PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

40 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน : เกาะไหหลำบนเส้นทางสายไหม-ทางทะเล

08102558 40 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน : เกาะไหหลำบนเส้นทางสายไหม-ทางทะเล
โดย : สุกัญญา หาญตระกูล
ข้อเสนอ One Belt and One RoadInitiative เป็นชื่อทางการจีนใช้ หมายถึง เส้นทางสายไหม-ทางทะเลนี่เอง
จะเปิดศักราชใหม่ทางการค้าและทางยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาคและในโลกอย่างยิ่ง อาจจะมากยิ่งกว่าเส้นทางสายไหม-ทางบกที่เคยมีเส้นเดียวในอดีตเสียอีก
ไหโข่ว (Haikou) เมืองหลวงของเกาะไหหลำ ก็จะเปลี่ยนสถานภาพไปมากทีเดียว เพราะจะเป็นเมืองท่าหนึ่ง บนเส้นทางการค้าการเชื่อมโยงทางทะเลแห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ของจีนสายนี้
จากที่แต่ไหนแต่ไร ไหโข่วไม่เคยสามารถเทียบเคียงอะไรได้เลย กับเมืองใหญ่เมืองท่าใดบนฝั่งตะวันออกของผืนแผ่นดินใหญ่ หรือเกาะไต้หวันเกาะฮ่องกง
ไม่ว่าจะเรื่องการค้า การพาณิชย์ การส่งเข้าส่งออกและความทันสมัยอื่นๆ ยังไม่ทันไร ขณะนี้ไหโข่วก็ได้รับการขัดสีฉวีวรรณให้พ้นสภาพเมืองในเกาะบ้านนอก
มีตึกระฟ้าเต็มเมือง สนามบินทันสมัย ถนนหนทางเข้าตัวเมืองได้มาตรฐาน ความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยบ้านเมืองสองข้างทางน่าประทับใจ นับว่ากินขาด
เส้นทางจากสนามบินสุวรรณภูมิของเราเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ เป็นสัญญาณว่าจีนเอาแน่ตามแผนพัฒนาเปลี่ยนโฉมเกาะไหหลำ จากเกาะไกลปืนเที่ยงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีความพร้อมระดับ 5 ดาว ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตะวันตกแบบเดียวกับเกาะบาหลี เกาะภูเก็ต เลยทีเดียว
เมื่อปี 2532 ไหโข่วจัดประชุมครั้งใหญ่ของชาวไหหลำโพ้นทะเล
พ่อกับแม่ได้กลับไปเกาะไหหลำอีกครั้ง เมืองไหโข่วพัฒนาขึ้น
ดูจากรูปถ่ายก็รู้ว่า เมืองไหโข่วเปลี่ยนไปไม่น้อย
จากที่พ่อกับแม่กลับไปครั้งแรก ประมาณปี 2520 กว่าๆ ครั้งนั้นจำได้
แม่เล่าขนาดว่าโรลพลาสติกม้วนผม ญาติพี่น้องยังขอไว้ใช้
อีกเพียง 10 กว่าปีให้หลังเอง ทั้งถนนหนทาง โรงแรมและการคมนาคมดีขึ้นผิดหูผิดตา ญาติพี่น้องในหมู่บ้านไม่ได้ขาดแคลนข้าวของเครื่องใช้เหมือนแต่ก่อน
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รองเท้า ฯลฯ ทุกอย่างมีพร้อม อุดมกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี เกาะไหหลำที่ผู้เขียนเพิ่งได้เห็นมาเมื่อเดือนมิถุนายน
มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร
จากเดิมที่เคยได้ยินและได้เห็นจากภาพสมัยก่อน
แค่ตลาด-องเขี่ยน ที่เป็นตลาดระดับอำเภอใกล้หมู่บ้านเหลี่ยมทิของพ่อ ในจังหวัดบ่วนเซียว
ผู้เขียนก็รู้สึกว่าตลาด-องเขี่ยน ช่างคึกคักกว้างขวางกว่าตลาดอำเภอเมืองพะเยา ที่เป็นตลาดระดับจังหวัดเสียอีก เล่นเอารู้สึกแปลกๆ งงๆ กับความเป็นจริงที่ว่าเมืองพะเยาในวันนี้ดูเล็กและคึกคักน้อยกว่าตลาด-องเขี่ยน
ขัดกับความรู้สึกที่ตลอดเวลาผู้เขียนเติบโตมาอย่างที่มีความนึกคิดว่า
เมืองพะเยาคึกคักใหญ่กว่าแหล่งแห่งที่พ่อตัดสินใจจากมาอย่างแน่นอน
แต่ที่ไหนได้ ตกกลางคืน เพียงทุ่มหนึ่ง มองจากหน้าต่างโรงแรมที่พักบนถนนใกล้ตลาด-องเขี่ยน ถนนหนทางเงียบลงถนัดใจ ร้านรวงปิดไปตั้งแต่สี่ห้าโมง มีแสงไฟเปิดอยู่หน้าร้านบางแห่ง รถจอดอยู่บนถนนประปราย
ผู้เขียนถึงเริ่มรู้สึกว่า ที่นี่ไม่ต่างจากตลาดเมืองพะเยานัก ที่พอค่ำก็เงียบสงบลง ตามแบบฉบับเมืองในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะใหญ่คึกคักตอนกลางวันแค่ไหน ย่อมไม่มีชีวิตกลางคืนเหมือนเมืองใหญ่เมืองหลวงที่ไฟฟ้าสว่างไสวไปจนถึงหลังเที่ยงคืน
ขนาดใกล้โรงแรมเล็กที่เราพักอยู่ มีงิ้วไหหลำเล่นสามคืน ฉลองเจ้าของโรงแรมใหญ่ได้ลูกชายสมใจนึก สามทุ่มก็เล่นจบ
ผู้เขียนออกไปชมกับเขาด้วย คนในตลาดและหมู่บ้านรอบๆ มารอชมตั้งแต่หัวค่ำ มากันเป็นครอบครัวสองสามชั่วคน เด็กเล็กมากมายอออยู่หน้าเวที ซึ่งตั้งกลางแจ้ง ผู้ชมมีเก้าอี้นั่งบ้างแต่ยืนมากกว่า บรรยากาศเหมือนกับตอนวัยเด็กของผู้เขียนปี 2500 กว่าๆ เวลามีงิ้วไหหลำมาเล่นที่เวียงแก้ว ใกล้ๆ ตลาดเมืองพะเยา อย่างไรอย่างนั้น
เอาเข้าจริงๆ จึงได้เห็นว่า ตลาด-องเขี่ยน ก็แค่ขนาดใหญ่กว่าตลาดเมืองพะเยา
แต่สิ่งแวดล้อมทางสังคมอื่นๆ องเขี่ยนยังเป็น “เมือง“ (urban) ไม่มาก ค่อนไปทางเป็นชนบท (rural) มากกว่าเมืองพะเยาเสียอีก
ดูจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวสองสามชั่วคน ความเป็นกันเองของผู้คนในเมืองในตลาด และกับชนบท (social mixing) ไม่ห่างเหินกันแบบปฏิสัมพันธ์คนในเมือง (social distance) สถาบันการศึกษาที่มีไม่กี่แห่ง การมหรสพ ร้านหนังสือ ร้านของเล่นที่มีจำกัด ฯลฯ
หากเปรียบเทียบตลาด-องเขี่ยน และคนที่นั่นกับเมืองไหโข่ว ซึ่งอยู่ใกล้กันขนาด 70-80 กิโลเมตร
ไหโข่วเป็นเมือง (urban) เต็มขั้น องเขี่ยนเป็นชนบท (rural) สุดๆ
ไหโข่วเป็นเมืองระดับเมกาด้วยซ้ำไป เมื่อเทียบกับเมืองระดับจังหวัดใกล้ๆ และทุกเมืองบนเกาะไหหลำกระมัง
เอาเป็นว่า นับจากเมืองไหโข่วทางฝั่งตะวันออก และเมืองซันย่าทางทิศใต้ ที่เป็นด่านหน้าของความทันสมัย ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
ผ่านตอนกลางของเกาะไหหลำไปทางตะวันตก ความเป็นสังคมเกษตร-ชนบทในระยะเปลี่ยนผ่านมาเป็นสังคมเมืองยังเห็นชัดเจนมาก
มองจากมุมนี้ ไหโข่วก็คล้ายกับเมืองการค้าเมืองท่าใหญ่ๆ ทางฝั่งตะวันออกบนแผ่นดินใหญ่ ที่เมื่อลึกเข้าไปทางด้านหลังมากขึ้นในแผ่นดินทางตะวันตก
ความเป็นสังคมชนบทก็ยิ่งมากขึ้น หมายถึงความแตกต่างทางเศรษฐกิจรายได้ด้วย
เส้นทางสายไหม-ทางทะเลในอนาคต จะมีส่วนช่วยลดหรือเพิ่มช่องว่างความแตกต่างระหว่างความเป็นชนบท/เมือง (rural/urban) ให้กับเกาะไหหลำและเมืองจีนอย่างไร
ใครเล่าจะหาญตอบ
จนถึงขณะนี้หลายประเทศบนแผนที่เส้นทางสายไหม-ทางทะเล โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน ยังไม่แสดงทีท่าเด่นชัดว่า เป็นปลื้มหรือไม่กับเส้นทางนี้
เพราะอาเซียนมีเครือข่ายเชื่อมโยงที่ไม่น้อยหน้า มีเพียงประเทศในเอเซียใต้
เช่น ศรีลังกาและปากีสถานเท่านั้น ที่ร่าเริงขานตอบความฝันของจีน

ฟังเสียง และ ดูหน้า-ดูอารมณ์ปลดปลง ท้อใจของ นายกฯบิ๊กตู่...

ฟังเสียง และ ดูหน้า-ดูอารมณ์ปลดปลง ท้อใจของ นายกฯบิ๊กตู่..."คนเป็นผู้นำต้องกล้าเปลี่ยนแปลง ให้ดีขึ้น"แต่ถูกต้าน ขออยู่เฉยๆดีกว่า ไม่ปวดหัว หลังถูกตี เรื่องSingle Gateway สั่งเลิกพูด Single Gateway ยังไม่ได้ทำ เอาเรื่องคนบันทึกประชุม 4ขัอ ยันไม่ได้สั่งให้ทำ เบื่อขุดเรื่องเก่ามาพูด บอก ไม่มีSingle Gateway พ่อแม่อย่ามาร้องกับผม ว่าเด็กดูภาพโป๊ นะ บอกอย่างเทียบไทยกับต่างชาติ ระบุมีแนวคิดต่างกัน ยกวาทะ"คนจะเป็นผู้นำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น "

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการตั้ง Single Gateway ว่า "จะถามอะไรอีก ก็บอกแล้วว่ายังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย"
เมื่อถามว่า เอกสารสรุปจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีการสั่งการเรื่องดังกล่าวถึง 4 ครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะต้องไปฟังรายละเอียด เพราะบางครั้งเวลาเขียนอาจจะเขียนไม่ครบถ้วน 
"เดี๋ยวผมจะไปเล่นงานคนบันทึกการประชุม แต่ผมได้ถามกับรัฐมนตรีแล้วและมีการคุยใกันในที่ประชุมครม. คือไปหาวิธีการดำเนินการ แต่จะต้องดำเนินการไปตามกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ทำไมไม่อ่านตรงนั้น"

และถ้าละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือถ้าไม่มีกฎหมายก็ทำไม่ได้ ก็แค่นั้นเอง และขอถามว่าวันนี้มันเดือดร้อนบ้างหรือเปล่า เด็กนักเรียนก็ดูภาพโป๊ ได้ เยาวชนชาติ แล้วจะทำอย่างไร และ Single gateway ก็แก้ไม่ได้หมด แต่จะทำอย่างไร ถ้าทำอะไร ก็ไม่ต้องมาร้องกับผมว่าเดือดร้อนอย่างโน้น อย่างนี้
เพราะคนหนึ่งบอกว่าเรื่องนี้ห้าม แต่อีกพวกหนึ่งก็บอกว่าเดือดร้อนจากเรื่องนั้นๆ แล้วรัฐบาลจะอยู่ตรงไหน "ยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น เลิกพูด เรื่อง Single gateway อย่ามาพูดกับผม เบื่อแล้ว เก่าแล้ว ขุดอยู่นั่นแหละ"
ส่วนจะมีแนวทางอื่นทดแทนการทำ Single gateway หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ไปคิดและศึกษาจากต่างประเทศว่าทำได้อย่างไร ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ทำ แต่ปัญหาคือเราชอบนำสิ่งที่เกิดในต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา ซึ่งมันไม่ได้ เพราะความคิดคนไทยกับต่างชาติไม่เหมือนกัน ทุกอย่างจะเอาแต่สบายหมด เขาพัฒนาเกินหน้าเราไปมาก เพราะมันติดอยู่อย่างนี้ ติดความคิดเดิม ติดการสร้างความเข้าใจแบบเดิม มันไปไหนไม่ได้ แก้ให้ตายก็ไปไม่ได้ อยู่แค่นี้กลับมาที่เดิม จะขับเคลื่อนเดินหน้าไปก็ไม่ได้สักที มีแต่ขับเคลื่อนถอยหลัง
เมื่อถามว่า นายกฯ รู้สึกอย่างไรพอจะขยับก็มีเรื่องเข้ามา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าไม่รู้สึกอะไรเพราะเป็นเรื่องธรรมดา
"คนจะเป็นผู้นำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อคนบางกลุ่มบางพวก ก็ต้องเลือกเอาว่าจะทำให้ดีขึ้นหรือเท่าเดิม ถ้าเท่าเดิม ปมก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเข้าประชุมให้ปวดหัว ไม่ต้องเริ่มอะไรใหม่ๆ แค่รักษาเวลาไว้ให้เลือกตั้ง ถ้าวันนี้ยังสร้างความเข้าใจเหมือนเดิม เขียนเหมือนเดิมสื่อต้องเขียนให้รู้ว่าปัญหาชาติอยู่ที่ไหน หรือยังไม่รู้แล้วมาเก็บสิ่งที่ตนพูดให้ตีกันอยู่อย่างนี้ ผมคิดว่ามันไม่ใช่


"นายกฯ ถาม จะมีปฏิวัติหรือ เป็นสนิมแต่เนื้อในตน"หรือ ?


"นายกฯ ถาม จะมีปฏิวัติหรือ เป็นสนิมแต่เนื้อในตน"หรือ ? ปราม บิ๊กหมู -บิ๊กโด่ง แตกคอกีนไม่ได้ เป็นเพื่อนกัน ยันผมสั่งได้หมด เอาอยู่ ถาม จะมีการปฏิวัติรัฐประหารืกันรึไง เผยเรื่องทุบรื้อ ถ้าไม่ดี ทบ. ก็สอบกัน
พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และหน.คสช. กล่าวถึง กรณีของ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ.กับ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กห.ว่า ไม่ได้แตกคอกัน จะแตกคอกันไม่ได้ เปรย เรียนมาคนละตำรามั้ง ยันเกษียณมา ไม่เคยไปยุ่งเลย ไม่เคยเข้าไปเลย

ส่วนการทุบรื้อ สิ่งที่สร้างขึ้นมาจสกภาษีประชาชน นั้น นายกฯกล่าวว่า ผมไม่ใช่ผบทบ.แล้วให้ทบ.เขาทำงานกันบ้าง ถ้ามันไม่ดีกเดี๋ยวเขาสอบกันเอง
แต่ในฐานะที่อยู่ตรงนึ้มองว่าอาจจะคนละความคิดกัน แต่ไม่ขัดแย้ง เพื่อนกัน "ผมอยู่ตรงนี้ ยังไงก็ทะเลาะกันไม่ได้"

เมื่อถามว่า มั่นใจว่า พลเอกประวิตร รมว.กลาโหม ดูแลได้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวสวนทันทีว่า ผมเนี่ยเป็นคนดูเองทั้งหมด ท่านก็ดูในกรอบของท่าน ทำไมจะดูแลไม่ได้ มันจะแตกแยก จะเป็นสนิมแต่เนื้อในตน อะไรบ้าบอคอแตก นั่นหรือ ตราบใดที่ผมสั่งได้หมด มันคือ(เอา)อยู่ ทำไมมันจะมีการปฏิวัติรัฐประหารืกันรึไง"

ป๋าลั่นจะช่วย จนกว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบให้ได้

"ป๋าเปรม" ขอบคุณ "บิ๊กณะ" ผบ.ทร. คุย มุ้งมิ้ง ตัวแทน ผบ.เหล่าทัพ ที่มาร่วมงาน ถือว่า ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ให้ความสำคัญกับเด็กๆ
ป๋าลั่นจะช่วย จนกว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบให้ได้ และขจัดความเข้าใจผิด หรือจนกว่าจะขึ้นสวรรค์ พร้อมให้สัญญากับเด็กๆว่าจะคิดถึง จะไม่ทอดทิ้ง มีอะไรบอกมา ยันประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง /ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้พหุวัฒนธรรม"รุ่นที่ 2 พร้อมย้ำศาสนาไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างความรัก ความสามัคคีให้กับชาติบ้านเมือง เน้นเยาวชนนำความผาสุขกลับสู่พื้นที่ภาคใต้
สโมสรทหารบก วิภาวดี ---พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้พหุวัฒนธรรม"รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากดำริ ของพลเอกเปรม ที่มอบหมายให้องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดกิจกรรม
โดยมี พลเรือเอก ณะ อารีณิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผบ.เหล่าทัพ คนเดียว ที่มาร่วมงานด่วยตนเอง เพราะถือเป็น งานป๋าเปรม ครั้งแรก ตั้งแต่มีการเปลี่ยนผบ.เหล่าทัพใหม่

โดย พลเอกปราการ ชลยุทธ รองเสนาธิการทหาร พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอก เผด็จ วงษ์ปิ่นแก้ว ผช.ผบทอ. ร่วมงาน แทน ผบเหล่าทัพ ที่ติดราชการ ติดประชุม
โดยนำเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งกันและกันจนสามารถเชื่อมความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เรียนรู้สภาพความเป็นอยู่และสามารถเชื่อมความสัมพันธ์เป็นเครือข่ายครอบครัวอันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ในสังคม เป็นการสร้างโอกาสแก่เยาวชนให้ได้รับการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ชีวิต ตลอดจนถึงการพัฒนาแนวคิดในการปฏิบัติตนให้เป็นผู้นำของชุมชนในอนาคต

พลเอกเปรม ให้โอวาทแก่เยาวชนตอนหนึ่งว่า ต้องการนำเยาวชนที่นับถือศาสนาต่างกัน มาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรม แม้จะนับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่อยากให้เยาวชนได้ตระหนักว่าทุกคนล้วนเป็นเจ้าของประเทศนี้ด้วยกันทั้งสิ้นและศาสนาไม่ใช่อุปสรรคที่จะปิดกั้น ทุกคนสามารถช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขได้ และการมาอยู่ที่นี่ด้วยกันอยู่อย่างมิตรแท้ เพื่อชาติ ช่วยกันทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทย การทำตนเองเป็นตัวอย่างที่ดี เช่นรักกัน เสียสละให้ส่วนรวม สามัคคีกัน เราก็เป็นเพื่อนดูแลชาติบ้านเมืองต่อไปได้ แม้จะต่างศาสนากันก็ตาม
พร้อมทั้งขอให้ผู้จัดโครงการได้เปิดเผยถึงข้อความที่เยาวชนเขียนส่งประกวดถึงความรู้สึกว่ามีอย่างไรต่อแผ่นดินที่เป็นเจ้าของ
"เราสัญญาจะรัก จะห่วงใย และจะคิดถึงพวกเธอทั้งหลายเสมอ แม้เธอจะอยู่ไกลถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้
"อยากให้ลูกๆหลานๆเชื่อว่าเราจะร่วมมือกันทำชาติให้สงบให้ได้ จะสลายความเข้าใจผิดให้ทุกคนเข้าใจถูกให้ได้ เราจะทำแบบนี้ จนกว่าคนจะเข้าใจถูกและจนกว่าเราจะขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน " พลเอกเปรม กล่าว
ป๋าเปรม ยังขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนสนับสนุนให้กิจกรรมนี้เกิดขึ้นได้สำเร็จตามเป้าหมาย
สำหรับโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้ พหุวัฒนธรรม รุ่นที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 11 ตุลาคม 2558 มีเยาวชนเข้าร่วมทั้งสิ้น 327 คน โดยจะเดินทางไปทัศนะศึกษาตามสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้านสังคมพหุวัฒนธรรมและนำประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป
โครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้ " เริ่มตั้งแต่ ปี2548 เป็นต้นมา ได้ดำเนินการมาแล้ว 23 รุ่น รุ่นพหุวัฒนธรรม 1 รุ่น โดยโครงการนี้ได้จัดร่วมกับสำนักงานจุฬาราชมนตรี สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาลัยฟาฏอนี ที่นำเยาวชนมาเข้าร่วมโครงการ
รวมถึงได้รับความร่วมมือจาก หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กองทัพไทย โดยเหล่าทัพต่างๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

บิ๊กตู่ บอกอย่าแกล้งตาย ต้องตายจริง....

บิ๊กตู่ บอกอย่าแกล้งตาย ต้องตายจริง....
"นายกฯ" ยัน ไม่มีกำหนดระยะเวลาปรองดอง ยันไม่เลือกปฏิบัติ ย้ำต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมก่อน ย้อนถามเลิกตีกันหรือยัง ลั่นแกล้งตายไม่ได้ ต้องตายจริง ยันห่วงบ้านเมืองถึงมายืนตรงนี้ เผย กองทัพ-ตำรวจ ทำปฏืรูป มาเกือบจบ มายืดเวลาตามกรอบ 6-4,6-4

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงหลักเกณฑ์ และระยะเวลาของแนวคิดการนิรโทษกรรมเพื่อปรองดอง ว่า ทำไม ที่พูดเมื่อวาน (7 ตุลาคม) มันผิดตรงไหน เรื่องนี้ไม่มีระยะเวลา แต่วันนี้ได้เริ่มทำปฏิรูปแล้ว ไม่ใช่ผมไม่ทำ
เผยได้สั่งการ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้มาทำการปฏิรูปของเขาในระยะที่ 1 เดิมจะจบอยู่แล้ว   แต่ตอนนี้มีเวลา 6-4-6-4 ก็ยังมีเวลาอีก

ยืนยันว่าช่วงแรก ตนทำเรื่องการปฏิรูปอยู่แล้วทุกกระทรวง จะเห็นได้ว่า การบริหารราชการ จะมีซุปเปอร์บอร์ด ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมี คณะกรรมการต่างๆ หลายชุด มีการปรับไปบ้างแล้ว ระยะต่อไป เรื่องตำรวจ วันนี้มีการจับคนร้ายได้ ที่ผ่านมาจับไม่ค่อยได้ ตรงนั้นเป็นการปฏิรูปภายในของมันอยู่แล้ว บูรณาการเพิ่มประสิทธิภาพ ทุกกระทรวง ทบวง กรม บูรณาการข้ามกระทรวง ใช้จ่ายงบประมาณที่ผสมผสานกัน ไม่ใช่นำงบประมาณลงไปพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือแต่ละกระทรวงแยกงานกันทำในกิจการงานเดียวกัน นี่คือการปฏิรูป การปฏิรูปคือการนำเรื่องเดิมมาทำใหม่ แก้ไขปรับระเบียบวิธีการ ปรับกฎหมาย

สิ่งไหนไม่ดีก็ใช้มาตรา 44 เพื่อให้เกิดความมั่นคง ซึ่งความมั่นคงมีหลายด้าน ไม่ใช่เฉพาะรบทัพจับศึก มีความมั่นคงทางด้านอาหาร พลังงาน การต่างประเทศ เศรษฐกิจ ทั้งหมดเป็นการสร้างเสถียรภาพให้กับประเทศ โดยเฉพาะความมั่นคงในส่วนของรัฐและทางการเมือง
“วันนี้ผมถือว่ามาทำงานทางการเมืองด้วย แต่ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่ทำให้การเมืองมันนิ่ง สร้างความไว้วางใจกับต่างประเทศทำให้เขาพร้อมที่จะมาทำการค้าการลงทุน แต่ถ้าทุกคนมาต่อยตีกับผม
ในวันนี้ อย่าคิดว่าวันหน้าเขาจะมานะ ผมจะบอกให้ วันนี้ผมเริ่มให้ เขาก็พร้อมจะมา เขาบอกกับผมแล้วว่า อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างที่ผมอยู่ในตอนนี้ ท่านทำกันได้ไหมเล่า รู้ว่าทุกคนคาดหวัง ผมก็คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะมาทำให้ได้อย่างผม อย่าให้มาต่อยตี ยุแยงตะแคงรั่ว สองฝั่งตีกันไปมาอีก มันไม่ได้”

นายกรัฐมนตรี ถามสื่อว่า เลิกกันหรือยัง ใครบอกว่าเลิกแล้ว เลิกไหม

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีคิดว่าสถานการณ์แบบนั้น แต่ละฝ่ายเลิกหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ เป็นเรื่องของท่าน ตนไม่ได้เก่งขนาดนั้น ตนไม่สนใจ

เมื่อถามว่า เป็นการแกล้งตายหรือเปล่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แกล้งตายไม่ได้ มันต้องตายจริง 
แกล้งตายได้อย่างไร การแกล้งตายแสดงว่าที่มีการทำผิดกฎหมายหรือเปล่าตนไม่รู้ แสดงว่าแกล้งหยุดทำความผิดด้วยหรือเปล่า ตนไม่รู้

เมื่อถามว่า ตรงนี้น่าห่วงหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวแบบประชดว่า ไม่ห่วงเลย ไม่ได้ห่วงอะไรซักอย่างเลย ไม่ห่วงแล้วจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ห่วงประเทศถึงต้องเข้ามาตรงนี้

เมื่อถามย้ำว่า หมายถึงห่วงพวกที่แกล้งตายหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ห่วง กฎหมายมีอยู่ ใครทำผิดก็โดนจับ กฎหมายล้อเล่นได้ที่ไหน ไม่ใช่เอากฎหมายมาสู้กัน ซึ่งที่ผ่านมาการกำกับดูแลเรื่องกฎหมาย ทำให้กฎหมายใช้ไม่ได้ มีการเลือกปฏิบัติ

แต่อย่ามาบอกว่ารัฐบาลนี้เลือกปฏิบัติ ไม่ใช่ ใครทำผิด ก็ว่าไปตามผิด ใครอยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็อยู่ไป เมื่อจบกระบวนการยุติธรรมแล้วติดคุก จะผ่อนผันอะไรกันต่อไป ก็มีระเบียบอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่บรรเทาโทษ ไปจนถึงนิรโทษกรรมอะไรทำนองนี้ ซึ่งต้องไปคุยกันต่อ ฉะนั้นถึงต้องมีกลไกที่จะทำเรื่องเหล่านี้ ปฏิรูปปรองดองขจัดความขัดแย้ง จะมีกฎหมายหรือมีอะไรทำตนไม่รู้ รัฐบาลหน้าจะทำหรือเปล่า ตนก็ไม่รู้ เพราะตนไม่อยู่แล้ว เข้าใจหรือยัง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่ออีกว่า การปฏิรูปในระยะจากนี้ไปเป็นระยะที่ 2 ที่จะต้องทำต่อ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องเขียนให้ชัดเจนขึ้น ในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ถ้าเขียนแต่กรอบใหญ่ๆ กว้างๆ ก็ไม่ทำกัน หากเขาจะไม่ทำก็เรื่องของเขา ท่านก็ไปเรียกร้องเขาเองเหมือนที่เรียกร้องตนอยู่ทุกวันนี้ ตนทำ ท่านก็ไม่เข้าใจ แต่เวลาเขาไม่ทำท่านก็ไม่รู้จะถามอะไรอีกใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นวันหน้า ตนเอาใหม่ดีกว่า ไม่ต้องทำอะไรอยู่เฉยๆ ท่านก็ไม่รู้จะถามอะไรตนเหมือนกัน เพราะไม่ได้เดือดร้อน ให้ข้าราชการทำไป

แต่การเข้ามาในวันนี้ใช้แนวทางข้าราชการบวกกับประชาธิปไตย ฟังทุกคนและมาพิจารณา จะได้ข้อยุติอย่างไร เสียงส่วนใหญ่ใครได้ประโยชน์ เสียงส่วนน้อยที่เสียประโยชน์จะดูแลกันอย่างไร ทำนองนี้ แต่ไม่ใช่ว่าใครเข้าข้างตนแล้วทำให้ทั้งหมด ไม่ใช่ ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะบ้านนี้เมืองนี้ไม่ใช่ของตน แต่เป็นของทุกคน

นายกฯ ฉุน พวกจี้ รัฐธรรมนูญ ต้องเป็นประชาธิปไตย

นายกฯ ฉุน พวกจี้ รัฐธรรมนูญ ต้องเป็นประชาธิปไตย พูดอยู่นั่น แม้เป็น กม.หลัก แต่มันไม่ใช่แก้ไขทุกอย่างได้ มันอยู่ที่ใจคนทุกคน กฎหมายอะไรก็เอาไม่อยู่ทั้งนั้น ถ้ายังเป็นแบบเดิม ชี้รธน.ชั่วคราว ไม่ห้ามทาบ "บวรศักดิ์"เป็นที่ปรึกษากรธ. มองอาจเป็นเรื่องดี เพราะเคยร่างมาก่อน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงการตั้งที่ปรึกษา 9 คน ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยมีชื่อของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.ยกร่างฯ) ว่า แล้วแต่ทางกรธ. หากมีคุณสมบัติก็เชิญเข้ามา ผมไม่ได้ห้าม รัฐธรรมนูญเขียนไว้หรือเปล่าว่าห้าม ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวแก้ไขใหม่ก็ไม่ห้าม
ทุกคนมีคุณสมบัติ มีความสามารถทั้งนั้น อาจจะดีด้วยซ้ำเพราะ นายบวรศักดิ์ อยู่ในกมธ.ยกร่างฯ ชุดเดิมที่ยกร่างมา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ก็บอกแล้วว่าจะนำรัฐธรรมนูญฉบับนั้นฉบับนี้มาพิจารณาผสมกัน โดยการนำมาศึกษาก่อน แล้วจะอย่างไรกันต่อไป ซึ่งท่านก็ยังไม่ได้ตอบซักอย่าง จะให้ตนตอบได้อย่างไร เพราะไม่ใช่เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญ เรื่อง 5 หลักการในการร่างรัฐธรรมนูญก็ว่ากันไปแล้ว ซึ่งก็ตรงกัน จะเอาอะไรอีก
“รัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งสำคัญ เป็นกฎหมายหลักของชาติ แต่มันไม่ใช่แก้ไขทุกอย่างได้ ผมจะบอกให้ มันอยู่ที่ใจคนทุกคน อยู่ที่ใจ นักการเมืองทุกคน ข้าราชการทุกคน ประชาชนทุกคน ต้องช่วยทำให้บ้านเมืองนี้สงบ และเคลื่อนไปข้างหน้า
"กฎหมายอะไรก็เอาไม่อยู่ทั้งนั้น ถ้ายังเป็นแบบเดิม มันมีกฎหมายเป็นร้อยข้อ ยังเดินขบวนกันมา 6 เดือน ต้องไปดูตรงโน้น จะแก้อย่างไร ไม่ใช่รัฐธรรมนูญต้องเป็นประชาธิปไตย พูดอยู่นั่น อะไรคือประชาธิปไตย มีสิทธิ มีเสียง พูดทุกอย่างได้ จะเขียนด่าใครก็ได้ อยากทำอย่างนั้นต่อไปก็เชิญ ตามใจ จรรยาบรรณเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ผมต้องมีจรรยาบรรณกับทุกคน คนอื่นไม่ต้องมีหรือไง ผมไม่รู้”
นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกฯ บอก ไม่มีSingle Gateway พ่อแม่อย่ามาร้องกับผม ว่าเด็กดูภาพโป๊ นะ

นายกฯ บอก ไม่มีSingle Gateway พ่อแม่อย่ามาร้องกับผม ว่าเด็กดูภาพโป๊ นะ สั่งเลิกพูด Single Gateway ยังไม่ได้ทำ เอาเรื่องคนบันทึกประชุม 4ขัอ ยันไม่ได้สั่งให้ทำ เบื่อขุดเรื่องเก่ามาพูด บอกอย่างเทียบไทยกับต่างชาติ ระบุมีแนวคิดต่างกัน ยกวาทะ"คนจะเป็นผู้นำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น "

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการตั้ง Single Gateway ว่า "จะถามอะไรอีก ก็บอกแล้วว่ายังไม่ได้คิด ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย"

เมื่อถามว่า เอกสารสรุปจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีการสั่งการเรื่องดังกล่าวถึง 4 ครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะต้องไปฟังรายละเอียด เพราะบางครั้งเวลาเขียนอาจจะเขียนไม่ครบถ้วน
"เดี๋ยวผมจะไปเล่นงานคนบันทึกการประชุม แต่ผมได้ถามกับรัฐมนตรีแล้วและมีการคุยใกันในที่ประชุมครม. คือไปหาวิธีการดำเนินการ แต่จะต้องดำเนินการไปตามกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ทำไมไม่อ่านตรงนั้น"

และถ้าละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือถ้าไม่มีกฎหมายก็ทำไม่ได้ ก็แค่นั้นเอง และขอถามว่าวันนี้มันเดือดร้อนบ้างหรือเปล่า เด็กนักเรียนก็ดูภาพโป๊ ได้ เยาวชนชาติ แล้วจะทำอย่างไร และ Single gateway ก็แก้ไม่ได้หมด แต่จะทำอย่างไร ถ้าทำอะไร ก็ไม่ต้องมาร้องกับผมว่าเดือดร้อนอย่างโน้น อย่างนี้
เพราะคนหนึ่งบอกว่าเรื่องนี้ห้าม แต่อีกพวกหนึ่งก็บอกว่าเดือดร้อนจากเรื่องนั้นๆ แล้วรัฐบาลจะอยู่ตรงไหน "ยังไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น เลิกพูด เรื่อง Single gateway อย่ามาพูดกับผม เบื่อแล้ว เก่าแล้ว ขุดอยู่นั่นแหละ"

ส่วนจะมีแนวทางอื่นทดแทนการทำ Single gateway หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ไปคิดและศึกษาจากต่างประเทศว่าทำได้อย่างไร ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ทำ แต่ปัญหาคือเราชอบนำสิ่งที่เกิดในต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับบ้านเรา ซึ่งมันไม่ได้ เพราะความคิดคนไทยกับต่างชาติไม่เหมือนกัน ทุกอย่างจะเอาแต่สบายหมด เขาพัฒนาเกินหน้าเราไปมาก เพราะมันติดอยู่อย่างนี้ ติดความคิดเดิม ติดการสร้างความเข้าใจแบบเดิม มันไปไหนไม่ได้ แก้ให้ตายก็ไปไม่ได้ อยู่แค่นี้กลับมาที่เดิม จะขับเคลื่อนเดินหน้าไปก็ไม่ได้สักที มีแต่ขับเคลื่อนถอยหลัง

เมื่อถามว่า นายกฯ รู้สึกอย่างไรพอจะขยับก็มีเรื่องเข้ามา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าไม่รู้สึกอะไรเพราะเป็นเรื่องธรรมดา

"คนจะเป็นผู้นำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อคนบางกลุ่มบางพวก ก็ต้องเลือกเอาว่าจะทำให้ดีขึ้นหรือเท่าเดิม ถ้าเท่าเดิม ปมก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเข้าประชุมให้ปวดหัว ไม่ต้องเริ่มอะไรใหม่ๆ แค่รักษาเวลาไว้ให้เลือกตั้ง ถ้าวันนี้ยังสร้างความเข้าใจเหมือนเดิม เขียนเหมือนเดิมสื่อต้องเขียนให้รู้ว่าปัญหาชาติอยู่ที่ไหน หรือยังไม่รู้แล้วมาเก็บสิ่งที่ตนพูดให้ตีกันอยู่อย่างนี้ ผมคิดว่ามันไม่ใช่

นายกฯ เผย เตรียมลงทุกพื้นที่ ตจว.ติดตามแผนกระตุ้นเศรษฐกืจ และกองทุนหมู่บ้าน5 ล้าน1ล้าน

นายกฯ เผย เตรียมลงทุกพื้นที่ ตจว.ติดตามแผนกระตุ้นเศรษฐกืจ และกองทุนหมู่บ้าน5 ล้าน1ล้าน ยันไม่ได้ทำเพื่อคะแนนเสียง เพราะไม่ได้ถูกเลือกมา แต่หาเรื่อง เข้ามาเอง เผย ไปทีไรชาวบ้านขอ ก็ต้องหางบฯกลางให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจะลงพื้นที่จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ว่า ทางเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ดำเนินการเอง
ทั้งนี้คิดว่าจะหาเวลาเพื่อลงพื้นที่ในได้ทุกภาคทั่วประเทศ รวมถึงจังหวัดที่พร้อมในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ผลงานการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้ง 5 ล้านบาท และ 1 ล้านบาท การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนกรอ. เพราะขณะนี้ได้ให้กรอ.จังหวัดเข้าไปขับเคลื่อนในพื้นที่ก่อน ซึ่งถ้าส่วนใดพร้อมก็ไปก่อน ซึ่งเวลาไปไม่ได้ทำเพียงเรื่องเดียว
"เวลาลงพื้นที่มีประชาชน และท้องถิ่นมีการเสนอของบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งผมก็ได้อนุมัติงบประมาณกลางเสริมให้ โดยเฉพาะเรื่องเร่งด่วนผมก็อนุมัติให้ และการลงพื้นที่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะได้เห็นข้อเท็จจริงในทุกพื้นที่ ซึ่งการใช้งบกลางก็จะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ได้ใช้เพื่อคะแนนเสียง ซึ่งผมไม่ต้องการให้คนจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งรัก หรือเกลียดผม เพราะผมไม่ได้ถูกเลือกมา ผมเข้ามาเอง หาเรื่องเองใช่ไหม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

"ป๋าเปรม" ลั่นจะช่วย จนกว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบให้ได้ หรือจนกว่าจะขึ้นสวรรค์

.พร้อมให้สัญญากับเด็กๆว่าจะคิดถึง จะไม่ทอดทิ้ง มีอะไรบอกมา ยันประเทศชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง /ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้พหุวัฒนธรรม"รุ่นที่ 2 พร้อมย้ำศาสนาไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างความรัก ความสามัคคีให้กับชาติบ้านเมือง เน้นเยาวชนนำความผาสุขกลับสู่พื้นที่ภาคใต้

สโมสรทหารบก วิภาวดี ---พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้พหุวัฒนธรรม"รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากดำริ ของพลเอกเปรม ที่มอบหมายให้องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดกิจกรรม 

โดยนำเยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวอุปถัมภ์ในกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งกันและกันจนสามารถเชื่อมความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เรียนรู้สภาพความเป็นอยู่และสามารถเชื่อมความสัมพันธ์เป็นเครือข่ายครอบครัวอันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ในสังคมเป็นการสร้างโอกาสแก่เยาวชนให้ได้รับการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ชีวิต ตลอดจนถึงการพัฒนาแนวคิดในการปฏิบัติตนให้เป็นผู้นำของชุมชนในอนาคต

พลเอกเปรม ให้โอวาทแก่เยาวชนตอนหนึ่งว่า ต้องการนำเยาวชนที่นับถือศาสนาต่างกัน มาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณีและวัฒนธรรม แม้จะนับถือศาสนาที่ต่างกัน แต่อยากให้เยาวชนได้ตระหนักว่าทุกคนล้วนเป็นเจ้าของประเทศนี้ด้วยกันทั้งสิ้นและศาสนาไม่ใช่อุปสรรคที่จะปิดกั้น ทุกคนสามารถช่วยกันดูแลบ้านเมืองให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขได้ และการมาอยู่ที่นี่ด้วยกันอยู่อย่างมิตรแท้ เพื่อชาติ ช่วยกันทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทย การทำตนเองเป็นตัวอย่างที่ดี เช่นรักกัน เสียสละให้ส่วนรวม สามัคคีกัน เราก็เป็นเพื่อนดูแลชาติบ้านเมืองต่อไปได้ แม้จะต่างศาสนากันก็ตาม
พร้อมทั้งขอให้ผู้จัดโครงการได้เปิดเผยถึงข้อความที่เยาวชนเขียนส่งประกวดถึงความรู้สึกว่ามีอย่างไรต่อแผ่นดินที่เป็นเจ้าของ 


"เราสัญญาจะรัก จะห่วงใย และจะคิดถึงพวกเธอทั้งหลายเสมอ แม้เธอจะอยู่ไกลถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้
"อยากให้ลูกๆหลานๆเชื่อว่าเราจะร่วมมือกันทำชาติให้สงบให้ได้ จะสลายความเข้าใจผิดให้ทุกคนเข้าใจถูกให้ได้ เราจะทำแบบนี้ จนกว่าคนจะเข้าใจถูกและจนกว่าเราจะขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน "
พลเอกเปรม กล่าว

ป๋าเปรม ยังขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนสนับสนุนให้กิจกรรมนี้เกิดขึ้นได้สำเร็จตามเป้าหมาย

สำหรับโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้ พหุวัฒนธรรม รุ่นที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 11 ตุลาคม 2558 มีเยาวชนเข้าร่วมทั้งสิ้น 327 คน โดยจะเดินทางไปทัศนะศึกษาตามสถานที่สำคัญต่างๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้านสังคมพหุวัฒนธรรมและนำประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

โดยมี พลเรือเอก ณะ อารีณิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเอกปราการ ชลยุทธ รองเสนาธิการทหาร พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พลอากาศเอก เผด็จ วงษ์ปิ่นแก้ว ผช.ผบทอ. ร่วมงาน

โครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้ " เริ่มตั้งแต่ ปี2548 เป็นต้นมา ได้ดำเนินการมาแล้ว 23 รุ่น รุ่นพหุวัฒนธรรม 1 รุ่น โดยโครงการนี้ได้จัดร่วมกับสำนักงานจุฬาราชมนตรี สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาลัยฟาฏอนี ที่นำเยาวชนมาเข้าร่วมโครงการ

รวมถึงได้รับความร่วมมือจาก หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กองทัพไทย โดยเหล่าทัพต่างๆ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

“วิษณุ”ชี้คำสั่งชดใช้ค่าเสียหายจำนำข้าวบังคับได้เหมือนศาลตัดสิน

“วิษณุ” ชี้ คำสั่งทางปกครอง ชดใช้ค่าเสียหายจำนำข้าว บังคับได้ เหมือนที่ศาลตัดสิน ส่วนเรื่องดอกเบี้ย ให้ดูตามคำสั่ง
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ให้สัมภาษณ์กรณี หากมีคำสั่งทางปกครอง ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว แล้วน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่จ่ายเงิน และไม่ฟ้องคัดค้านคำสั่งต่อศาลปกครอง รัฐบาลจะสามารถบังคับคดีได้หรือไม่ ว่า สามารถทำได้โดยจะมีผลเหมือนกับที่ศาลตัดสิน ส่วนระยะเวลาก็เป็นตามปกติทั่วไปเหมือนการยึดทรัพย์บังคับคดี ซึ่งอาจ เป็นกระบวนการทางศาล จะจัดการจนได้ เมื่อถามย้ำว่า คำสั่งทางปกครอง มีศักดิ์และศรีเท่ากับคำพิพากษาของศาลใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่มีวิธีบังคับได้ และยังไม่บอกว่าจะบังคับอย่างไร เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาเยอะแล้ว ประมาณ 300 กว่าราย บางคดีฟ้องศาลปกครองใช้เวลาเป็น 10ปี ศาลก็ตัดสินให้บางคนผิด ให้บางคนเพิกถอนคำสั่ง เมื่อถามอีกว่า หากคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามจำนวนวงเงินหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ต้องเสียดอกเบี้ย แต่เริ่มต้นต้องดูที่คำสั่งทางปกครองว่าให้ชดใช้เท่าไหร่ และเมื่อมีการฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่ง หากศาลเพิกถอนก็เพิกถอนทั้งหมด แต่ถ้าศาลไม่เพิกถอนก็ต้องจ่ายตามที่คำสั่งเขียนไว้ จะไม่เหมือนคดีแพ่งธรรมดา แต่เรื่องยังไปอีกยาว ยังไม่ต้องเตรียมตัว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังไม่มีการฟ้องร้องฝ่ายปฏิบัติ แต่มีการดำเนินการกับหัวขบวนก่อน นายวิษณุ กล่าวว่า การดำเนินคดีมี 2 อย่าง 1.เอาหัวขบวนก่อน และ 2 .เอาหางขบวนก่อน แล้วแต่จะเรียงลำดับ แต่เรื่องนี้ต้องเอาหัวขบวนก่อน เพราะอายุความจะครบกำหนดเร็วกว่า และ เป็นเรื่องที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจส่งเรื่องมา ส่วนหางขบวน ป.ป.ช.ไม่ได้ส่งมา และกำหนดเวลาเป็นอีกแบบหนึ่ง การจะฟ้องศาลก็เป็นคนละคดี คนละข้อหา และคนละศาล หากเปรียบเทียบแบบไม่ตรงนัก หัวขบวนคือตัวการ หางขบวนเป็นผู้สนับสนุน ถ้าไม่ฟ้องตัวกลางก่อนจะบอกได้อย่างไรว่าผู้สนับสนุนมีความผิด ส่วนที่ดำเนินคดีกังรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น เพราะป.ป.ช.ส่งเรื่องมาว่ามีผู้กระทำผิด มีการถอดถอน และรัฐบาลต้องดำเนินการต่อ ทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งทางอาญาก็มีการฟ้องร้องไปแล้ว ทางแพ่งก็ดำเนินการตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ