PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เมื่อ"หัวสี่เหลี่ยม"ครอบงำอนาคตใหม่

ไทกร พลสุวรรณ

เมื่อ"หัวสี่เหลี่ยม"ครอบงำอนาคตใหม่
เมื่อคุณธนาธรและคณะตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผมรู้สึกดีใจ รู้สึกมีความหวังว่าการเมืองไทยจะมีคนที่มีคุณภาพ มีศักยภาพมาเข้าร่วม และแอบให้กำลังใจคุณธนาธรและพรรคอนาคตใหม่อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคคุณธนาธรและก็ไม่เคยคิดจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคของคุณธนาธรด้วย
มีน้องๆเพื่อนๆพี่ๆหลายคนโทรมาปรึกษาหรือนัดพูดคุยกับผมเรื่องจะลงสมัคร ส.ส. ว่าจะลงสมัครพรรคไหนดี พรรคอนาคตใหม่ของคุณธนาธรคือพรรคหนึ่งที่ผมแนะนำ เพราะผมชอบนโยบายกระจายอำนาจ "เลือกตั้งผู้ว่าฯทุกจังหวัด"
แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมได้ยินแต่เสียงบ่นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
"มีแต่ NGOs เต็มพรรคเลย"
"ในพรรคบรรยากาศเหมือนห้องเรียนทฤษฎีการเมือง"
ฯลฯ
บทบาทการชี้นำและกำหนดแนวทางของพรรคตกอยู่ในมือของเหล่า NGOs ทั้งหลาย
NGOs นั้นแบ่งเป็น 2 จำพวกใหญ่ๆ คือ
(1)พวกที่อยู่ในโลกความเป็นจริง
(2)พวกที่อยู่ในโลกเสมือนจริง
พวกที่อยู่ในโลกความเป็นจริงนั้นไม่ใข่ปัญหา เพราะคนเหล่านี้สามารถปรับตัวได้ เข้ากับสังคมได้ มีความคิดและแนวทางสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนที่เป็นปัญหาคือ พวกที่อยู่ในโลกเสมือนจริง คนเหล่านี้จะยึด ลัทธิ ทฤษฎี เป็นสรณะ ลัทธิมากซ์ ลัทธิมากซ์-เลนิน ลัทธิเหมา ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษวิธี ฯลฯ ใครที่ไม่เชื่อเหมือนพวกเขา คิดไม่เหมือนพวกเขา ทำไม่เหมือนพวกเขา คนพวกนี้จะถือว่าเป็นศัตรู เป็นศัตรูทางการเมืองที่ต้องทำลายทิ้ง คนในแวดวง NGOs เรียกพวกนี้ว่า "พวกหัวสี่เหลี่ยม" คือ คิดอยู่ในกรอบของลัทธิและทฤษฎีเท่านั้น
เมื่อดูบทบาทที่พรรคอนาคตใหม่แสดงจุดยืนทางการเมืองต่อสาธารณะในระยะหลังๆแล้ว น่าจะเกิดปัญหาภายในพรรค เช่น กรณีเฌอปราง หรือ กรณีการถอนตัวจากการร่วมแข่งขันกีฬากระขับมิตรคนรุ่นใหม่ของพรรคการเมืองต่างๆ พรรคอนาคตใหม่แสดงออกทางการเมืองที่"คับแคบ"ลงเรื่อยๆ ผิดวิสัยพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ล้วนแต่เปิดกว้างเพื่อหาความร่วมมือกับคนทุกภาคส่วนในสังคม
พวก NGOs หัวสี่เหลี่ยมนี้ เคยทำให้องค์กรภาคประชาชนล่มสลายมาหลายองค์กรแล้ว เพราะกลุ่มเหล่านี้จะสร้างให้องค์กรนั้นๆ เป็นรูปแบบ"จักรวรรดิ" เช่น จักรวรรดิชาวนา จักรวรรดิกรรมกร ฯลฯ แล้วยกพวกตัวเองขึ้นเป็น "ซาร์" ซาร์ของชาวนา ซาร์ของกรรมกร หรือซาร์ของพรรคการเมือง
ซึ่งลึกๆแล้วจิตใต้สำนึกของคนเหล่านี้เป็นเผด็จการ
คุณธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ควรแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วนและจริงจัง ก่อนที่จะเกิด"ซาร์ของพรรคอนาคตใหม่"ขึ้น หากถึงวันนั้นก็สายเกินกว่าจะแก้ไข พรรคอนาคตใหม่จะกลายเป็น"อนาคตไหม้"
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็ด้วยความเป็นห่วงและปรารถนาดี
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

‘ชุดใหญ่’ สะดุ้งเป็นแถว

“เอฟเฟกต์” แรงมาก ระดับที่หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวยักษ์แทบทุกฉบับ

กับปรากฏการณ์ที่ประชุม ครม.นัดล่าสุด อนุมัติงบประมาณกว่า 8.69 หมื่นล้านบาท เดินหน้าอัดฉีดมาตรการช่วยคนจน ผู้มีรายได้น้อย คนชรา ข้าราชการเกษียณ เกษตรกร

แบ่งเป็น 5 โครงการหลักๆ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง

1.ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.8 หมื่นล้านบาท

2.เงินช่วยค่าครองชีพข้าราชการเกษียณ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ 559 ล้านบาท และเงินบำเหน็จดำรงชีพกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท

3.ชดเชยดอกเบี้ยกว่า 3,800 ล้านบาท ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์จัดทำโครงการบ้านล้านหลัง ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน

4.มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ 525 ล้านบาท 5.โครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรชาวสวนยางพาราอีกกว่า 18,000 ล้านบาท

ตามรายการปลีกย่อยที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แจกแจงรายละเอียดผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเองเลยว่า ครม.ได้เห็นชอบให้เพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะช่วยเหลือค่าน้ำ 100 บาท ค่าไฟ 230 บาท ต่อครัวเรือน ต่อเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 รวม 10 เดือน

และพิเศษในเดือนธันวาคมปีนี้ จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 500 บาท เพื่อจับจ่ายในช่วงปีใหม่ 

นอกจากนั้นจะสนับสนุนค่าเดินทางไปรักษาพยาบาลแก่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 1,000 บาทต่อคน และช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน 400 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่ธันวาคม 2561 ถึงกันยายน 2562

“ปล่อยของ” แบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ

ในอาการแบบที่เจ้าตำรับโคตรประชานิยมยี่ห้อ “ทักษิณ” ต้องรีบออกมาตีปี๊บโวยวาย

ประจานรัฐบาล คสช.อนุมัติงบฯแสนล้าน แต่ไร้การตรวจสอบ

ชิงทำลายความชอบธรรม เบรกกระแสกันตามฟอร์ม

เรื่องของเรื่อง มันสะท้อนแรงสั่นสะเทือนที่กระแทกใส่ “นักการเมืองอาชีพ” อย่างจัง

ไม่ใช่แค่ทีม “นายใหญ่” แต่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย รวมไปถึงสารพัดยี่ห้อ ไม่มีทางเห็นดีเห็นงามกับมาตรการอัดฉีดที่รัฐบาล “ลุงตู่” ปล่อยของออกมา

ตามจังหวะคาบลูกคาบดอกในห้วงเข้าโหมดเลือกตั้ง

เพราะมันคือการโกยแต้มความนิยมได้แบบเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” กำลังตั้งไข่ ยืนได้ขาแข็ง ออกตัวแรงขึ้นทุกวัน

ยังไงก็หนีไม่พ้น เกี่ยวโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ

ตามรูปการณ์ที่เห็นกันชัดๆไม่ใช่แค่กติกาที่เอื้อให้ แต่นโยบายรัฐบาลยังเข้าทาง นี่คือปัจจัยเร่งพวกที่สองจิตสองใจจะย้ายสังกัด

ใส่เสื้อยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” รีบตัดสินใจในสถานการณ์ “เดดไลน์”

ในวงเล็บ นี่คือในมุมที่นักเลือกตั้งอาชีพตั้งแง่ระแวง

ซึ่งไม่เกี่ยวกับประชาชนที่ยังไงก็ชอบ โดยเฉพาะคนในข่ายที่ได้รับประโยชน์ยิ่งชอบมาก

จากการได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาล

เพราะในเชิงบริหารราชการแผ่นดิน มันคือยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเตรียมการรองรับสถานการณ์ระยะยาวที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ

จุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม

ไม่ใช่นโยบายที่คิดกันแบบฉาบฉวย ชิงแต้มนิยมในช่วงเลือกตั้ง

เหนืออื่นใด ในอารมณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ จะย้ำอยู่ตลอดเวลา การเดินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการช่วยเหลือคนจนของรัฐบาลนี้ คิดบนพื้นฐานระบบวิธีงบประมาณอย่างรอบคอบรัดกุม

คุมภาระการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน ไม่เป็นภาระกับประเทศชาติในอนาคต

ไม่ได้ลด แลก แจก แถม เพื่อตุนคะแนนนิยมจากการทำให้ประชาชน “เสพติด” ประชานิยม แลกกับคะแนนเสียงเหมือนพรรคการเมือง ส่งผลเสียหายร้ายแรงในระยะยาว

ทั้งหมดทั้งปวง ในมุมการเมืองที่เป็นบวกกับรัฐบาล “ลุงตู่” จริงๆมันก็คือสิ่งที่ผุดออกมาเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเปรียบเทียบกับการหวังน้ำบ่อหน้าลมๆแล้งๆจากนักการเมืองทั่วไป

ยังไม่ได้เลือกตั้ง ก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากรัฐบาล “ลุงตู่”

ชีวิตดีๆ การอยู่ดีกินดี ไม่ได้เกี่ยวกับเลือกตั้งเสมอไป.

ทีมข่าวการเมือง