PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

จอมพล ผ้าแดง!!

จอมพล ผ้าแดง!!
ไม่ใช่ ผ้าขาวม้า แต่เป็นผ้าทอ ราชบุรี แต่ใครหนา ช่างเลือก สีแดง ให้ "นายกฯบิ๊กตู่".....ชอบมว๊ากกกก สีนี้!
"ผมต้องการเห็นรอยยิ้มของประชาชนในพื้นที่ ไม่ต้องการให้ประชาชนมารักนายกฯ แต่ขอให้รักพื้นที่ รักจังหวัด และรักประเทศชาติ"
นายกฯนำประชาชนทุกภาคส่วนจังหวัดราชบุรี ร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติ
โดยเปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ณ ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ราชบุรี
ที่ ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดราชบุรี
เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติ ตามพระราโชบายฯ และปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ
ทั้งนี้ มีกำหนดการดำเนินโครงการฯ โดยส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูกต้นไม้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2561 ในพื้นที่กรรมสิทธิ์ของประชาชนและพื้นที่ของรัฐทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 2,550,703 ต้น
นายกฯกล่าวว่า การลงพื้นที่มาพบปะประชาชนในวันนี้ เพราะต้องการเห็นรอยยิ้มของประชาชนในพื้นที่ ไม่ต้องการให้ประชาชนมารักนายกฯ แต่ขอให้รักพื้นที่ รักจังหวัด และรักประเทศชาติ
ทั้งนี้ การปลูกต้นไม้ที่สำคัญคือการดูแลหลังการปลูกให้ต้นไม้เจริญเติบโต ปลูกแล้วต้องคอยติดตามประเมินผลไม่ให้ต้นไม้ตาย ซึ่งการปลูกต้นไม้ทุกคนสามารถปลูกได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องรอโครงการและรอการสนับสนุนงบประมาณในการซื้อกล้าไม้จากหน่วยงานภาครัฐ ขอให้ปลูกต้นไม้ที่ชื่นชอบ รวมทั้งขอให้ช่วยกันปลูกไม้ดอกที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความสวยงามตามสถานที่ต่าง ๆ อันจะก่อให้เกิดการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ตามมา และป่าไม้คือชีวิตของคน ของสัตว์ป่า และธรรมชาติ เมื่อป่าไม้มีความอุดมสมบูรณ์จะส่งผลต่ออากาศที่บริสุทธิ์ ก่อให้เกิดต้นน้ำลำธาร พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีต้องการให้กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใหญ่ ๆ มีอากาศที่บริสุทธิ์เหมือนต่างจังหวัดด้วย
คนไทยทุกคนต้องรักและสามัคคีกัน เพราะความรักความสามัคคีเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นจึงอยากจะขอความร่วมมือทุกคนอย่าทะเลาะกัน รวมถึงอย่ารวมตัวประท้วง เพราะจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะผลเสียต่อการท่องเที่ยว
ซึ่งจากการได้ไปพบหารือกับผู้นำต่างประเทศในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา ต่างประเทศมีความชื่นชอบประเทศไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงาม อาหารรสชาติอร่อย ที่พักราคาถูก
รวมไปถึงความมีน้ำใจ รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่ว่าเทศกาลไหน แต่สิ่งที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข สร้างความเข้าใจต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติคือเรื่องของกฎระเบียบ และการปฏิบัติตามกฎหมาย วัฒนธรรมของประเทศไทย รวมทั้งต้องช่วยกันเป็นเจ้าภาพที่ดีสร้างความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ต่อนักท่องเที่ยวเพื่อภาพลักษณ์ที่ดียิ่งขึ้น
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เนื่องในวันต้นไม้แห่งชาติ ภายใต้โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ. 2561 ร่วมกับข้าราชการ และพลังมวลชนชาวจังหวัดราชบุรี อาทิ ต้นรวงผึ้ง (ต้นไม้ประจำรัชกาลที่ 10) ต้นกัลปพฤกษ์ (ต้นไม้ประจำจังหวัดราชบุรี) ต้นยางนา ต้นตะแบก ต้นปีบ เป็นต้น
หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะนั่งรถรางเยี่ยมชมโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดราชบุรี และรับฟังการบรรยายสรุปโดยผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีและคณะได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ ประกอบด้วย ปลายี่สก (ปลาประจำจังหวัดราชบุรี) และปลานิล ณ อ่างเก็บน้ำเขาชะงุ้ม

ไทย เนื้อหอม

ไทย เนื้อหอม
"ผบ.ทอ." เชื่อมั่น"บิ๊กตู่" ชี้4 ปี คสช.ดูดี"เนื้อหอม"ภาพพจน์ของประเทศไทยดีมาก ไม่มีอะไรน่ากังวล ยันยึดตามโรดแมพ เดิม
พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. และ สมาชิก คสช. กล่าวถึง การชุมนุมของ
"คนอยากเลือกตั้ง" วานนี้ ว่า ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เพราะทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เมื่อถามว่ารัฐบาลและคสช) ก็ยังยืนยันที่จะเดินตามโรดแมป พล.อ.อ.จอม กล่าวว่ารัฐบาลและคสช. ดำเนินการตามกฏหมาย และภารกิจที่จะต้องทำ ต้นเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นโรดแมปอย่างแน่นอน
เมื่อถามว่ามีการเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้นจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันหรือไม่พล.อ.อ.จอม กล่าวว่า ไม่ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับศาลเป็นผู้พิจารณา
เมื่อถามว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างชาติจะมองภาพพจน์ประเทศไทยเสียหายหรือไม่พล.อ.อ.จอม กล่าวว่า คิดว่าคงไม่พอช่วงนี้ภาพพจน์ของประเทศไทยดีมาก ไม่มีอะไรน่ากังวล
เมื่อถามว่า ยังเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนประเทศของนายกรัฐมนตรี หรือไม่
พล.อ.อ.จอม กล่าวว่า ถามแรง จะมห้ตอบยังไง ผมเป็นผู้ใร้บังคับบัญชา. ผมก็ตัองเชื่อมั่นในตัว พลเอกประยุทธ์
เมื่อถามว่าอะไรที่สะท้อนให้เห็นว่าภาพพจน์ของประเทศดีขึ้น. พล.อ.อ.จอมกล่าวว่า “เราเนื้อหอม โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจถึงแม้นว่าฝ่ายความมั่นคงจะไม่มีความรู้ลึกซึ้งด้านเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็สัมผัสได้ว่าประเทศไทยเนื้อหอม มากๆแสดงให้เห็นว่าเราได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ”

4 ปีก็แป๊บเดียว

4 ปีก็แป๊บเดียว



ไม่มีใครพูด เรื่องครบรอบ 4 ปี คสช.ได้ตรงประเด็น ตรงความจริง เจ๋งเป้งเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.พูดเอง
นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าเวลา 4 ปี คนอื่นอาจบอกว่า...นานจัง
แต่ตนเองกลับรู้สึกว่าเวลา 4 ปี... แป๊บเดียว!!
เพราะยังมีปัญหาต้องแก้ไขและมีอะไรต้องทำต่อไปอีกเยอะเหลือเกิน
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า เวลา 4 ปีก็คือเวลา 4 ปีเท่าเดิม ไม่เพิ่มไม่ลด ไม่ยืดไม่หด ไม่เร็วไม่ช้า ไม่สั้นไม่ยาว
แต่เป็นเพราะ “จิตปรุงแต่ง” ทำให้ บางคนรู้สึกว่า 4 ปีนานจัง และบางคนรู้สึกว่า 4 ปีแป๊บเดียว
ความจริงเวลา 4 ปีที่ คสช.ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จทางการเมืองเท่ากับเวลา 1 เทอมเต็มๆ ของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย
การที่รัฐบาล คสช. บริหารบ้านเมืองครบ 4 ปี จึงเป็นเวลายาวนานพอสมควร
แถมรัฐบาล คสช.ยังมีโอกาสบริหารบ้านเมืองจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งอีก 1 ปีเต็มๆ
การได้ครองอำนาจนานถึง 5 ปี จึงไม่ใช่แป๊บเดียวแน่นอน
“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าหลายท่านลืมไปแล้วว่าช่วง 4 ปี ภายใต้รัฐบาล คสช.มีการปรับ ครม.ไปแล้วกี่ครั้ง? รุสต๊อกรัฐมนตรีไปแล้วกี่คน? ใช้เงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วมากเท่าใด?
เว็บข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมสถิติ 4 ปี คสช.ไว้หลายแง่หลายมุม
“แม่ลูกจันทร์” ขออนุญาตเลือกบางประเด็นมาฉายซํ้าดังนี้คือ...
4 ปีรัฐบาล คสช.มีการปรับ ครม.ทั้งหมด 5 ครั้ง มีรัฐมนตรีเก่า–ใหม่ใส่ตะกร้าล้างนํ้ารวมทั้งสิ้น 47 คน
การปรับ ครม.ครั้งใหญ่ที่สุด คือการโละทีม ครม.เศรษฐกิจชุด “หม่อมอุ๋ย” ยกกระบิ 11 คน แล้วเอาทีม ครม.เศรษฐกิจชุดใหม่ของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 10 คนเสียบแทน
4 ปีหลังการปฏิวัติ คสช.ได้ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน (ตั้งแต่งบปี 2557 จนถึงงบปี 2562) รวม 6 ปี
รวมยอดเงินรายจ่ายรวมกันถึง 16 ล้านล้านบาท
ช่วง 4 ปีของ คสช.ได้อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งกระตุ้นระยะสั้น กระตุ้นระยะยาว และกระตุ้นช่วงเทศกาล
รวมเบ็ดเสร็จ 4 ปี รัฐบาล คสช.ใช้เงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มพิกัดถึง 2 ล้านล้านบาททีเดียว
เหตุที่ใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากขนาดนี้ เพื่อเร่งเศรษฐกิจไทยให้กระเด้งดึ๋งขึ้นเห็นทันตา
ปรากฏว่าเศรษฐกิจ “กระเด้ง” ขึ้นจริง แต่ยังไม่ “ดึ๋ง” เท่าที่ควร
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า 4 ปีรัฐบาล คสช.ได้ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไปแล้วหลายขบวน
แต่กลับไม่เห็นผลการปฏิรูปประเทศที่เป็นรูปธรรม
เริ่มจากการแต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อยู่ในตำแหน่งได้ 11 เดือนก็ยุบทิ้งไป
มีการแต่งตั้งสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) รับไม้ต่ออีก 1 ปี 9 เดือนก็สลายตัว
จากนั้นจึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน เพื่อนำข้อเสนอปฏิรูปประเทศจาก “สปช.” และ “สปท.” ไปสรุปรวบรวมเพื่อจัดทำแผนปฏิรูปประเทศซ้ำอีกที
กว่าจะได้แผนปฏิรูปไปเริ่มลงมือปฏิรูปประเทศจริงๆ เลยหมดเวลา 4 ปี ด้วยประการฉะนี้แลเฮย.
“แม่ลูกจันทร์”

ข้ามช็อตต่อเวลาแล้ว

ข้ามช็อตต่อเวลาแล้ว



แป๊บเดียว ยังมีอะไรที่ต้องแก้ไขและทำอีกเยอะ
สั้นๆแต่สื่อความหมายเลยว่า ตีตั๋วต่อเวลาอีกยาวแน่
แปลรหัสสัญญาณชัดเจนจากที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. พูดถึงห้วงเวลาที่เวียนมาครบรอบ 4 ปีที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศ
นั่นหมายถึงระดับความมั่นใจ “ลุงตู่” ข้ามช็อตไปไกลแล้ว
ตามแนวโน้มสถานการณ์ จึงโฟกัสไปที่โปรแกรมในเดือนมิถุนายน ตามจังหวะสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง พร้อมแสดงความชัดเจน
เรื่องของเส้นทางการรีเทิร์น “นายกฯคนใน”
ได้เวลาเปิดตัวอย่างเป็นการเป็นงาน พร้อมจะเสนอชื่อผ่านบัญชีนายกฯของพรรคการเมือง
ซึ่งเดาเอาว่า น่าจะเป็นยี่ห้อ “พลังประชารัฐ”
ที่ตามสถานการณ์ข่าววงใน กระบวนการจัดการคืบหน้าไปมาก ตามจังหวะการเคลื่อนตัวแบบเงียบๆของทีม “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ที่เปิดดีลกับกลุ่มก้อนการเมืองต่างๆใน “ก๊วนก๋วยเตี๋ยวเนื้อ” ที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่อดีตรัฐบาลไทยรักไทย
คุยกันตามภาษานักเลือกตั้งอาชีพ
“สมศักดิ์ เทพสุทิน–สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ–สนธยา คุณปลื้ม–สุชาติ ตันเจริญ ฯลฯ”
นี่คือแกนหลักๆของทีม “เฟรนด์ ออฟ สมคิด” ที่เสนอตัวกลับมาร่วมภารกิจสำคัญในการผลักดัน “นายกฯลุงตู่” ตีตั๋วต่อ เพื่อภารกิจเดิมพันนำประเทศเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายปฏิรูป
กับฐานต้นทุน ส.ส.ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
ทั้งค่ายพลังชลของตระกูล “คุณปลื้ม” บวกกับบ้านใหญ่นครปฐม ของตระกูล “สะสมทรัพย์”
อีกทั้งล่าสุดยังมีแนวโน้มสูงกับชื่อของ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” ยี่ห้อที่การันตีคุณภาพจากเมืองกรุงเก่า อยุธยา ที่น่าจะได้รับมอบหมายให้ถือธงแกนนำภาคกลาง
และยังรวมไปถึงตระกูล “วรปัญญา” กับทีมอดีต ส.ส.ลพบุรี ที่ว่ากันว่าเปิดมามีเซอร์ไพรส์
นี่แค่เน้นเฉพาะพวกที่ชัวร์ๆใส่ตัวเลขได้ล่วงหน้า
ไม่นับอดีต ส.ส.ที่ไปลงชื่อในบัญชีที่บ้านริมน้ำของนายสุชาติ ที่ส่งถึงมือนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ว่าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ว่าที่เลขาธิการพรรค นำไปแจ้งยอด แจ้งตัวเลขให้คนบนตึกไทยคู่ฟ้าได้รับทราบความคืบหน้าเป็นระยะ
บวกลบนักวิ่งรอก ตัดพวกสปาย “สายลับ” ที่ส่งมาหาข่าวไปรายงานคนดูไบ
เอาเป็นว่า ไม่ใช่เรื่องเกินกำลังของยี่ห้อ “พลังประชารัฐ” ที่จะกวาดแต้มเป็นฐานต้นทุนให้ “ลุงตู่”
ขี้หมูขี้หมาก็เริ่มต้นที่ตัวเลข 50-60 ขึ้นไปแน่
นี่ยังไม่พูดถึงสถานการณ์ชัดเจนภายหลัง “นายกฯลุงตู่” เปิดตัวอย่างเป็นการเป็นงาน ประทับยี่ห้อพลังประชารัฐเป็นพรรคที่สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ
ตามรูปการณ์จะยิ่งทำให้ “พลังประชารัฐ” มีแรงดึงดูดเพิ่มขึ้นอีก
ไม่ได้ประเมินกันลอยๆ แต่เป็นการเทียบจากที่นิด้าโพลสำรวจล่าสุด พรรคหนุน “ลุงตู่” แซงพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาอยู่อันดับสอง รองจากแชมป์เก่าพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
งานนี้พวกที่ยังหลงอยู่ในพะวงเก่าๆ เหมาว่าชาวบ้านไม่เอาพรรคทหาร
หลงกับวาทกรรมที่พวกตัวเองช่วยกันปั่นกระแส ดิสเครดิต “ลุงตู่” หลอกตาชาวบ้าน
ถึงเวลาจะตาลีตาเหลือก ปรับหมากสู้กันไม่ทัน
เพราะสถานการณ์ “ลุงตู่” น่ะมาจากการสำรวจโพล ไม่ใช่เอ่ยอ้างกันมั่วๆแบบนักการเมือง
ยิ่งมาถึงตรงนี้ มันชัดเจนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
“เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง ได้สิทธิ์ถือธง “นอมินี” นั่งแท่นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตามบัญชาของ “นายใหญ่” และ “นายหญิง”
ขณะที่ประชาธิปัตย์ก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามอาการแบบที่ปรมาจารย์ “ชวน หลีกภัย” ต้องกัดฟันการันตีศิษย์รัก ไม่กล้าหัก “อภิสิทธิ์” รับข้อเสนอให้โหนกระแส “คุณปู่มหาธีร์ โมฮัมหมัด” คัมแบ็กกลับมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค
เทียบจากสารพัดโพลที่ออกมา ถ้าวัดกับคู่แข่ง 2 ยี่ห้อนี้
“นายกฯลุงตู่” นำห่าง แบบทิ้งขาดเกินช่วงตัว.
ทีมข่าวการเมือง

09.00 INDEX ทำไมภาพ “คนอยากเลือกตั้ง” จึงโดดเด่น เป็นข่าว ทั่วโลก

09.00 INDEX ทำไมภาพ “คนอยากเลือกตั้ง” จึงโดดเด่น เป็นข่าว ทั่วโลก


ทั้งๆที่ความพยายามของ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ที่จะออกจาก
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีปริมาณคนเข้าร่วมจำนวนไม่มากนัก
นั่นก็คือ เป็น “หลักร้อย” ไม่ถึง “หลักพัน”
แต่สงสัยหรือไม่ว่า สถานการณ์ครั้งนี้กลับได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง
ไม่เพียงแต่ “ในประเทศ” หากแต่ในขอบเขต “ทั่วโลก”
ปฏิกิริยาอันมาจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCHR นับว่าแจ่มชัดและชัดเจน
ทำไม
คำตอบ 1 มาจากท่าทีของคสช. ท่าทีของรัฐบาล ยิ่งมองเห็นว่าความพยายามของ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” เป็นความเลวร้ายถึงกับจะโยนข้อหามาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา
ยิ่งเป็นเรื่องที่แปลกอย่างประหลาดในทางการเมือง
ยิ่งมีการโหมประโคมข่าวเรื่อง “แดงฮาร์ดคอร์”
ยิ่งมีการโหมประโคมข่าวเรื่องการว่าจ้างหัวละพันมาจากสมุทรปราการ
ประสานกับการตั้งกำลังกว่า 10 กองร้อย
ยิ่งทำให้เห็นว่าเพียง”อยากเลือกตั้ง”ก็กลายเป็น”ความผิด”กลายเป็น “อาชญากรรม”ร้ายแรง
เป็น “ท่าที”ของคสช.และของรัฐบาลนั่นแหละคือ “เหตุ”
คำตอบ 1 มาตรการที่คสช.และรัฐบาลงัดออกมาใช้เป็นอาวุธเป็นเครื่องมือคือคำสั่งที่ 57/2557 คือคำสั่งที่ 3/2558 อาจเหมาะกับเมื่อปี 2557 และเมื่อปี 2558 แต่เมื่อมีการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษายน 2560
คำสั่งเหล่านี้ล้วนขัดกับ”รัฐธรรมนูญ”และเป็นเรื่อง”พ้นสมัย”

เบื้องหน้าทุกมาตรการที่ คสช.และรัฐบาล งัดออกมาเพื่อกำราบและปราบปราม “คนอยากเลือกตั้ง” ได้ทำให้มองเห็นภาพ
1 คนอยากเลือกตั้ง และ 1 คนไม่อยากเลือกตั้ง
ไม่ว่าจะมีกระบวนการดำเนินการอย่างที่เรียกว่า “ปฏิบัติการ ด้านการข่าว”อย่างไร
ภาพของคนอยากเลือกตั้ง กับภาพของคนไม่อยากเลือกตั้งดำรงอยู่อย่างเด่นชัด
ในสายตา”คนไทย” และในสายตา “ชาวโลก”

'ดร.เกษียร เตชะพีระ' แต่งกลอนในวันที่กลุ่ม 'คนอยากเลือกตั้ง' พ่ายแพ้และถูกจับกุม

'ดร.เกษียร เตชะพีระ' แต่งกลอนในวันที่กลุ่ม 'คนอยากเลือกตั้ง' พ่ายแพ้และถูกจับกุม

             23 พ.ค.61 - ดร.เกษียร เตชะพีระ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการเคลื่อนไหวของคนอยากเลือกตั้งในวาระที่ คสช.อยู่ในอำนาจมาครบ 4 ปี

"วันที่ 'คนอยากเลือกตั้ง' พ่ายแพ้" : เกษียร เตชะพีระ

             “เพื่อนบางท่านคงจำได้ว่าชื่อบทกลอน "สู้พ่ายแพ้สู้ใหม่จนชัยได้มา" และบางบาทของกลอนนี้ "พร่างพรายแสงดวงดาวน้อยสกาว ส่องฟากฟ้าเด่นพราว...." รวมทั้งอุปมาอุปไมยเรื่อง "ดาว" ย่อมมาจากเพลง "วีรชนปฏิวัติ" และ "แสงดาวแห่งศรัทธา" ของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่เขาแต่งระหว่างถูกคุมขังข้อหาคอมมิวนิสต์ที่คุกลาดยาวโดยเผด็จการสฤษดิ์
             หลัง ๆ นี้ผมมักร้องและฮัมเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" บ่อย ๆ และพยายามคิดเข้าใจว่าในคุกเผด็จการ ด้วยข้อหาฉกรรจ์ทางการเมือง โดยไม่มีความหวังว่าจะได้ออกในเร็ววัน จิตรใช้จิตใจเช่นใดมาแต่งเพลงนี้ขึ้น ร้องและคิดตามไปทีละวรรคทีละตอน ถึงความหมายโดยตรง โดยอุปไมย และโดยคิดเทียบกับปัจจุบันที่ไม่มี "ดาว" แล้ว  เราจะให้ความหมายใหม่อันใดแก่ "ดาว" ในบทเพลงนี้ได้......
             คำตอบเท่าที่ผมนึกออก อยู่ในกลอนที่ผมแต่งในวันที่กลุ่ม "คนอยากเลือกตั้ง" พ่ายแพ้และถูกจับกุมเมื่อวานนี้”
             ทั้งนี้เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) ดร.เกษียร ได้โพสต์บทกลอน "...สู้พ่ายแพ้สู้ใหม่พ่ายแพ้สู้ใหม่จนชัยได้มา..."

"วันที่ 'คนอยากเลือกตั้ง' พ่ายแพ้" : เกษียร เตชะพีระ
“สู้แล้วแพ้ร้องไห้ไม่แปลกดอก
ไม้ซีกบางเล็กออกฤางัดไหว
เขาขนซุงทั้งป่าวนาลัย
มาทุ่มใส่น้องน้องตามต้องการ

ที่แปลกคือแพ้ร้องไห้แล้วไม่เลิก
ถึงถลอกปอกเปิกแผลทุกด้าน
ฟ้องขังขู่คุกคามตามรังควาน
กลั้นสะอื้นคิดอ่านสู้ต่อไป

เขาเอาแรงเอาหัวใจจากไหนหรือ
ยี่สิบมือสิบหน้าก็หาไม่
เขาเป็นคนเหมือนเราจงเข้าใจ
เขาเชื่อในคุณค่าความเป็นคน

หลังซี่กรงคืนมืดชืดเหน็บหนาว
เดือนดับแล้วเหลือดาวพราวเวหน
ดาวก็คือพวกเขาที่เฝ้าทน
สู้พ่ายแพ้ดั้นด้นสู้อีกครา

พร่างพรายแสงดวงดาวน้อยสกาว
ส่องฟากฟ้าเด่นพราวกระจ่างจ้า
ดาวไม่ดับแพ้ไม่เข็ดเช็ดน้ำตา
วีรชนหาญกล้าคารวะ”

"วันที่ 'คนอยากเลือกตั้ง' พ่ายแพ้" : เกษียร เตชะพีระ

"วันที่ 'คนอยากเลือกตั้ง' พ่ายแพ้" : เกษียร เตชะพีระ



‘บิ๊กตู่’ ขอผู้ชุมนุมอย่าเป็นศัตรูกับ กม. หวั่นบานปลาย เหน็บม็อบทำอากาศ กทม.เป็นพิษ

‘บิ๊กตู่’ ขอผู้ชุมนุมอย่าเป็นศัตรูกับ กม. หวั่นบานปลาย เหน็บม็อบทำอากาศ กทม.เป็นพิษ


‘บิ๊กตู่’ ยอมไม่ได้เด็ดขาดเคลื่อนชุมนุมประท้วงฝืน กม. แจงต้องยุติสถานการณ์ก่อนบานปลาย กร้าว ปชต.กำลังเดินหน้าสู่ ลต. ใครทำเสียหายต้องโดนลงโทษ เหน็บกลุ่มคนอยาก ลต.ทำอากาศกรุงเทพฯเป็นพิษ
เมื่อเวลา 08.20 น.วันที่ 23 พฤษภาคม ที่ศูนย์ศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.เขาชะงุ้ม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ปี พ.ศ.2561 และมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า นั่งเฮลิคอปเตอร์มารู้สึกมึนงงนิดหนึ่ง เพราะปกติตนสดชื่น แต่เมื่อนั่งวิเคราะห์แล้วเป็นเพราะอากาศเสีย เพราะอยู่กรุงเทพฯมีแต่อากาศเสีย เคยชินแต่ของเสีย แต่จากที่มองลงมาต้นไม้เยอะ อยากให้กรุงเทพฯและทุกเมืองเป็นแบบนี้ วันนี้ได้ฟังเพลงต้นไม้ของพ่อที่เปิด การปลูกต้นไม้ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงทำมาตลอดในการครองราชย์ 70 ปี ต้นไม้ที่ท่านทรงปลูกไว้วันนี้สูงใหญ่ ตนจะมาดูต้นประดู่ที่พระองค์ทรงปลูกไว้ จ.ราชบุรี มีหลายอำเภอมีความเข้มแข็งด้านการผลิต การเกษตร ปศุสัตว์
นายกฯกล่าวอีกว่า ขอให้พี่น้องเข้าใจ คำว่าเท่าเทียมคือ เท่าเทียมในเรื่องของโอกาส เราจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเข้มแข็งให้ได้ จึงจะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาหาประโยชน์ในทางที่ถูกกฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่มีผู้มีอิทธิพล รังแกผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลต้องดูแลไม่ว่ายากดีมีจน ทุกภาคส่วนต้องเข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน มีการจัดเก็บระบบภาษีในการพัฒนาประเทศ เพื่อดูผู้มีรายได้น้อยตามความจำเป็น หลายท่านอาจไม่มีใครมาพูดตรงนี้ แต่ตนจะพูดให้ฟังว่าประเทศของเราจำเป็นต้องมีการพัฒนาเร่งด่วนทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รัฐบาลพูดอะไรมาขอให้ฟังนิด และใช้สติปัญญาไตร่ตรองหาหลักการและเหตุผลว่าใช่หรือไม่ เราคิดถึงตัวเอง คิดถึงครอบครัวเป็นธรรมดา แต่ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย เพราะประเทศไทยมี 77 จังหวัด เราต้องรักสามัคคีกันมากขึ้น เพราะความรักความสามัคคีเป็นบ่อเกิดความสำเร็จ โดยมีวิสัยทัศน์มองร่วมกันคือความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มองไปข้างหน้าในระยะ 5 ปี 10 ปี 20 ปี ต้องไม่ล้มสลายย่อยยับลงไป หรือเกิดเสียหาย วันนี้จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ประเทศ ทำยุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องบริหารตามหลักการนี้ มีหลายอย่างที่ควบคุมอยู่ ทั้ง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ขอให้เข้าใจว่าการบริหารราชการแผ่นดินถ้าไม่ใช้หลักการหรือข้อกฎหมาย ทุกอย่างจะเกิดปัญหา หลายอย่างเป็นภาระรัฐบาล ซึ่งเราไม่โทษใคร วันนี้เราต้องทำใหม่ หลายอย่างจะค่อยดีขึ้นตามลำดับ แม้ตัวเลขจีดีพีโตจะสูงขึ้น 4.8 แต่ไม่ใช่รัฐบาลจะยินดีแล้วไม่ทำอะไรเลย เพราะตัวเลขพร้อมที่จะขึ้นและลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับการค้าที่เรามีกับโลกภายนอก เพราะเราไม่ได้ผลิตขายในประเทศอย่างเดียว ส่วนใหญ่เราขายนอกประเทศ รายได้มาจากการส่งออก เราต้องปรับรูปแบบการส่งออก และหวังรายได้อื่นๆ เสริมด้วย มากกว่าหวังส่งออกอย่างเดียว เพราะตลาดภายนอกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา วันนี้พืชผลการเกษตรลดน้อยลงที่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ผูกพันมาถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เป็นกลไกที่เราบังคับไม่ได้ ขอให้เข้าใจไม่ว่ารัฐบาลใดจะใช้กลไกบังคับมากไม่ได้ เพราะเรามีกติกา ตราบใดที่เรายังต้องส่งออกต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ บนกฎกติกาการค้าโลก และต้องพัฒนาและควบคุมคุณภาพการผลิต เพราะหลายประเทศมีการต่อรอง ขณะที่มีการเปิดช่องทางมากขึ้นผ่านการค้าออนไลน์ แต่ไม่ใช่เรื่องของการผูกขาด แม้แต่ราคาน้ำมันหลายประเทศที่มีราคาต่ำ เพราะเขามีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เราต้องเข้าใจกลไกเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นบิดเบือนกันไปเรื่อยกลายเป็นปัญหา

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เราจะปลูกต้นไม้กัน 5 ล้านต้น 2 หมื่นกว่าไร่ตรงนี้ห้ามตาย ซึ่งบางคนมาบอกว่ามีอำนาจเยอะแยะอย่างนั้นทำไมไม่ใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งต้นไม้ไม่ให้ตาย พอจะเอาอะไรก็จะให้ใช้มาตรา 44 แต่ถ้าไม่เอาก็ไม่ให้ใช้มาตรา 44 มันเป็นแบบนี้ ซึ่งต้องเข้าใจให้ตรงกันว่า อะไรที่ต้องแก้ไขจะทำให้ แต่จะฝืนกฎหมายทุกอย่างจนทุกอย่างมันไม่ได้ รัฐบาลไม่ต้องการทำแบบนั้น เพราะวันหน้าเราต้องอยู่กันแบบประชาธิปไตย วันนี้ประชาธิปไตยกำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ขอบอกพี่น้องว่าการประท้วงอะไรต่างๆ มีผลกระทบทั้งสิ้น รายได้ของเราได้จากการท่องเที่ยว ถ้าประเทศของเรามีการชุมนุมมีการขัดแย้ง มีความวุ่นวาย การท่องเที่ยววันนี้ล้มทันที เมื่อไหร่ก็ตามที่บ้านเมืองไม่สงบ มีการประท้วงเช่นเดิมขึ้นมาอีก มีการย้ายคนก็จะเกิดปัญหาเรื่องการท่องเที่ยว ปัญหาความเชื่อมั่นในการลงทุน เพราะวันนี้การลงทุนมีมูลค่าหลายแสนล้านบาทที่เขาจะลงทุนที่ไทยในระยะเวลา 3 ปี เราจะต้องไม่ทำให้เกิดปัญหาตรงนี้โดยเด็ดขาด”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้อากาศดี เริ่มดีขึ้นแล้ว ออกซิเจนเริ่มเข้ามาแล้ว เมื่อวานออกซิเจนน้อยหน่อย เพราะมีชุมนุมกันอยู่ คนเยอะ อากาศเป็นพิษ แต่ทุกอย่างเรียบร้อยเพราะพวกเรา สำคัญที่ไม่ลุกลามบานปลายเพราะประชาชน ที่ต้องเข้าใจว่าเกิดอะไร และวันนี้รัฐบาลประกาศอะไรไปบ้างแล้ว ทำอะไรไปบ้างแล้ว มันไม่เกิดประโยชน์หรอก ต่างประเทศเขาก็ประท้วงแบบนี้แหละ แต่เขาขออนุญาตและอยู่ที่เดียวไม่ไปไหน จะประท้วงกี่วันกี่เดือนกี่ปีเขาก็อยู่ตรงนั้น เดี๋ยวรัฐบาลก็ต้องแก้ วันนี้ไม่ต้องประท้วงตนก็แก้อยู่แล้วที่ร้องมาทั้งหมด รัฐบาลแก้ทุกอย่าง อันนี้แก้ได้ไม่ได้ก็ทยอยแก้กันไป รัฐบาลต้องใส่ใจในทุกเรื่อง ต้องมีการลงโทษใครที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดความเสียหายในเรื่องต่างๆ
“ผม รัฐบาลและ คสช.ไม่ใช่ศัตรูของใคร แต่ใครจะเป็นศัตรูของตน ตรงนี้ผมไม่รับทราบ แต่เป็นศัตรูกับกฎหมายไม่ได้ ก็อย่าทำกัน ขอบคุณประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตำรวจที่แก้สถานการณ์ได้อย่างสันติ ไม่ไปตี ไม่ยิงกัน ไม่อยากให้มีเหตุการณ์บานปลาย วันนี้ต่างประเทศก็ดูอยู่ ฉะนั้น เราต้องสร้างบ้านเมืองให้ปลอดภัยเข้มแข็ง หากเราไปมองประเทศอื่นที่เจริญแล้วและอยากได้แบบเขา แต่เราไม่แก้ตัวเราเองมันไปไม่ได้ กว่าเขาจะไปแบบนั้นได้ตียิ่งกว่าเราอีก เขารบกันทั้งเมืองยิ่งกว่าเราอีก เขาถึงพัฒนาไม่ให้เกิดขึ้นแบบเดิมอีก โดยเฉพาะประเทศตะวันตก ตะวันออกบางประเทศที่มีการสู้รบก็เริ่มจากความขัดแย้งภายใน ท้ายสุดก็บานปลาย มีการเจ็บ แบ่งข้าง ตายเป็นล้านๆ คน เขาถึงต้องทำให้ไม่มีการประท้วงเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ เขาถึงเคารพกฎหมายเพราะกลัวจะเกิดขึ้นอีก แต่พวกเรายังไม่เจอขนาดนั้นเลยยังไม่รู้ว่าจะร้ายแรงขนาดไหน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเข้ามาเพื่อยุติสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เดินหน้าสู่การเป็นประชาธิปไตย สู่การมีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนพูดเพราะๆ ไม่ค่อยเป็น แต่ใจตนนึกถึงทุกศาสนาในประเทศไทย ที่ทั้ง 5 ศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างสันติมาโดยตลอด ภายใต้พระบารมีของพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ เรื่องประชารัฐในพื้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องคุยกันหาข้อสรุปให้ได้ ไม่ใช่ประชุมกันพอทำประชาพิจารณ์แล้วขัดแย้งจนทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น การทำประชาพิจารณ์ต้องไปดูใหม่ ทำให้ครบทุกพวกทุกฝ่าย ไม่ใช่มาทำประชาพิจารณ์เอาแต่พวกเห็นด้วยมาทำ ต้องหาข้อสรุปให้ได้ระหว่างผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ไม่อย่างนั้นรัฐบาลจะเกิดงบค้างท่อทำอะไรไม่ได้ ฝากทุกคนด้วยไม่อย่างนั้นการพัฒนาจะไม่เกิดขึ้น และถ้ามีอะไรไม่ถูกต้องก็ร้องเรียนขึ้นมา ส่วนโครงการไทยนิยม ยั่งยืนได้ชี้แจงไปแล้วเดือนมิถุนายนงบประมาณจะเริ่มลงมา โดยกระทรวงต่างๆ เริ่มลงมือปฏิบัติในพื้นที่โครงการต่างๆ หน่วยงานละ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้เตรียมการเรื่องกฎหมาย การอนุมัติงบประมาณ ถือเป็นการทำงานแบบไทยนิยมที่ต้องลงถึงทุกหมู่บ้าน ไปสู่การเลือกตั้งข้างหน้าที่จะทำอย่างไรให้รัฐบาลดูแลทุกพื้นที่อย่างนี้ทัดเทียม
นายกฯกล่าวตอนท้ายว่า วันนี้มาทำความเข้าใจ ไม่ได้มาพูดให้รักตนเอง หรือต้องการให้ท่านมาเกลียดตน แต่ท่านอย่าเกลียดประเทศของท่านเอง อย่าเกลียดจังหวัด อย่าเกลียดผู้ว่าฯ ตำรวจ เพราะเราคือคนไทยทั้งสิ้น ช่วยกันทำความดีทุกโอกาสเพื่อชาติ ทุกคนตอนนี้ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไรทั้งสิ้น ผมก็เป็นไปตามโรดแมป ขี้เกียจพูดแล้ว มีใครจะถามอะไรอีกไหม วันนี้ศาสนาสำคัญที่สุดทำให้ประเทศชาติปลอดภัย สร้างความสงบเรียบร้อย ขอบคุณทุกคนที่เตรียมงานวันนี้ จริงๆ แล้วตนไม่ใช่เจ้าพิธีการมากนัก สำคัญที่สุดอยากมาเจอประชาชนเห็นรอยยิ้ม ซึ่งบางคนก็ไม่ยิ้ม แต่ตนเป็นคนตลกอยู่แล้ว ตลกก็มี โมโหก็ง่าย เพราะทำงานถึงเป็นอย่างนี้ ถ้าจะเอาอารมณ์ดีๆ เฉยๆ ก็ไปรอรัฐบาล ไม่ต้องทำอะไร ยิ้มอย่างเดียว ต้องเอาจริงเอาจังแบบนี้ ข้าราชการทุกคนต้องปรับตัว ตนยืนยันข้าราชการตอนนี้เกียร์ว่างไม่ได้ ขอรอยยิ้มหวานๆ จากคนไทยถึงข้างในจะร้อนระอุยังไงแล้วก็ต้องยิ้มสู้ ตามเพลงที่รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ให้ไปเปิดฟังดู