PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วัดภาวะผู้นำ หมดเวลาเกรงใจ : ถึงจุดบังคับ“ประยุทธ์”ยกเครื่องใหญ่ ครม.

วัดภาวะผู้นำ หมดเวลาเกรงใจ : ถึงจุดบังคับ“ประยุทธ์”ยกเครื่องใหญ่ ครม.

ลมโชย อากาศเย็น สัญญาณเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูหนาว

สวนทางกับอุณหภูมิทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นทันควัน ภายหลังผ่านพ้นพระราชพิธีสำคัญ

ตามเงื่อนไขที่นักการเมืองทุกป้อมค่ายพากันเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ปลดล็อกกฎเหล็ก เปิดให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรม

โดยความจำเป็นที่อ้างถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งตามกติการัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อนกว่าเดิม หากช้าไปอาจเกิดปัญหาได้

ในอารมณ์สมานฉันท์ ทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา รวมถึงนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกัน

กดดันให้ คสช.คลายกฎเหล็ก ตามที่รับปากไว้จะพิจารณาภายหลังผ่านพ้นงานสำคัญ

แต่ก็ยังเป็นอะไรที่ใจแข็งอยู่ ประเมินท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะรับผิดชอบงานด้านความมั่นคง

ยังยืนกรานที่จะไม่เปิดให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ตามความจำเป็นต้องรอกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จให้หมดก่อนตามกระบวนการขั้นตอน

ขนาดตอนนี้ยังไม่ปลดล็อก ความขัดแย้งยังแฝงอยู่เต็มไปหมด

ถ้าเปิดให้นักการเมืองเคลื่อนไหวได้ มีหวังป่าช้าแตก

ส่วนที่นักการเมืองรวมถึงหลายภาคส่วนเป็นห่วงว่าถ้าปลดล็อกช้า พรรคการเมืองจะเตรียมตัวเลือกตั้งไม่ทัน พล.อ.ประยุทธ์ก็ยืนยันเลยว่า ไม่ต้องเป็นห่วง

คสช.มีวิธีจัดการให้ทันตามกระบวนการรัฐธรรมนูญแน่

นั่นก็ทำให้กระแสปลดล็อกการเมืองยังอั้นกันต่อไป ท่ามกลางแรงเสียดทานที่พุ่งเข้ากระแทกรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะฟอร์มการบริหารที่ถูกนักการเมืองรุมถล่มอย่างหนัก

ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ดักเตะตัดขา พล.อ.ประยุทธ์ทุกจังหวะ

และในห้วงภาวะกดดัน มันก็ดันมาเกิดเหตุกระเพื่อมครั้งใหญ่ในรัฐบาล คสช. กับปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน ยื่นไขก๊อกออกจากตำแหน่ง

ในอารมณ์แรงๆแบบที่เก็บของออกจากกระทรวง ก่อนใบลาออกจะมีผลด้วยซ้ำ

สะท้อนอาการเจ็บช้ำลึกๆ ตอกย้ำกระแสข่าวเบื้องหลังของฟางเส้นสุดท้าย มาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มีคำสั่งให้นายวรานนท์ ปีติวรรณ พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน ไปเป็นรองปลัดกระทรวงแรงงาน

โดยที่เจ้ากระทรวงอย่าง พล.อ.ศิริชัย ไม่ได้รับรู้มาก่อน

และในสถานการณ์ซ้ำซ้อน กรณี “ข้ามหัว” ที่กระทรวงแรงงานก็เคยเกิดเหตุมาก่อนหน้านั้น กับปมเสือข้ามห้วยที่มีการโยกนายจรินทร์ จักกะพาก จากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย มาเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน โดยที่ “บิ๊กบี้” ยืนกรานว่าต้องเป็นคนในเท่านั้น

เจอไป 2 ดอกติดๆกัน มันจึงทำให้วงแตก

ขณะเดียวกันก็ยังมีข้อมูลวงในที่หลุดออกมา

ว่าด้วยหัวเชื้อสะสมจากปัญหาการบริหารในกระทรวงแรงงานที่อืดอาดล่าช้า โดยเฉพาะการเคลียร์ปมแรงงานต่างด้าว ยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาลที่จำเป็นต้องจัดระเบียบตามเงื่อนไขลดปมค้ามนุษย์ที่ถูกจับตาจากเวทีโลก

โดยสถานการณ์ต่อเนื่องทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง กระทบกับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ

และยังมีเหตุโยงไปถึงประเด็นการจัดซื้อ “เครื่องสแกนม่านตา” ที่มีข่าวปล่อยออกมาทำนองว่า “บิ๊กบี้” ไม่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามสัญญาณที่ได้รับจากทำเนียบรัฐบาล

ทำให้นำมาซึ่งรายการ “หักดิบ” กันแรงๆ

สะท้านกระทรวงแรงงาน สะเทือนอำนาจรัฐบาล เขย่าวงการพี่ๆน้องๆ อย่างที่รู้กันทั่ววงการว่า พล.อ.ศิริชัย คือน้องรักสายตรงของ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เมื่อผลลัพธ์สุดท้าย “บิ๊กบี้” ตัดสินใจไขก๊อก ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง เกิดช่องโหว่ในเชิงการบริหารของรัฐบาล

เป็นไฟต์บังคับที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับคณะรัฐมนตรี

ซึ่งงานนี้ก็เหมือนจะเข้าทางที่ผู้นำรัฐบาลได้วางโปรแกรมไว้จะมีการขยับหลังเดือนตุลาคม

ตามแนวโน้มอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุเลยว่า กำลังคิดอยู่ว่าจะปรับเล็กหรือปรับใหญ่

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าเห็นตรงกันกับ พล.อ.ประวิตร ในการพิจารณาลดโควตาของรัฐมนตรีสายทหารให้น้อยลงกว่าเดิม

เป็นครั้งแรกที่ผู้นำรัฐบาล คสช.พูดชัดๆเรื่องการปรับ ครม.ลดโควตาทหาร

สอดรับกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์และเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายที่มองสถานการณ์มาถึงตรงนี้
พล.อ.ประยุทธ์น่าจะต้องปรับเชิงการบริหาร แก้จุดอ่อนในเรื่องของการปั่นเนื้องาน

เติมมืออาชีพจากภาคส่วนต่างๆเข้ามาช่วยเสริมทีมรัฐบาล

เพราะรัฐมนตรีทหาร “สอบตก” ในเรื่องของเนื้องานการนำนโยบายไปปฏิบัติ ตามฟอร์มท็อปบูตที่ถนัดเฉพาะงานด้านความมั่นคงเท่านั้น

แต่ที่อันตรายกว่าก็คือเรื่องของความโปร่งใสในเชิงบริหาร

กระแสไหลมาถึงจุดที่โดนสังคมจับจ้องด้วยความหวาดระแวง

ตามปรากฏการณ์ “ตำบลกระสุนตก” ที่เกิดขึ้นกับ 2 จุดใหญ่ๆอย่างเด่นชัด

ด้านหนึ่งคือกระทรวงมหาดไทย ที่ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เจอกับมรสุมโถมเข้าใส่ 2–3 ลูกติดๆกัน ทั้งรายการเซ็นอนุมัติให้บริษัทเอกชนใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์เขตต้นน้ำในจังหวัดขอนแก่น ไล่เลี่ยๆกับประเด็น “เรือเหาะ–เรือเหี่ยว” ที่จัดซื้อในสมัยนั่งเป็น

ผู้บัญชาการทหารบก ซ้ำด้วยปมร้อนฉาวๆว่าด้วยโครงการจัดซื้อ “เครื่องตรวจจับความเร็วฝังเพชร”
เคลียร์เผือกร้อนกันแทบจะรายวัน

ขณะที่สถานการณ์อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นคิวของ “เพื่อนรัก” อย่าง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

ทั้งในเชิงการบริหารที่ถูกมองว่า บ้อท่าในการแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ แถมสอบตกในการบริหารจัดการน้ำที่กระทรวงเกษตรฯเป็นเจ้าภาพ โดยไร้ความคืบหน้า

มิหนำซ้ำยังมีเรื่องแหลมๆเสียวๆที่ถูกนักการเมืองยี่ห้อประชาธิปัตย์แฉปมทุจริตโครงการ 9101 วงเงินกว่า 1.9 หมื่นล้านของกระทรวงเกษตรฯ จนต้องไล่ตามสอบกันทั่วประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งคิวของ พล.อ.อนุพงษ์และ พล.อ.ฉัตรชัย ตกอยู่ในสภาพ “บ่อน้ำมัน” รัฐบาล
โดนชี้เป้าให้สังคมสะกดรอยตามทุกฝีก้าว

เอาเป็นว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง สภาพการณ์เยี่ยงนี้ ต้องมีคิวกำจัดจุดอ่อน

ปรับ ครม.โละทิ้ง “ตัวถ่วง” ไปแล้ว

แต่บังเอิญว่า นี่คือรัฐบาลอำนาจพิเศษ ที่ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ถูกมองว่ามี “ปมด้อย” ตรงความยึดติดกับวัฒนธรรมแบบทหาร

สลัดไม่พ้นอาการเกรงใจพี่ สงสารน้อง ไม่กล้าหักเพื่อน

ตามสโลแกน มาด้วยกันไปด้วยกัน จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์มาถึงตรงนี้ ประเทศ ไทยไม่ใช่แค่ค่ายทหาร ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐมนตรีสายทหารบกพร่องในเชิงบริหาร อันมีผลต่อการขับเคลื่อนประเทศในภาพรวม

ผู้นำอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ย่อมหนีไม่ออกต่อความรับผิดชอบทั้งปวง

มันถึงจุดที่ต้องเลือกระหว่างความเกรงอกเกรงใจกับการลุยหักดิบ “ผ่าตัดใหญ่” ครม. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในเชิงบริหาร อันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

และยังส่งผลต่อยุทธศาสตร์อำนาจของ คสช.ไม่ให้ปฏิวัติเสียของ

สถานการณ์บังคับ พล.อ.ประยุทธ์ต้องโชว์ภาวะผู้นำในห้วงสถานการณ์ที่ยังก้ำกึ่งๆ สังคมส่วนใหญ่ยังไม่ได้คล้อยตามนักการเมืองไปเสียทีเดียว

เพราะยังเสียวกับพฤติกรรมเก่าๆที่ทำบ้านเมืองลงเหว

เทียบกันแล้ว สถานการณ์ภายใต้อำนาจพิเศษที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ถึงแม้จะทำให้ชาวบ้านหงุดหงิดในเรื่องของเชิงบริหารที่ติดๆขัดๆ แต่บ้านเมืองก็ยังเดินหน้าต่อไปได้

โอกาสยังอยู่ในวิสัยที่ “นายกฯลุงตู่” จะกำหนดทางเดินตัวเอง.

“ทีมการเมือง”

ไม่มีความคิดเห็น: