PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

หัวอกชาวบ้านริมทางรถไฟ

หลายท่านเป็นห่วงเรื่อง "น้องนํ้า" มาเยือน ขอบคุณมากครับ ถ้าฝนไม่ตกหนักติดต่อกันเหมือน 2 วันก่อน ยังรับมือได้ครับ เพราะนํ้าจะค่อยๆลดระดับลง เป็นห่วงก็แต่ "น้องนํ้า" ที่จะหลากลงมาจากการปล่อยนํ้าของเขื่อนด้านเหนือ ตอนนี้ยังไม่มีปัญหา ขอบคุณที่หลายท่านเป็นห่วง จะลำบากอยู่บ้างก็คือต้องลุยนํ้าเวลาออกนอกบ้าน รถเล็กที่ใครต่อใครเคยเอาเสบียงมาส่งยังเข้าไม่ได้ ยังรับมือไหวครับ ถ้าท่วมมากเหมือนปี 54 ก็มีเรือแล้ว ไม่ต้องลอยคอเหมือนครั้งก่อน ภาพเขียนอยู่บนชั้นสองหมดแล้ว ส่วนหนังสือใหม่ๆที่งอกขึ้นมาอีกมาก ถ้ามาไว ช่วยไมทัน ก็ให้ "น้องนํ้า" เอาไปอ่าน - ไม่เป็นไร !
เรื่อง "น้องนํ้า" ช่างเธอ แต่เรื่องที่ยังเป็นห่วงอยู่ที่การวางแนวรั้วกั้นที่เป็นทางเข้าออกของชุมชน ทำไมผู้ว่าการรถไฟ และผู้ตรวจการแผ่นดินจึงเงียบไปเฉยๆ ยังไม่มีลายลักษณ์อักษรตอบมาอย่างเป็นทางการว่าจะมาแก้ปัญหาให้ชาวบ้านอย่างใด
1. ขอถนนที่จะเป็นทางเข้าออกถาวร หน้ากว้าง 4 - 5 เมตร ทางด้านหน้าของทางรถไฟฟ้า เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีหลักหก และเพื่อไม่ให้ที่ดินมีโฉนดของชาวบ้านกลายเป็นที่ดินตาบอด
2. ขอสะพานข้ามที่จะเชื่อมชุมชนทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก สะพานเชื่อมสองฝั่งก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสร้าง แต่การรถไฟก็ประกาศปิดทางที่ชาวบ้านชุมชนเคยใช้สัญจรไปแล้ว ( โดยยังให้คนปีนโครงครอบสายไฟได้ แต่รถมอเตอร์ไซต์ผ่านไม่ได้ ) และได้เริ่มวางแนวรั้วกั้นในบางช่วง ( ถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่องสะพานเชื่อม เมื่อรถไฟฟ้าสายสีแดงเริ่มเปิดเดินในอีก 2 ปีข้างหน้า เส้นทางสัญจรตรงนี้ก็จะต้องถูกรั้วกั้นปิดเป็นการถาวรไปโดยปริยาย
3. เรื่องทางระบายนํ้าระบบเปิดที่ขอก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ( ตัวอย่างก็เห็นกันตรงหน้าแล้วว่า การตัดสินใจเอา "รถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต" ช่วงดอนเมือง-รังสิต ลงวิ่งระดับดินทางฝั่งด้านตะวันออกนั้น มันเหมือนเป็นการสร้าง "บิ๊กแบ็คถาวร" ที่ก่อให้เกิด "นํ้ารอระบาย" เวลาฝนตกหนักในทันที และทำให้ชาวบ้านตลอดเส้นทางวิ่งระดับดินทางฝั่งด้านตะวันออกเดือดร้อนกันอยู่ในเวลานี้ นี่เป็นสาเหตุจากฝนตกหนักในพื้นที่เท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของ "มวลนํ้าก้อนใหญ่" ที่หลากลงมาเหมือนเช่นเมื่อปี 2554
นมมันหกไปแล้วก็เป็นเช่นนี้แหละ !
บรรยายภาพ
ภาพที่ 1. ปรกาศของการรถไฟ โดยที่ยังไม่มีวี่แววเรื่องการก่อสร้างสะพานเชื่อให้ชุมชนทั้งสองฝั่ง
ภาพที่ 2. เห็นลิบๆ ที่กำลังก่อสร้าง คือ สถานรถไฟฟ้ารังสิต ปลายทางของสายสีแดง
ภาพที่ 3. เห็นลิบๆ ที่กำลังก่อสร้าง คือ สถานีรถไฟฟ้ลักหก และ "นํ้าอระบาย" ที่เกิดจากฝนตกหนักเมื่อ 2 วันก่อน บริเวณหน้า "ชุมชนเดชาพัฒนา 87"
ท่านเห็น "บิ๊กแบ็คถาวร" ของเส้นทางวิ่งระดับพื้นดินของรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงดอนเมือง - รังสิต ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านหรือไม่ นี่ขนาดมวลนํ้าก้อนใหญ่เหมือนเช่นในปี 2554 ที่มีระดับนํ็าสูงกว่าทางรถไฟยังมาไม่ถึงด้วยซํ้า !

กรมชลประทานประชุมบริหารจัดการน้ำ หลังอุตุนิยมวิทยาระบุ 26-29 ก.ย.59 จะมีฝนตกในภาคเหนือและอีสานล่าง



กรมชลประทานประชุมบริหารจัดการน้ำ หลังอุตุนิยมวิทยาระบุ 26-29 ก.ย.59 จะมีฝนตกในภาคเหนือและอีสานล่าง ก่อนที่วันที่ 30 ก.ย.-2 ต.ค.59 จะมีร่องฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคกลาง
ตรงนี้ทำให้ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.เป็นต้นไปจะปล่อยน้ำเพิ่มจากเขื่อนเจ้าพระยาที่ 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากเดิม 1,800 และจำเป็นต้องเปิดประตูระบายน้ำเอาน้ำเข้าทุ่งรับน้ำที่ผักไห่ เสนา บางบาล พระนครศรีอยุธยา ซึ่งชาวนาจะเร่งเกี่ยวข้าวหมดสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อตัดน้ำรับน้ำเหนือช่วงฝนสุดท้าย 30-2 ต.ค.นี้ เพื่อเก็บไว้ใช้และไม่ให้เข้าท่วม และป้องกันน้ำท่วม
(กรมชลประทานยืนยันน้ำยังไม่วิกฤติ น้ำในเขื่อนยังเฉลี่ยน้อยเพียงร้อยละ60)
สถานการณ์น้ำเทียบเคียงปี 2554 เขื่อนหลัก 4 แห่ง น้ำเต็มความจุ ส่งผลให้ลุ่มเจ้าพระยาท่วมรวมถึง กทม. แต่ปี 2559 น้ำในเขื่อน 34 แห่งทั่วไทย เฉลี่ยร้อยละ 60 ของความจุ
และ 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ำเทียบเคียงเดือนกันยายน คือ เขื่อนภูมิพล ปี 54 ปริมาณน้ำ 12,183 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 90 ของความจุ ปี 59 มีปริมาณน้ำเพียง 5,752 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 43 ของความจุ
เขื่อนสิริกิติ์ ปี 54 ปริมาณน้ำ 9,376 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 98 ของความจุ ปี 59 มีปริมาณน้ำ 6,993 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 74 ของความจุ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปี 54 ปริมาณน้ำ 1,035 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 130 ของความจุ ปี 59 มีปริมาณน้ำ 730 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 76 ของความจุ
เขื่อนแควน้อย ปี 54 ปริมาณน้ำ 899 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 96 ของความจุ ปี 59 มีปริมาณน้ำเพียง 680 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 72 ของความจุ
เมื่อเทียบเคียงปริมาณน้ำไหลผ่าน ระหว่างปี 54 และ 59 จุดสถานี C.2 แม่น้ำเจ้าพระยา อ.เมือง จ.นครสวรรค์ (น้ำเหนือ) 26 ก.ย.ปี 54 อยู่ที่ 4,686 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที 26 ก.ย.59 อยู่ที่ 1,775 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จุดสถานี C.13 แม่น้ำเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท (เขื่อนเจ้าพระยา) 26 ก.ย.ปี 54 อยู่ที่ 3,721 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที 26 ก.ย.59 อยู่ที่ 1,790 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จุดสถานี C.29A แม่น้ำเจ้าพระยา อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา (จุดระดมมวลน้ำมุ่งตรงเข้า กทม.) 26 ก.ย.ปี 54 อยู่ที่ 3,860 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที 26 ก.ย.59 อยู่ที่ 1,359 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
...พูดง่าย ปี 54 มากกว่า ปี59 เท่าหนึ่ง อย่าตกใจ...
ปล.ข้อมูลทั้งหมดจากกรมชลประทาน

แผนแม่บทการปฏิรูป-ปรับปรุงโครงสร้างกลาโหม 10 ปี

(23ก.ย.59)กลาโหม จัดทำ "แผนแม่บทการปฏิรูป-ปรับปรุงโครงสร้างกลาโหม 10 ปี 2558-2567 โดย5 ปีแรกจะปฏิรูประบบบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ อีก5 ปีจะปรับปรุงโครงสร้างให้สอดคล้องกัน เพื่อให้กองทัพมีขนาดที่เหมาะสม ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ/ย้ำกองทัพหนุน’รัฐบาล-คสช.’ ชี้ช่วงปฏิรูปสถานการณ์เปราะบาง ขอเชื่อมั่น ในทหาร
พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมว่า ในโอกาสครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล หลังการเข้ามาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กระทรวงกลาโหมได้ทุ่มเททรัพยากรที่มีอยู่ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลและ คสช.
โดยใช้ศักยภาพกองทัพที่มีอยู่เข้าคลี่คลายแก้ปัญหาของชาติที่เป็นวาระเร่งด่วน เช่น การค้ามนุษย์ การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย ปัญหาการบินพลเรือน แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในชาติ ตลอดจนการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศด้วยการเป็นการแกนหลักขับเคลื่อนลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
โดยเฉพาะการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดบางประการ ที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อย หรือบ่อนลายเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า จากผลการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนในงานความมั่นคงในรอบ 2 ปีที่ผ่านมาแสดงถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงในการทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ การดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมาโดยตลอด
ขณะที่ประเทศชาติกำลังเข้าสู่โหมดการปฏิรูปนั้น กระทรวงกลาโหมก็ไม่ได้ละเลยการปฏิรูปกองทัพเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมและภัยคุกคามของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยกระทรวงกลาโหมได้ทบทวนและจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระทรวงกลาโหม 20 ปี รองรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่กำลังจะเกิดขึ้น
โดยจัดทำเป็นแผนควบคู่กับการปฏิรูปโครงสร้างและระบบบริหารจัดการกระทรวงกลาโหม โดยจัดทำเป็นแผนแม่บทการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง 10 ปี (พ.ศ.2558-2567) 5 ปีแรกจะปฏิรูประบบบริหารจัดการและเตรียมความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ จากนั้นจะปรับปรุงโครงสร้างให้สอดคล้องกันใน 5 ปีต่อไป เพื่อให้กองทัพมีขนาดที่เหมาะสม ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ สามารถเผชิญกับความท้าทายระดับภูมิภาค
“การวางรากฐานปฏิรูปประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน มีความเปราะบางยิ่งต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ หากขาดความเข้าใจร่วมกันก็จะมีปัญหา ดังเช่นตัวอย่างจากหลายประเทศที่ขยายตัวจากความขัดแย้งภายในและถูกแทรกแซงจากนอกประเทศ จนถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดและล่มสลาย"
ทั้งนี้งานความมั่นคงในปัจจุบัน มีความซับซ้อนเชื่อมโยงทุกมิติของสังคม ทั้งในและต่างประเทศ ความเข้าใจและตระหนักรู้เท่าทันร่วมกัน ต่อผลกระทบส่วนรวมและผลประโยชน์ชาติที่จะเกิดขึ้น เป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนทุกภาคส่วนมิอาจเพิกเฉย โดยจำเป็นต้องเรียนรู้ร่วมกันและต้องการ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในทุกมิติงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของการนำมาซึ่งความมั่นคงของประเทศที่ยั่งยืน”
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า ขอความเข้าใจ ไว้ใจและเชื่อมั่น ในการทำหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ที่เป็นสถาบันหลักเคียงข้างประชาชนและผลประโยชน์ของชาติแห่งนี้ ทหารทุกคน จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

"บิ๊กตู่” ลั่น เขาไม่โง่หรอก



"บิ๊กตู่” ลั่น เขาไม่โง่หรอก
ไฟเขียว ให้ตรวจสอบ "น้องชาย-น้องสะใภ้-หลานชาย" ให้ ปปช.สอบ ขอรอพิสูจน์ก่อนว่าผิดหรือไม่ แต่ไม่ขอรับประกันแทน ขอแยกแยะคนละคนกัน อย่าเหมารวม เปรย ถูกโจมตีทุกวันอยู่แล้ว
ทันทีที่กลับถึง ไทย ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(25ก.ย.)พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์หลังมีผู้ร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจติตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ทั้งในเรื่องการสร้างฝาย ที่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และการประมูลงานก่อสร้างของกองทัพภาค 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกลาโหม ภริยาและบุตรชาย ว่าใ เรื่องน้องชายก็ส่วนน้องชาย เป็นคนละคน
ส่วนที่ตนถูกโจมตีไปด้วยนั้นก็โจมตีไป เพราะโดนอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่อย่าทำผิดกฎหมายกับผมก็แล้วกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯห่วงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วคุณห่วงน้อง ห่วงญาติพี่น้องคุณหรือไม่ และเรื่องที่ถูกโจมตีเหล่านั้นจริงหรือเปล่า พิสูจน์หรือยังว่ามันผิด โดยในเรื่องการทำธุรกรรมบริษัทนั้น ยังไม่รู้ว่าถูกหรือผิด
“เขาคงไม่โง่หรอก แต่ผมก็ไม่รับประกันแทนอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของเขาที่ต้องรับผิดชอบไป เพียงแต่ว่ามันจะถูกจับตานี่โน่น คือพอมีอะไรขึ้นมาผมก็จะต้องโดน แล้วมาบอกว่ารัฐบาลไม่เอาใจใส่ มันคนละประเด็น อยากจะสอบก็สอบไป
แต่อย่าไปเอาเรื่องที่เกิดขึ้นมาตีกันอีกว่าทางนี้ก็เป็น จะทำไปเพื่ออะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการฟ้องร้องก็ให้สอบไป ตนคงไม่ทำตัวแบบที่มันเกิดๆมาหรอก อะไรที่ตัดสินแล้วหลุดตัวเองถูกตัวเองดีนั้นชอบกระบวนการศาลยุติธรรม แต่ถ้าไม่หลุดแล้วด่าศาล คนแบบนี้มันอยู่ได้ยังไงประเทศไทย ก็ปล่อยให้เขาทำลายต่อไปแล้วกัน ตนก็ทำได้แค่นี้

"นายกฯ” เผย เล่าสถานการณ์ไทยให้ผู้นำหลายๆประเทศฟัง เรากำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตย ทุกคนก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร



"นายกฯ” เผย เล่าสถานการณ์ไทยให้ผู้นำหลายๆประเทศฟัง เรากำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตย ทุกคนก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร ไม่ได้มีปัญหาอะไร"/เตรียมส่งมอบ ประธานG77 ให้"เอกัวดอร์" มค.60
ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(25ก.ย.59) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางถึงประเทศไทย ภายหลังกลับจากการร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ที่สหรัฐอเมริกา
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า ในโอกาสที่ได้เข้าร่วมประชุมนี้ตนได้กล่าวถ้อยแถลงถึงการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนโดยให้ให้มีแรงกดดันจากสากลเข้าไปช่วยกันสนับสนุนในแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิก เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
นายกฯ กล่าวว่า และในที่ประชุมกลุ่ม 77ที่ตนเป็นประธานนั้นก็ได้ขอบคุณและย้ำเรื่องการนำแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การปฏิบัติซึ่งมีหลายประเทศแล้วที่ได้นำไปใช้ และประเทศสมาชิกได้ขอบคุณประเทศไทยที่เผื่อแผ่แบ่งปันสิ่งที่เป็นของคนไทย ที่เขาเห็นคุณค่า ทำให้นำประเทศถึงขีดที่น่าพึงพอใจเพื่อการยกระดับ พัฒนาต่อไป โดยเฉพาะประเทศที่มีการพัฒนาน้อย บอกว่ากำลังใช้แนวทางดังกล่าวในการพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนม.ค. 60 จะได้ส่งต่อให้ ประเทศเอกวาดอร์ ได้เป็นประธานต่อจากประเทศไทย ขณะนี้ก็เตรียมการส่งต่อ เพื่อให้ขับเคลื่อนงานกันต่อไป โดยให้ประเทศสมาชิกเดินหน้าร่วมกับสหประชาชาติ โดยไทยมีบทบาทเป็นสะพานเชื่อม อย่างที่ได้เชื่อมระหว่างกลุ่ม จี77 กับ จี20 ซึ่งก็อยู่ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นประธานพอดี
"ในโอกาสนี้ได้พบปะกับผู้นำหลายๆประเทศ ทุกคนก็ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ผมได้มีโอกาสเล่าถึงสถานการณ์ในประเทศ บอกว่าเรากำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตย ทุกคนก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร ไม่ได้มีปัญหาอะไร"

"พลเอกประวิตร" ยัน เห็นหน้า "ครม.ส่วนหน้า " แน่ 1 ต.ค. นี้ ไม่บอกจะมอบ "พลเอกอุดมเดช" ไปทำไร



"พลเอกประวิตร" ยัน เห็นหน้า "ครม.ส่วนหน้า " แน่ 1 ต.ค. นี้ ไม่บอกจะมอบ "พลเอกอุดมเดช" ไปทำไร เผยจะตำแหน่งใดแต่จะเป็นผู้พิจารณาเอง /พลเอกอุดมเดช ยันพร้อมทำหน้าที่ตามบัญชา บิ๊กป้อม จะส่งไปไหน ก็พร้อมไปทุกที่
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ มาทำหน้าที่ในครม.ส่วนหน้าว่าขอให้รอรายชื่อที่ชัดเจนในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ก่อน ส่วนรายชื่อผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไม่ต้องผ่านครม. ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถลงนามได้เลย
สำหรับผู้ที่จะลงไปทำหน้าที่ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลนั้นจะต้องมีส่วนในการดูแลรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนจะมีชื่อของพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมหรือไม่นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ตนจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะมอบหมายภารกิจใดให้
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กห. บอก พร้อมไปทำงานทุกที่ ไม่ว่า พลเอกประวิตร จะให้ไปทำอะไร ยินดีทำทุกอย่าง หลังมีข่าว จะถูกส่งลงชายแดนใต้เป็น หน.ทีม ครม.ส่วนหน้า

กกต.เผยร่างกม.ลูก ส.ว. ให้ คสช. เฟ้น50คนเพิ่มโทษโกง

กกต.เผยร่างกม.ลูก ส.ว. ให้ คสช. เฟ้น50คนเพิ่มโทษโกง
ข่าวการเมือง วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2559 16:51 น.

"สมชัย" เผย ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วย ส.ว.กำหนดประสบการณ์ 20 ด้าน ขณะให้ คสช. เลือก 50 คน พร้อมเพิ่มโทษเอาผิดผู้สมัคร-ฝ่ายการเมืองทุจริต มีสิทธิ์ถูกจำคุก เพิกถอนสิทธิ์สมัคร-สิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี
ความเคลื่อนไหวที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง วันนี้ มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า สาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องของกระบวนการ วิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่ง ส.ว. 200 คน ตามมาตรา 107 ของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ โดยแบ่งเป็น 3 หมวด และกำหนดให้บุคคลที่จะเป็น ส.ว.ต้องมีความรู้ เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในงานแต่ละด้าน เป็น 20 ด้านตามแนวความคิดของ กรธ. ซึ่งผู้สมัครแต่ละด้านสามารถยื่นสมัครได้เพียงด้านเดียวพร้อมค่าธรรมเนียม 500 บาท

โดยต้องผ่านการเลือกไขว้ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ ซึ่งในระดับอำเภอคัดเลือกตัวแทนอำเภอละ 60 คน มี 928 อำเภอ ก็จะได้ตัวแทนระดำอำเภอ 55,680 คน และส่งรายชื่อไปยังจังหวัด 77 จังหวัด ดังนั้น เมื่อแบ่งเป็น 20 กลุ่ม ก็จะได้ตัวแทน 1,540 คน ก่อนเข้าสู่การคัดเลือกระดับประเทศกลุ่มละ 10 คน จาก 20 กลุ่ม รวมทั้งหมด 200 คน

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวของ กกต. มีจุดประสงค์ซึ่งการได้มาของ ส.ว. ภายใต้แนวคิด "หลากหลาย ได้คนดี ไม่มีบล็อกโหวต"

นายสมชัย ยังเปิดเผยถึงการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีมีการร้องเรียน การคัดค้านการทุจริตการเลือก ส.ว. หรือ บทลงโทษ ว่า หากพบทุจริตให้ถือว่ามีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น - 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี

อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับเลือกเป็น ส.ว. จำนวน 200 คน ตามบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 269 (ค) ได้บัญญัติให้ คสช. เลือกผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ว.จากบัญชีที่ กกต. ส่งไปนี้ จำนวน 50 คน และคัดเลือกรายชื่อสำรองไว้อีกจำนวน 50 คน โดยให้นำจำนวนที่เลือกจากบัญชีที่ กกต. ส่งไป 50 คน ไปรวมกับที่ คสช. จะเลือกอีก 200 คน รวมเป็น ส.ว. 250 คน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย

///////////////
เปิดร่างกฎหมายลูกส.ว.กำหนดประสบการณ์ 20 ด้าน คสช.เลือก 50คน
เพิ่มโทษเอาผิดผู้สมัคร-ฝ่ายการเมืองทุจริต มีสิทธิโดนคุก 10ปี ซ้ำถูกเพิกถอนสิทธิสมัคร-สิทธิเลือกตั้ง 10 ปี


              ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมกกต.วันที่ 26 ก.ย.นี้ ที่ประชุมจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ที่คณะทำงานของสำนักงานกกต.เสนอ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นฉบับสุดท้ายใน 4 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งระดับชาติ  ที่กกต.ต้องส่งให้กรธ.พิจารณาต่อไป

                ซึ่งสาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องของกระบวนการ วิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งส.ว  200 คนตามมาตรา 107 ของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ โดยแบ่งเป็น 3 หมวด  คือ  หมวดการได้มาซึ่งส.ว.  หมวดการสืบสวน หรือไต่สวน และวินิจฉัย หมวดการควบคุมการเลือกและบทกำหนดโทษ และบทเฉพาะกาล   โดยบุคคลที่จะเป็นส.ว.ต้องมีความรู้ เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในงานแต่ละด้านนั้น


               ร่างกฎหมายได้กำหนดเป็น 20 ด้านตามแนวความคิดของกรธ.  คือ 1. ด้านการบริหาร ความมั่นคง หรือการต่างประเทศ  2. ด้านกฎหมาย หรือกระบวนการยุติธรรม  3. ด้านการบัญชี การเงิน การคลัง หรือการงบประมาณ 4. ด้านการศึกษาหรือวิจัย 5. ด้านการสาธารณสุข  6. ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7. ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม วรรณกรรม การแสดง หรือการกีฬา  8. ด้านกสิกรรม หรือป่าไม้ 9. ด้านปศุสัตว์ หรือประมง  10. ด้านลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน องค์กรลูกจ้าง หรือองค์กรนายจ้าง

                11.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค การสื่อสาร สื่อสารมวลชน 12. ด้านการประกอบการธุรกิจ การค้า หรือการธนาคาร 13 ด้านการประกอบการอุตสาหกรรม  14. ด้านการประกอบวิชาชีพ  15 ด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง ที่อยู่อาศัย หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  16.ด้านทรัพยากรธรรมชาติหรือพลังงาน  17. ด้านองค์กรชุมชน หรือประชาสังคม 18.ด้านผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส หรือสตรี  19. ด้านผู้ประกอบอาชีพอิสระ 20. ด้านอื่น ๆ

             ซึ่งผู้สมัครแต่ละด้านต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 108 ที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดเป็นหลัก ยื่นลงสมัครได้เพียงด้านเดียวพร้อมค่าธรรมเนียม 5,000 บาท ห้ามหาเสียง  ทำได้เพียงเอกสารแนะนำตัวเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว การศึกษา ผลงานในการทำงาน โดยกกต.เป็นผู้เผยแผร่ให้เท่านั้น

               ส่วนการเลือกกันเองตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศจะใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 60 วัน โดย กกต.จังหวัดและ คณะอนุกรรมการประจำอำเภอที่มีการแต่งตั้งขึ้น จะดำเนินการเลือกระดับอำเภอ และระดับจังหวัด  ส่วนกกต.กลางเลือกระดับประเทศ    หนึ่งหน่วยเลือกตั้งจะประกอบด้วยผู้มีสิทธิลงคะแนนจำนวน 500 คนเป็นประมาณ ใช้หีบบัตรเลือกตั้ง 20 หีบ ผู้สมัครจะลงคะแนนเลือกให้ผู้สมัครกลุ่มอื่นได้กลุ่มละหนึ่งหมายเลข  เกณฑ์ได้รับเลือก ผู้ได้คะแนนมากที่สุดเรียงลำดับลงมาตามจำนวนที่ต้องการในการเลือกของแต่ละกลุ่มแต่ละระดับเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้ามีคะแนนเท่ากันในลำดับที่ทำให้เกินจำนวนที่จะพึงมีในแต่ละกลุ่มแต่ละระดับให้ใช้การจับสลาก และการเลือกในระดับอำเภอ ระดับจังหวัดใช้เวลาระดับละ  15 วัน ระดับประเทศ 7 วัน

           ระดับอำเภอ เมื่อดำเนินขั้นตอนการสมัคร ตรวจสอบคุณสมบัติ  ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครแล้ว หากผู้สมัครกลุ่มใดใน 20 กลุ่มมีจำนวนเกินกว่า 5 คน จะทำ 2 ขั้นตอน  คือ ขั้นตอนแรกให้ผู้สมัครเลือกกันเองในกลุ่มให้เหลือผู้สมัครกลุ่มละ 5 คน และขั้นตอนที่ 2  ให้ผู้ที่ผ่านการคัดกรองกันเอง 5 คนของแต่ละกลุ่ม  ไปเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่น 19 กลุ่มที่เหลือ  หรือที่เรียกว่า "เลือกไขว้" โดยแต่ละคนมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นได้กลุ่มละหนึ่งหมายเลข เพื่อให้ได้ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนมากสุดเรียงลำดับลงมาจำนวน 3 คนในแต่ละกลุ่ม  

           ดังนั้นหนึ่งอำเภอเมื่อคัดเลือกได้ผู้สมัครที่เป็นตัวแทนกลุ่มละ 3 คนจาก 20 กลุ่ม ก็จะได้ผู้สมัครที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนอำเภอๆละ 60 คน ประเทศไทยมี 928 อำเภอ ก็เท่ากับว่าจะได้ผู้สมัครส.ว.ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนระดับอำเภอ 55,680 คน โดยคณะอนุกรรมการฯจะประกาศรายชื่อผู้สมัครที่ได้รับเลือกในระดับอำเภอไว้ที่ว่าการอำเภอให้ประชาชนตรวจสอบพร้อมส่งรายชื่อดังกล่าวให้กับกกต.จังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการเลือกส.ว.ประจำจังหวัดนำเข้าสู่กระบวนการเลือกระดับจังหวัด

             การเลือกในระดับจังหวัดนั้น เมื่อนำผู้สมัครที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนระดับอำเภอ 55,680 คน มาแยกเป็น 20 กลุ่มก็จะได้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนระดับอำเภอกลุ่มละ2,784 คน   ไปลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่น 19 กลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มของตน โดยเลือกให้เหลือกลุ่มละ 3 คน เป็นผู้ได้รับเลือกในระดับจังหวัด ซึ่งทั้งประเทศมี 77 จังหวัด ดังนั้นใน 20 กลุ่ม ก็จะได้ผู้สมัครที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนจังหวัดรวม 4,620 คน  รายชื่อดังกล่าวจะถูกส่งให้กกต.กลางดำเนินการเลือกในระดับประเทศ ซึ่งเมื่อแบ่งเป็น 20 กลุ่มก็จะมีผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนระดับจังหวัดในแต่ละกลุ่ม  231 คน  ไปลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่น 19 กลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มของตนให้เหลือกลุ่มละ 10 คน เป็นผู้ได้รับเลือกในระดับประเทศจาก 20 กลุ่มรวม 200 คน

             ซึ่งหากกกต.เห็นว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต ไม่มีการคัดค้านก็จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับเลือกตามลำดับคะแนน 10 อันดับในแต่ละกลุ่ม 20 กลุ่มจำนวน 200 คน เป็นผู้ได้รับเลือกเป็นส.ว.  พร้อมจัดทำบัญชีสำรองของผู้ผ่านการคัดเลือกไว้บัญชีละ 10 รายชื่อ เผื่อกรณีที่สมาชิกภาพของส.ว.ในกลุ่มใดสิ้นสุดลงก่อนครบวาระ 5 ปี ก็จะไม่ต้องมีการเลือกใหม่ แต่ให้เลื่อนจากบัญชีสำรองในแต่ละกลุ่มได้เลย

                ขณะที่การดำเนินการเกี่ยวกับกรณีมีการร้องเรียน การคัดค้านการทุจริตการเลือกส.ว. หรือบทลงโทษนั้นส่วนใหญ่จะเหมือนกับที่บัญญัติในร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีเพิ่มในส่วนผู้ใดกระทำการสนับสนุนให้บุคคลเข้าหรือไม่เข้ารับการสมัครเพื่อประโยชน์ในการลงคะแนนให้แก่ตน หรือผู้สมัครอื่น หรือลงสมัครเพื่อการเลือกโดยมีผลประโยชน์ตอบแทน  รวมทั้งกรรมการบริหาร ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใดในพรรคการเมือง ส.ส.  ผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใด กระทำการโดยวิธีใดที่เป็นการช่วยเหลือให้ผู้สมัครได้รับเลือกเป็นส.ว หรือผู้สมัครคนใดยินยอมให้บุคคลเหล่านี้ช่วยเหลือเพื่อให้เป็นส.ว.  อีกทั้งผู้ใดกระทำการให้ สัญญาว่าจะให้ จัดเลี้ยง ใช้อิทธิพล เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนๆ ให้แก่ตน หรืองดเว้นลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครใด ให้ถือว่ามีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่สองหมื่น-สองแสนบาทและให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี

                อย่างไรก็ตามผู้ได้รับเลือกเป็นส.ว.จำนวน 200 คนดังกล่าว ตามบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 269 (ค) ได้บัญญัติให้คสช.เลือกผู้ที่ได้รับเลือกเป็นส.ว.จากบัญชีที่กกต.ส่งไปนี้ จำนวน 50 คน และคัดเลือกรายชื่อสำรองไว้อีกจำนวน 50 คน โดยให้นำจำนวนที่เลือกจากบัญชีที่กกต.ส่งไป 50 คนไปรวมกับที่คสช.จะเลือกอีก  200 คน รวมเป็นส.ว. 250 คนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย
///////////////