PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

คณบดีนิด้าวิเคราะห์ 4 เส้นทางการเมืองบิ๊กตู่ เตือนต่างมีปัญหา ไม่ว่าเลือกทางไหน

คณบดีนิด้าวิเคราะห์ 4 เส้นทางการเมืองบิ๊กตู่ เตือนต่างมีปัญหา ไม่ว่าเลือกทางไหน



วันนี้ (11 ก.ย.) นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊กแฟนเพจ แสดงความเห็นเรื่องทางเลือกทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์ ระบุว่า
ผมคิดว่า ในเวลานี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังคงมีความลังเลว่าจะตัดสินใจเลือกอนาคตทางการเมืองของตนเองอย่างไร ทางเลือกเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละทางเลือกมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร
๑. การลงสู่สนามการเมืองในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองและนำทัพแข่งขันกับพรรคการเมืองอื่นๆ
ทางเลือกนี้ผมคิดว่าเป็นไปได้น้อยมาก เพราะเป็นทางเลือกที่ยากลำบากต้องเผชิญกับการท้าทาย การถกเถียง การประลองฝีปาก การอดกลั้น และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่บุคลิกและความถนัดของพลเอกประยุทธ์แต่อย่างใด
แต่หากตัดสินใจเลือกทางนี้ ข้อดีคือ พรรคการเมืองนี้จะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากคะแนนนิยมที่ประชาชนมีต่อพลเอกประยุทธ์ และผู้สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าตนเองควรเลือกพรรคการเมืองใด
แต่ข้อเสียคือ จะมีกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเรื่องความเป็นไปได้ในการใช้อำนาจรัฐช่วยเหลือพรรคของตนเอง ซึ่งจะเป็นการเอาเปรียบพรรคอื่นๆ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ถั่งโถมเข้าใส่อาจทำให้พลเอกประยุทธ์ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อันนำไปสู่การตอบโต้โดยใช้อารมณ์อย่างกราดเกรี้ยว ซึ่งจะทำให้ถูกนำขยายผลและนำไปการโจมตีอย่างต่อเนื่อง จนอาจทำให้พรรคการเมืองที่ตนเองเป็นหัวหน้าพรรคสูญเสียคะแนนนิยมไปในที่สุด
และหากพรรคการเมืองนี้ไม่ได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนเสียงและจำนวน ส.ส. มากเป็นลำดับหนึ่ง จะทำให้ความชอบธรรมที่พรรคนี้จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในระดับต่ำ แต่หากยังยืนกรานเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยรวมกับพรรคเล็กพรรคน้อย นอกจากจะถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากพรรคคู่แข่งแล้ว เสถียรภาพของรัฐบาลก็จะอยู่ในระดับต่ำด้วย
๒. การลงสู่สนามการเมืองในฐานะที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง แต่ไม่เป็นสมาชิกหรือลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคนั้น
ข้อดีคือ มีความสะดวกสบายไม่ต้องเหนื่อยมากในการหาเสียง และประชาชนที่สนับสนุนก็มีความชัดเจนว่าจะเลือกพรรคการเมืองใด
ข้อเสียคือ อาจถูกโจมตีว่าเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น และก็เช่นเดียวกับทางเลือกแรกคือหากพรรคนี้ไม่ได้เสียงมากเป็นลำดับหนึ่ง การจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีความชอบธรรมต่ำและรัฐบาลขาดเสถียรภาพ
๓. การประกาศว่าไม่เป็นหัวหน้าพรรค ไม่ให้พรรคใดเสนอชื่อตนเองให้เป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างเลือกตั้ง แต่พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีหากพรรคการเมืองตกลงกันไม่ได้ และเป็นไปตามเงื่อนไขกลไกของรัฐธรรมนูญ นั่นคือการเป็นนายกฯคนนอก ที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา

ข้อดีคือ ไม่เหนื่อย ไม่เปลืองตัว รอคนมาเชิญเป็นนายกฯ
ข้อเสียคือ หลังเลือกตั้งจะเกิดกระแสการคัดค้านคนนอกเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างกว้างขวาง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงได้
๔. การประกาศไม่เล่นการเมือง และไม่เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป รวมทั้งประกาศว่ารัฐบาลพร้อมจะช่วย กกต. ดูแลความสงบเรียบร้อยในการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการวางรากฐานการปฏิรูปการเมืองต่อไป
ข้อดีคือ มีความสง่างาม ได้รับการสรรเสริญจากผู้คนทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีความสบายใจไม่ต้องแบกภาระอันหนักอึ้งอีกต่อไป ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อกังวลหรือประเด็นที่จะถูกนำไปโจมตี
ข้อเสียคือ ผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่ง และคนรอบข้างที่เคยอาศัยพึ่งพาจะเสียขบวน เคว้งคว้าง ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว รัฐบาลจะอยู่ในสภาพเป็ดง่อย ข้าราชการจะไม่ค่อยทำงานตามสั่ง เพราะจะรอรัฐบาลชุดใหม่ และโอกาสที่ยุทธศาสตร์ กฎหมาย และมาตรการหลายอย่างที่วางเอาไว้อาจถูกรื้อและยกเลิกหลังการเลือกตั้ง
สิ่งสำคัญในการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดคือ การสำรวจความปรารถนาที่แท้จริงของตนเองให้กระจ่างชัด หากมีความปรารถนาหลายประการที่ขัดแย้งกัน สิ่งที่พึงกระทำคือต้องคิดไตร่ตรองให้ตกผลึกว่า จะให้น้ำหนักกับความปรารถนาแบบใดมากที่สุด เมื่อตกลงปลงใจได้กระจ่างชัดแล้ว ก็ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าจะสามารถนำไปสู่ความปรารถนานั้นได้
แต่กระนั้น พึงตระหนักว่า ทางเลือกแต่ละอย่าง ที่เราคิดว่าจะนำไปสู่ความปรารถนานั้น อาจมีผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ อันเป็นผลจากมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาแทรกซ้อนหรือเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้บรรลุความปรารถนา
หรือในบางกรณีทางเลือกนั้นอาจสร้างผลกระทบที่เราไม่ได้คาดหวังมาก่อนก็เป็นได้
ในสถานการณ์และบริบทการเมืองของไทยในห้วงเวลานี้ ไม่ว่าทางเลือกใดต่างก็มีศักยภาพที่สร้างปัญหาตามมาได้ทั้งสิ้น

เพื่อไทย จี้ คสช.ตอบ ตั้ง “พุทธิพงษ์-สกลธี” ผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือไม่

เพื่อไทย จี้ คสช.ตอบ ตั้ง “พุทธิพงษ์-สกลธี” ผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือไม่



พท. ถาม ครม. ตั้ง “พุทธิพงษ์-สกลธี” ผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือไม่ อัด ตั้งแกนนำม็อบชัตดาวน์ประเทศถือเป็นการสร้างบรรยากาศปรองดองยังไง
เมื่อวันที่ 12 กันยายน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี ครม.แต่งตั้ง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และอดีตแกนนำกปปส. เป็น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ว่า ประชาชนมีสิทธิตั้งคำถามว่า เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน เหมือนกับการแต่งตั้งนายสกลธี ภัททิยกุล อดีตส.ส.กทม. พรรคปชป. แกนนำกปปส. ให้ไปรับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ การแต่งตั้งแกนนำม็อบชัตดาวน์ประเทศ ชัตดาวน์ระบบราชการ ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง ยกม็อบไปปิดล้อมหน่วยงานราชการ นำมวลชนไปปิดล้อมสตช.จี้ให้ ผบ.ตร.ลงมารายงานตัว สั่งม็อบปลดป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังทำมาแล้วหรือไม่ ถือเป็นเหมาะสมและส่งเสริมบรรยากาศการสร้างความปรองดองสมานฉันท์อย่างไร ท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่มีต่อคนที่มีคดีความก่อนหน้านี้ คือกลุ่มคนที่สร้างปัญหาก่อความวุ่นวายให้กับประเทศ แต่กลับแต่งตั้งเอาคนที่มีคดีอุกฉกรรจ์ ทั้งอั้งยี่ กบฏ ก่อการร้าย เข้ามาทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลหรือไม่

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า คำถามที่สังคมไทยสงสัยว่า ทำไมฝ่ายความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในวันที่กปปส.ก่อจลาจลชัตดาวน์ประเทศ ถึงเกียร์ว่าง ปล่อยให้เหตุการณ์บานปลาย เพราะมีการแบ่งงานกันทำเป็นกระบวนการตามทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในวันนั้น ประเทศไทยอาจไม่มาถึงจุดนี้หรือไม่ ในขณะที่กกต.กล้าหาญที่จะประกาศวันเลือกตั้งคือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ.ประยุทธ์ ก็ท่องคาถามาตลอดว่า ถ้าไม่สงบ ไม่เลือกตั้ง แต่ รัฐบาลคสช.กลับประกาศแต่งตั้งคนที่เกี่ยวข้องกับการนำม็อบก่อจลาจลล้มและขัดขวางการเลือกตั้งมาเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ประชาชนนึกไม่ออกว่า จะเป็นการส่งสัญญาณและสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งได้อย่างไร

จึงต้องแจกเงิน

จึงต้องแจกเงิน



ปัญหายางราคาตกเรื้อรัง ทำให้ พี่น้องชาวสวนยางเดือดร้อนกันบานบุรี
แกนนำเครือข่ายชาวสวนยางได้ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาล คสช.เร่งแก้วิกฤติราคายางตกต่ำให้เห็นผลโดยเร็ว
รวมทั้งทวงสัญญาที่นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ ประกาศจะ “ดัน” ราคายางให้กระเด้งขึ้นถึง 60 บาทต่อ กก.
แต่ผ่านไปแล้ว 8 เดือน ราคายางยังกระด้อกระแด้แค่ 43 บาทต่อ กก.
ยังไม่มีวี่แววจะขยับขึ้นไปแตะ 60 บาทต่อ กก. อย่างที่ท่านรัฐมนตรีเกษตรฯฉายหนังโฆษณา
สรุปว่าปัญหาราคายาง เป็นปัญหาปราบเซียน ถ้าไม่แน่ใจว่าทำได้จริงอย่าเผลอไปให้สัญญากับชาวสวนยางเป็นอันขาดเชียว!
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า นายกฯพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามจะแก้ปัญหาราคายางอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
แต่ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดรับจำนำยาง หรือรับซื้อยางราคารับประกันจะสร้างภาระขาดทุนให้รัฐบาลในระยะยาว
ฉะนั้น จึงมี “วิธีเดียว” ที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางเห็นผลทันตา
คือแจกเงินช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวสวนยาง
โดยใช้งบเร่งด่วนฉุกเฉิน อัดฉีดช่วยค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. (การยางแห่งประเทศไทย) จำนวน 1.3 ล้านราย ในอัตรา 1,500 บาทต่อไร่ ไม่เกินรายละ 10 ไร่
หรือไม่เกิน 15,000 บาทต่อราย
ต้องใช้งบอัดฉีดเพิ่มอีก 2 หมื่นล้านบาทโดยประมาณ
แต่ “รัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่” ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็น “รัฐบาลสายเปย์” การจะควักเงินแจกอุดหนุนชาวสวนยางอีก 2 หมื่นล้านบาท จึงเป็นเรื่องชิวๆ
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า นี่เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี ที่รัฐบาลนายกฯลุงตู่ใจดีควักกระเป๋าแจกเงินทำขวัญชาวสวนยางไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ต่อราย
แต่ครั้งนี้ รัฐบาลจะเพิ่มเงื่อนไขให้พี่น้องชาวสวนยางต้องไปเข้ารับ การอบรมพัฒนาอาชีพตามหลักสูตรของรัฐบาล
ใครไม่ไปเข้าอบรมทักษะอาชีพ จะไม่มีสิทธิได้รับเงินแจกช่วยค่าครองชีพเพิ่มพิเศษอีก 15,000 บาทต่อราย
“แม่ลูกจันทร์” มองว่า มาตรการแจกเงินช่วยค่าครองชีพชาวสวนยาง
เป็นแค่ยาบรรเทาอาการอักเสบชั่วคราว
ไม่ได้แก้ปัญหาราคายางตกต่ำแต่อย่างใด
และไม่สามารถดึงราคายางให้สูงขึ้นตามที่ชาวสวนยางต้องการ
ข้อสำคัญ...การที่รัฐบาลแจกเงินช่วยเหลือเฉพาะเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. จำนวน 1.3 ล้านราย...
จะเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
เพราะยังมีเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ไม่ได้ลงทะเบียนกับ กยท. อีก 7 ล้านราย ซึ่งได้รับความเดือดร้อนจากราคายางตกต่ำเช่นเดียวกัน
ถามว่า รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพชาวสวนยางอีก 7 ล้านรายอย่างไร? ให้เกิดประโยชน์กับชาวสวนยางทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม??
แต่...แต่ถ้าจะให้รัฐบาลแจกเงินอุดหนุนค่าครองชีพให้พี่น้องชาวสวนยางครบทั้ง 8 ล้านกว่าราย
รัฐบาลจะต้องใช้เงินอัดฉีดเพิ่มอีก 5 เท่าตัว
พูดง่ายๆ ต้องใช้งบอัดฉีดอีก 1.2 แสนล้านบาทถึงจะพอ
ต่อให้เป็นรัฐบาลสายเปย์...ก็หูรูดขาดเหมือนกันนะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

'ตัวแปร' หรือ 'ตัวปัญหา'

'ตัวแปร' หรือ 'ตัวปัญหา'



หลอดแดง-เหลือง กลมเกลียวกันสวยงาม
มุกอินเทรนด์ล่าสุดของ “โคตรเซียนการตลาดตัวลูก” อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้อง โพสต์ภาพในโซเชียลมีเดีย โชว์ดูดหลอดกับพี่สาว “เอม” พินทองทา ชินวัตร คุณากรณ์วงศ์ โดยมีพ่อ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ยืนยิ้มเผล่อยู่เป็นฉากหลัง พร้อมแคปชัน
พ่อบอกหลอดแดง-เหลืองกลมเกลียวกันสวยงาม พวกเราเลยทำตัวกลมเกลียวตามกระแส
แน่นอนมันน่าจะเป็นความจงใจ มุกของ “อุ๊งอิ๊ง” โผล่มาในสถานการณ์พอเหมาะพอเจาะ หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวตัวเบ้อเริ่มเทิ่ม
เสื้อแดง นปช. พรรคเพื่อไทย ยุพรรคประชาธิปัตย์ “สลายขั้วขัดแย้ง” สกัด คสช.
รวมหัวโค่นแผนตีตั๋วต่อของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.
พ่อลูก “ตระกูลชิน” ได้ทีแห่เกมแดง-เหลือง จับมือโค่นทหาร ตัวการโค่นกระดานอำนาจ “นายใหญ่”
อีกทั้งในจังหวะสถานการณ์พอดิบพอดี เหมือนเป็นแรงส่ง “ยกก้น” ดันหลัง “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศเสียงดังฟังชัด
ถ้า “นายกฯลุงตู่” ไม่ได้เสียงข้างมากของ ส.ส.ในสภาฯ ประชาธิปัตย์ก็ไม่โหวตหนุนเป็นนายกฯแน่
“อภิสิทธิ์” ตั้งแง่ใส่ “บิ๊กตู่” เดินเกมเข้าเหลี่ยม “ทักษิณ” อีกต่างหาก
จากสถานการณ์ที่ไหลเข้าทาง มันก็ไม่แปลกที่โคตรเซียนการตลาดตัวพ่อ ตัวลูก จะรีบเบิ้ลกระแส แห่ยุทธการสลายสีแดง สีเหลือง เพื่อช่วยกันสกัดผู้นำสีเขียว
โอกาสเดียวที่จะสกัดเส้นทางไปต่อของ “นายกฯลุงตู่” ได้
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ที่ไหลมาถึงจุดได้ลุ้นมากที่สุด ตามไฟต์บังคับของนักเลือกตั้งอาชีพที่ต้องจับมือกันแย่งอำนาจและผลประโยชน์คืนจากท็อปบูต
นั่นไม่สำคัญเท่ากับ “อภิสิทธิ์” เองก็อยากรีเทิร์นกลับมาแก้มือ
ในสถานการณ์ที่ยังมีรูเล็กๆให้พอ “ตัวรอด” ไปถึงเป้าหมายที่เห็นอยู่ลิบๆกับสถานะ “ตัวแปร” สมการตัวเลขรัฐบาลหลังเลือกตั้ง เสียงของประชาธิปัตย์มีผลกับการไปต่อของ “นายกฯลุงตู่”
“เดอะมาร์ค” เลยได้ที “ล็อกแต้ม” เป็นตัวประกัน
อาศัยชูหลักการหรูๆตีคู่มากับมโนความหวัง ตราบใดที่ยังมีโอกาสลุ้นก็ห้ามกันไม่ได้
แต่เรื่องของเรื่อง ในสถานการณ์ที่ย้อนแย้งกันกับโลกแห่งความเป็นจริง ตามสภาพของคนที่เคยตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร พี่น้อง “บูรพาพยัคฆ์” อุ้มขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
“รอยด่าง” นี้ “อภิสิทธิ์” ลบยังไงก็ไม่ออก
การมาตั้งแง่ใส่ “นายกฯลุงตู่” จึงดูไม่มีเหตุผลอื่น นอกจาก “ต่อรอง”
เหนืออื่นใด ในสถานการณ์ไม่ออกทางซ้ายก็ต้องไปทางขวา
กับเงื่อนไขที่ “อภิสิทธิ์” ประกาศมัดคอตัวเองไว้แล้ว ชาตินี้ไม่มีทางไปกับ “ทักษิณ” ได้ เพราะเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์จัดเป็น ปลาคนละน้ำ
เพราะฉะนั้น ระหว่างการ “กลืนน้ำลาย” ไปสังฆกรรมกับ “นายใหญ่” แลกกับการขึ้นมาเป็นนายกฯ นำรัฐบาล “ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย” ไปสุดซอย “ทางตัน” นิรโทษกรรมช่วย “ทักษิณ” กลับบ้าน
สถานการณ์อันไหนมันจะเลวร้ายไปกว่ากัน
เมื่อเทียบกับการยอมหักอกหักใจที่จะขอกลับมาแก้มือในเก้าอี้นายกฯอีกรอบ ฝืนใจเทเสียงให้ “นายกฯลุงตู่” ไปต่อตามดีลอำนาจที่ฝ่ายคุมเกมประเทศไทยวางไว้
ไม่ต้องเป็น “มหาบัณฑิตออกซ์ฟอร์ด” ก็น่าจะคิดได้
สรุปตามรูปเกม “เดอะมาร์ค” ก็แค่ “โชว์หล่อ” ตามฟอร์มกระตุ้นเรตติ้ง
ในสถานการณ์เกมชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กำลังเข้มข้น ถึงจุดที่มีคนกล้าเปิดหน้าเสนอตัวเข้าร่วมเกมโค่นเก้าอี้ แบบที่ “เสี่ยจ้อน” นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธาน สปท. แบไต๋เองเลยว่า มีคนในพรรคเชียร์ให้ลงแข่งชิงหัวหน้าพรรค
“เขี่ยลูก” เปิดเกมโละ “เดอะมาร์ค” กันอย่างจริงๆจังๆ
ล่าสุดสดๆร้อนๆถึงคิวของรุ่นเดอะอย่าง “หมอผี” นายสัมพันธ์ ทองสมัคร แกนนำรุ่นลายครามของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาชี้เปรี้ยงเลยว่า “อภิสิทธิ์” ควรลาออกให้ “ปรมาจารย์ชวน หลีกภัย” รักษาการ
เพื่อให้การสู้ศึกเลือกตั้งของพรรคเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
ตอกย้ำสภาพ “เดอะมาร์ค” เป็นตัวปัญหามากกว่า “ตัวแปร”.
ทีมข่าวการเมือง