PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิเคราะห์ : กรณี ‘หมอธี’ สนิมเกิดแต่เนื้อ ‘ครม.’

วิเคราะห์ : กรณี ‘หมอธี’ สนิมเกิดแต่เนื้อ ‘ครม.’


ไม่ทราบกินดีหมีสวมหัวสิงห์มาจากไหน “หมอธี” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ฉวยตะพดเจาะแสกหน้า “บิ๊กป้อม” เข้าจังเบอร์
เป็นจังหวะระหว่างบรรยายกับนักเรียนและนักธุรกิจไทย งานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เปรียบเทียบจริยธรรมทางการเมืองของสมาชิกสภาขุนนางอังกฤษท่านหนึ่ง ละอายใจเข้าประชุมสภาสาย ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
แต่มากระทบชิ่งใครบางคน “เมืองไทย มีนาฬิกาใส่ 25 เรือน ยังไม่เป็นไร”
ไม่ใช่แค่หลุดปากเอามัน เมื่อลงจากเวทียังมาต่อยอดกับนักข่าวบีบีซีไทย “ไม่มีทางที่จะเห็นนักการเมืองไทยลาออก เพราะมาสาย ไม่มีทาง เพราะมันเป็น conscience (ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี) ลึก ๆ อยู่ในสายเลือด การรู้ว่าอะไรควร….เมืองไทย ไม่มีทาง เมืองไทยเป็นอย่างหนาตราช้าง เรื่องนาฬิกา ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว”
แถมตบท้ายอย่างมั่นใจตามสไตล์ “คนสายแข็ง”
“ของอย่างนี้ คนก็ไม่กล้าพูด กลัวอะไร ทำไม พูดแล้ว มันจะมาไล่ผมออกหรือ”
ปี่กลองรัวเชิดฉิ่งขึ้นมาทันที เพราะในวันรุ่งขึ้นมีประชุม ครม.
กองเชียร์ซาดิสต์เกาะเวทีตาไม่กระพริบ
ปรากฎหมอธีแจ้งลาประชุม “บิ๊กป้อม” เจ็บคอพูดอะไรไม่ค่อยถนัด
ตกบ่ายฝ่ายตกที่นั่งจำเลยเปิดแถลงข่าวจับความได้ว่า เมื่อเสร็จจากบรรยายให้นักศึกษาไทยที่ประเทศอังกฤษฟัง นักข่าวก็มาดักรอ ไม่ทราบว่ามีการบันทึกเทป และถือว่าไม่ได้เป็นการให้สัมภาษณ์ แต่ยอมรับพูดถึงประเด็นนาฬิกาหรูจริง

และไปขอโทษ “บิ๊กป้อม” เป็นที่เรียบร้อย
ท่ามกลางข่าวแพร่สะพัด หมอธีเตรียมไขก๊อกลาออก
สวนทางกับการยืนยันของเจ้าตัว พูุดชัดเจน “ขอยืนหยัดที่จะทำงานต่อไป”
มีผู้ถูกสะเก็ดระเบิดพาดพิงจริยธรรมสื่อ เพราะหมอธียืนยันไม่ใช่การให้สัมภาษณ์ เหมือนการพูดคุยกันเฉยๆ ไม่มีเจตนาให้เผยแพร่
บีบีซีจึงต้องออกมายืนยัน “รัฐมนตรีคนดังกล่าวได้ตกลงให้ผู้สื่อข่าวของเราสัมภาษณ์ หลังจากที่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลอีกคนหนึ่งต่อกลุ่มนักเรียนไทยในกรุงลอนดอน โดยเขาตกลงพูดคุยกับผู้สื่อข่าวของเราซึ่งได้บันทึกการสัมภาษณ์ โดยใช้โทรศัพท์มือถืออย่างเปิดเผย”
หาใช่แอบซุบซิบคุยกันในซอกตึกซะที่ไหน
เรื่องของ “หมอธี” กับ “นาฬิกาหรู” บางคนอาจเห็นเป็นการเสียมารยาท ฐานะคน ครม. ร่วมหัวจมท้ายเดียวกัน บางคนอาจมองเป็นความกล้าหาญทางจริยธรรมต่างหาก
คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องสองคนยลตามช่อง
แต่ภาพที่พอจะมองได้ตรงกัน ก็คือการตะลุมบอนของแม่น้ำ 5 สายที่เห็นกันวันนี้ กำลังลามไปถึงทำเนียบรัฐบาลแล้ว

รออีก 15 วัน

รออีก 15 วัน


แม้บัดนี้ ร่าง ก.ม.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จะผ่านมติเห็นชอบจากที่ประชุม สนช.ไปแล้วอย่างบริดวกโยธิน
แต่การประกาศใช้ยังต้องลากยาวต่อไป
เนื่องจาก สนช.ลากตั้งฉวยโอกาสชุลมุน แก้ไขสาระสำคัญในร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้จนแตกต่างจากร่างเดิมของ กรธ.อย่างสิ้นเชิง
แตกต่างอย่างไร “แม่ลูกจันทร์” ขอหยิบมาแสดงให้เห็น 5 ประเด็นคือ...
1, แอบยัดไส้ซาลาเปา ยืดขยายวันเลือกตั้งเพิ่มอีก 90 วัน
2, ปล่อยผีให้ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. จ้างมหรสพต่างๆ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง
ทำให้เกิดความได้เปรียบเสีย เปรียบระหว่างผู้สมัคร ส.ส.อย่างชัดเจน
3, กำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส. พรรคเดียวกันต้องใช้เบอร์ต่างกันทุกเขตเลือกตั้ง
ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนวุ่นวาย และทำให้ กกต.ต้องใช้งบ พิมพ์บัตรเลือกตั้งแพงขึ้นอีกบาน ตะไท
4, ขยายเวลาหย่อนบัตรเลือกตั้ง ส.ส. จากปกติ 8 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็น เปลี่ยนเป็นจาก 7 โมงเช้า ลากยาวไปถึง 5 โมงเย็น
ทำให้การขนส่งหีบบัตรเลือกตั้งในพื้นที่ห่างไกลต้องยืดเยื้อไปถึงช่วงกลางคืน
เปิดช่องให้ทุจริตยัดบัตรผีโกงผลเลือกตั้งอย่างสบายแฮ
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า การที่ สนช.ใช้เสียงข้างมากลากไป ลงมติแก้ไขร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ในสาระ สำคัญ ส่งผลให้ร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้มีความห่วยแตกยิ่งกว่าเดิม ซึ่งจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย
ฝ่าย กรธ.ของ อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้ยกร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้ และฝ่าย กกต. ของ อจ.สมชัย ศรีสุทธิยากร ซึ่งเป็นผู้ต้องปฏิบัติตาม ก.ม.ลูกฉบับนี้ จึงขอใช้สิทธิโต้แย้งอีกครั้งตามกติกา
จึงต้องมี “คณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย” จำนวน 11 คน มาจากฝ่าย สนช. 5 คน ฝ่าย กรธ. อีก 5 คน และประธานกกต. แทรกเป็นยาดำอีก 1 คน
หากเสียงข้างมาก 6 เสียง จาก 11 เสียง เห็นควรแก้ไข หรือไม่แก้ไขประเด็นใด จะต้องส่งกลับไปให้ที่ประชุม สนช.ลงมติเห็นชอบซ้ำอีกที
แต่ถ้าที่ประชุม สนช.ลากตั้งเกิดเฮี้ยน โหวตไม่เห็นชอบด้วยคะแนน 2 ใน 3 ของสมาชิก สนช. (หรือ 166 คน จากทั้งหมด 248 คน)
ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งเป็น ก.ม.ลูกฉบับสำคัญ จะต้องถูกคว่ำกลางสภาฯทันที!!
ถ้าจบแบบนี้ก็ยุ่งตายชักน่ะซีโยม
“แม่ลูกจันทร์” หวังว่าจะไม่มี “ใบสั่ง” ให้ สนช.ลากตั้งโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับนี้ อย่างที่มีกระแสข่าวลือ
เพราะถ้าหากร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้ ถูกขี้เถ้ายัดปากตายกลางสภาฯ
แสดงว่ามีการใช้อภินิหารกฎหมาย คว่ำกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญ เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งให้ช้าออกไป...ให้ยืดออกไป...ให้ยาวออกไป...ให้ไกลออกไป ฯลฯ
โดยไม่มีเหตุผลสมควร!!
ยิ่งกว่านั้น “แม่ลูกจันทร์” ยังหวังว่าที่ประชุมกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย จะเห็นชอบให้แก้ไขร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้ อีก 3 ประเด็น
1, ยกเลิกความคิดพิสดารให้ผู้สมัคร ส.ส. สามารถจ้างมหรสพหาเสียงจูงใจประชาชน
2, ยกเลิกความคิดบ้องตื้นขยายเวลาหย่อนบัตรจาก 7 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น กลับไปเป็น 8 โมงเช้า ถึงบ่าย 3 โมงอย่างเดิม
3, ยกเลิกกติกาเลอะเทอะให้ผู้สมัครพรรคเดียวกันต้องใช้หมายเลขแตกต่างกันทุกเขตเลือกตั้งทั่วประเทศไทย
ผลการประชุม 3 ฝ่าย จะเป็นอย่างที่ “แม่ลูกจันทร์” หวังไว้หรือไม่??
โปรดอดใจรออีก 15 วัน...จะมีคำตอบให้หายคันอย่างแน่นอน.
“แม่ลูกจันทร์”

โหมดปะทะเกมโหดลึก

โหมดปะทะเกมโหดลึก


ว่ากันตามปรากฏการณ์ทางการเมือง เทียบกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
ยังไงก็มองหน้ากันไม่ติด
แต่ล่าสุด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ แถลงยอมรับ “เสียมารยาท”
กับพฤติการณ์ตามข่าวที่สื่อใหญ่อย่างสำนักข่าวบีบีซี เปิดเผยประโยคคำพูดของ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวกับนักเรียนไทยและนักธุรกิจไทยในงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยระบุถึงกรณีปมนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เป็นทำนองว่าหากเป็นตนเองคงลาออกไปตั้งแต่นาฬิกาเรือนแรกแล้ว
ด่าแรงถึงขั้นใช้คำเป็นพวก “อย่างหนา”
แน่นอน ถึงแม้จะมีการอ้างว่าได้ขอโทษขอโพย พล.อ.ประวิตร และเคลียร์กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.แล้ว โดยจะไม่มีการลาออกแต่อย่างใด
การันตีการทำงานจากนี้จะราบรื่น ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา
จบแบบง่ายๆไม่มีอะไรในกอไผ่
แต่เรื่องของเรื่องอาการแบบนี้คงไม่ได้เผลอหลุดปาก เพราะพูดกลางวงใหญ่ ยังไงก็ต้องเกิดผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะกับตัวของ พล.อ.ประวิตรที่ไม่มีสิทธิได้แก้ต่าง
โดนแทงหลังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ทั้งๆที่เป็นข้อมูลในเชิงกระแส ยังไม่มีการตัดสินผิดถูกในกระบวนการยุติธรรม
แต่นั่นยังไม่เท่ากับการทำให้รัฐบาลของ “ลุงตู่” ต้องตกอยู่ในสภาพเหมือน “วงแตก”
คนใน ครม.หันมาล่อเป้า ประจานดิสเครดิตกันเอง
สั่นคลอนศรัทธา ลดทอนความเชื่อถือ กระทบความเชื่อมั่น
ที่สำคัญ มันแทบจะสคริปต์เดียวกันเลย กับคิวของ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ เพื่อนรักเซนต์คาเบรียลคอนเน็กชั่น ที่ออกมาโยนระเบิดใส่ พล.อ.ประวิตร ว่าด้วยปมนาฬิกา เป็นทำนองเบิ้ลซ้ำกดดัน พล.อ.ประวิตร ถ้าเป็นตัวเอง ลาออกตั้งแต่เรือนแรกแล้วเหมือนกัน
ตามรูปการณ์มันย่อมหนีไม่พ้นการเชื่อมโยง
“คนเขียนบท” และ “ผู้กำกับฉาก” ทีมเดียวกัน
ตามท้องเรื่องของหนังซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่โยงกับขั้วอำนาจโบราณ สะท้อนสถานการณ์ไล่บี้ล้มกระดาน “บิ๊กป้อม” ยังคงคุกรุ่นรุนแรงในหมู่ทีมงานที่อิงแอบอยู่กับสายบ้านใหญ่ย่านเทเวศร์
ฉากหักเหลี่ยม “พี่ใหญ่” ถูกเร่งจังหวะใกล้ตอนจบ กะน็อกให้ตาย
โดยเฉพาะเมื่อชัดเจนแล้วว่า “บิ๊กตู่” ไม่มีทางทิ้ง “บิ๊กป้อม” แบบที่ขาดกันไม่ได้
และมันก็คือคำตอบสุดท้าย เกมโหดที่แฝงอยู่ในหมู่ขั้วอำนาจที่ล้มระบอบทักษิณมาด้วยกันนี่แหละ ที่น่ากลัวสำหรับ “บิ๊กตู่–บิ๊กป้อม” และทีม คสช.
อันตรายของจริง สถานการณ์ซีเรียสยิ่งกว่าแนวรบด้าน “นายใหญ่” ที่ 2 พี่น้องอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำได้แค่โฉบไปโฉบมาในต่างประเทศ
ยั่วต่อมฉุน กระตุกให้รำคาญเท่านั้น
และเหมือนจะจับทิศจับทางกันถูกแล้ว ว่าเกมลึกแฝงเหลี่ยมโหดมาจากคนกันเอง
เดินหมากตัดแต้ม ทุบทำลายความชอบธรรมของ “พี่ใหญ่”
มันก็เป็นอะไรที่ต้องตั้งรับกันด้วยยุทธศาสตร์ชิงกระแส ตีตื้นคะแนนความชอบธรรม
ตามรูปการณ์ที่เห็นได้เลยว่า “บิ๊กป้อม” ต้องกระโดดมาจับเนื้องานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ งานถนัดที่เจ้าตัวมีผลงานและดำเนินมาต่อเนื่องในนามมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก
ตามโพลผลงานอันดับ 1 ที่ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชอบรัฐบาล คสช. และยังเป็นจังหวะล้อกระแสการอนุรักษ์ จากกรณีของ “เจ้าสัว เปรมชัย กรรณสูต” บอสใหญ่อิตาเลียนไทยฯ ล่าสัตว์ในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
ขณะที่งานด้านความมั่นคงก็แสดงให้เห็นว่า ภายใต้การกำกับของ พล.อ.ประวิตรยังไว้ใจได้ กับคิวล่าสุดที่มีการจับกุมการ์ดเสื้อแดง นปช.พร้อมระเบิด ในห้วงกลุ่มการเมืองกำลังเคลื่อนไหว
“พี่ใหญ่” ได้รับการเปิดพื้นที่ให้เข้าร่วมโหมดปั่นเนื้องาน
สถานการณ์เกาะขบวนไปกับ “นายกฯลุงตู่” และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ลุยปั๊มเศรษฐกิจฐานราก ประคองปากท้องชาวบ้าน ดันเศรษฐกิจภาพรวมที่กำลังติดลมบน
ต้องใช้ผลงานเป็น “วัคซีน” ป้องกันโรคแทรกซ้อน
ตอนที่อาการรัฐบาลยังไม่ทรุดถึงขั้นโคม่า.
ทีมข่าวการเมือง