PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2561

ปิดสนามม้านางเลิ้ง ตำนานขุมทรัพย์สีเขียว

ปิดสนามม้านางเลิ้ง ตำนานขุมทรัพย์สีเขียว



“กำเหนิดสนามม้าแข่งในประเทศไทย” หนังสือของพระยาประดิพัทธภูบาล (คอยู่เหล ณ ระนอง) ซึ่งได้จัดพิมพ์ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ครั้งเมื่อประพาสเมืองระนอง ในปี พ.ศ.2502 ความตอนหนึ่งระบุว่า...
หลังจากก่อตั้งสนามม้า “ราชกรีฑาสโมสรกรุงเทพฯ” มาแล้วหลายปีก็เกิดขัดแย้งขึ้นในสโมสรนี้ เนื่องจากเวลานั้นมีฝรั่งเข้ามาเมืองไทยมากและได้นำกีฬาต่างๆหลายชนิดเข้ามาเผยแพร่
อาทิ คริกเก็ต ฟุตบอล ฮอกกี้ เทนนิส จำเป็นต้องนำรายได้จากการแข่งม้ามาบำรุงกีฬาต่างๆเหล่านั้นด้วย เป็นเหตุให้เจ้าของม้า...ส่วนใหญ่เป็นคนไทยไม่พอใจและร้องเรียนว่าเงินรางวัลไม่เพียงพอในการบำรุงม้า
โดยกรรมการฝ่ายไทยซึ่งเป็นกรรมการมาแต่ดั้งเดิมคือพระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์มีการเสนอเพิ่มเงินรางวัลขึ้นอีกร้อยละ 50 แต่ข้อเสนอของฝ่ายไทยไม่ได้รับการสนับสนุน
“พวกเรามีพระยาอรรถการฯและข้าพเจ้าจึงมาใคร่ครวญหาวิธีสร้างสนามม้าขึ้นใหม่ โดยจะใช้ที่นาของข้าพเจ้าที่บางซื่อ แต่หลายคนติว่าไกลไปตกลงเอาที่...นางเลิ้งของหลวงอีก
ข้าพะเจ้าและพระยาอรรถการฯจึงทำหนังสือทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ 6 ขอตั้งสนามม้าแข่งเพื่อบำรุงม้าพระองค์โปรดให้พระยาวรพงศ์พิพัฒน์เป็นบิดาของพระยาปราบพลแสน...เวลานั้นเป็นอธิบดีกรมอัศวราช ภายหลังเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง มีหนังสือมายังข้าพเจ้าว่าอนุญาต
หากกรมขุนพิษณุโลกทรงทราบและทรงเกรงเป็นเรื่องการเมือง จึงมีลายพระหัตถ์มาถึงข้าพเจ้าว่า ถ้าสโมสรจะมีการประชุมเมื่อใดขอให้บอกเลขาส่วนพระองค์(พระยาสุรเสนา)มาประชุมด้วย เพื่อได้ทรงทราบรายการต่างๆทั้งทรงแนะนำขออย่าได้เป็นการเมือง เพราะกลัวจะเป็นฝรั่งกับไทยทะเลาะกัน...”
โดยได้พระราชทานที่ดินประมาณ 200 ไร่ ที่อยู่บริเวณนอกเขตผดุงกรุงเกษมใกล้กับทุ่งส้มป่อย (นางเลิ้ง) และในวันที่ 18 ธันวาคม 2459 รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสนาม พร้อมพระราชทานนาม “ราชตฤณมัยสมาคมฯ” และรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ...พระองค์ได้ส่งม้าในคอกส่วนพระองค์เข้าแข่งขันด้วย โดยใช้เสื้อสีน้ำเงินยันต์สีขาว
ปัจจุบัน “สนามม้านางเลิ้ง” หรือ “ราชตฤณมัยสมาคมฯ” สนามม้าเก่าแก่แห่งหนึ่งในประเทศไทยกำลังจะกลายเป็นตำนาน ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีรายงานข่าวปรากฏว่า ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารและที่ดินหมดสัญญาเช่ากับ “สำนักงานทรัพย์สินฯ” ไปแล้วเกือบ 20 ปี ประกอบกับสำนักทรัพย์สินฯเองมีความจำเป็นต้องการใช้ที่ดินสนามม้านางเลิ้งเพื่อประโยชน์ด้านอื่นๆ ต่อไป จึงมีหนังสือแจ้งยืนยันการยกเลิกสัญญาเช่า ขอให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายใน 180 วัน
มุมหนึ่ง...ก็มองกันว่าการปิดสนามม้านางเลิ้งอย่างถาวร อาจช่วยแก้ปัญหาสังคมการพนันกลางเมืองใหญ่ได้เปราะหนึ่ง แต่อีกด้านก็ทำให้รัฐขาดรายได้ก้อนโต เพราะเงินพนันม้าแข่งทุก 100 บาทจะไหลเข้ากระเป๋ารัฐบาล 30 บาท
อัตราค่าเช่าที่ดิน 200 ไร่ ในราคาปีละ 50,000 บาท หรือเฉลี่ยตกไร่ละ 250 บาท...แค่ตารางวาละ 62 สตางค์เท่านั้นเอง ในวันที่โลกเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยนเช่นนี้...คงไม่ต้องถามหาความคุ้มไม่คุ้ม
หากจะเดินหน้าสร้างสนามม้าแห่งใหม่ให้ได้มาตรฐานเท่า “สนามม้านางเลิ้ง” คะเนกันว่าต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท และยังต้องคำนึงถึงปุจฉาสำคัญ...ยุคนี้กีฬาม้าแข่งฟู่ฟ่ามากน้อยแค่ไหน
ในอดีตดั้งเดิมเคยมีคนมานั่งเชียร์นั่งลุ้นกันคึกคักนัดละ 2 หมื่นคน วันนี้มีแค่ไม่เกิน 5 พันคน ยิ่งถ้าต้องย้ายออกไปนอกเมืองหรือออกไปต่างจังหวัด แน่นอนว่าผู้ชมคงไม่เยอะขนาดนี้ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะขาดทุน
จุดเริ่มต้นการ “แข่งม้า” ของ “สยามประเทศ”...คงต้องย้อนกลับไปราวพุทธศักราช 2440 สมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จกลับจากการประพาสยุโรปทางฝ่ายราชการจัดพระราชพิธีรับเสด็จ และกลุ่มผู้เคยผ่านยุโรปมาจำนวนหนึ่งจึงมีแนวคิดที่จะจัดแข่งม้าถวาย
ประธานการจัดการแข่งขันครั้งนั้น คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนพิทยาลาภพฤฒิธาดาและมีกรรมการร่วมหลายคนทั้งเชื้อพระวงศ์ ข้าราชการชั้นสูง สำหรับสถานที่จัดการแข่งขันครั้งนั้นคือ “ทุ่งพระเมรุ” หรือ “ท้องสนามหลวง” โดยใช้พื้นที่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
การแข่งขันมีลักษณะใช้ม้าเทียมรถจากคอกต่างๆเข้าร่วม ผู้ขี่ก็คือคนขับรถม้ามีการถ่วงน้ำหนักโดยนำก้อนอิฐมอญห่อผ้ามัดติดเอวไว้กับคนขี่ พร้อมกับให้มีการ “แทงโต๊ด” ด้วย
มีบันทึกไว้ว่า...การแข่งขันวันนั้นวุ่นวายพอควร เนื่องจากตามกติกาผู้ที่ชนะเข้าเส้นชัยที่ 1 และที่ 2 ต้องไม่ทำอิฐมอญร่วงหล่น แต่ครานั้นผู้ที่เข้าที่ 1 และ 2 ล้วนทำอิฐหล่นทำให้ถูกปรับแพ้ ทำให้ผู้ชมเกิดความไม่พอใจ มีการกล่าวหาว่ามีการโกงกัน
อย่างไรก็ตาม รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ทอดพระเนตรแล้วรู้สึกพอพระราชหฤทัยในการแข่งขัน และนี่ถือเป็นการแข่งขันม้าในสยามประเทศอย่างฝรั่งเป็นครั้งแรก
สำหรับ “สนามม้านางเลิ้ง” นั้น เริ่มขึ้นเมื่อพระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์ คิดสร้างสนามม้าขึ้นและจะใช้ที่ดินของพระยาประดิพัทธฯที่บางซื่อ แต่มีเสียงติงว่าอยู่ไกลเกินไป
สนามม้านางเลิ้ง...นับเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่ว่ากันว่า ควรได้ไปดูให้เห็นกับตากันสักครั้ง “วีระพล สิงห์น้อย” เจ้าของเพจ “FOTO_MOMO” บรรยายบันทึกไว้อย่างเห็นภาพว่า ลอนโค้งคอนกรีตขนาดมหึมาเรียงรายติดกันเป็นหลังคาผืนใหญ่ หากเราผ่านไปแถวๆนี้ในบางวันอาทิตย์อาจจะได้เห็นกลุ่มคนรักอาชาออกันแน่นขนัดด้านหน้าเพื่อทยอยเข้าไปในอาคาร...ที่นี่คือ “สนามม้านางเลิ้ง” เรียกกันติดปากว่า...“สนามไทย”
อัฒจันทร์...สวยงามตั้งแต่หลังคา ยื่นคลุมบริเวณที่นั่งได้หมด คานคอนกรีตที่ยื่นออกไป 40 เมตร ทำให้มีร่มเงา ไม่ร้อน ไม่มีเสาใดๆมาบังตา...นี่เป็นหลังคาคอนกรีตเสริมแรงยุคแรกๆของเมืองไทย
ด้านหลังอัฒจันทร์ เป็นพื้นที่ของม้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องใช้เตรียมตัวก่อนและหลังการแข่งขัน อาคารคอกม้า 2 ชั้นนี้รองรับจำนวนม้าแข่งได้เยอะมาก กั้นเป็นคอกม้าหลายคอกและมีส่วนอาบน้ำของม้า ทำทางลาดขึ้นลงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก...ถัดไปใกล้ๆประตูที่ม้าจะลงสู่สนามหญ้า จะมีลานทรายเล็ก...
ที่มีอาคารรูปวงกลมตรงกลางเรียกว่า “สนามเดินวน” เพื่อให้ตรวจความพร้อมของม้าและจ๊อกกี้ เป็นอาคารที่สร้างอย่างเรียบง่าย แต่มีสัดส่วนที่สวยงาม มีเสน่ห์ยิ่งนัก
เปิดสนามครั้งแรก เก็บค่าสมาชิกคนละ 1 บาทต่อเดือน ทุกวันอาทิตย์จะมีการจัดแข่งม้าสลับกันระหว่างสนามไทยและสนามฝรั่ง บรรยากาศก่อนเริ่มแข่งจะเห็นผู้คนจำนวนมากเตรียมตัวมาตั้งแต่รั้วทางเข้า มีทั้งแผงร้านค้าใช้เช่ากล้องส่องทางไกล ทั้งคนเดินเร่ขายใบโปรแกรม คนเก่าแก่เล่าว่า...มีแม่ค้าที่เปิดแผงให้เช่ารองเท้าด้วย เพราะที่นี่ไม่อนุญาตให้ลากรองเท้าแตะเข้ามา เพื่อความเป็นสุภาพชนนั่นเอง
“แต่...ภาพความคึกคักนั้นคงจะกลายเป็นตำนาน อย่างที่ทราบกันว่าพื้นที่แห่งนี้ต้องส่งคืนให้สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ภายในปลายปี 2561 นี้” วีระพล ว่า
102 ปี “สนามม้านางเลิ้ง” ปิดตัวลงแล้ว คงเหลือไว้เพียงตำนาน “ขุมทรัพย์สีเขียว”.

นี่แหละ 'เกมเขี้ยว' ล่ะ

นี่แหละ 'เกมเขี้ยว' ล่ะ



ขาดแค่พวงมาลัยดอกดาวเรืองคล้องคอแค่นั้น
โดยฉากสถานการณ์ที่ให้อารมณ์เดียวกันกับบรรยากาศของนักการเมืองเดินสายหาเสียงในช่วงเลือกตั้ง ตามภาพข่าวที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. สวมหน้ากาก “ผีตาโขน” สัญลักษณ์ของจังหวัดเลย ร่วมแจมร้องเพลงประสานเสียงกับน้องๆนักศึกษาที่เพชรบูรณ์ หยอดมุกทิ้งทุ่นเป็นนัย “เป็นกำลังใจให้ลุงนะ อายุ 18 ปีแล้วใช่ไหม เดี๋ยวเจอกัน”
ชม ชิม ช็อป สินค้าโอทอปของชาวบ้านร้านตลาด ปราศรัยไป ยิงมุกทีเล่นทีจริงไป
“ลุงตู่” เล่นได้เนียนทุกบท ทำได้หมดแบบกลมกลืนไม่มีเคอะเขิน
ลีลาเก๋ากว่านักเลือกตั้งอาชีพด้วยซ้ำ
แต่ที่แสบกว่าก็คือจังหวะเก็บแต้มไป ออกตัวไป “ลุงตู่” ย้ำเป็นระยะ ไม่ได้หาเสียงทางการเมือง มาในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่อีกทางก็สะกิดบอกประชาชนให้เลือกรัฐบาล
ที่มีธรรมาภิบาล อย่าไปเลือกอะไรเรื่อยเปื่อย อย่าทำให้บ้านเมืองกลับมาวุ่นวาย
แถมล่าสุดไฮไลต์ช็อตสำคัญ “นายกฯลุงตู่” หงายไพ่
พูดเป็นนัยอยากชี้แจงกับประชาชนว่า นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญใหม่ต้องมาจากพรรคที่ได้เสียงข้างมากซึ่งจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยทุกพรรคการเมืองจะต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามบัญชีรายชื่อ ซึ่งที่พูดไม่ได้หมายถึงตนเอง แต่อยากให้ประชาชนเข้าใจ
เหมือนตั้งใจเคลียร์ปมที่ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กั๊กกันท่าไว้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เสียงส่วนใหญ่ในสภา ประชาธิปัตย์จะไม่สนับสนุน
เฉลยข่าวลับที่ปิดกันให้แซ่ด “นายกฯลุงตู่” คือ 1 ใน 3 บัญชีนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ
“แบไต๋” ช่องตีตั๋วต่อเก้าอี้ “นายกฯคนใน” อย่างชอบธรรมตามระบบ
สรุปช็อตประชุม ครม.สัญจรได้ครบทั้งมุมการบริหารกระแสการเมือง และการบริหารงานราชการแผ่นดิน ตามตัวเลข “งบประมาณก้อนโต” ที่รัฐบาล “ลุงตู่” หอบเอาไปเสิร์ฟให้ถึงบ้าน
โดยที่ประชุม ครม.อนุมัติโครงการพัฒนาจังหวัด ยกระดับสนามบิน ขยายเส้นทางคมนาคม ตามยุทธศาสตร์เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างมีเป้าหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว
ตามพิมพ์เขียวที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” กัปตันทีมเศรษฐกิจ ออกแบบให้
เอาเป็นว่า รัฐบาลการเมืองปกติ งบฯ ส.ส.ทั้งพรรคยังไม่ได้เท่านี้
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่นักการเมืองเจ้าของพื้นที่ “เคลม” กับชาวบ้านได้เลย ถ้าจะมีการย้ายพรรค ไม่รู้สอบได้หรือสอบตก แต่ได้งบฯพัฒนาให้ประชาชนในพื้นที่ไปก่อนแล้ว
แนวโน้มเปิดทางให้พวกแหกค่ายหนี “นายใหญ่” ได้แต้ม “วัดใจ” ชาวบ้าน
ในสถานการณ์ที่ไล่ตามคิวเดินสายประชุม ครม.ส่วนใหญ่มุ่งไปพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อการตั้งป้อมค่ายสนับสนุน “นายกฯลุงตู่” เป็นลำดับต้นๆ
ไล่ตั้งแต่อุบลราชธานี ที่มีข่าวการเจาะทีมของพรรคเพื่อไทยแตกเป็นเสี่ยง ล่าสุดคิวของเมืองเลย ฐานที่มั่นของนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีต รมว.ทรัพยากรฯ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำทีมงานสามมิตร บินไปเปิดตัวถึงบ้านเลย
นั่นสะท้อนถึงการเน้นเป้า “มวยเกรดเอ” ไม่ใช่ “นกแล”
และรอบนี้ “นายกฯลุงตู่” ก็กระเซ้านางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ภรรยาของนายปรีชา ที่มาทำการต้อนรับทีม ครม.สัญจร เป็นเชิงขอให้มาช่วยกันทำงานให้บ้านเมืองเดินหน้า
นั่นแสดงว่า “ลุงตู่” ยอมรับสถานะ “กองหนุน” ของทีมนายปรีชา
เป็นการหักมุม กับ “ข่าวปล่อย” จากทีม “นายใหญ่” อ้างอดีตรัฐมนตรีใหญ่ในอีสานที่แปรพักตร์ไปกับทีมหนุน “ลุงตู่” ขอกลับมาตายรัง เพราะปั๊ม 3 ทหารน้ำเลี้ยงฝืด
ไม่ชัวร์กับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังกั๊กกับทีมสามมิตร
เอาเป็นว่า เมื่อ “ลุงตู่” ปิดดีลกับทีมเมืองเลยแบบนี้ ตามรูปเกม “นายใหญ่” ต้องเขย่า “ปรีชา” ให้ร่วงให้ได้ ในสถานการณ์ที่โพลหน่วยความมั่นคงเช็กแต้มล่าสุด “ปรีชา” ฐานแน่น แนวโน้มกวาดยกจังหวัด
เงื่อนไขสถานการณ์เดียวกับเมืองมะขามหวาน เพชรบูรณ์ ชื่อของ “สันติ พร้อมพัฒน์” ระดับหัวจ่ายท่อน้ำเลี้ยงยุคพลังประชาชน เพื่อไทย นาทีนี้สลับขั้วมาต่อสายกับยี่ห้อพลังประชารัฐ
จัดเป็นดาวฤกษ์ “มีแสงในตัวเอง” ใส่แต้มล่วงหน้าได้
ชื่อมวยใหญ่แบบนี้แหละ ที่ทำให้ “นายใหญ่” นั่งไม่ติด.
ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กตู่” เป็นนักการเมือง ไปแล้วจริงๆ

บิ๊กตู่” เป็นนักการเมือง ไปแล้วจริงๆ ....
“บิ๊กตู่” อ้างดื้อๆ ยังไม่ประกาศ อนาคตทางการเมือง ตามสัญญา หวั่นโดนด่า. กำปั้นทุบดิน จะบอกปีนี้หรือปีหน้าก็ได้ จะพูดเมื่อไหร่ มันก็เรื่องของผม ปล่อยให้งง !!
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึง ที่เคยระบุว่า หากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว.จะมีการประกาศอนาคตทางการเมือง
“จะมาสนใจอะไรกับผม ผมเคยบอกว่าเมื่อหลังพ.ร.ป.ออกมา ตอนนี้หลังหรือยัง ซึ่งหลังจากนี้ไปถึงปีหน้าปีโน้น ก็ถือว่าหลัง หมด ผมจะพูดเมื่อไหร่ก็เรื่องของผม”
เมื่อย้ำถามว่า แสดงว่าต้องเลย 90 วันไปแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า “วันนี้ยังไม่รู้ ผมจะตัดสินใจเอง เรื่องอะไรผมจะออกมาให้โดนด่าตั้งแต่วันนี้เล่า สื่อก็หาเรื่องผมทั้งวันนั่นแหละ วุ่นวายจริงๆเลย”
“ยังไม่บอก ปล่อยให้ งง” นายกฯกล่าว เมื่อถามย้ำว่า จะประกาศ ในสัปดาหฺหน้าหรือไม่
“ ช่วงนี้ผมขอให้บ้านเมืองสงบก่อนได้หรือไม่ ถ้าผมเป็นนักการเมือง ผมว่าสิ่งที่ออกมานั้น ผมทำได้ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร ถ้าทุกคนมีเจตนาที่จะทำให้บ้านเมืองปกติสุข
แต่ทุกคนต้องการเวลาที่จะหาเสียงมากขึ้น แล้วใส่กันไปมา ผมว่าไม่ได้อะไร เวลาที่มีถ้าทุกคนบอกว่าน้อย ทุกคนก็ควรจะแถลงนโยบายของตัวเองออกมาว่าจะทำอะไร สังคมยอมรับได้หรือไม่ จะไปล้มล้างอะไรหรือไม่ ทำนองนี้ สิ่งที่ดีมีอยู่แล้วจะไปยกเลิก ถ้าประชาชนตอบรับประเทศชาติจะยิ่งไปกันใหญ่ ความมั่นคงปลอดภัย ความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จะไปอยู่ที่ไหนกัน” พล.อ.ประยุทธ์
นายกฯ กล่าวว่า ช่วงนี้การคลายล็อกทางการเมือง โดยส่วนตัวคิดว่าพอเพียงแล้ว ใครที่บอกว่าไม่พอไว้รอเป็นรัฐบาลก็ค่อยไปทำกันเอาเอง
เมื่อถามว่า นายกฯ จะพบนักการเมืองในช่วงคลายล็อกหรือปลดล็อก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมบอกว่า ต้องปลดล็อกที่จะไปว่ากันโน้น ผมยังไม่พบหรอก แม้ผมไม่พบก็มีคนพบอยู่แล้ว ผมจะพบวันไหนยังไม่รู้ ถึงเวลาผมจะพิจารณาเอง คุณจะมาถามผมเอาอะไร”

ธค.ปลดล็อค....คสช. ไม่เลื่อนให้เร็ว ตามที่พรรคการเมืองเสนอ

ธค.ปลดล็อค....คสช. ไม่เลื่อนให้เร็ว ตามที่พรรคการเมืองเสนอ
“บิ๊กป้อม” ไม่รีบปลดล็อค ยัน ปลดล๊อค ธค. ให้ครบ90 วัน เสียก่อน ตามกรอบกม. ชี้คลายล็อค 9 ข้อ นี่ พรรคการเมืองก็ ทำได้ทุกอย่างแล้ว ยกเว้น การโฆษณาชวนเชื่อ การหาเสียงเท่านั้นเอง ให้รอธค. เผย หากเป็นพรรคการเมือง ให้ กกต.ตรวจสอบ ทำผิด หรือไม่ ส่วนกลุ่มการเมือง ให้ คสช. ดู ยันยังไม่อนุญาตให้หาเสียง ในโซเชี่ยล มีเดีย เฟสบุ้ค เพราะตอนนี้ ก็พูดกันทุกวันอยู่แล้ว