PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

“แม่ทัพภาค1” เชิญ600นักข่าว ใน26จ.ภาคกลาง สัมมนา สร้างเครือข่ายสื่อมวลชนเฝ้าระวัง

“แม่ทัพภาค1” เชิญ600นักข่าว ใน26จ.ภาคกลาง สัมมนา สร้างเครือข่ายสื่อมวลชนเฝ้าระวัง และแจ้งเตือนเพื่อต่อต้านกระแสข่าวลือ ข่าวบิดเบือน ขอความร่วมมือเสนอข่าวสร้างความปรองดอง ลดความขัดแย้ง
บิ๊กบี้ พลโท ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ แม่ทัพภาค 1 และ ผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ผอ.ศปป.)กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1(กอ.รมน.ภาค1) เปิดการจัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัมพันธ์
โดยมี ผู้แทนจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และสื่อมวลชนแต่ละแขนงในพื้นที่รับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 จำนวน 26 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 600 คน ร่วมงาน

โดยมี บิ๊กหนุ่ย พลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพน้อยที่1 เป็นแม่งาน
ทั้งนี้เพื่อสร้างเครือข่ายสื่อมวลชนในการเฝ้าระวัง และแจ้งเตือนเพื่อต่อต้านกระแสข่าวลือ
รวมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตามสัญญาประชาคม ความเห็นร่วมเพื่อก่อให้เกิดความสามัคคีปรองดอง
รณรงค์สร้างความเข้าใจและเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ รักสถาบัน และจิตสานึกความร่วมมือในการสร้างความสงบให้แก่บ้านเมืองและป้องกันปัญหาข้อขัดแย้งของสังคมอันเนื่องมาจากการรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง และเพื่อให้ประชาชนเกิดความรัก ความสามัคคี และเกิดความปรองดองสมานฉันท์ อันเนื่องมาจากการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง
​โดยมีการบรรยายเรื่อง " อุดมการณ์ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
โดยเฉพาะ ร.9 และ มาปัจจุบัน ร.10
และ เรื่อง"จิตสำนึกความร่วมมือในการสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม"

ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ต้องการให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีความเข้าใจในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องจากสื่อ
และขอความร่วมมือในการเสนอข่าวสารของสื่อ สามารถสร้างความปรองดองให้กับสังคมได้ และสามารถลดความขัดแย้งของประชาชนจากการรับรู้ข่าวสารที่บิดเบือน ทำให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย

อดอาหาร ค้านเลื่อนเลือกตั้ง

อดอาหาร ค้านเลื่อนเลือกตั้ง
นั่ง รอประกาศวันเลือกตั้ง
ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
“นาย เอกราช อุดมอำนวย “ ประกาศนั่งอดอาหาร บริเวณฟุตบาทถนนราชดำเนินกลางตรงบริเวณร้านเมธาวลัย ศรแดง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถึง 18 มค.นี้ เพื่อคัดค้านการเลื่อนเลือกตั้ง และรอ วันประกาศวันเลือกตั้ง
Cr-ศูนย์ข่าวโยธี

“นายกฯบิ๊กตู่” เตือน กกต. ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ต้องไม่กระทบพระราชพิธีฯ

“นายกฯบิ๊กตู่” เตือน กกต. ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ต้องไม่กระทบพระราชพิธีฯ/ กกต.พร้อมประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ใน 45 วัน หลังเลือกตั้ง/ ยัน มีเลือกตั้ง แน่ ก่อน9 พค.
พลเอกประยุทธ์ นายกฯเตือน อย่าไปตามกระแส วันนี้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ แน่นอนว่าประเทศต้องมีเลือกตั้ง ไม่มีการดึงอะไรไปได้ อาจจะมีขยับไปมาบ้าง แต่ก็อยู่ในกรอบ 9 พฤษภาคม เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นต้องไปแก้รัฐธรรมนูญกันใหม่ ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว
และตอนนี้อยู่ในช่วงที่จะมีพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันทำให้สงบ จะเห็นได้ว่าใกล้เลือกตั้ง ก็มีการเคลื่อนไหวกันไปกันมา
ส่วนตัวก็อยากให้ช่วงเวลาสำคัญเหล่านั้นนิ่งๆ เสียหน่อย ระหว่างนั้นก็ไปทำอย่างอื่นไป
“สมมติเลือกตั้ง เสร็จแล้ว เป็นเรื่องของการประกาศผลการเลือกตั้ง ตรวจสอบคุณสมบัติ และเป็นเรื่องของการตั้งรัฐบาล เลือกนายกรัฐมนตรี มีอีกหลายขั้นตอน
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น หลังจากการเลือกตั้ง ก็ไม่ควรจะต้องกระทบกับช่วงเวลาสำคัญ เหตุผลก็มีแค่นั้น ถ้าทุกคนคิดแบบวันนี้ ไปไหนก็ก๊งเก๊งไปทั่วหมด ทำอะไรก็ไม่ถูกใจทั้งหมด
แต่ขอยืนยันว่า ทั้งหมดก็มุ่งหวังทำให้การเมืองของเรามีเสถียรภาพมากขึ้น”

รายงาน : แนวโน้ม การเมือง แนวโน้ม ‘อยาก’

รายงาน : แนวโน้ม การเมือง แนวโน้ม ‘อยาก’ 


ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เมื่อมองภาพของ “คนอยากเลือกตั้ง” มักจะมองไปที่การชุมนุม

ไม่ว่าที่สกายวอล์ก อนุสาวรย์ชัยสมรภูมิ ไม่ว่าที่แยกราชประสงค์

จึงเห็นจำนวนไม่มากนัก ถึงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ระบุว่า เป็นเรือนร้อย ถึงกับ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ถึงกับระบุว่า เป็นพวกก่อกวน

มิใช่ก่อกวนอย่างธรรมดา หากก่อกวนอย่างเป็น “อาชีพ”

แต่ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อาจมองข้ามหรือมองไม่เห็นการรวมตัวกันของประชาชนบนหน้าเวทีปราศรัย

ไม่ว่าที่ตลาดบางแค ไม่ว่าที่ร้อยเอ็ด ไม่ว่าที่นครศรีธรรมราช

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินสาย “ปราศรัย” ของขุนพลนักพูดจากศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร เรื่อยไปจนถึงหนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี

แต่ละจุดมีคนมากกว่า 5,000 และบางแห่งมากกว่า 10,000

ถามว่าคนเรือนหมื่นไปรวมตัวกันรับฟังคำปราศรัยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ของ นายอดิศร เพียงเกษ และรวมถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะอะไร

เพราะมีการกะเกณฑ์ บังคับ หรือว่าจ้าง

คำตอบ 1 เพราะว่าพวกเขามีความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่อพรรคการเมืองที่จัดเวที เพราะว่าพวกเขานิยมชมชอบนักพูดฝีปากกล้า

คำตอบ 1 เพราะว่าพวกเขา “อยากเลือกตั้ง”

ที่ลงความเห็นว่า เพราะพวกเขา “อยากเลือกตั้ง” เนื่องจากสภาพการณ์เช่นนี้บังเกิดขึ้นในห้วงก่อนการเลือกตั้ง

และเนื้อหาที่พูดล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” ล้วนเป็นเรื่อง “การเลือกตั้ง”


หากสรุป “เนื้อหา” ไม่ว่าจะเป็นสภาพอันเกิดขึ้นที่สกายวอล์ก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอันเกิดขึ้นที่กุมภวาปี ไม่ว่าสภาพอันเกิดที่ยโสธร ล้วนเป็นอย่างเดียวกัน

นั่นก็คือ สะท้อนความรู้สึกของ “คนอยากเลือกตั้ง”

ต้องยอมรับ นับแต่มีประกาศและบังคับใช้ “รัฐธรรมนูญ” เมื่อเดือนเมษายน 2560 และนับแต่มีการประกาศและบังคับใช้ “กฎหมายลูก” อันเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 4 ฉบับเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561
สังคมไทยก็เริ่มเข้าสู่ “มิติ” ของ “การเลือกตั้ง”

ปัจจัยอะไรที่บ่งบอกว่าจะทำให้มีการเลื่อน มีการยื้อ ถ่วง หน่วง ดึง “วันเลือกตั้ง” ให้ทอดยาวออกไปย่อมก่อความหงุดหงิด

เป็นความหงุดหงิดอันปะทุขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือแยกราชประสงค์

ขณะเดียวกัน เมื่อพรรคการเมืองเดินสายพร้อมกับขุนพลนักพูด นักปราศรัยฝีปากคม ก็ย่อมได้รับการเข้าร่วมจากชาวบ้านอย่างคับคั่งอบอุ่น

เกิดบรรยากาศ “อยากเลือกตั้ง” กันอย่างกว้างขวาง ซึมลึก

สัมผัสได้ว่า แม้กระทั่ง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็ “อิน” กับบรรยากาศ ถึงกับโจนลงจากเวทีไปอยู่ในท่ามกลางการโอบกอดจากชาวบ้าน

ชาวบ้านที่ล้วนอยู่ในกลุ่ม “คนอยากเลือกตั้ง” ทั้งสิ้น

ไม่ว่าภาพอันปรากฏที่แยกราชประสงค์ หรือบนถนนราชดำเนิน หรือที่ร้อยเอ็ด ยโสธร ล้วนเป็นภาพที่สะท้อนเนื้อหาความรู้สึกร่วมกัน

นั่นคือ ความรู้สึก “อยาก” เลือกตั้ง

นั่นคือ ความรู้สึกที่ตั้งความหวังว่า ด้วย “การเลือกตั้ง” จะเป็นโอกาสนำพาสังคมไทยก้าวพ้นไปจากทศวรรษอันมืดมนตลอด 10 กว่าปีนับแต่รัฐประหาร 2549

จึงไม่ควรเมิน “ความรู้สึก” ของประชาชนต่ำกว่าความเป็นจริง

E-DUANG : “เนื้อหา” อันทรง พลานุภาพ ใน”เทคโนโลยี” อันทรง”พลัง”

E-DUANG : “เนื้อหา” อันทรง พลานุภาพ ใน”เทคโนโลยี” อันทรง”พลัง”

ทำไมรายการในแบบ Good Monday จึงมีการ Launch ในเดือนมกราคม 2562
ทั้งๆที่นี่มิได้เป็นความสามารถ”ใหม่”อะไรเลย
ตรงกันข้าม ใครที่เคยติดตามการพูดในรายการทุกเช้าวันศุกร์ในห้วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 กระทั่งหลังเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548
ก็จะสัมผัสได้ใน “กลิ่นอาย” การเก็บรับบทเรียนจาก “หนังสือ” และจากการค้นคว้า “เทคโนโลยี” ใหม่ๆ
แล้วทำไมต้องมา”เปิดตัว”ในเดือนมกราคม 2562
เป็นเพราะอยู่ในบรรยากาศของ “การเลือกตั้ง” ไม่ว่าจะในกุมภาพันธ์ ไม่ว่าจะในมีนาคม กระนั้นหรือ
ไม่น่าจะใช่

นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับการค้นพบช่องทางผ่าน “ทวิตเตอร์” เป็นช่องทางผ่าน “อินสตาแกรม” เป็นช่องทางผ่าน”ไลน์”
เพียงแต่คราวนี้เป็น “พอดแคสต์”
เมื่อเข้าไปอยู่ในโลกของโซเชียล มีเดีย ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดคือความสามารถในการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ เสรีและแผ่กระจายไปอย่างกว้างขวาง
จากที่พูดผ่าน”พอดแคสต์” ก็มีการโพสต์ มีการแชร์ มีการนำไปปรับแต่งด้วยแอพพลิเคชั่นอื่น
ปมเงื่อนจึงมิได้อยู่ที่ “เทคโนโลยี” อย่างเดียว
ที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ “เนื้อหา” ที่สอดสวมเข้าไปในเทค โนโลยีนั้นๆอยู่ในความสนใจใคร่รู้ของสังคมหรือไม่ มากน้อยเพียง ใด
ที่สำคัญเป้าหมายในการเปรียบเทียบคือใครและดำรงอยู่เช่น ใดในพื้นที่ทางการสื่อสาร
ภาพ”เปรียบเทียบ”ต่างหากที่มีความสำคัญเป็นอย่างสูง

การปรากฏขึ้นของ Good Monday จึงเป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งทั้งในทางความคิดและในทางเทคโนโลยี
เพียงแต่ดำเนินไปในห้วงก่อน”เลือกตั้ง”
แน่นอน ถึงมิได้มีการพูดในเรื่อง”การเมือง” หากเสมอเป็น เพียงเรื่องทางเศรษฐกิจ เรื่องทางวัฒนธรรม แต่ก็ส่งผลสะเทือน อย่างลึกซึ้งทางการเมือง
เป็นผลดีกับพรรคใด เป็นผลเสียกับพรรคใด มี”คำตอบ”

เปิด 3 สูตรแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย “คุณหญิง” เบียด “คุณผู้ชายร่างใหญ่” ?

เปิด 3 สูตรแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย “คุณหญิง” เบียด “คุณผู้ชายร่างใหญ่” ?
ช่วง1-2สัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวหนาหูเกี่ยวกับชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากฝั่งพรรคเพื่อไทย
ข่าวถูกปล่อยออกมารายวัน จนยาวมาถึงความสับสนเรื่องชื่อเบอร์ 1 ว่าจะเป็น “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” หัวขบวนใหญ่พรรคเพื่อไทยในขณะนี้
หรือจะเป็นอดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีอย่าง “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่จากฝั่งพรรคเพื่อไทยระบุว่าผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนในพรรคเห็นตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยควรจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้ครบทั้ง 3
ทำให้ก่อนหน้านี้ สูตรแรกที่ได้ยินมา 3 ชื่อ มี 1.คุณหญิงสุดารัตน์ 2.นายชัชชาติ และ 3.นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้กำกำปั้นทุบโต๊ะยืนยันรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่ลาออก จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.สมัยนั้น ประกาศยึดอำนาจ
สูตรที่2ที่ได้ยินมา 3 รายชื่อ มี 1.คุณหญิงสุดารัตน์ 2.นายชัชชาติ และ 3.พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ส่วนสูตร 3 ที่เพิ่งมีเสียงแว่วมาแต่เปอร์เซ็นต์เป็นไปได้น้อยมากเนื่องจากหลายฝ่ายไม่ยอมรับ นั่นคือมีความพยายามให้มีการเสนอชื่อ “คุณหญิงสุดารัตน์” เพียงชื่อเดียวเท่านั้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย
เพียงแค่ “ชัชชาติ” โพสต์ภาพพร้อมข้อความไม่กี่บรรทัดว่า “อนาคต ผมพร้อมแล้ว” ก็ทำเอาบรรดาพ่อยกแม่ยกกรี๊ดกันสนั่นหวั่นไหว
ผลโพลพลิกดันเพื่อไทยขึ้นเป็นผู้นำในกระดานการเลือกตั้งครั้งนี้ทันที
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้เองที่มีการเรียกอดีต ส.ส. ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศมาประชุมที่พรรค มีการให้ “นายชัชชาติ” ขึ้นเวทีโซโล่โชว์สปีชวิสัยทัศน์เรื่องปัญหาเศรษฐกิจบนเวทีก่อน จากนั้น “คุณหญิงสุดารัตน์” จึงขึ้นสปีชปิด ทั้งนี้ก็เพราะตั้งใจให้สปอตไลต์ฉายแสงไปที่ “คุณหญิงสุดารัตน์”
แต่กระแสกลับไม่ออกมาตามหวัง โซเชียลแห่แชร์คลิปสปีช “ชัชชาติ”
จนเป็นกระแสฮือฮาว่าเหมาะนั่งนายกฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่แบบนี้
ทำเอาตอนนี้เกิดการกันซีนกันในพรรคขึ้น
โดย “คุณหญิงหน่อย” พยายามย้ำให้ผู้สื่อข่าวฟังหลายครั้งว่า “ดิฉันเป็นคนชวนเขา (ชัชชาติ) มาทำงานกับพรรคเพื่อไทย” และ “เราเน้นการทำงานเป็นทีมเวิร์ก และคุณชัชชาติก็เป็นหนึ่งในทีม”
เสมือนเป็นการส่งความนัยบางอย่างว่าตัวเองยังคงกุมเบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทยอยู่

นอกจากนี้ จะตั้งใจหรือไม่ ไม่รู้ แต่งานเสวนาวงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยเมื่อต้นอาทิตย์ก่อนมาก็เลือกจัดแถลงในห้วงเวลาที่ “นายชัชชาติ” ไม่อยู่เพราะบินไปเยี่ยมลูกชายที่ต่างประเทศพอดี
ทั้งที่สื่อหลายสำนักต่างเฝ้าจับตาการปรากฏตัวของ “นายชัชชาติ” บนเวทีนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่พรรคเพื่อไทยออกตัวจะใช้เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง และมัดใจพี่น้องประชาชน
สมาชิกพรรคหลายคนจึงกระซิบกระซาบกันใหญ่ว่า “คุณผู้หญิง” ไม่อยากให้ “คุณผู้ชายร่างใหญ่” มาแย่งซีนอีกแน่ๆ
เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว กำหนดการเดินทางและตารางงานของนายชัชชาติก็ค่อนข้างแน่ชัดว่าช่วงเวลาดังกล่าวต้องบินไปเมืองนอก แต่ก็ยังมีการเลือกจัดแถลงโดยมีคุณหญิงสุดารัตน์ และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นแกนนำในการแถลง แล้วให้เหตุผลอ้อมแอ้มว่า ให้นายชัชชาติดูเรื่องคมนาคมและสาธารณูปโภคเป็นหลัก
สมาชิกพรรคยังเอามือป้องปากเมาธ์กันอีกว่า อย่างไรเสียชื่อเบอร์ 1 แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยก็เป็นชื่อของ “คุณหญิงสุดารัตน์” ไม่เปลี่ยน เพราะเห็นแก่ที่เจ้าตัวลงทุน ลงแรง ทุ่มเทจนหน้าดำแก้มไหม้ลงพื้นที่ และทำงานให้พรรคไม่ขาด แม้สมาชิกจำนวนมากจะไม่ยอมรับแต่ก็ต้องยกชื่อเบอร์ 1 แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคให้
ขณะที่ตัว “ชัชชาติ” ไปทำธุรกิจ เพิ่งกลับมาช่วยงานพรรคไม่นานแต่ชื่อดันเปรี้ยง และได้ใจประชาชนไปมากกว่า
“หากเพื่อไทยชนะจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ งานนี้ ในสภาสนุกแน่ว่าการลุ้นชื่อนายกฯ จะพลิกโผจากผู้หญิงเป็นผู้ชาย เพราะ ส.ส.จะแห่ไปยกมือให้ชายผู้แข็งแกร่งกันหมด…”
อดีต ส.ส.ของพรรคกระซิบกันไม่หยุด

ประกาศ พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

16 ม.ค.62 - ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศเรื่อง พื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นชอบให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส โดยใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติตามกฎหมายทดแทน เพื่อให้สามารถน ามาตรการตามกฎหมายดังกล่าวมาใช้ในการบริหารจัดการรักษาความสงบและความปลอดภัย ให้เป็นไปโดยต่อเนื่องและเกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรพ.ศ. ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ดังต่อไปนี้
๑. ให้เขตพื้นที่อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
๒. ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือหน่วยงานภายในที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมอบหมายให้เป็นศูนย์อำนวยการเป็นผู้รับผิดชอบ ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และจัดทำแผนการดำเนินการในการบูรณาการ การก ากับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๕๖๒
ประกาศ ณ วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. ๒๕๖2
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

ทหารมีไว้ทำไม

ทหารมีไว้ทำไม?? 

“บิ๊กป้อม” พ้อ พอมีฝุ่น ก็นึกถึง ทหาร  ยังมีพวกที่จ้องจะยุบกองทัพ. พอเดือดร้อน ก็นึกถึงทหาร แต่เห็นโจมตีทหารมาตลอด เผยให้รออีก 3 ปี รถไฟฟ้าสร้างเสร็จ วิกฤตฝุ่นละอองล เดินหน้าฉีดน้ำแก้ปัญหาเฉพาะเฉพาะหน้าไปก่อน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนักวิชาการออกมาระบุว่าต้องฉีดน้ำจำนวนมากถึงจะสามารถลดวิกฤตฝุ่นละอองใน กทม.ได้ว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนกำลังช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยดำเนินการทุกวัน หากรัฐบาลไม่ช่วยถามว่าใครจะช่วย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ไม่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนเนื่องจากสภาพอากาศค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว 

และเชื่อว่าหากการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายเสร็จสิ้นในห้วง 2-3 ปี จะช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองได้ ตอนนี้เราต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือการพ่นน้ำ 

อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝุ่นละอองจะไม่สูงไปมากกว่านี้แล้วเพราะที่เป็นอยู่ปัจจุบันคือถึงขั้นสูงสุดแล้ว 

พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตฝุ่นละอองในพื้นที่ กทม.ก็เนื่องจากสภาพความกดอากาศ รวมถึงการใช้ยานพาหนะ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคมไปดู แล้ว

“กองทัพพร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ที่ผ่านมาก็มีบางกลุ่มจ้องจะยุบกองทัพ แต่เมื่อเดือดร้อน ก็นึกถึงกองทัพ เป็นเรื่องที่แปลก ที่ผ่านมาก็โจมตีกองทัพมาโดยตลอด เห็นมาตั้งแต่สมัยรับราชการ ด่าทหารมาตลอด” พล.อ.ประวิตร กล่าวาไปก่อน เชื่อปัญหาค่าฝุ่นละอองไม่สูงไปกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนักวิชาการออกมาระบุว่าต้องฉีดน้ำจำนวนมากถึงจะสามารถลดวิกฤตฝุ่นละอองใน กทม.ได้ว่า ขณะนี้ทุกภาคส่วนกำลังช่วยกันแก้ไขปัญหาโดยดำเนินการทุกวัน หากรัฐบาลไม่ช่วยถามว่าใครจะช่วย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ไม่จำเป็นต้องปิดการเรียนการสอนเนื่องจากสภาพอากาศค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว 

และเชื่อว่าหากการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายเสร็จสิ้นในห้วง 2-3 ปี จะช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองได้ ตอนนี้เราต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือการพ่นน้ำ 

อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝุ่นละอองจะไม่สูงไปมากกว่านี้แล้วเพราะที่เป็นอยู่ปัจจุบันคือถึงขั้นสูงสุดแล้ว 

พล.อ.ประวิตร ยังระบุว่า อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตฝุ่นละอองในพื้นที่ กทม.ก็เนื่องจากสภาพความกดอากาศ รวมถึงการใช้ยานพาหนะ ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงคมนาคมไปดู แล้ว

“กองทัพพร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ที่ผ่านมาก็มีบางกลุ่มจ้องจะยุบกองทัพ แต่เมื่อเดือดร้อน ก็นึกถึงกองทัพ เป็นเรื่องที่แปลก ที่ผ่านมาก็โจมตีกองทัพมาโดยตลอด เห็นมาตั้งแต่สมัยรับราชการ ด่าทหารมาตลอด” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ยุทธการซัวเถา

เอ่ยชื่อจังหวัดซัวเถาของประเทศจีน เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยดี เนื่องจากบรรพบุรุษของคนไทยเชื้อสายจีนหรือบรรดาลูกจีนในไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพหลบหนีภัยสงครามภายในของจีน ต่อเนื่องถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งความไม่ปลอดภัยจากศึกสู้รบไปจนถึงปัญหาความอดอยาก

โดยปลายทางของการอพยพก็คือดินแดนไทย

ความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างคนไทยเชื้อสายจีน กับต้นตระกูลรุ่นอากงอาม่าในซัวเถา จึงเกี่ยวเนื่องกันมาตลอด

“ประเด็นนี้เอง จึงเป็นข้อสังเกตทางการเมือง ถึงการที่ทักษิณ ชินวัตร และยิ่งลักษณ์ เดินทางไปปรากฏตัวที่ซัวเถาในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลเพื่อเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่เป็นต้นตระกูลบรรพบุรุษ”

นำมาสู่ภาพที่แพร่หลายไปทั่วโซเชียล ได้เห็น 2 พี่น้องชินวัตรได้รับการต้อนรับจากชาวจีนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างอบอุ่นและคึกคัก

ไม่เท่านั้น ยังตามมาด้วยข่าวที่สื่อมวลชนของจีนรายงานอย่างเกรียวกราวว่า ยิ่งลักษณ์เพิ่งได้รับตำแหน่งประธานบอร์ดของบริษัท ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ จำกัด หรือเอสไอซีที ซึ่งเป็นบริษัทบริหารท่าเรือในเมืองซัวเถา

“เท่ากับว่า ไม่เพียงแค่เปิดภาพความสัมพันธ์เครือญาติแห่งซัวเถา แต่ยังมีตำแหน่งหน้าที่ทางธุรกิจใหญ่โตที่นั่นอีกด้วย!”

แน่นอนว่าเทศกาลปีใหม่หรือตรุษจีนเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไปพบปะเครือญาติ กราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ

แต่ความที่เป็นช่วงสถานการณ์ที่การเมืองไทยกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้ง

ผลสะเทือนทางการเมือง จากการไปปรากฏตัวที่ซัวเถา และการลงทุนการบริหารงานธุรกิจที่นั่น

ย่อมสะท้านมาถึงเมืองไทยอย่างแน่นอน

“เพราะเชื่อมโยงถึงคนไทยเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย”

นี่จึงเป็นการสร้างกระแสผ่านการเดินทาง การไปปรากฏตัว การทำธุรกิจของ 2 พี่น้องชินวัตร อันเป็นการสื่อสารมาถึงคนไทย ในท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะเลือกใคร เลือกพรรคไหน ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า ทักษิณหรือยิ่งลักษณ์ย่อมต้องระมัดระวัง ต้องไม่แสดงออกให้เห็นถึงการครอบงำหรือเข้ามาแทรกแซงชี้นำพรรคการเมืองที่กำลังลงสนามเลือกตั้ง

ไม่เช่นนั้นก็จะเข้าทางอีกฝ่าย กลายเป็นข้อหายุบพรรคได้ง่ายๆ

จึงต้องอาศัยการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดกระแส แล้วจะเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของคนไทย อันเป็นการหาเสียงทางอ้อมให้กับพรรคการเมืองในเครือข่ายนั่นเอง!

มองได้ไม่ยากว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ทั้ง 2 พี่น้องชินวัตร ที่ยังคงมีคะแนนนิยมในหมู่มวลชนจำนวนมากจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารมาถึงมวลชนเหล่านี้ อันจะนำไปสู่การปลุกเร้าเพื่อลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่อยู่ในขั้วตรงข้ามฝ่าย คสช.

ซึ่งเชื่อมโยงเป็นแนวร่วมกัน 3-4 พรรค มีสัญลักษณ์ติดปากในหมู่ชาวบ้านว่า พรรคตระกูลเพื่อ

“คงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพูดจาหาเสียงเพื่อให้เลือกพรรคเหล่านั้นโดยตรง แต่เพียงเคลื่อนไหวให้เกิดกระแส ให้เป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนทั่วโลก แล้วกระตุ้นให้คนไทยออกมาเลือกตั้งเพื่อต่อต้านฝ่ายสืบทอดอำนาจทหาร อะไรทำนองนั้น”

การเคลื่อนไหวเพื่อให้เป็นข่าวดังกล่าว มีทั้งการเดินทางไปปรากฏตัวในประเทศนั้นประเทศนี้ เพื่อบอกกล่าวว่า มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนก็ได้ทั่วโลก โดยไม่มีประเทศไหนคิดจะร่วมมือกับทางการเมืองในการจับกุมตัวส่งกลับมาดำเนินคดี

เป็นการรุกทางการเมืองตอบโต้คดีความที่ถูกดำเนินคดีจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศ

แล้วโพสต์รูปผ่านโซเชียล บอกกล่าวความคิดถึงมายังแฟนคลับ

หรือที่เคลื่อนไหวให้เป็นข่าวอีกประการ ออกมาในรูปของการไปลงทุนทางธุรกิจ ดังเช่นกรณียิ่งลักษณ์ไปมีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัทท่าเรือที่ซัวเถา

“ส่วนกรณีของทักษิณ มีข่าวในหมู่คนใกล้ชิดระบุว่า เร็วๆ นี้จะเปิดผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก เพื่อให้เป็นข่าวใหญ่!”

ให้เห็นภาพการเป็นนักบริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เป็นนักลงทุนที่ทันสมัยก้าวกระโดดตลอดเวลา

“ซึ่งจะเป็นภาพเปรียบเทียบกับแกนนำขั้วตรงข้าม แถมจะเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นถึงสภาพความล้าหลังของบ้านเมืองเรา ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษนิยม กลุ่มขุนศึกขุนนาง”

แล้วจะเกิดคำถามให้คนไทยได้ขบคิดในการเลือกตั้ง

ต้องการบ้านเมืองที่มีพรรคการเมืองตัวแทนของฝ่ายทันสมัยกว้างไกล หรือพรรคการเมืองตัวแทนของฝ่ายที่ต้องการควบคุมบ้านเมืองให้อยู่ในกรอบ ถูกแช่แข็งไปยาวนาน

นี่คือกลยุทธ์สำคัญของ 2 พี่น้องชินวัตร ที่จะต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะได้ผลหรือไม่!?

พร้อมๆ กัน จะพบว่าในห้วงระยะนี้ ทักษิณเน้นเปิดแนวรบปะคารมกับเหล่าแกนนำ คสช. ทำอย่างต่อเนื่องเป็นระลอก ออกมาแหย่ ออกมาตอบโต้ เพื่อให้อีกฝ่ายฟิวส์ขาดแล้วโต้กลับอย่างดุเดือดและดุดัน ตามสไตล์ของอดีตนักการทหาร

“เท่ากับเป็นการเน้นย้ำให้ทั้งสังคมเห็นว่า คู่ขัดแย้ง คู่กรณีของทักษิณและยิ่งลักษณ์ก็คืออดีตผู้นำกองทัพเหล่านี้”

แล้วแกนนำ คสช.เหล่านี้ ก็กำลังเข็นพรรคการเมืองใหม่ของตนเองออกมาเพื่อลงสู้รบในสนามเลือกตั้ง หวังจะให้อำนาจของ คสช.ดำรงต่อเนื่องต่อไป โดยจะมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือว่าที่นายกฯ ในนามของพรรคการเมืองนี้

จึงนอกจากเคลื่อนไหวไปมาให้เป็นข่าว เพื่อสื่อสารถึงแฟนๆ ในไทย และเชื่อมโยงไปถึงภาพนักบริหารนักพัฒนา อันจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง

ยังเน้นย้ำถึงคู่ขัดแย้งคู่กรณีที่จะต้องต่อสู้กันในสนามเลือกตั้งหนนี้ให้เด่นชัด

“เป็นคู่กรณีที่ทั้งขัดแย้งทางการเมือง ต่อสู้โค่นล้มกันมานับสิบปี และยังเป็นขั้วตรงข้ามในแนวทางการบริหารบ้านเมืองอีกด้วย ระหว่างทุนนิยมเสรีกับอนุรักษนิยมล้าหลัง!”

ผลทางการเมืองที่น่าคิดอีกประการ ซึ่งจะเห็นได้จากแนวทางหาเสียงของฝ่ายพรรค คสช. ที่มุ่งปลุกผีความขัดแย้งระหว่างสีในอดีต เพื่อให้คนไทยหวาดผวา พร้อมกับนำมาสู่การรณรงค์หาเสียง เรียกร้องให้เลือก พล.อ.ประยุทธ์กลับมา เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบต่อไป แต่ถ้าไปเลือกพรรคตรงข้ามก็จะนำความขัดแย้งรุนแรงกลับมาอีก

“แต่แนวรบที่ทักษิณเปิดขึ้นมา เพื่อปะทะกับแกนนำ คสช. ย่อมต้องการบอกกล่าวกับทั้งสังคมว่า นั่นคือคู่กรณีคือต้นตอความขัดแย้ง ไม่ใช่คนรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ”

คงต้องการอธิบายกับสังคมด้วยว่า จะเลือกพรรคไหนก็ตาม ไม่ได้มีผลทำให้บ้านเมืองสงบต่อไป

เพราะพรรคฝ่าย คสช.ก็คือคู่กรณีที่ทำมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 นั้น คือเข้ามาเพื่อต่อสู้กับฝ่ายทักษิณ ไม่ใช่การเข้ามาเพื่อเป็นกรรมการกลาง

นอกจากต้องการบอกกล่าวกับทั้งสังคมว่า นั่นก็คือคู่ขัดแย้ง เพื่อให้มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งแล้ว

“กล่าวกันว่า ทักษิณยังน่าจะหวังผลต่อภาพรวมของการเมืองไทย และอนาคตของบ้านเมืองไทย”

ส่งสัญญาณไปยังทุกๆ ฝ่ายว่า ถ้าต้องการความสงบ ความปรองดอง

“ต้องมีทางเลือกใหม่ ต้องมีผู้ทำหน้าที่นี้ใหม่”

ผู้จะทำหน้าที่ปรองดองในอนาคตต่อไป ย่อมไม่ใช่แกนนำ คสช. อะไรทำนองนั้น

เหล่านี้น่าจะเป็นเป้าหมายของกลยุทธ์การเคลื่อนไหวจาก 2 พี่น้องชินวัตร ทั้งจากซัวเถาและจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลก!

ข้อจำกัด "ลุงตู่" ยากสุด

เอฟเฟกต์ของการ “ยกระดับ” เกมชิงกระแส

ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา รับสัญญาณจากนายกฯฮุน เซน เตรียมดำเนินการเพิกถอนพาสปอร์ต ยกเลิกหนังสือเดินทางทางการทูตที่เคยออกให้ชาวต่างชาติ

ในจังหวะสถานการณ์ที่โยงตรงกับปมที่ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้พาสปอร์ตเขมรเปิดบริษัทในฮ่องกง และไปนั่งแท่นประธานบอร์ดท่าเรือซัวเถา จีนแผ่นดินใหญ่

ตามอาการที่รัฐบาลกัมพูชา “ชิ่ง” มีปัญหากับทางการไทย

“นายใหญ่” เปิดเกมรุกการเมืองในประเทศไทย กระเทือนพื้นที่เคลื่อนไหวภายนอกประเทศ

เกมบีบ ไฟต์บังคับ แน่นอนเลยว่า นั่นคือเหตุที่มาของการขยับเปิดหน้าไพ่ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เปิดยุทธการ “กู๊ด มันเดย์” ขายตรงผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ตามฟอร์มเก่ง โชว์วิชันเศรษฐกิจ ขายของเก่าประคองฐานลูกค้าเดิม

เหลี่ยมกระตุก “แบล็ก มันเดย์” ขย่มรัฐบาล “ลุงตู่”

ไล่ๆกันกับยุทธการประโคมข่าว “น้องปู” โชว์โกอินเตอร์ นั่งแท่นประธานบอร์ดท่าเรือซัวเถา เร้าอารมณ์เสียดาย ผู้นำเก่งๆมีฝีมือที่ไม่มีโอกาสทำประโยชน์ให้บ้านเมือง

ตามท้องเรื่อง “นายใหญ่” กับ “น้องปู” ต้องออกโรง เล่นหน้าฉากเอง

สะท้อนเงื่อนสถานการณ์ “ทักษิณ” ทิ้งไพ่ตาย ใส่ “เดิมพัน” หมดหน้าตักตั้งแต่ยังไม่ทันรู้วันเลือกตั้งชัวร์

โดยรูปการณ์มันอ่านไต๋ได้ว่า “นายใหญ่” ไม่ชัวร์กับทีม “นอมินีภาค 3” ตามฉากที่เห็น “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง เร่งเครื่องไม่ขึ้น ต้องสลับฉากหลบให้ “เดอะทริป” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ “รัฐมนตรีที่แกร่งสุดในปฐพี” มาเป็นแคนดิเดต ช่วยลากกระแสแห่เรตติ้ง

แต่เจอโจทย์หิน “อุ้มทักษิณกลับบ้านรอบที่ 4” ก็นิ่งไปเลย

ศึกพลิกขั้วชิงอำนาจคืนยังตั้งลำไม่ติด ขณะที่ตระกูลชินวัตรโดนต้อน “จนกระดาน”

สถานการณ์แบบที่ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หายเข้ากลีบเมฆ ในจังหวะคดีทุจริตจำนำข้าว จีทูจีภาค 2 จ่อลากถึงตัวการใหญ่ ไล่ๆกับ “เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวโปรดของ “ทักษิณ” ก็ถูกจับตาการขออนุญาตศาลออกนอกประเทศไทย ในห้วงคดีทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยให้กลุ่มกฤษดามหานคร กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มขึ้นทุกขณะ

“นายใหญ่” เปิดเกมรุกหนัก แก้สถานการณ์ “ตั้งรับ” สุดซอย

อารมณ์เดียวกับจังหวะรุกเพื่อกลบ “รอยรั่ว” ของทีมประชาธิปัตย์ ที่จับกระบวนท่า “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินหน้ากระชับพื้นที่อำนาจการคุมพรรค หลังจากเกมเลือกจ่าฝูงทำเครดิตหายไปอื้อ

โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.ที่รีบชิงเปิดโฉมผู้สมัครครบ 30 เขตก่อนใคร

โชว์ฟอร์มแชมป์เก่าตีกินกระแส แต่เบื้องหลังแว่วๆเสียงจากหน่วยหน้ารถหาเสียงของประชาธิปัตย์ สถานการณ์ท่อน้ำเลี้ยงไม่ไหล กระแสไม่ช่วยส่ง “อภิสิทธิ์” นำทีมรักษาพื้นที่ กทม.ได้แค่ 10 ที่นั่งก็เก่งแล้ว

แถมแนวโน้มวิกฤติสุดของประชาธิปัตย์ก็คือฐานที่มั่นปักษ์ใต้ สถานการณ์แบบที่เห็นปรมาจารย์ “ชวน หลีกภัย” ต้องลงไปปักหลักบ้านเกิดจังหวัดตรัง

ท่ามกลางกระแส “คนใต้ต้องเปลี่ยนแปลง” แรงแบบมีนัยสำคัญ

“ทักษิณ” กับทีม “อภิสิทธิ์” ต้องสู้ภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดเหมือนกัน

แต่นั่นก็ดูจะง่ายและเบากว่า เมื่อเทียบกับข้อจำกัดแบบ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ดูท่ามาถึงตรงนี้ก็ยังจูนกับทีมนักการเมืองอาชีพในค่ายพลังประชารัฐไม่ติด

ผิดคิวทั้งเรื่องห้ามอ้างชื่อหาเสียง มาถึงนโยบาย “ส.ป.ก.ทองคำ”

และเหนืออื่นใด โดยข้อจำกัดแบบ “ลุงตู่” ที่ทำให้นักเลือกตั้งอาชีพเริ่มลังเล ถอนคันเร่ง ก็น่าจะเป็นเรื่องเพื่อนพ้องน้องพี่ รัฐมนตรีสีเขียว สีกากี ใน ครม.ที่ยังเกาะเอวลุ้นขอไปต่อ

ท็อปบูตเบียดแย่งซีนนักการเมือง เสี่ยงวงแตก

ทั้งๆที่ว่ากันตามเนื้อผ้า ประเมินกันสดๆร้อนๆอารมณ์แบบที่ “นายกฯลุงตู่” สะบัดหน้าหนีนักข่าว “เฮ้ย ขี้เกียจฟัง” เมื่อโดนถามเรื่อง “ทักษิณ” ชวนฟังไลฟ์สดทุกวันจันทร์

จุดเดือดต่ำ ยั่วแล้วตบะแตกทุกที

เหลี่ยมคูทางการเมือง ยังเป็นเรื่องที่ทหารอาชีพอย่าง “ลุงตู่” นิ่งสู้นักเลือกตั้งอาชีพไม่ได้

แม้แต่มวยซุ่ม มาดนิ่มๆ ติ๋มๆอย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่ล่าสุดซัดกลับวาทกรรม “อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ”

ไล่พรรคเพื่อไทยไปถามนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ใครกระเป๋าตุงจากโกงจำนำข้าว

เล่นเอาทีม “นายใหญ่” จุกอกไปตามๆกัน

มันเป็นสัญชาตญาณที่เพื่อนพ้องน้องพี่ “บิ๊กตู่” ไม่มี.

ทีมข่าวการเมือง

หน้าเดิมอย่าล้ำเส้น ผบ.ทบ.เตือนหิวเลือกตั้ง ปชป.ฉะเหลิมคนขี้ขลาด


    “ประยุทธ์” โวยไม่เข้าใจกลุ่มคนอยากเลือกตั้งมาขีดเส้นตายได้อย่างไร ชี้เป็นหน้าที่ กกต. “บิ๊กแดง” ฮึ่ม! อย่าล้ำเส้นกัน อัดขีดเส้นให้คนอื่นก็ต้องขีดเส้นตัวเองด้วย เผยอ่านเกมออกเพราะเห็นมาตั้งแต่ปี 2547 ก็คนกลุ่มเดิมๆ ซ้ำเลือกพื้นที่เคลื่อนไหวเหมือนยุคเผาบ้านเผาเมือง “ผบ.ทบ.” ชี้ส่งทหารประกบติดนักการเมืองลงพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัย แนะให้เกียรติกันและกัน อย่ามาซักไซ้เจ้าหน้าที่ โต้เดือดเป๋าตุง “อนุชา” จัดหนักเจ๊หน่อย ปูดซีทีเอ็กซ์หวังด่ากระทบนายเหลี่ยมหรือ
    เมื่อวันอังคาร ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ขีดเส้นตายให้รัฐบาลประกาศวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ไม่อย่างนั้นจะเคลื่อนไหวในวันที่ 19 ม.ค.ว่า ที่ผ่านมาก็บอกมาโดยตลอดแล้วว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนด ส่วนที่กำหนดเส้นตายเงื่อนไขในวันที่ 19 ม.ค.นั้น อยากถามว่าขีดเส้นตายให้รัฐบาลได้หรือ เรื่องนี้ไม่เข้าใจ ทั้งหมดอยู่ในกำหนดการเดิม การเลือกตั้งภายใน 150 วัน คือวันที่ 9 พ.ค.2562 แต่เราให้มีการจัดการเลือกตั้งก่อน 
    “ผมไม่ได้ต้องการไปพูดอะไร เป็นหน้าที่การกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะกำหนดวันมา โดยการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ และสามารถดำเนินการในเรื่องอื่นๆ ต่อไปได้ เพียงแต่ต้องให้เวลาในการเตรียมการก่อนในระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และกิจกรรมที่ประชาชนทั้งประเทศจะจัดถวายในนามของรัฐบาลและประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เพราะนี่คือสถาบันหลักของประเทศ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    มีรายงานข่าวในที่ประชุม ครม.ว่า พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปรารภตอนหนึ่งเกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ดูแลอยู่แล้ว ส่วนหน่วยงานอื่นต้องชี้แจงไปว่าการจะเลื่อนเลือกตั้งไม่เกี่ยวกับรัฐบาล หากอยากทราบเหตุผลต้องไปสอบถามหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งคือ กกต. จะมาสร้างเงื่อนไขต่อรองกับรัฐบาลไม่ได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้อง
    พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงการดูแลความสงบเรียบร้อยกรณีกลุ่มอยากเลือกตั้งเคลื่อนไหวในพื้นที่ กทม.ว่า มีเคลื่อนไหวอยู่แค่ 100-200 คน แล้วจะทำอย่างไรได้ เพราะต่างคนต่างความคิด คนที่ต้องการให้เลือกตั้งหลังพระราชพิธีก็มี เขาก็ออกมาเหมือนกัน มีทั้งสองฝั่ง
    ถามถึงกรณีกลุ่มต้องการให้เลื่อนเลือกตั้งเคลื่อนไหว มีการมองว่าเป็นกลุ่มปิดปากประชาธิปไตย พล.อ.ประวิตรตอบว่า “ปิดปากอะไร อย่างไรก็ต้องเลือกตั้งแน่ภายใน 150 วัน เพราะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้แล้ว แล้วจะมาเอาอะไรอีกล่ะ”
    ต่อข้อถามว่า ถ้าเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีกจะกระทบความเชื่อมั่นของประเทศ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า อ้าวก็มีพระราชพิธี แล้วจะเอาอย่างไรอีก ต้องดูว่าทับซ้อนกันหรือเปล่า ซึ่งถ้าทับซ้อนอาจต้องเลื่อนกันนิดหน่อยก็ได้ ส่วนจะเลื่อนไป 1-2 วัน หรือกี่วันก็ยังไม่รู้ แล้วแต่ กกต.ที่ต้องนำเรื่องพระราชพิธีไปเทียบกันแล้วกำหนด  
    ถามว่า ฝ่ายความมั่นคงจะปล่อยให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งเคลื่อนไหวในวันที่ 19 ม.ค. ตามที่ประกาศไว้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า แล้วแต่เขา แต่เขาต้องขออนุญาต และอยู่ในกฎเกณฑ์ตามกฎหมาย และเชื่อว่ามีการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้า ที่ จะกระทบกระทั่งได้อย่างไร ตำรวจเขาเรียบร้อยจะตายไป ไม่มีหรอก
บิ๊กแดงอ่านเกมออก
    ด้าน พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช. กล่าวเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นห่วง ถือเป็นสิทธิเสรีของเขาที่จะทำ แต่เสรีภาพการใช้ประชาธิปไตยควรอยู่ในกรอบ ซึ่งเป็นห่วงผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่รอบข้าง ภาพการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาจะเข้าใจอย่างไร เพราะเหตุการณ์ที่เกิดความรุนแรงเคยเกิดบริเวณนั้นอยู่แล้ว สัญลักษณ์ของคนที่ไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองก็มีสัญลักษณ์คล้ายคลึงกันกับสิ่งที่เกิดที่ผ่านมาในอดีต
    “สิ่งเหล่านี้เราไม่อาจไปห้ามอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่บนสิทธิเสรีภาพบนแนวความคิดที่เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงเขาได้ ขอให้เห็นใจ ประชาชนที่สุจริตและประกอบอาชีพอยู่แถวนั้น ห้างร้านต่างๆ ก็หวาดระแวง นักท่องเที่ยวผ่านไปมา คนขับรถก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ในทางกลับกันเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคงต้องส่งเจ้าหน้าที่ลงไป เพื่อไม่ให้เกิดเหตุ และต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ขอให้อดทนจากการยั่วยุทุกประเภทที่จะเกิดขึ้น” พล.อ.อภิรัชต์ระบุ
    เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงทัศนคติที่ไม่ดีของ ผบ.ทบ.ต่อกลุ่มผู้ชุมนุม พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า ไม่เคยบอกว่ามีทัศนคติที่ไม่ดี เพราะมีทัศนคติดี ต้องกลับไปถามว่ามีประสบการณ์อยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมมาหลายปี เพราะฉะนั้นพอจะอ่านเกมออก เขาอยากจะพูดอะไรถือเป็นสิทธิ์ คงไม่ไปโต้ตอบ และจะทำหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงอย่างตรงไปตรงมา พร้อมปฏิบัติธรรมตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา หากทุกคนไม่ล้ำเส้น อยู่ในกรอบในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่ว่ากัน
    พล.อ.อภิรัชต์กล่าวต่อว่า เหตุการณ์จะบานปลายหรือไม่นั้น มีองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายรัฐ เพราะรัฐบาลได้พยายามทำหน้าที่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็ทำหน้าที่ของท่านได้ดีที่สุด รวมถึง ครม.และ กกต. แต่บางอย่างเรียนมาคนละอาจารย์ เขาถูกปลูกฝังมาเช่นนี้ เขาก็คิดของเขาเช่นนี้ ต่อให้ใครมาพูดก็ไม่เชื่อ แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศคิดว่ามีเหตุผลและรับฟังว่าเหตุผลว่าคืออะไรในเรื่องปัญหาที่กำลังชุมนุมเรียกร้องกันอยู่ ในปัจจุบันประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารข้อมูลที่เชื่อถือได้ก็คงจะทราบดีว่าเหตุผลอะไร ซึ่งก็บอกหลายครั้งแล้วว่าจะไปเปลี่ยนความคิดของคนนั้นคงลำบาก
    เมื่อถามว่า หากการชุมนุมยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อการจัดงานพระราชพิธีฯ หรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า คงตอบไม่ได้ แต่การดำเนินการใดๆ ก็ตาม ขอให้อยู่ในกรอบ เมื่อท่านมาขีดเส้นไว้ว่าคนนั้นต้องทำอย่างนั้น ท่านก็ต้องขีดเส้นตัวเองด้วย ไม่ใช่มาขีดเส้นให้คนโน้นคนนี้เดินอย่างเดียว เอาเส้นขาวหรือเส้นอะไรมาวางให้เขาเดิน ท่านก็ต้องขีดเส้นที่ตัวท่าน อย่ามาล้ำเส้นกัน ฝ่ายการเมืองก็เดินไป ฝ่ายความมั่นคงทำงานไป ก็จะเป็นระบบสอดคล้องกัน 
    “ผมพูดไปรับรองไม่เกินอีกครึ่งชั่วโมงก็จะมี feedback กลับมา แต่ผมก็พูดในฐานะที่มีบทบาทเข้ามาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยจากประสบการณ์ตั้งแต่ปี 2547 ผมคิดว่าประชาชนคงไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทุกคนก็เห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมคือกลุ่มเดิม ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและมีสิทธิ์ที่จะออกมาชุมนุมเรียกร้องตามระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าขณะนี้รัฐบาลเป็นรัฐบาลของ คสช.เราก็ไม่ได้ดำเนินการมาตรการอะไรทั้งๆ ที่เรามีกฎหมายอำนาจของ คสช. เราก็ปล่อยให้แสดงความคิดเห็น ผมเชื่อมั่นว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจและเห็นใจรัฐบาล”พล.อ.อภิรัชต์กล่าว
พท.โหนกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
    ด้าน น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า มีการแสดงความห่วงใยมามากเกี่ยวกับสีเสื้อที่ปรากฏในภาพการชุมนุมล่าสุดของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ขอยืนยันหลักการว่า พื้นที่แห่งประชาธิปไตยคือพื้นที่ของทุกคน และยินดีต้อนรับทุกคนที่พร้อมเดินร่วมกันบนแนวทางสันติวิธีเสมอมา และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของหลักการนี้ ในกิจกรรมวันที่ 16 ม.ค. จะใส่เสื้อสีที่ใส่บ่อยที่สุดคือ สีขาว ซึ่งสีขาวแห่งประชาธิปไตย จึงไม่ใช่ขาวเพราะความว่างเปล่า แต่เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่าง ซึ่งเป็นที่รวมทุกสีเข้าไว้ด้วยกัน ใครเห็นด้วยก็ใส่มาค่ะ 
    ด้านความคิดเห็นของนักการเมืองนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ความไม่ชัดเจนของกำหนดการการเลือกตั้งนั้น บั่นทอนความเชื่อมั่น และบั่นทอนความหวังของประชาชน จึงจำเป็นที่ต้องเร่งรัดให้เกิดความชัดเจนว่าการเลือกตั้งนั้นจะมีขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อใด หากปล่อยให้สถานการณ์ความคลุมเครือเช่นนี้เกิดขึ้น ย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศแน่นอน และขอเป็นกำลังใจให้นักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกคน เพราะการต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกคน เป็นการต่อสู้เพื่อคืนความเชื่อมั่นให้ประเทศ คืนความหวังให้คนทั้งสังคม  
    ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอความชัดเจนเกี่ยวกับวันเลือกตั้งและยุติการใช้กลไกของรัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง โดยได้เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์กำชับหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ วางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง อย่าทำปากว่าตาขยิบ และขอให้ กกต.ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ใช้อำนาจรัฐเพื่อเป็นคุณแก่พรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่ และขอให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทำความชัดเจนเกี่ยวกับวันเลือกตั้ง และยุติการคุกคามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งด้วย เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพอันชอบธรรมของประชาชน 
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า พรรคการเมืองและประชาชนอยากเห็นบรรยากาศบ้านเมืองที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่อยากให้มีการตั้งคำถามและกระทบกับความเชื่อถือเชื่อมั่น เพราะทุกคนอยากเห็นการจัดงานพระราชพิธีที่เรียบร้อย ราบรื่น สมพระเกียรติ ไม่มีใครอยากสร้างบรรยากาศที่ไม่ดี ดังนั้น รัฐบาลจึงมีความรับผิดชอบที่จะสร้างความชัดเจนให้ทุกฝ่ายมั่นใจ ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้น หากใช้สิทธิ์เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญก็ทำได้ ส่วนคนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็มีสิทธิ์ที่แสดงความคิดเห็น แต่อย่าให้ลุกลามบานปลาย
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งถือเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย โดยเฉพาะยิ่งเข้าสู่วาระใกล้เลือกตั้งที่ประชาชนรอมานาน ดังนั้นทุกฝ่ายต้องยอมรับว่าการแสดงออกทางการเมืองเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งถือว่ากลุ่มคนอยากเลือกตั้งมีเจตนาดี และไม่คิดว่าจะนำสู่เงื่อนไขความรุนแรงหรือเกิดปั่นป่วนในสังคมแต่อย่างใด 
    สำหรับความเคลื่อนไหวในการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยใช้วาทกรรม “อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ” เดินสายหาเสียงนั้น  พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไปถามคุณหญิงสุดารัตน์กันเองแล้วกันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทำได้หรือไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือน 
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองมองการประชุม ครม.สัญจรเป็นการหาเสียง เรียกร้องให้ยุติ ว่าพูดอยู่อย่างนี้ พูดไปเรื่อย อธิบายไปหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งที่มาประชุมมารับฟังความคิดเห็นของประชาชน รับเรื่องร้องเรียนและขับเคลื่อนงาน ที่ผ่านมาตอนมีรัฐบาลเลือกตั้ง นักการเมืองไปพบก็เหมือนนั้นแหละ ไปพบคนส่วนใหญ่ไม่ใช่ไปพบเฉพาะกลุ่ม รวมทั้งได้ถามผู้ว่าฯ มีการเกณฑ์ใครมาหรือเปล่า ซึ่งทุกคนมาด้วยความเต็มใจ ถ้าไม่เต็มใจคงไม่มีใครมาพูดดีหรอก และการเกณฑ์คนไปเกณฑ์ได้ที่ไหน ไม่ได้ไปจ้างวานใครเขามา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะพิจารณาเองว่าทำอะไรเมื่อไหร่ อย่างไร ตราบใดที่ยังทำตามกฎหมายอยู่ได้ก็ทำ และทำได้ถึงเมื่อไหร่อย่างไรจะพิจารณาเอง
แนะให้เกียรติเจ้าหน้าที่
    พล.อ.อภิรัชต์ยังกล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า เรื่องดังกล่าวเราติดตามความเคลื่อนไหว หรือเรียกว่าไปดูการหาเสียงของทุกพรรคอยู่แล้ว ไม่ได้เว้นพรรคใดพรรคหนึ่ง และที่ติดตามก็ไม่ได้มีเจตนาไปจับผิดฝ่ายการเมือง ในทางกลับกันอยากให้มองว่าฝ่ายการเมืองก็มีคู่แข่ง มีคนได้และเสียประโยชน์ หากเกิดเหตุความวุ่นวาย ซึ่งฝ่ายทหารก็ต้องตกเป็นเป้าอยู่ดี และจะมาโยนความผิดให้ เพราะบางครั้งฝ่ายทหารอยู่เฉยๆ ก็มีคนมาใส่ร้ายป้ายสี ฝ่ายรัฐบาล ทหารและตำรวจอยู่เสมอ
    “ขอให้ท่านได้สบายใจว่าการที่มีทั้งทหารและตำรวจไปเพื่อเป็นความปรารถนาดี และเราดำเนินการเช่นเดียวกันทุกพรรค และได้เน้นย้ำว่าเจ้าหน้าที่ต้องให้เกียรติผู้ที่เข้ามาดำเนินการกิจกรรมทางการเมือง และในทางกลับกัน ฝ่ายการเมืองก็กรุณาให้เกียรติเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ไปดูหมิ่นดูแคลนซักไซ้ไล่เลียงเจ้าหน้าที่ที่เขามาติดตาม และอำนวยความสะดวกเรื่องการรักษาความปลอดภัย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่จำเป็นต้องไปแนะนำตัวกับฝ่ายการเมืองด้วย” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว    
    วันเดียวกัน ยังคงมีการตอบโต้ทางการเมือง โดยเฉพาะการปราศรัยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และคุณหญิงสุดารัตน์ โดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. โพสต์เฟซบุ๊กว่า ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้เป็นคนเก่งกาจอะไร ค่อนข้างขี้ขลาดเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ว่าตั้งแต่มีการยึดอำนาจ ร.ต.อ.เฉลิมเงียบเป็นเป่าสาก ร.ต.อ.เฉลิมเพิ่งปากกล้าขึ้นมาหน่อยก็ตอน คสช.เขาปลดล็อกทางการเมือง ประเภทรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ในสายตาแล้ว ร.ต.อ.เฉลิมมีความขี้ขลาดอยู่ในสันดาน 
    “คุณเฉลิมพูดว่าหากไม่มีการเลือกตั้งสงครามเกิดแน่นอน เป็นคำพูดที่ทำให้คนตื่นตระหนก ท่าน ผบ.ทบ.ไม่ลองเรียกคุณเฉลิมมาถามหน่อยหรือครับว่าสงครามที่พูดจะเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ชาวบ้านจะได้เตรียมรับมือสงครามได้ ผมว่าถ้า ผบ.ทบ.เรียกคุณเฉลิมมาสอบถามที่กองทัพบก คุณเฉลิมต้องใส่แพมเพิร์ส 2 ชั้นมาหาท่าน ผบ.ทบ.เลยทีเดียว เพราะคงเยี่ยวราดมาตั้งแต่บางบอนถึงกองทัพบกเลย” นายนิพิฏฐ์กล่าว
    ส่วนนายธนา ชีรวินิจ โฆษกพรรค ปชป. แถลงตอบโต้กรณี ร.ต.อ.เฉลิมพาดพิงนายอภิสิทธิ์ ที่ร่วมเป่านกหวีดกับกลุ่ม กปปส.ว่า ขอทบทวนความจำของ ร.ต.อ.เฉลิม สาเหตุมาจากรัฐบาลสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้แก้ไขธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์ของพรรคพวกและคนรอบข้าง รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่งพรรค ปชป.เห็นว่าไม่เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชนทั้งประเทศก็คัดค้าน 
    นายอนุชา นาคาศัย กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะอดีตเลขานุการนายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม กล่าวถึงกรณีคุณหญิงสุดารัตน์พาดพิงนายสุริยะว่ากระเป๋าตุงช่วงซีทีเอ็กซ์ โครงการดังกล่าวคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) มีนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเป็นประธานพิจารณาเห็นชอบ และที่สำคัญคดีนี้ผู้ถูกกล่าวหาหลักก็คือนายทักษิณ ส่วนนายสุริยะเป็นผู้มีส่วนร่วม การที่คุณหญิงสุดารัตน์ออกมาพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง กำลังเป็นการให้ร้ายนายทักษิณ ซึ่งเป็นนายของตัวเอง ดีไม่ดีอาจถูกนายทักษิณปลดออกจากตำแหน่งว่าที่ผู้ชิงนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญ บางพรรคน่าจะหมดความชอบธรรมที่จะพูดถึงเรื่องทุจริตแล้ว เพราะอดีตผู้นำถึง 2 ท่านหนีออกนอกประเทศ เพราะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนกับการทุจริตใช่หรือไม่.