PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ภาวะจำเป็น เลือกตั้งครึ่งใบ

ภาวะจำเป็น เลือกตั้งครึ่งใบ



ผ่าสถานการณ์ “คืนอำนาจ” บนเงื่อนไข “ทักษิณ”
เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายเดือนกันยายน สัปดาห์ของการเลี้ยงอำลาเกษียณอายุ
เวลาของการสิ้นสุดภารกิจชีวิตราชการและงานประจำ
ในท่ามกลางบรรยากาศร้อนๆที่สัมผัสได้ถึงสัญญาณเริ่มต้น “เกมรบตะลุมบอน”
สงครามชิงอำนาจทางการเมืองภาคใหม่
ไล่หลังจากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้ลงนามประกาศ “คลายล็อก” คำสั่ง คสช. เปิดทางให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมบางอย่างเพื่อเตรียมไปสู่การเลือกตั้ง
จังหวะ “แง้มฝาโลง” ปล่อยผี
ปรากฏตัวละครสำคัญตามท้องเรื่องโผล่มาทันทีทันใด
โดยเฉพาะไฮไลต์อยู่ที่คิวของ “นายใหญ่” อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ใช้โอกาสครบรอบ 12 ปีที่โดนยึดอำนาจในการรัฐประหาร “19 กันยายน 2549” โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
ซัดทหารปฏิวัติอดีตนายกฯ 2 พี่น้อง ทำประเทศถอยหลัง
ขุดเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ ตั้งคำถามประเทศไทยบอบช้ำพอหรือยัง ถึงเวลากบต้องออกจากกะลาซะที
พร้อมอโหสิกรรมคนที่ใส่ร้ายป้ายสี
ในอารมณ์แบบที่หนังสือพิมพ์บางฉบับพาดหัว “แม้วส่งซิกปลุกสมุน”
ยิ่งเป็นอะไรที่กระตุ้นต่อมฉุน ตามสถานการณ์ที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ตอบคำถามสื่อมวลชน เป็นเชิงย้อนถามอดีตผู้นำ
บ้านเมืองยุ่งเพราะใคร
นั่นก็ทำให้อดีตนายกฯทักษิณโซ้ยกลับเป็นเชิงเบิ้ลบลัฟประจาน “พี่ใหญ่ทีมบูรพาพยัคฆ์” โดยการทวีตข้อความสั้นๆผ่านทวิตเตอร์ว่า ท่าทีและน้ำเสียงขึงขัง น่ากลัวจัง
ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.
เช่นเดียวกัน ในเวลาไม่นานเพจหนุน “ลุงป้อม” ก็นำภาพที่ “ทักษิณ” พะเน้าพะนอกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด และอดีตหัวหน้า รสช. มาเบิ้ล “นายใหญ่” เป็นนัยประจานกลับ
อ่อนหวาน ขอสัมปทานดาวเทียม
“นายใหญ่” กับ “พี่ใหญ่” เปิดหน้าล่อกันตรงๆเลย
สถานการณ์มาถึงจุดแตกหัก จากเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ว่ากันว่า พล.อ.ประวิตรเป็นเพียงคนเดียวในฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษที่ “ทักษิณ” และครอบครัวยังพอต่อสายติด จากสายสัมพันธ์ในอดีตที่เกื้อหนุนกันมา
แต่เมื่อ “ทักษิณ” ฟัดดะ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องลับเอามาไขในที่แจ้ง
โดยอารมณ์ลึกๆแรงๆแบบที่ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม พูดนิ่มๆ เราเคยรู้กันอยู่ว่า ใครเคยทำอะไรไว้ ถามว่าจะเอาเรื่องในอดีตมาพูดกันทำไม
การนำเรื่องแบบนี้มาพูดแล้วจะมีใครคบด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด
ปิดโอกาสดีล “ทักษิณ” ต่อสาย คสช.ไม่ติดอีกต่อไป
มันเป็นอะไรที่สะท้อนเดิมพัน อาการ “ทักษิณ” ที่เสี่ยงเปิดเกม “หักดิบ”
ขยับออกตัวแรงๆด้วยการเดินเกมชน “พี่ใหญ่” ทีม คสช.
แน่นอน ตามฟอร์มแชมป์เก่าที่เป็นต่อในสนามเลือกตั้ง เป้าหมายอันดับแรกเลยก็คือการกระตุกกระแสท้ารบทหาร ส่งสัญญาณกระตุ้นลูกข่ายพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดง
ชิงภาพของฝ่ายประชาธิปไตย
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่เริ่มแกว่ง แรงของลูกข่ายพรรคเพื่อไทยเริ่มตก
ยี่ห้อ “ทักษิณ” ชักไม่ขลังอย่างที่ตีปี๊บ ตีขลุม ตีกิน
วัดตามตัวเลขที่อ้างอิงตามหลักวิชาการ โพลสำรวจคะแนนนิยม “นายกรัฐมนตรีคนต่อไปในสายตาประชาชน” ปรากฏชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ นำโด่งมาทุกโพล
กระแสความนิยมทางการเมืองเริ่มไหลแบบกู่ไม่กลับ
สถานการณ์หักมุมกับฝ่ายของพรรคเพื่อไทยที่ปล่อยชื่อ “นอมินีภาค 3” คนแล้วคนเล่า ทั้ง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ทั้งหลาน “ทักษิณ” ลูกชาย “เจ๊แดง” อย่างนาย
ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ “น้องเขย” นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ไปยันกระทั่ง “ลูกเขย” นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์
ก็ยังตีตื้นเรตติ้งมาเทียบ “นายกฯลุงตู่” ไม่ได้
หันซ้ายหันขวา นาทีนี้ก็เหลือแค่ “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องเล่นบท “นางกวัก” โผล่ออกมาโชว์ตัวในโซเชียลฯเลี้ยงกระแสกองเชียร์
ก่อนจะเป็นคิวของตัวพ่ออย่าง “ทักษิณ” ที่ต้องออกโรงกู้สถานการณ์
เดินหมาก “ขุนรุกฆาต” ตั้งแต่หัววัน
แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ไม่แน่ใจว่า “มุกเก่า” จะได้ผลเหมือนเดิมหรือไม่
ในเมื่อแนวรบการเลือกตั้งเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่เหมือนสถานการณ์ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ผู้นำรัฐบาล “ขิงแก่” ปล่อยอำนาจ แล้วพรรคพลังประชาชนภายใต้ “นอมินีรุ่น 1” อย่างอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล
ต่างจากสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำ “รัฐบาลส้มหล่น” ประชาธิปัตย์ รีบเลือกตั้ง แล้วพรรคเพื่อไทย ภายใต้ “นอมินีรุ่น 2” อย่าง “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สร้างปรากฏการณ์นำทีมชนะแบบถล่มทลาย สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนายกฯหญิง คนแรกของไทย ที่เปิดตัวลงสนามการเมืองแค่ 49 วัน
“ทักษิณ” ขย่มทหาร กินรวบสนามเลือกตั้งแบบถล่มทลาย
“ปฏิวัติเสียของซ้ำซาก” จากการที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจพิเศษไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วปล่อยเลือกตั้ง
แต่มาถึงรอบนี้ สถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แปรสภาพเป็น “นายกฯลุงตู่”
ตลอดระยะ 4–5 ปี มีการอาศัยบทเรียนจากอดีตมาปรับเกมสู้บนเงื่อนไข “ทักษิณ”
ทั้งรัฐธรรมนูญที่พ่วงบทเฉพาะกาลเปิดทางลากยาวอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน กติกาการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม รวมถึงการยกเครื่องกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหม่
ปรับกระบวนการเข้าสู่อำนาจให้สลับซับซ้อนกว่าเดิม
ขณะเดียวกันในมุมของการบริหารกระแสความนิยม รัฐบาล คสช.ก็ทำแบบเดียวกับที่รัฐบาลเลือกตั้ง แถมยังได้เนื้อได้หนังมากกว่า จากการใช้อำนาจพิเศษเชิงบวก ในการสางปมปัญหาที่หมักหมมทั้งเรื่องการค้ามนุษย์ การประมง มาตรฐานการบิน จนปลดล็อกจากที่ถูกแบนจากสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาได้ การเคลียร์มาเฟียหนี้นอกระบบ
และด้วยจุดเด่นในด้านความมั่นคงทำบ้านเมืองสงบ เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
การได้มือระดับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ มาเป็นตัวหลักในเชิงบริหาร ลากจากตัวเลขจีดีพีติดลบเพราะวิกฤติการเมือง พุ่งไปอยู่ที่ร้อยละ 4.8 แนวโน้มทะยานต่อเนื่อง สถานการณ์แบบที่ภาวะการเงินโลกผันผวน สงครามการค้า

สหรัฐอเมริกากับจีน แทบไม่มีผลกับเศรษฐกิจไทย
ตลาดหุ้นเด้งรับทันทีที่การเลือกตั้งชัดเจน
ยังมีการวางยุทธศาสตร์รองรับระบบเศรษฐกิจโลกอนาคต ปักหมุดเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0 ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี)
ขณะเดียวกันก็เน้นการอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ทั้งโครงการจำนำยุ้งฉาง ดันราคาข้าวขึ้นไปอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าโครงการจำนำข้าว การจัดสวัสดิการให้ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการประชารัฐ ฯลฯ
ลดความเหลื่อมล้ำ ฉุดประเทศไทยให้หลุดพ้นกับดักความยากจน
นี่คือสิ่งที่ประชาชนสัมผัสจับต้องได้ มีหลักฐานเป็นรูปธรรมเห็นอยู่ตรงหน้า
มันสวนทางกันเลยกับลมปากลอยๆของ “ทักษิณ” ที่บอก 12 ปีไม่ไปไหน ประเทศไทยเป็นกบในกะลา
สถานการณ์ที่ทีม “ลุงตู่” ย้อนคอหอยได้ ใครกันแน่ที่ไม่ออกจากกะลา
“ทักษิณ” เองหรือเปล่า
ที่ “แค้นฝังใจ” จมอยู่แต่ในโลกของตัวเอง
อะไรไม่เท่ากับว่า มันหนีไม่พ้นวนอยู่กับเงื่อนไขสถานการณ์เดิมๆ ทันทีที่ “นายใหญ่” ขยับฟื้นฝอยปมโดนยึดอำนาจ ก็ไปกระตุกแนวต้านระบอบ “ทักษิณ” สื่อฝ่ายตรงข้าม “นายใหญ่” ดาหน้าออกมาซัดกลับ
ย้อนรอยฉายภาพซ้ำ ประจานพฤติการณ์ “นายใหญ่” ป่วนเมืองชิงอำนาจคืน
กลายเป็นเขี่ยไฟ เร้าชนวนขัดแย้งที่แฝงอยู่ในหมู่ขั้วขัดแย้งให้กระพือกลับมา
ตามปรากฏการณ์มันคือคำตอบว่า “ทักษิณ” ยังเป็นเงื่อนไข ตัวอันตรายในเกมอำนาจประเทศไทย
ไม่มีท่าทียอมหมอบราบคาบแก้วแต่อย่างใด
และมันก็คือคำตอบสุดท้าย ความจำเป็นที่ “ลุงตู่” ต้องตีตั๋วไปต่อ
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่เข้าใจได้ กับการเลือกตั้งภายใต้บริบทประชาธิปไตยครึ่งใบ
คสช.ต้องค่อยๆ “คลายล็อก” ให้พรรคการเมืองขยับ ปล่อยผีแบบสุดซอยไม่ได้
เพราะแค่นี้ยังเห็นอาการป่วน สัญญาณการทวงแค้นอำนาจมาเต็ม
เหนืออื่นใด ต้องไม่ลืมว่า “ดาบอาญาสิทธิ์” ม.44 ยังมีผลไปจนกว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่
ในเมื่อมันเป็นหลักประกัน สร้างความอุ่นใจให้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังหวั่นไหว กล้าๆกลัวๆว่า หลังเลือกตั้ง นักการเมืองจะกลับมาเปิดศึกตะลุมบอน พาประเทศกลับไปลงเหว
มันคือเงื่อนไขความจำเป็นกับ “การเลือกตั้งครึ่งใบ” ภายใต้เดิมพันเกมชิงเมืองภาคสุดท้าย
ทุกอย่างจะได้จบที่การเลือกตั้ง
ไม่ต้องระวังปฏิวัติซ้ำ ไม่ต้องระแวงปฏิวัติซ้อน.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: