PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

"สมคิด"ลั่นไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว-ยันศก.เริ่มฟื้นตัวแล้ว

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22:30:00 น มติชน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายชุด โดยมุ่งเน้นช่วยเหลือเกษตรกร ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) การกระตุ้นการลงทุนภาครัฐโครงการขนาดเล็ก รวมถึงมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดลงกว่าเดิม 

อย่างไรก็ตาม มาตรการทั้งหมดดังกล่าวเพียงพอแล้วสำหรับการประคองเศรษฐกิจ ต่อจากนี้จะไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก ซึ่งหลังจากนี้ จะเน้นการปฏิรูปเศรษฐกิจ แก้ปัญหาฐานรากของประเทศ โดยเร่งทำใน 4 ด้าน คือ 1.ปรับโครงสร้างการเติบโตในประเทศให้สมดุลมากขึ้น เน้นการเติบโตจากภายในมากขึ้น 2. ปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ เน้นผลิตสินค้านวัตกรรมแทนการรับจ้างผลิตสินค้า เลิกให้การสนับสนุนผู้ผลิตที่ไม่มีการพัฒนานวัตกรรม 3. เน้นการลงทุนคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในส่วนของภาคบริการ การท่องเที่ยว รีเทล การเงิน สร้าง ความเชื่อมโยงเพื่อเป็นฮับรองรับการเกิดขึ้นของเออีซี และ 4 ปฏิรูประบบการเงินการคลัง เน้นการลงทุนแบบที่ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม หรือ พีพีพี เพื่อลดภาระการจัดหางบประมาณของรัฐบาล รวมถึงได้หารือกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณลดการจัดสรรงบที่ซ้ำซ้อน โดยแบ่งเป็นงบประเภทรายจ่ายประจำของแต่ละกระทรวง กับงบรวมสำหรับโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ  เช่น การสร้างความเข้มแข็งท้องถิ่น เพื่อลดการเบิกจ่ายงบซ้ำซ้อน รวมถึงปฏิรูประบบตลาดเงินตลาดทุน ให้มีต้นทุนต่ำและมีประสิทธิภาพเพียงพอ รองรับการเติบโตเศรษฐกิจในอนาคต

“การพัฒนาเศรษฐกิจไทยทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เชื่อดีกว่าเดิม และไม่อยากให้ตื่นเต้นกับการทำนายเศรษฐกิจ และมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะโตแบบสัญลักษณ์ไนกี้ หรือเครื่องหมาย "ถูก"  ไม่ใช่ "u curve" ตามที่นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้อย่างแน่นอน”

รัฐบาลเมียนมาร์- 8 กลุ่มชาติพันธุ์ ลงนามข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ




12:30น. 15/10/2558
8 กลุ่มชาติพันธ์ุเข้าร่วมลงนามข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ​กับรัฐบาลเมียนมาร์ หลังเจรจากันมาตลอดระยะเวลา 3 ปีจนบรรลุข้อตกลง

วันที่ 15 ต.ค.58 ที่กรุงเนปิดอว์ ประเทศเมียนมาร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศที่มี 8 กลุ่มชาติพันธ์ุเข้าร่วมลงนามกับรัฐบาลเมียนมาร์ หลังเจรจากันมาตลอดระยะเวลา 3 ปีจนบรรลุข้อตกลงในวันนี้

ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรดากลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 8 กลุ่มได้เข้าร่วมพิธีลงนามข้อตกลงหยุดยิงทั่วประเทศ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการลงนามอย่างเป็นทางการหลังที่ผ่านมามีการเจรจากันมาหลายครั้ง และครั้งนี้ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญประเทศเมียนมาร์ ที่กลุ่มชาติพันธุ์ 8 กลุ่มได้ร่วมลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลเมียนมาร์อย่างเป็นทางการ

โดยบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 8 กลุ่มที่เดินทางมาร่วมในวันนี้ (15 ต.ค.58) ต่างสวมใส่ชุดประจำชาติของตนเองมาเข้าร่วมพิธี แสดงถึงความมีเอกลักษณ์ของแต่ละชาติพันธุ์ ท่ามกลางการมาติดตามทำข่าวของบรรดาสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ร่วมลงนามในครั้งนี้ มีชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและไทใหญ่ที่เป็น 4 กลุ่มติดอาวุธที่อยู่ชายแดนไทย และมีผู้ลี้ภัยในไทยจำนวนมากเข้าร่วมด้วย หลังมีการเจรจาหยุดยิงกันมาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จนนำมาสู่การลงนามบรรลุข้อตกลงในวันนี้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติสงครามระหว่างชาติพันธุ์ที่ยาวนานมากว่า 60 ปี

สำหรับพิธีลงนามเริ่มต้นขึ้นในเวลา 09.00น. ตามเวลาท้องถิ่น โดย พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีของประเทศเมียนมาร์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน นอกจากนี้ยังมีตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ คือ นายพลมูตู เซ โพ นายพลสูงสุดของกลุ่มกะเหรี่ยง KNU อีกด้วย

อย่างไรก็ตามการลงนามครั้งนี้ยังมี 4 ประเทศ 2 กลุ่ม คือ องค์การสหประชาชาติและสหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย ซึ่งมีนายอภิชาต ชิณวรรโน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนพิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นสักขีพยาน และมีทูตจาก 50 ประเทศร่วมสังเกตุการณ์ โดยหลังจากการลงนามจะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อกำหนดกรอบทางการเมืองและข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก่อนจะนำไปสู่การร่างข้อตกลงซึ่งระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

ครม.สั่งแผนประเมินงบตำบลละ5ล.! เงินอัดฉีดรากหญ้ารบ.บิ๊กตู่พุ่ง3.9 หมื่นล.

วันพฤหัสบดี ที่ 15 ตุลาคม 2558 เวลา 15:10 น สำนักข่าวอิศรา

"ครม." รับลูก "คตร." สั่งสำนักงบ วางแนวทางประเมินผลงบ กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า หลังก.มหาดไทย ยันการใช้งบประมาณโครงการตำบลละ 5 ล้าน ไม่ซ้ำซ้อน มาตรการช่วยเหลือคนจน จัดหาเครื่องจักรกลการเกษตร รวมเบ็ดเสร็จ 3.9 หมื่นล. ย้ำการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส-ตรวจสอบได้
ptyywwfrfrfrfrfrf
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมติสำคัญอยู่การพิจารณาเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 เรื่อง มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ และเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 เรื่อง การเสนอหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และคู่มือการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล เกี่ยวกับกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล
เป็น “เห็นชอบให้ดำเนินมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และจัดสรรงบประมาณให้ระดับตำบล ตำบลละ 5 ล้านบาท วงเงิน 36,275 ล้านบาท และให้นับรวมโครงการตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ตามมาตรการสำคัญเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่ซ้ำซ้อนกันด้วย
หลังจากที่จังหวัดและกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าโครงการต่าง ๆ ภายใต้ 3 มาตรการไม่มีความซ้ำซ้อนกันก็ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับ 3 มาตรการดังกล่าว ในวงเงินรวมไม่เกิน 39,743.7763 ล้านบาท โดยให้จังหวัดส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักจัดทำงบประมาณเขตพื้นที่ 1-18 ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2558 
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม ครม. ได้สั่งการให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่ให้มีการประเมินผลความเหมาะสม ความคุ้มค่าและความพึงพอใจของเกษตรกรและคนยากจนที่มีต่อโครงการภายใต้มาตรการทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว และการดำเนินการในทุกขั้นตอนการปฏิบัติ จะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการพิจารณาเรื่องนี้ ที่ประชุม ครม. ยังได้อนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม จำนวน 1,830 ล้านบาท ในการดำเนินมาตรการฯ ดังกล่าว ด้วย 
ktskts1

เกมถล่ม สสส. สงครามใหม่เพิ่งเริ่ม

เกมถล่ม สสส. สงครามใหม่เพิ่งเริ่ม"

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

งงกันเป็นไก่ตาแตก เพราะอยู่ดีๆ รัฐบาลก็นำทีมคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้ามาตรวจสอบองค์กร คนดีอย่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อย่างเข้มข้น

งงก็เพราะช่วงสถานการณ์พิเศษอย่างรัฐบาลทหารนั้น สสส.มักจะอยู่รอดปลอดภัย และมักจะได้รับโปรโมทให้ได้งานโครงการพิเศษเพิ่ม ด้วยสายสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ยิ่งใหญ่เบื้องหลัง สสส. อย่าง หมอประเวศ วะสี รวมถึงคนที่อยู่รายล้อมกับบรรดาขุนทหาร

ต่างจากช่วงที่ฝ่ายการเมืองเป็นรัฐบาล ที่ สสส.มักจะถูกล้วงลูกด้วยการส่งคนเข้ามาเป็นบอร์ด หรือส่งคนเข้ามา หาผลประโยชน์ อย่างต่อเนื่อง จนบรรดาเอ็นจีโอ-ภาคประชาชนที่อยู่รายล้อมต้องออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านอยู่ร่ำไป

สถานการณ์พิเศษนี้เริ่มต้นมาจากความ หมั่นไส้เงินถุงเงินถังขององค์กรตระกูล ส. ซึ่งหมอประเวศมีส่วนสำคัญในการผลักดัน โดยเฉพาะ สสส. และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

ทั้งสององค์กรถูกตีตราจากระบบราชการว่า นอกจากจะได้งบประมาณสูงเกินจริงแล้ว เงินยังถูกเกลี่ยไปให้เอ็นจีโอหน้าเดิมๆ และในที่สุดก็ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากได้คอนเนกชั่นภาคประชาชน ผ่านการจ่ายเงินเท่านั้น

กองทุนแสนล้านอย่าง สปสช.นั้นถูกไล่บี้โดย คตร.ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งแม้จะยังไม่พบการทุจริตของผู้บริหาร หรือการจ่ายเงินเอื้อประโยชน์พวกพ้องอย่างที่ถูกกล่าวหา

คตร.เพียงแค่กังวลเรื่องการใช้เงินผิดประเภทที่ยังเป็นข้อถกเถียง แต่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ ก็ถูกเด้งไปแขวนนานหลายเดือนแล้ว

ขณะที่ สสส.นั้นอยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน นั่นคือมีธงจากฝั่งรัฐบาล-ส่วนราชการแตะมือกันให้ตรวจสอบการใช้ภาษีบาปปีละ 4,000 ล้านบาท ของ สสส.ว่ามีประสิทธิภาพจริงหรือไม่
ธงที่ว่าถึงขนาดมีความพยายามเขียนไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ยกเลิกการจ่ายภาษีบาปตรงเข้าไปในหน่วยงาน ในรูปแบบที่ สสส.และไทยพีบีเอสรับอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตามทั้งสองหน่วยงานก็สู้ด้วยการอาศัยเครือข่ายออกมาต่อต้าน กระทั่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดก่อนหน้าล้มเลิกความคิดไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จากม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลมาสู่สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มีแนวโน้มว่า สสส.จะมีหนทางที่สดใสขึ้น เพราะได้รับมอบงานใหญ่สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากซึ่งถูกเรียกว่าเป็นประชานิยมฉบับลุงตู่ และสายสัมพันธ์ระหว่างสมคิดกับหมอประเวศนั้นก็หนาแน่น ยากจะลบเลือน

แต่การเปลี่ยนตัวหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็มิได้นำพา เพราะกระบวนการตรวจสอบในมือ คตร.อันอยู่ใต้กระทรวงยุติธรรมที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายาเป็นรัฐมนตรีนั้นยังเดินหน้าต่อ

ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ไพบูลย์ คือผู้ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับนพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งถูกมองว่าไม่ชอบองค์กรตระกูล ส.เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยเหตุนี้ ไม่ว่า สสส.จะได้รับงานใหญ่เพียงใด แต่ธงที่มาจาก คตร.และรัฐบาลนั้นก็ยังชัดเจนว่าต้องการรื้อระบบการจัดการภายใน สสส.ให้ได้

ล่าสุดพล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริประธาน คตร.นั้น ออกมาเปิดเผยว่า โครงการของ สสส.ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้นอาจมีถึงหลายร้อยโครงการ
นั่นหมายความว่า เรื่องสวดมนต์ข้ามปี เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ที่ถูกแพลมออกมาก่อนหน้านี้ เป็นแค่ออร์เดิร์ฟ!
แว่วว่าข้อมูลที่ส่งไปยัง คตร.นั้นละเอียดถึงขั้นว่าจ่ายให้เอ็นจีโอหน้าเดิมคนไหนเป็นประจำ จะวิ่งงานได้ต้องวิ่งผ่าน เจ้าพ่อเจ้าแม่คนไหน หรือมี;สื่อมวลชนรายใดบ้างที่ได้รับประโยชน์จากโครงการของ สสส.
แน่นอนข้อมูลพวกนี้คนในแวดวงย่อมพอรู้กันดี และรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีข้อมูลเช่นกัน แต่ที่ผ่านมารัฐบาลทุกยุคต่างหลับตาข้างหนึ่ง เพราะรู้ดีว่าหากแตะเงินก้อนนี้จะกระทบกับมวลชนจำนวนมากที่ สสส.เป็นเจ้าของ และอาจทำให้รัฐบาลอายุสั้นลง

แต่สำหรับรัฐบาลชุดนี้ สสส.อยู่ในสถานะ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ด้วยอำนาจที่ล้นฟ้าของรัฐบาล และการมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด เคยอุดหนุนกันมาก่อน จึงไม่สามารถที่จะต่อต้านอะไรได้

ขณะเดียวกัน ภาพของ คนดี อย่าง สสส. ก็ถูกแทนที่ด้วยภาพของคนดีของทหาร เช่นเดียวกัน การเข้ามาตรวจสอบของรัฐบาลจึงไม่ใช่ภาพของการเมือง แทรกแซง คนดีแต่เป็นเรื่องของคนดี ตรวจสอบ คนดี ด้วยกันเอง

ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส. จึงมีทางเลือกเพียงทางเดียวคือขอโอกาสชี้แจงกับ คตร. เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยมีเวทีใดให้ สสส.ได้ให้ข้อมูลการทำงานกับทหารเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุนี้ สสส.จึงต้องรับศึกหนัก และต้องประเมินยุทธวิธีอย่างดี เพราะหากนิ่งไปก็อาจแปลว่ายอมรับกับข้อกล่าวหา ส่วนถ้าสู้หนักก็อาจเจอตอบโต้จากทหาร จนทำให้หน่วยงานที่อุตส่าห์ประคบประหงมกันนาน 10 กว่าปี อันตรธานหายไปในพริบตาเดียวก็ได้เช่นกัน

ทหารนำ ‘ศรีสุวรรณ’ เข้าค่าย หลังยื่นสอบจริยธรรม ‘ประยุทธ์-วิษณุ’ ปมตั้งพี่น้อง-เครือข่ายเป็นสปท.



ทหารนำ ‘ศรีสุวรรณ’ เข้าค่าย หลังยื่นสอบจริยธรรม ‘ประยุทธ์-วิษณุ’ ปมตั้งพี่น้อง-เครือข่ายเป็นสปท.

ทหารนำตัวเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยเข้าข่าย หลังยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน สอบจริยธรรม ‘ประยุทธ์-วิษณุ’ ปมตั้งพี่น้อง-เครือข่ายเป็นสปท.  คาดไม่ค้างคืน
15 ต.ค. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.13 น. ที่ผ่านมา ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Srisuwan Janya’ ว่า มีทหารมาคุมตัวผมไปกองทัพภาคที่ 1 ถนนราชดำเนินในขณะนี้
โดยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา ศรีสุวรรณ ได้เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งเครือญาติและบุคคลที่เคยร่วมอาชีพเดียวกันเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติ มีผลประโยชน์ทับซ้อนและขัดกันแห่งผลประโยชน์ 
ซึ่งศรีสุวรรณ กล่าวว่า รายชื่อสมาชิกสปท.จำนวน 200 คน ที่นายกฯ ได้ประกาศแต่งตั้งเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีบุคคลที่เป็นเครือญาติของนายวิษณุ ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องกฎหมายและการยุติธรรม คือ พล.อ.ต.เฉลิมพล เครืองาม และนายดุสิต เครืองาม ทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกับนายวิษณุ ขณะเดียวกัน พบว่า นายกฯ มีการแต่งตั้งบุคคลที่มีอาชีพหรือเคยมีอาชีพเดียวกับตนเองคือนายทหาร หรือตำรวจในและนอกราชการมาเป็นสมาชิกจำนวนถึง 77 คน หรือมากกว่า 38.5 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ทั้งที่ในข้อเท็จจริงสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ควรประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความหลากหลายอาชีพ มากกว่าจะเป็นพี่น้อง หรือคนกันเอง จึงถือว่าพฤติกรรมดังกล่าวของรองนายกฯและนายกฯในฐานะผู้ใช้อำนาจแต่งตั้ง ไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลตามระบบคุณธรรม จริยธรรมที่กฎหมายกำหนด (อ่านรายละเอียด)
มติชนออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลา 18.00 น. แหล่งข่าวจากกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) กองทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงกรณีการเชิญตัว ศรีสุวรรณ มาพูดคุยว่า เป็นการเชิญมาพูดคุยทำความเข้าใจ กรณีที่ศรีสุวรรณยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ตรวจสอบจริยธรรม พล.อ.ประยุทธ์ และ วิษณุ ดังกล่าว จากนั้นเมื่อทำความเข้าใจกันแล้วทางเจ้าหน้าที่กกล.รส.ก็จะเชิญกลับบ้าน คิดว่าแนวโน้มไม่มีการค้างคืน เพราะทราบว่าศรีสุวรรณมีโรคประจำตัว

ตั้ง กก.สอบ 3 ขรก. ปมนำ‘ดิน’รัฐสภาใหม่ 5 แสน ลบ.ม.ไปถมพื้นที่ บ.เครือ‘เสี่ยเจริญ’

วันพฤหัสบดี ที่ 15 ตุลาคม 2558 เวลา 16:32 น สำนักข่าวอิศรา


‘จเร พันธุ์เปรื่อง’ตั้ง 5 กก.สอบ 3 ขรก.ชั้นผู้น้อย ปมนำดินจากพื้นที่โครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ 5 แสน ลบ.ม. ไปถมพื้นที่ บ.อสังหาฯดังเครือข่าย‘เสี่ยเจริญ’ทั้งที่ต้องนำไปใช้ในกิจการมูลนิธิราชประชาฯ คนข้องใจ‘บิ๊ก’ไม่โดน ปธ.รับแค่ทำตามคำสั่ง
pyuqawsedrfffff
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อ 17 ก.ย.58 นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้มีคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่ 2415/2558 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้าราชการรัฐสภา 3 คนถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงกรณีนำดินจากพื้นที่โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ในที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.3049 ถ.ทหาร (เกียกกาย เขตดุสิต กรุงเทพฯ จำนวน 500,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรบริจาคให้แก่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อนำไปในกิจการของมูลนิธิฯและเพื่อสาธารณประโยชน์ กลับนำไปถมในพื้นที่เอกชน โฉนดเลขที่ 1334 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีบริษัท โกลเด้น แลนด์ เรสซิเดน์ จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่มูลนิธิฯได้รับบริจาคและ มีความเสียหายเกิดขึ้นกับทรัพย์สินของทางราชการ
ผู้สื่อข่าวรายการว่า คณะกรรมการสอบสวนมีจำนวน 5 คน ประกอบด้วย
1.นางวัชรีวรรณ ฝ่ายทอง เป็นประธานกรรมการ (ผู้อำนวยการสำนักรายงานการประชุมและชวเลข) 2.นางสินี ส้มมี เป็นกรรมการ 3.นางภัทรวดี ชินชนะ เป็นกรรมการ 4.น.ส.นารี กิตติสมบูรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ 5.น.ส.ฐะปะนีย์ จุฒารมย์ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการรับทราบคำสั่ง
ทั้งนี้ผู้ถูกตั้งกรรมการสอบวินัยไม่ร้ายแรง เป็นข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตำแหน่งนักวิชาการพัสดุ ประเภทนักวิชาการระดับชำนาญการ 2 คน และ ตำแหน่งนายช่างประเภททั่วไป ระดับชำนาญงาน 1 คน (ดูเอกสารประกอบ)
ppuutgyhu
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผู้ถูกสอบสวนเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย 3 ราย ไม่มีข้าราชการระดับสูงร่วมรับผิดชอบ น่าสังเกตว่าข้าราชการชั้นผู้น้อย 3 ราย ไม่สามารถกระทำผิดได้ ถ้าไม่มีข้าราชการระดับสูงเป็นผู้สั่งการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โกลเด้น แลนด์ เรสซิเดน์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 10 เมษายน 2556 ทุน 50 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งเลขที่ 98 อาคารสาทร สแควร์ ออฟฟิศ ชั้น 36 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลมเขตบางรัก กรุงเทพฯ มีผู้ถือหุ้น 3 ราย
1. บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) สัดส่วน 50% 
2.บริษัท นารายณ์ พาวิลเลียน จำกัด 25% 
3.บริษัท ริทซ์ วิลเลจ จำกัด 25%
มีกรรมการ 8 คนได้แก่ นายธนพล ศิริธนชัย นายแสนผิน สุขี นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล นายอภิชาติ เฮงวาณิชย์ นายกำพล ปุญโสณี นายภวรัญชน์ อุดมศิริ นายเทพศักดิ์ นพกรวิเศษ นายวิรัชต์ มั่นเจริญพร
ริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ทุนจดทะเบียน 16,382,133,790 บาท มี บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่ ร่วม กับ บริษัท Well Base Development Limited สัญชาต บริติชเวอร์จินนายวันชัย ศารทูลทัต นายปณต สิริวัฒนภักดี นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร นายธนพล ศิริธนชัย นายโชติพัฒน์ พีชานนท์ นายอุดม พัวสกุล นายชายน้อย เผื่อนโกสุม นายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายชินวัฒน์ ชินแสงอร่าม เป็นกรรมการ
บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) มีบริษัท อเดลฟอส จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 60% (กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี) กรรมการได้แก่ นายธนพล ศิริธนชัย นายสุวิทย์ จินดาสงวน นายนรรัตน์ ลิ่มนรรัตน์ น.ส.พจนีย์ ธนวรานิช นายสิทธิชัย ชัยเกรียงไกร นายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายปณต สิริวัฒนภักดี นายวรวรรต ศรีสอ้าน
ล่าสุดเวลา 15.15 น.วันที่ 15 ต.ค.58 ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์สอบถามนางวัชรีวรรณ ฝ่ายทอง ประธานกรรมการ ยอมรับว่ามีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการ 3 คนในกรณีดังกล่าวจริง ขณะนี้กำลังขอเอกสารจากกรมธนารักษ์เกี่ยวกับระเบียบแนวทางการตรวจสอบและการส่งมอบดิน ตามกรอบเวลาทำงาน 60 วัน แต่ถ้าไม่แล้วเสร็จก็อาจจะต้องขยายเวลาสอบสวน และไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใด
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงมีการกรรมการสอบสวนเอาผิดเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย นางวัชรีวรรณกล่าวว่า ได้รับคำสั่งให้สอบสวนเฉพาะข้าราชการทั้ง 3 คน ส่วนข้าราชการระดับสูงนั้นเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาที่พิจารณา คณะกรรมการฯชุดนี้ไม่มีอำนาจ
เมื่อถามว่า คณะกรรมการตรวจนับและควบคุมการส่งมอบที่ดิน มีจำนวน 5 คน เหตุใดจึงมีการตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดเพียง 3 คน นางวัชรีวรรณกล่าวว่าอีก 2 คน เป็นเอกชนผู้รับเหมาคือบริษัทชิโน-ทัยฯ (ผู้รับเหมาก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่) กรรมการสอบสวนไม่มีอำนาจสอบเอกชน แต่อาจเรียกมาให้ถ้อยคำได้ และเท่าที่ทราบมีการแจ้งความเอาผิดไว้แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่ารู้สึกหรือไม่ กรณีนี้ทางสภาฯเอาผิดเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย นางวัชรีวรรณตอบว่า ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้สอบสวนตามอำนาจหน้าที่ มีอำนาจเพียงแค่นี้