยับ ปล่อยผีแบบสุดซอยไม่ได้
เพราะแค่นี้ยังเห็นอาการป่วน สัญญาณการทวงแค้นอำนาจมาเต็ม
เหนืออื่นใด ต้องไม่ลืมว่า “ดาบอาญาสิทธิ์” ม.44 ยังมีผลไปจนกว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่
ในเมื่อมันเป็นหลักประกัน สร้างความอุ่นใจให้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังหวั่นไหว กล้าๆกลัวๆว่า หลังเลือกตั้ง นักการเมืองจะกลับมาเปิดศึกตะลุมบอน พาประเทศกลับไปลงเหว
มันคือเงื่อนไขความจำเป็นกับ “การเลือกตั้งครึ่งใบ” ภายใต้เดิมพันเกมชิงเมืองภาคสุดท้าย
ทุกอย่างจะได้จบที่การเลือกตั้ง
ไม่ต้องระวังปฏิวัติซ้ำ ไม่ต้องระแวงปฏิวัติซ้อน.

“ทีมการเมือง”

“ผมสนใจ งานการเมือง”..

“ผมสนใจ งานการเมือง”...แต่ยัง กั๊ก!
“บิ๊กตู่” ประกาศแล้ว ตามสัญญา แต่ยัง “กั๊ก” จะเข้าพรรคไหน หนุนใคร ขอเวลาอีกระยะ แจงเหตุ กลัวไม่ได้สานต่อ เผยคุยกับพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง อยู่เวลานี้ ลั่น เพราะ ผมรักประเทศชาติของผม .... แต่ไม่ลาออก ไม่ปรับ ครม.
“บิ๊กตู่’ ประกาศ แล้ว!! ตามสัญญา ว่าจะประกาศอนาคตทางการเมือง ใน เดือน กย. แต่มาออกตัวว่า กลัวโดนด่า จนโดนสื่อสะกิดว่า”เบี้ยว สัญญา มาแล้วนั้น
วันนี้ 24 กย.2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์. จันทร์โอขา นายกฯและหัวหน้า คสช. ประกาศ ว่า ผมสนใจงานการเมือง
แต่จะตัดสินใจอย่างไร จะ สนับสนุนใคร จะแจ้งให้ทราบอีกระยะ
“เพราะผมสิ่งที่ทำลงไป ว่าไปถึงไหน วันหน้าจะมีการสานต่อหรือไม่ ที่ได้ฟังจากนักการเมือง กลุ่มการเมือเวลานี้”
“ผมสนใจการเมือง เพราะผมรักประเทศชาติของผม รักเหมือนกับที่คนไทย ทุกคนรัก แม้กระทั่งสื่อก็ต้องรักประเทศชาติ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะว่าอย่างไร”
เมื่อถามว่า จะลาออก จาก นายกณและหัวหน้า คสช. หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ออก
ส่วนจะมีการปรับ ครม.หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ ตอบ สั้นๆว่า ไม่มี