PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"บิ๊กป้อม"เล็งปืนหยอกล้อ พล.อ.เตีย บันห์

Feed
7 ชม.
บรรยากาศชื่นมื่นขนาดไหน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เล็งปืนหยอกล้อ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กัมพูชา ในระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดงาน Defense and Security 2017 โชว์อาวุธ-ยุทโธปกรณ์ ไทย-ตปท. ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ใต้ร่ม "พระบารมี" : มองทิศทางการเมืองใหม่อนาคตประเทศ

ใต้ร่ม "พระบารมี" : มองทิศทางการเมืองใหม่อนาคตประเทศ

“รัฐบาลเพื่อการปฏิรูป” หรือ “หักดิบเพื่อตั้งรัฐบาลแห่งชาติ”

ไม่ว่ารัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนี้ออกมาในรูปแบบไหน อย่างน้อยใน ครม.จะต้องปรับเอารัฐมนตรีที่เป็นนายทหารออกไป เพื่อดึงมืออาชีพเข้ามาเสริมทัพขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน
ท่ามกลางมรสุมทางการเมืองหลายลูกจ่อถล่มรัฐบาล และกำลังมีการเตรียมตั้งพรรคทหารขึ้นมา
บนถนนสายรัฐธรรมนูญปี 60 และกติกาการเลือกตั้งฉบับแกะกล่อง การเมืองใหม่ในอนาคตจะเดินไปทิศทางไหน

ในมุมมองของ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีเครือข่าย และมีบุคคลหลากหลายวงการ รวมถึงวงการเมือง เข้าพบหารือเป็นระยะๆ บอกกับ ทีมข่าวการเมือง โดยแนะนำถึงการปรับ ครม. อย่าไปตีกันเลย อุตส่าห์ร่วมมือทำกันมาจนถึงป่านนี้แล้ว

ต่อไป ครม.ที่มีทหารก็คงไม่เยอะ เริ่มถอยแล้ว

พร้อมพยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาของประเทศไทยในเชิงโครงสร้าง

ทุกครั้งที่ “บิ๊กจิ๋ว” พูดถึงการแก้ปัญหาของประเทศ จะย้ำอยู่เสมอถึงต้นเหตุของปัญหามันเกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคล ไม่ได้เกิดจากการคอร์รัปชัน

แต่เกิดจาก “ความเหลื่อมล้ำ” โครงสร้างของประชากรไม่มีความเสมอภาค ไม่ได้รับความเป็นธรรม

“คนร่ำรวยมีนิดเดียว-คนยากจนมีมหาศาลทั้งแผ่นดิน”

ตอนนี้ยิ่งห่างมากยิ่งขึ้น เป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

เมื่อประชากรในชาติไร้ความเท่าเทียม ความขัดแย้งในสังคมก็ยิ่งมากขึ้น

นี่คือรากเหง้าของวิกฤติบ้านเมือง

ฉะนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย ตามกติกาใหม่ “บิ๊กจิ๋ว” บอกว่า ไม่มีอะไรใหม่
วิถีทางการเมืองและการเลือกตั้ง ส.ส.ยังเป็นแบบเก่า

หากยังไม่มีการแก้ปัญหาที่รากเหง้า รัฐธรรมนูญใช้ไปได้แค่ 2-3 ปีคงถูกฉีกอีกรอบ

ตามกงล้อประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ถึงปัจจุบัน 85 ปี มีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ ถูกฉีกเฉลี่ย 4 ปีต่อครั้ง แม้รัฐธรรมนูญในยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ถูกใช้ยืนยาวที่สุด ประมาณ 14 ปี และสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ประมาณ 11 ปี

แม้จะยืนยาว แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้

ฉะนั้นที่บอกกันว่าจะอยู่ 8 ปี ขอให้ดูตัวอย่างเอาไว้ ให้ระวัง จะทำอะไรอย่าให้เหมือนเก่า

สงสารแก อยากให้เห็นว่าอยู่นานๆ 16 ปี แล้วอยู่อย่างไรล่ะก่อนตาย มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว

เพราะการเมืองยังเป็นวงจรอุบาทว์ รัฐธรรมนูญร่างเสร็จ เลือกตั้งอยู่ได้สักระยะหนึ่งก็ยึดอำนาจ และกลับมาร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่อีก

เป็นกงล้อประวัติศาสตร์ ยังไม่มีใครทำลายได้จนถึงวันนี้

ทั้งหมดเกิดจากรากเหง้าของปัญหายังไม่ได้รับการสะสาง ไม่เหมือนประเทศเกาหลีใต้ จากที่ไม่มีอะไร ประเทศญี่ปุ่นโดนระเบิดปรมาณูถล่ม แต่วันนี้ทั้งสองประเทศพัฒนาและเจริญรุดหน้าไปมาก

ต่างกับประเทศไทย 6 เดือนแรกประสบภัยแล้ง ต้องขนน้ำไปช่วยเหลือชาวบ้าน 6 เดือนหลังประสบปัญหาน้ำท่วมตั้งแต่เหนือจดใต้ ต้องช่วยกันขนชาวบ้านหนีน้ำ ทุกปีเป็นอย่างนี้ หากยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ นับวันปัญหาก็จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ทั้งที่ปัญหาเหล่านี้ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” รัชกาลที่ 9 ทรงปูพื้นฐานไว้ดีมาก กลไกที่เกี่ยวข้องควรจะนำไปสานต่อ รวมถึงการแก้ไขปัญหาจราจรในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ควรนำพระราชดำริของพระองค์ท่านไปต่อยอดเพื่อแก้ไขปัญหาให้สะเด็ดน้ำ

ที่สำคัญขณะนี้ ปัญหาของประเทศที่สำคัญคือประชาชนยากจน

การแก้ปัญหาความยากจนของประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สร้างเอสเอ็มอี ทำแค่นี้ก็รวยมหาศาล ภายใต้อุดมการณ์แห่งชีวิตที่มีอยู่ข้อเดียวคือแก้ไขปัญหาความยากจน ฉะนั้น เราจะต้องมีวิธีการทำให้ประชาชนทำงาน โดยมีอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ในแผ่นดินนี้จะต้องสร้างเอสเอ็มอีให้เกิดขึ้นทุกหมู่บ้าน บริหารงานโดยองค์กรของประชาชนในรูปแบบสหกรณ์ มีธนาคารหมู่บ้าน และด้านการศึกษาก็จะต้องให้เด็กบนหลังควายได้ปริญญา

ระหว่างทำในสิ่งเหล่านี้ ในทางการเมืองที่มีแต่ทหารปกครอง สิ่งแรกที่ต้อง ทำก็ต้องเปลี่ยนแปลงหลัก– สูตรโรงเรียนนายร้อย จปร. เดิมเรียน 5 ปี ก็ให้นักเรียนนายร้อยเรียน 4 ปี และปีที่ 5 ก็มีเรียนเพื่อรักษาขนบธรรม– เนียม โดยศึกษาเพิ่มด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การต่างประเทศ รัฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์

จบโรงเรียนนายร้อยแล้วติดยศร้อยโท ถ้าหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยเป็นอย่างนี้ ทหารก็เข้ามาปกครองได้ ถามว่าทำได้หรือไม่ ทำได้อยู่แล้ว

แต่ที่ยากที่สุดคือปัญหาชายแดนใต้ ไม่อยากให้มองเป็นปัญหาเฉพาะภาคใต้ เพราะปัญหานี้เป็นภาพสะท้อนของชาติ ต้องมองเป็นภาพใหญ่ ทั้งประเทศจะได้ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป ภาคเหนือ ภาคอีสานก็น่าห่วง

วันนี้เรามัวไปยุ่งเรื่องอำนาจประชาธิปไตยโดยประชาชน จึงเกิดเป็นลัทธิรัฐธรรมนูญ จะต้องสร้างรัฐธรรมนูญที่ดีถึงจะสร้างประชาธิปไตยได้ ปัจจุบันมันต้องเปิดความคิดให้กว้าง สร้างความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นได้

“การปกครองทุกรูปแบบ” ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ใครจะว่าเราขอให้อดทนเอาหน่อย

ต้องเข้าใจว่า “ทุกการปกครอง” นำไปสู่ผลประโยชน์สุดท้ายเพื่อ ประชาชน

แต่ทุกวันนี้ยังอยู่กับรัฐธรรมนูญ ร่างแล้วร่างอีก วุ่นวายปวดหัว ขอย้ำจะต้องยึดเอาผลประโยชน์สุดท้ายเพื่อประชาชน ทุกอย่างต้องทุ่มเทมาตรงนี้ก่อน

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า มาถึงวันนี้การปฏิรูปด้านต่างๆ รัฐบาลจะทำสำเร็จแค่ไหน พล.อ.ชวลิต บอกว่า อย่าไปว่ารัฐบาลที่เสียสละเข้ามา จะปฏิรูปด้านต่างๆสำเร็จหรือไม่ก็ต้องให้โอกาสรัฐบาล

“ถ้ารัฐบาลทำกันไม่ได้ก็จะต้องระวัง อย่าให้ประชาชนลุกขึ้นมาทำ มันจะยุ่ง”

อย่างกรณีปัญหาที่ดินภูทับเบิก กรณีจับขังคดีรุกป่าที่ศรีสะเกษ

และปัญหาคดีพื้นที่ทับซ้อน ไม่ใช่ไปไล่จับ ไล่ฆ่า

ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ เพื่อเทิดพระเกียรติ “สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10”

ต่อไปจะต้องทำถวายพระองค์ท่านอีกเยอะและเป็นการตามรอย “พระยุคลบาทรัชกาลที่ 9” ด้วย
เมื่อการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆไม่คืบหน้าการเลือกตั้งมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ไหน พล.อ.ชวลิต บอกว่า...

“...ต้องจำไว้ว่าวันนี้ผมมีหน้าที่หยุด เวลามีข่าวว่ามีคนเอาขวานจามถังน้ำมันที่แช่ปืนเอาไว้
ระวังคนไทยเราเลือดเนื้อเชื้อไทย ยากที่จะมี นอกจากจะทนไม่ไหวจริงๆ...”

ฉะนั้นจะมาถามว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่ ตนไม่ได้เป็นหมอดู

แนวโน้มอย่าไปคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก เพราะกลัวความขัดแย้งที่ยังไม่หายและเกิดขึ้นทุกวัน

ใครจะทำอะไรก็ทำไป ต้องอยู่ภายใต้ความคิดเอาประชาชนมาก่อน ช่วยเหลือประชาชนให้ได้

ในรอบสองปี ร้านโชห่วยหายหมด ขอให้ผลักดันเอสเอ็มอีขึ้นมาสู้ มีธนาคารหมู่บ้าน ปล่อยกู้ดอกเบี้ยถูกเพื่อทำฐานรากให้แข็งแรง อย่าลืมว่าวันนี้ประเทศมันยุ่งไปเรื่อย ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ก็น่าห่วง ทั้งหมดเป็นพี่น้องอยู่ประเทศเดียวกัน อยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ ภาระหน้าที่ตอนนี้คือช่วยเหลือ
ประชาชนเพื่อถวายในหลวง

และในช่วงต้นปี 61 หลังผ่านพระราชพิธีที่สำคัญไปแล้ว “พระเกียรติยศรัชกาลที่ 10” ที่เกริกไกรตามเสด็จพ่อที่จะตามไปอีกขั้นหนึ่ง หรืออาจจะตามไปสามขั้นเลย

ทั้งหมดต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน ป้องกันการฉีกรัฐธรรมนูญ พล.อ.ชวลิต บอกว่า เรามีรัฐธรรมนูญและร่างรัฐธรรมนูญกันมาเยอะแล้ว

เราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อประชาชน

สุดท้ายจะได้ผู้แทนที่เป็นของประชาชนจริงๆ.

วัดภาวะผู้นำ หมดเวลาเกรงใจ : ถึงจุดบังคับ“ประยุทธ์”ยกเครื่องใหญ่ ครม.

วัดภาวะผู้นำ หมดเวลาเกรงใจ : ถึงจุดบังคับ“ประยุทธ์”ยกเครื่องใหญ่ ครม.

ลมโชย อากาศเย็น สัญญาณเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูหนาว

สวนทางกับอุณหภูมิทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นทันควัน ภายหลังผ่านพ้นพระราชพิธีสำคัญ

ตามเงื่อนไขที่นักการเมืองทุกป้อมค่ายพากันเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ปลดล็อกกฎเหล็ก เปิดให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรม

โดยความจำเป็นที่อ้างถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งตามกติการัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อนกว่าเดิม หากช้าไปอาจเกิดปัญหาได้

ในอารมณ์สมานฉันท์ ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา รวมถึงนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกัน

กดดันให้ คสช.คลายกฎเหล็ก ตามที่รับปากไว้จะพิจารณาภายหลังผ่านพ้นงานสำคัญ

แต่ก็ยังเป็นอะไรที่ใจแข็งอยู่ ประเมินท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะรับผิดชอบงานด้านความมั่นคง

ยังยืนกรานที่จะไม่เปิดให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ตามความจำเป็นต้องรอกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จให้หมดก่อนตามกระบวนการขั้นตอน

ขนาดตอนนี้ยังไม่ปลดล็อก ความขัดแย้งยังแฝงอยู่เต็มไปหมด

ถ้าเปิดให้นักการเมืองเคลื่อนไหวได้ มีหวังป่าช้าแตก

ส่วนที่นักการเมืองรวมถึงหลายภาคส่วนเป็นห่วงว่าถ้าปลดล็อกช้า พรรคการเมืองจะเตรียมตัวเลือกตั้งไม่ทัน พล.อ.ประยุทธ์ก็ยืนยันเลยว่า ไม่ต้องเป็นห่วง

คสช.มีวิธีจัดการให้ทันตามกระบวนการรัฐธรรมนูญแน่

นั่นก็ทำให้กระแสปลดล็อกการเมืองยังอั้นกันต่อไป ท่ามกลางแรงเสียดทานที่พุ่งเข้ากระแทกรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะฟอร์มการบริหารที่ถูกนักการเมืองรุมถล่มอย่างหนัก

ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ดักเตะตัดขา พล.อ.ประยุทธ์ทุกจังหวะ

และในห้วงภาวะกดดัน มันก็ดันมาเกิดเหตุกระเพื่อมครั้งใหญ่ในรัฐบาล คสช. กับปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ยื่นไขก๊อกออกจากตำแหน่ง

ในอารมณ์แรงๆแบบที่เก็บของออกจากกระทรวง ก่อนใบลาออกจะมีผลด้วยซ้ำ

สะท้อนอาการเจ็บช้ำลึกๆ ตอกย้ำกระแสข่าวเบื้องหลังของฟางเส้นสุดท้าย มาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มีคำสั่งให้นายวรานนท์ ปีติวรรณ พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน ไปเป็นรองปลัดกระทรวงแรงงาน

โดยที่เจ้ากระทรวงอย่าง พล.อ.ศิริชัย ไม่ได้รับรู้มาก่อน

และในสถานการณ์ซ้ำซ้อน กรณี “ข้ามหัว” ที่กระทรวงแรงงานก็เคยเกิดเหตุมาก่อนหน้านั้น กับปมเสือข้ามห้วยที่มีการโยกนายจรินทร์ จักกะพาก จากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มาเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน โดยที่ “บิ๊กบี้” ยืนกรานว่าต้องเป็นคนในเท่านั้น

เจอไป 2 ดอกติดๆกัน มันจึงทำให้วงแตก

ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อมูลวงในที่หลุดออกมา

ว่าด้วยหัวเชื้อสะสมจากปัญหาการบริหารในกระทรวงแรงงานที่อืดอาดล่าช้า โดยเฉพาะการเคลียร์ปมแรงงานต่างด้าว ยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลที่จำเป็นต้องจัดระเบียบตามเงื่อนไขลดปมค้ามนุษย์ที่ถูกจับตาจากเวทีโลก

โดยสถานการณ์ต่อเนื่องทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง กระทบกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ

และยังมีเหตุโยงไปถึงประเด็นการจัดซื้อ “เครื่องสแกนม่านตา” ที่มีข่าวปล่อยออกมาทำนองว่า “บิ๊กบี้” ไม่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามสัญญาณที่ได้รับจากทำเนียบรัฐบาล

ทำให้นำมาซึ่งรายการ “หักดิบ” กันแรงๆ

สะท้านกระทรวงแรงงาน สะเทือนอำนาจรัฐบาล เขย่าวงการพี่ๆน้องๆ อย่างที่รู้กันทั่ววงการว่า พล.อ.ศิริชัย คือน้องรักสายตรงของ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เมื่อผลลัพธ์สุดท้าย “บิ๊กบี้” ตัดสินใจไขก๊อก ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง เกิดช่องโหว่ในเชิงการบริหารของรัฐบาล

เป็นไฟต์บังคับที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับคณะรัฐมนตรี

ซึ่งงานนี้ก็เหมือนจะเข้าทางที่ผู้นำรัฐบาลได้วางโปรแกรมไว้จะมีการขยับหลังเดือนตุลาคม

ตามแนวโน้มอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุเลยว่า กำลังคิดอยู่ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าเห็นตรงกันกับ พล.อ.ประวิตร ในการพิจารณาลดโควตาของรัฐมนตรีสายทหารให้น้อยลงกว่าเดิม

เป็นครั้งแรกที่ผู้นำรัฐบาล คสช.พูดชัดๆเรื่องการปรับ ครม.ลดโควตาทหาร

สอดรับกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์และเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายที่มองสถานการณ์มาถึงตรงนี้
พล.อ.ประยุทธ์น่าจะต้องปรับเชิงการบริหาร แก้จุดอ่อนในเรื่องของการปั่นเนื้องาน

เติมมืออาชีพจากภาคส่วนต่างๆเข้ามาช่วยเสริมทีมรัฐบาล

เพราะรัฐมนตรีทหาร “สอบตก” ในเรื่องของเนื้องานการนำนโยบายไปปฏิบัติ ตามฟอร์มท็อปบูตที่ถนัดเฉพาะงานด้านความมั่นคงเท่านั้น

แต่ที่อันตรายกว่าก็คือเรื่องของความโปร่งใสในเชิงบริหาร

กระแสไหลมาถึงจุดที่โดนสังคมจับจ้องด้วยความหวาดระแวง

ตามปรากฏการณ์ “ตำบลกระสุนตก” ที่เกิดขึ้นกับ 2 จุดใหญ่ๆอย่างเด่นชัด

ด้านหนึ่งคือกระทรวงมหาดไทย ที่ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เจอกับมรสุมโถมเข้าใส่ 2–3 ลูกติดๆกัน ทั้งรายการเซ็นอนุมัติให้บริษัทเอกชนใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เขตต้นน้ำในจังหวัดขอนแก่น ไล่เลี่ยๆกับประเด็น “เรือเหาะ–เรือเหี่ยว” ที่จัดซื้อในสมัยนั่งเป็น

ผู้บัญชาการทหารบก ซ้ำด้วยปมร้อนฉาวๆว่าด้วยโครงการจัดซื้อ “เครื่องตรวจจับความเร็วฝังเพชร”
เคลียร์เผือกร้อนกันแทบจะรายวัน

ขณะที่สถานการณ์อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นคิวของ “เพื่อนรัก” อย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ทั้งในเชิงการบริหารที่ถูกมองว่า บ้อท่าในการแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ แถมสอบตกในการบริหารจัดการน้ำที่กระทรวงเกษตรฯเป็นเจ้าภาพ โดยไร้ความคืบหน้า

มิหนำซ้ำยังมีเรื่องแหลมๆเสียวๆที่ถูกนักการเมืองยี่ห้อประชาธิปัตย์แฉปมทุจริตโครงการ 9101 วงเงินกว่า 1.9 หมื่นล้านของกระทรวงเกษตรฯ จนต้องไล่ตามสอบกันทั่วประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งคิวของ พล.อ.อนุพงษ์และ พล.อ.ฉัตรชัย ตกอยู่ในสภาพ “บ่อน้ำมัน” รัฐบาล
โดนชี้เป้าให้สังคมสะกดรอยตามทุกฝีก้าว

เอาเป็นว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง สภาพการณ์เยี่ยงนี้ ต้องมีคิวกำจัดจุดอ่อน

ปรับ ครม.โละทิ้ง “ตัวถ่วง” ไปแล้ว

แต่บังเอิญว่า นี่คือรัฐบาลอำนาจพิเศษ ที่ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกมองว่ามี “ปมด้อย” ตรงความยึดติดกับวัฒนธรรมแบบทหาร

สลัดไม่พ้นอาการเกรงใจพี่ สงสารน้อง ไม่กล้าหักเพื่อน

ตามสโลแกน มาด้วยกันไปด้วยกัน จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์มาถึงตรงนี้ ประเทศ ไทยไม่ใช่แค่ค่ายทหาร ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐมนตรีสายทหารบกพร่องในเชิงบริหาร อันมีผลต่อการขับเคลื่อนประเทศในภาพรวม

ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ย่อมหนีไม่ออกต่อความรับผิดชอบทั้งปวง

มันถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างความเกรงอกเกรงใจกับการลุยหักดิบ “ผ่าตัดใหญ่” ครม. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในเชิงบริหาร อันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

และยังส่งผลต่อยุทธศาสตร์อำนาจของ คสช.ไม่ให้ปฏิวัติเสียของ

สถานการณ์บังคับ พล.อ.ประยุทธ์ต้องโชว์ภาวะผู้นำในห้วงสถานการณ์ที่ยังก้ำกึ่งๆ สังคมส่วนใหญ่ยังไม่ได้คล้อยตามนักการเมืองไปเสียทีเดียว

เพราะยังเสียวกับพฤติกรรมเก่าๆที่ทำบ้านเมืองลงเหว

เทียบกันแล้ว สถานการณ์ภายใต้อำนาจพิเศษที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ถึงแม้จะทำให้ชาวบ้านหงุดหงิดในเรื่องของเชิงบริหารที่ติดๆขัดๆ แต่บ้านเมืองก็ยังเดินหน้าต่อไปได้

โอกาสยังอยู่ในวิสัยที่ “นายกฯลุงตู่” จะกำหนดทางเดินตัวเอง.

“ทีมการเมือง”