PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

บันทึกลับสีดำ 5 ปี เผาเมืองรอบแรกปี 52 จุดเริ่มต้นชายชุดดำ(ตอน 1)@เสธน้ำเงิน2

วันอาทิตย์ ที่ 14 กันยายน 2557
Posted by ทนายเบิ้ม , ผู้อ่าน : 1844 , 21:32:24 น.  
หมวด : การเมือง 

 พิมพ์หน้านี้ 
  โหวต 3 คน นายยั้งคิด , ตาเรน โหวตเรื่องนี้ 

การได้ศึกษาอดีต ก็จะทำให้ทราบสาเหตุความเป็นมาในปัจจุบัน ที่ช่วงนี้มีการจับกุมชายชุดดำ ที่ก่อเหตุฆ่าทหาร และ ยิงเจาะหัวคนเสื้อแดงตายในปี 2553 โดยที่ถึงปัจจุบัน ยังมีคนเสื้อแดงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ถูกหลอกไปให้ชายชุดดำ นปช.ยิง เพื่อสร้างสถานการณ์
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบ 3 กลุ่มการเมือง จากการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งกลุ่มพลังประชาชน เป็นหนึ่งในนั้นด้วย การบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันต้องยุติลง อีกทั้งศาลยังตัดสินให้ชาย ม่านรูด ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากผลพวงยุทธ ตู้เย็น คณะกรรมการบริหารกลุ่มฯ พากันไปตายยกเข่ง ส่งผลให้ชาย ม่านรูด จึงต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ด้วย
วันที่ 15 ธันวาคม 2551 นักการเมืองชุดเดิมที่ยังมีสถานะ ส.ส. อยู่ ที่เป็นสมาชิกกลุ่มชาติไทยพัฒนา นำโดย เสธ สนั่น , กลุ่มภูมิใจไทย และเพื่อนเนวิน ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกกลุ่มพลังประชาชนบางส่วน ได้ตัดสินใจผ่าทางตัน ยกมือมติเป็นเสียงข้างมาก เลือกให้หล่อใหญ่ แห่ง ปชป. ขึ้นเป็นนายกฯ ชนะ ประชา จากกลุ่มโนเนม โดยเผาไทย ไม่ส่งคนแข่งสู้
วันที่ 17 ธันวาคม 2551 หล่อใหญ่ หัวหน้าพรรค ปชป. ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ จึงทำให้กลุ่มกลุ่มพลังประชาชน ที่แปลงร่างเป็นกลุ่มเผาไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.โกงมามากในสภา ต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน
มีนาคม 2552 นายใหญ่ ผู้ขี้ขลาดตาขาว วิดีโอลิ้งค์มาจากต่างประเทศ โจมตีให้ร้ายเบื้องสูง และองคมนตรี ว่าอยู่เบื้องหลังรัฐประหารบิ๊กบังในไทย พ.ศ. 2549 และว่าสมคบ กับทหาร เพื่อให้หล่อใหญ่ได้เป็นนายกฯ แม้ผู้เกี่ยวข้องจะปฏิเสธ การโกหกให้ร้ายดังกล่าว แต่เผาไทยก็กลับยุยงประชาชนต่างจังหวัด เพื่อหวังลึกถึงไปไกล การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของชาติ
นายใหญ่ เรียกร้องให้มวลชนคนเสื้อแดง นปช. " ปฏิวัติของประชาชน" เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบตะวันตก ประธานาธิบดี เอาชนะอำมาตย์ เชื่อมโยงไปเบื้องสูง นำโดย กลุ่มเสื้อแดง นปช.
วันที่ 26 มีนาคม 2552 ได้มีการจัดการชุมนุมแดงทั้งแผ่นดินสัญจรครั้งที่ 6 เริ่มจากการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง มีผู้ประท้วงหลายพันคน ในกรุงเทพ และเคลื่อนขบวนมาปักหลักชุมนุมอย่างยืดเยื้อบนถนนรอบทำเนียบ
วันที่ 7 เมษายน 2552 มวลชนเสื้อแดง นปช. ได้ถูกแกนนำยุ ให้ล้อมรถยนต์ของนายกฯ หล่อใหญ่ ที่พัทยา โดยการนำรถมอเตอร์ไซต์จอดขวาง แล้วเข้าไปตะโกนด่า พร้อมทั้งมีการขว้างหมวกกันน็อคใส่กระจกด้านหลังรถจนแตกเสียหาย โดยมีชายชุดดำในเครื่องแบบรู้เห็นเป็นใจ
วันที่ 8 เมษายน 2552 แกนนำเสื้อแดง นปช. นำโดย วีระ คางคกตู่ ใส้เดือนเต้น และเจ๊เพ็ญ ได้ขึ้น เวทีที่ทำเนียบ อ่านแถลงการณ์ของเสื้อแดง โดยมีข้อเรียกร้องให้กระแทกเบื้องสูง คือ ให้ป๋าเปรม ฤษีขี่เต่า ประธานศาล และหล่อใหญ่ ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วย
ให้การบริหารราชการแผ่นดิน ให้ปรับปรุงเป็นแบบตะวันตก (มีประธานาธิบดี) ต้องมีการปรึกษาหารือกันระหว่างผู้มีประวัติเป็นคอมมิวนิสต์กลายพันธ์ และผู้เชิดชูระบอบทุนนิยมล้มเจ้าเป็นที่ประจักษ์ (สรุป สาระหลักข้อเรียกร้องพุ่งเป้าล้มสถาบันเบื้องสูง) ซึ่งแกนนำเสื้อแดง นปช. ได้ให้เวลา 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะมีการยกระดับการชุมนุม
วันที่ 9 เมษายน 2552 หลังพ้นกำหนด 24 ชั่วโมงตามที่ได้เรียกร้อง ผู้ชุมนุมเสื้อแดง นปช. ทีถูกหลอกจ้าง 300 บาทต่อวัน ให้มาทำลายเบื้องสูง ได้ทยอยเดินทางชุมนุม โดยใช้สัญลักษณ์เฉี่ยวๆ เป็นบ้านสี่เสาเทเวศร์ และปิดกั้นถนนสำคัญหลายสาย เช่น ถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เวลา 20.22 น. นายใหญ่ ผู้ขี้ขลาด ได้วิดีโอลิงก์จากเมืองนอก มาที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. โดยหลอกลวงให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมต่อไป อย่ากลับบ้าน ขอให้สู้เพื่อตระกูลตนเอง และเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ได้
วันที่ 10 เมษายน 2552 ผู้ชุมนุมเสื้อแดง นปช. รับจ้าง นำโดยกลุ่มแท็กซี่แดง ได้ทำการปิดถนนตามแยกต่าง ๆ ภายในกรุงเทพมหานคร และขู่ว่าจะก่อจลาจลในสถานที่ต่าง ๆ รัฐบาลสมัยนั้นจึงประกาศให้วันที่ 10 เมษายนเป็นวันหยุดราชการ
กีร์ อมฮอลล์ ได้นำผู้ชุมนุม นปช. จากกรุงเทพ ไปชุมนุมที่พัทยา ทำทีแสร้งเป็นเจรจากับ ผู้ว่าชลบุรี เพื่อขอยื่นหนังสือ กับตัวแทนสำนักงานเลขาธิการอาเซียน แล้วจะเดินทางกลับ โดยอ้างว่าจะไม่ขัดขวางทำลายการประชุมระดับนานาชาติ ให้ไทยเสียหาย
วันที่ 11 เมษายน 2552 กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง นปช. จากกรุงเทพ และในจังหวัดชลบุรี นำโดยกีร์ อมฮอลล์ พลิกลิ้น จงใจจะทำลายชื่อเสียงของชาติไทยให้สิ้นซาก โดยเคลื่อนขบวนไปที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก เพื่อทำลายการประชุมนานาชาตินั้นเสีย โดยมีชายชุดดำในเครื่องแบบเปิดทางสะดวก
กลุ่มเสื้อแดง นปช. ใช้กำลังผู้ก่อจราจลจำนวนมากบุกเข้าโรงแรมได้ ทำลายทรัพย์สินย่อยยับ เข้าไปในศูนย์สื่อมวลชน และมีการแถลงข่าวโดย โดยกีร์ อมฮอลล์ อ้างหน้าด้านๆ ว่ามีคนเสื้อแดงถูกคนเสื้อน้ำเงินยิงได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และแกล้งเรียกร้องให้นายกฯ หล่อใหญ่ ดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิด ภายใน 1 ชั่วโมง
แต่ทว่า รัฐบาลหล่อใหญ่ ไม่ดำเนินการตามคำขู่กรรโชก เอาประเทศของกลุ่มคนเสื้อแดง นปช. จึงทำให้กีร์ สั่งให้จับตัวนายกฯ หล่อใหญ่ ภายในอาคารของโรงแรม มาประชาทัณฑ์ ส่งผลให้เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ทรัพย์สินเอกชนเสียหายมากมาย เป็นเหตุให้รัฐบาล ร่วมกับที่ประชุมอาเซียน ประกาศเลื่อนการประชุมนานาชาติออกไป
จากนั้น นายกฯ หล่อใหญ่ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตพื้นที่เมืองพัทยา และจังหวัดชลบุรี จนกระทั่งอพยพส่งผู้นำต่างประเทศ กว่า 10 ชาติ กลับเสร็จสิ้น เป็นสิ่งที่คนไทยต้องอับอายเป็นตราบาปมาจนถึงทุกวันนี้ ที่คนเสื้อแดง นปช.ไล่แขกเหรื่อของประเทศออกไป และผู้นำนานาชาติ ต้องหนีตายจากการไล่ล่าทำร้ายของคนเสื้อแดง นปช.
ต่อมาเวลา 21.00 น. นายใหญ่ ผู้ขี้ขลาด ได้โฟนอินจากเมืองนอก เข้าไปยังการชุมนุมของคนเสื้อแดง นปช. โดยกล่าวว่าเป็นการทำลายการประชุมนานาชาติที่ยอดเยี่ยม และอ้างบอกว่าถ้าข้าราชการขัดขวางกลุ่มเสื้อแดง นปช. ก็เสมือนกับไม่ต้องการให้ประเทศเจริญ ???
และกล่าวให้ร้ายเบื้องสูงต่อว่า มีการใช้อำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงถึงเวลาที่คนเสื้อแดง นปช. ต้องไขว่คว้าหาประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองใหม่ โดยต้องเปลี่ยนรัฐบาล ที่เป็นมือเป็นไม้ให้อำมาตย์ให้ได้ก่อน
วันที่ 12 เมษายน 2552 กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง นปช. กลับมารวมตัวที่กรุงเทพ และแกนนำยุยงให้ปิดถนนทั่วกรุงเทพ โดยเริ่มจากนำขบวนแท็กซี่แดงรับจ้าง มาปิดบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กี้ร์ อมฮอลล์ ถูกควบคุมตัว แกนนำได้ประกาศบนเวทียุยง ปลุกปั่น มวลชนเสื้อแดง นปช.รับจ้างอย่างหนัก
ฝูงชนเสื้อแดง นปช. ที่กำลังบ้าคลั่ง ได้บุกเข้าไปภายในกระทรวงคลองหลอด แม้เจ้าหน้าที่อารักขานายกฯ จะห้ามปราม เมื่อรถยนต์ของนายกได้ขับรถฝ่าออกไป โดยมีเจ้าหน้าที่คุ้มกัน ผู้ชุมนุมเสื้อแดง นปช. ได้เข้าไปแย่งปืนจากเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง และทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
ต่อมารถเก๋งสีดำประจำตำแหน่ง ได้ขับไปอยู่ท่ามกลางคนเสื้อแดง และได้มีการปาสิ่งของต่าง ๆ จากนั้น การ์ดเสื้อแดง นปช. และคนเสื้อแดงที่คลุ้มคลั่งยาและเหล้า ได้ลากนิพนธ์ เลขาธิการนายก ออกมาจากรถเพื่อหมายเอาชีวิตนายกฯ หล่อใหญ่ ทั้งนี้ แรมโบ้อีสาน แกนนำคนเสื้อแดง นปช. ที่ไปชุมนุมหน้ากระทรวงมหาดไทย
ได้หลอกลวงประกาศบนเวทีชุมนุมว่ามีคนเสื้อแดงเสียชีวิต 2 คน โดยอ้างว่าถูกยิงตาย และอ้างว่าการยึดปืนของเจ้าหน้าที่ไว้ และบอกว่าปืนของเจ้าหน้าที่สามารถใช้เก็บเสียงได้ ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริง เพราะไม่มีใครตาย และมวลชนเสื้อแดง นปช.แย่งปืนเจ้าหน้าที่ไปเอง
วันที่ 13 เมษายน 2552 กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. นำรถแก๊สแอลพีจี ไปจอดไว้ที่หน้าแฟลตดินแดง เพื่อหวังจุดระเบิดคอร์บอม ฆ่าคนในแฟลตดินแดงทิ้ง กำลังทหาร และตำรวจ ได้ใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง เข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณแยกดินแดง จนแตกกระเจิง และมีบาดเจ็บบ้างเล็กน้อย 70 คน
ส่วนใหญ่คือขว้างของแข็งพลาดใส่กันเอง แต่แกนนำมวลชนแดง นปช.กลับอ้างหน้าด้านๆ ว่า มีผู้เสียชีวิตจากการเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งทางทหาร ได้ออกมาปฏิเสธว่ามีการยิงแค่ขู่ขึ้นฟ้า แต่ไม่มีผู้บาดได้รับอันตราย ซึ่งตรวจสอบโรงพยาบาลทุกแห่ง ก็ไม่มีใครเข้ามารักษาพยาบาลจากกระสุนจริงแม้แต่คนเดียว

เวลา 12.00 น. นายสุชิน อดีตประธานวุฒิสภา พร้อมด้วยคำนวณ อดีต ส.ว.สิงห์บุรี ลิ้วล้อนายใหญ่ ได้เข้ายื่นหนังสือให้กระแทกเบื้องสูง ให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท โดยยื่นต่อราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง

มีการยึดรถโดยสารประจำทาง ของ ขสมก. หลายคัน ขับรถเข้าชนเจ้าหน้าที่ และจอดขวางตามถนนต่างๆ ทั่วกรุงเทพ โดยทุกคันถูกทำลาย และจุดไฟเผาจนดำเป็นตอตะโก และเสื้อแดงห้ามรถดับเพลิงเข้ามาถึงพื้นที่ เพราะต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผลให้มีกลุ่มควันลอยขึ้น เหนือท้องฟ้าของกรุงเทพ
เวลา 16.00 น. สัญญาณภาพจากสถานีดาวเทียมเสื้อแดง นปช. D-Station ที่รับเงินจากหญิงกระบังลม และเจ้าของห้างลาดพร้าว ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้ถ่ายทอดการชุมนุมโดยตลอด ถูกตัดสัญญาณ ตามคำสั่งของรัฐบาลใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
เวลา 21.30 น. กลุ่มเสื้อแดงบ้าคลั่งอย่างหนัก จากยาเสพติดและเหล้า ได้เข้าโจมตีหลายชุมชน เพื่อจะจุดไฟเผาอาคารบ้านเรือน แต่ชาวบ้านหลายกลุ่มก็พยายามปกป้องพื้นที่ของตนเองจากผู้ก่อการจลาจล เกิดเหตุปะทะกันกับเสื้อแดงติดอาวุธ จนมีชาวบ้านเสียชีวิต 2 ราย ที่ตลาดนางเลิ้ง
วันที่ 14 เมษายน 2552 เวลา 10.00 น. แกนนำเสื้อแดง นปช. ประกาศยุติการชุมนุม บนถนนรอบทำเนียบรัฐบาล เพราะพ่ายแพ้สิ้นเชิง จากนั้นแกนนำ คือ วีระ หมอโหวงเหวง ใส้เดือนเต้น และแรมโบ้ ได้เข้ามอบตัวต่อตำรวจ ส่วนคางคกตู่ กลัวตายจัด ตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดไปก่อนแล้ว
ต่อมามีการออกหมายจับแกนนำเผาเมืองรอบแรกจำนวน 14 คน ไล่มาตั้งแต่นายใหญ่ จอมล้มเจ้า จนถึงแกนนำเสื้อแดง นปช.ต่างๆ (แต่พอเปลี่ยนรัฐบาล เจ้าหน้าที่ก็เป่าคดีหายไปอีก) ทหาร ได้จัดรถโดยสารนำส่งผู้ร่วมชุมนุมที่สมัครใจเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า การส่งผู้ชุมนุมกลับภูมิลำเนาเป็นไปอย่างเรียบร้อย
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552 ได้มีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ผู้ชุมนุมบางส่วนที่ไม่ต้องการสลายการชุมนุม ได้ปักหลักอยู่บริเวณแยกวังแดง และได้เคลื่อนขบวน ไปรวมตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ท้องสนามหลวง วันถัดมาแกนนำเสื้อแดง นปช.รุ่น 2 จอมล้มเจ้า นำโดยสมยศ นำคนเสื้อแดงสาลล้มเจ้า ชุมนุมบริเวณท้องสนามหลวง และนัดเดินสาย 5 จังหวัด แต่ภายหลังก็ฝ่อไปในที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เอาแนวทางล้มเจ้าของ นปช.
เหตุการณ์เผาเมืองรอบแรกนี้ ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ ระหว่างวันที่ 8 - 14 เมษายน 2552 ว่า เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและการสูญเสียรายได้รัฐประมาณ 330 ล้านบาท นอกจากนี้ ในด้านการท่องเที่ยวพบจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ลดลงประมาณ 877,474 คน

รายได้จากการท่องเที่ยว ลดลงประมาณ 102,385 ล้านบาท และทำให้คนตกงานถึง 257,000 ตำแหน่ง มีมวลชนเสื้อแดง นปช. ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวราว 120 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขว้างปาของแข็งใส่หัวกันเองช่วงชุลมุน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐสภา สรุปว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว

แต่มีศพคนเสื้อแดง 2 ศพ ถูกพบว่าลอยอยู่เหนือแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากการ์ดเสื้อแดง นปช. ฆ่าคนเสื้อแดงทิ้ง เพราะกล้าคิดจะหนีกลับบ้าน..ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเสื้อแดงผู้ชุมนุม ที่จะต้องถูกการ์ดฆ่าตายทุกครั้งในทุกๆ การชุมนุมตลอดมา..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันดีในกลุ่มเสื้อแดง
บทสรุป การชุมนุมของมวลชนเสื้อแดงปี 2552 นี้ กลุ่มการเผาไทย และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง นปช. มีเป้าหมายหลัก คือ ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครอง เป็นรูปแบบตะวันตก ที่มีประธานาธิบดี และบั่นทอนทำลายสถาบันเบื้องสูง
โดยหลอกใช้ และจ้างคนเสื้อแดงมาเป็นเครื่องมือ มาบาดเจ็บ ทำลายทรัพย์สินราชการ และทำลายชื่อเสียงของประเทศ

** รอดูตอนที่ 2 ตอนเผาเมืองรอบ 2 ต่อไป

@เสธน้ำเงิน2

https://www.facebook.com/topsecretthai

DSI แฉเบื้องลึก ชายชุดดำหลุดมือ เฉลิมสั่งเบรก - ลุยคดีมาร์ค - เทือก

DSI แฉเบื้องลึก ชายชุดดำหลุดมือ เฉลิมสั่งเบรก - ลุยคดีมาร์ค - เทือก

         การที่ตำรวจนำ 'ชายชุดดำ' มาแฉ ได้กลายเป็นมหากาพย์ไปแล้ว มีตัวละครที่ถูกดันออกมาหน้าฉาก คือเฉลิม อยู่บำรุง หนึ่งในจอมบงการโหดคู่กับ 'ปึ้ง' สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล กำลังถูกกล่าวหาไม่ให้ DSI พูดถึง 'ชายชุดดำ' แต่ให้ไปเร่งทำคดีความผิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตาย โดยเจตนาเล็งเห็นผล

          เมื่อรู้ลึกขนาดนี้ 'เหลิม' ที่เก็บตัวเงียบเหมือน 'กบจำศิล' ก็กำลังจะถูก 'ตะขอ' เกี่ยวเอาออกมาจากรูในเร็วๆนี้.

222
  วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

 DSI แฉเบื้องลึก ชายชุดดำหลุดมือ 'เฉลิม'สั่งเบรก - ลุยคดี'มาร์ค' - 'เทือก'

วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557, 16.14 น.

13 ก.ย. 57 พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยหลังการประชุมหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีก่อการร้ายที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองของ นปช. เมื่อปี 2553 สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จับกุม 5 ผู้ต้องหาชุดดำที่ก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 และปืนอาก้า บริเวณแยกคอกวัว จนเป็นเหตุให้ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งประสานกับตำรวจ เพื่อโอนคดีมาให้ดีเอสไอสอบสวนต่อ เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว

ซึ่งเบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหาคดีครอบครองอาวุธและวัตถุระเบิด หลังรับคดีมาสอบสวนต่อแล้ว ดีเอสไอจะพิจารณาพยานหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับคดีอื่นอีกหรือไม่ รวมถึงกรณีการเสียชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้า โดยย้ำว่าการทำสำนวนต้องสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งกรณีของชายชุดดำหลังเข้ารับตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ตนยืนยันมาตลอดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง รายละเอียดส่วนใดที่ยังไม่สมบูรณ์ต้องทำให้ครบถ้วน

แหล่งข่าวจากทีมสอบสวนดีเอสไอระบุว่า ผู้ต้องหาชายชุดดำทั้ง 5 คน ปรากฏข้อมูลอยู่ในชั้นสอบสวนของดีเอสไอมาตั้งแต่ต้น โดยมีทั้งภาพใบหน้าผู้ต้องสงสัย ภาพรถตู้ เจ้าของรถตู้ซึ่งเชื่อมโยงกับแกนนำ นปช. รวมถึงภาพตำรวจที่พยายามเข้าไปจับกุมและยึดเครื่องยิงเอ็ม 79 จากคนร้าย แต่ที่ผ่านมาไม่มีเจ้าหน้าที่ชุดใดเข้าจับกุม ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยขอศาลออกหมายจับชายตามภาพถ่าย

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในขั้นตอนสืบสวนพบเป็นกลุ่มผู้ต้องสงสัยจริง แต่ที่ไม่มีการจับกุม เพราะหลังมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีแนวทางการสอบสวนว่าไม่มีชายชุดดำ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ จึงมีการเปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้ายทั้งหมด และให้ไปเร่งรัดการสอบสวนคดีความผิดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตาย โดยเจตนาเล็งเห็นผล พนักงานสอบสวนที่ถูกให้ออกจากชุดสอบสวนส่วนใหญ่ เป็นผู้ที่ยืนยันข้อมูลว่ามีชายชุดดำอยู่จริง

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=933886

นศ.วปอ.56เสนอยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้เกิดความมั่นคงและมั่งคั่งสู่การปฎิรูปประเทศ

นศ.วปอ.56เสนอยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้เกิดความมั่นคงและมั่งคั่งสู่การปฎิรูปประเทศ
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก วิภาวดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร่วมรับฟังการแถลงยุทธ์ศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2558 -2562 ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นปี 2556 โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตัวแทนเหล่าทัพ ผู้บัญชาการวิทยาลัยเสนาธิการทหาร ผู้บัญชาการวิทยาลัยการทัพบก ผู้บัญชาการวิทยาลัยการทัพเรือ ผู้บัญชาการวิทยาลัยการทัพอากาศ พร้อมทั้งผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
ข้าราชทหาร ตำรวจ เข้าร่วม โดยมี พล.ท.พินิจ ฉัตรเสถียรพงศ์ ประธานนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจัดลกร 2556 ให้การต้อนรับ
สำหรับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2558-2562 ที่คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ปี 2556ได้จัดทำตามโครงสร้างการจัดทำยุทธ์ศาสตร์ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ได้กำหนดผลประโยชน์แห่งชาติ และวัตถุประสงค์มูลฐานแห่งชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาว โดยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงมั่งคั่งมีเกียรติและศักดิ์ศรีในโลก สังคมไทย เป็นสังคมแห่งความรู้ ควบคู่คุณธรรม มีคุณภาพ ชีวิตที่ดี และรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะแห่งชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะ 5 ปี คือการปฏิรูปการเมือง มีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และลดความเหลื่อมล้ำของสังคม มีการกระจายโอกาสทางการศึกษา จัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้สังคมเป็นสังคมแหางการเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม และได้กำหนดนโยบายความมั่นคงแหางชาติ มาตรการเฉพาะรวมทั้งแผนงานโครงการต่าง ๆ เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2558 -2562 ไปสู่การปฏิบัติ โดยมีจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์มุ่งสู่การปฏิรูปประเทศ สร้างความผาสุขให้คนในชาติ
สำหรับการฏิรูปการเมืองคณะนักศึกษา วปอ. 2556 ได้เสนอ 2 เรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน คือ การต้ารทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม ต้องบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและการปราบปราบการทุจริตอย่างเคร่งครัด การออกกฎหมายควบคุมการวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่รัฐและนำวิธีการลงโทษทางสังคม การสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นกับนักการเมือง ข้าราชการประจำ ด้วนการกำหนดข้อปฏิบัติเหมือนศีล 5 และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม และประสานความร่วมมือกับนานาขาติ เข้าถึงจ้อมูล และสร้างกลไก การยึดทรัพย์ อันได้มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่น
นอกจากนี้การเข้าสู่อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร คือการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งตัวแทนปวงชน และบุคคลในคณะรัฐมนตรี คือคนดีจริง เก่งจริง สภาพี่เลี้ยงในลักษณะ สนช. ต้องอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าการเลือกตั้งจะได้นักการเมืองที่เป็นคนดีจริง เก่งจริง การที่มีช่องทางพิเศษให้ข้าราชการสามารถขอโอนย้ายเข้าเป็นข้าราชการทางการเมือง เพื่อเพิ่มทางเลือกบุคคลที่จะเข้ามาทำงานทางการเมืองไม่ให้จำกัดอยู่เฉพาะนักการเมืองอาชีพ พร้อมสร้างคนรุ่นใหม่หรือต้นกล้าการเมืองไทยทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นความเปลี่ยนแปลง การเฝ้าระวังการเมืองสีเทา ด้วยองค์กรภาคประชาชนที่เข้มแข็ง
ทั้งนี้นักศึกษา วปอ. 2556 ได้เสนอแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เกิดมาจากระบบที่ไม่เกิดความเป็นธรรม ตลอดจนการกระจายทรัพยากรสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ทั่วถึง การเกิดระบบทุนนิยมที่เข้มแข็ง ถ้าสาธารณะอ่อนแอด้อยประสิทธิภาพ จึงต้องมีระบบใหม่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างเป็น รูปธรรม นั่นคือกิจการเพื่อสังคม โดยมี 2 จุดเด่น คือประสิทธิภาพ และประสิทธิผล การบริหารจัดการในภาคเอกชน โดยการเน้นคนส่วนใหญ่ในภาครัฐ เมื่อมีเป้าหมายก่อให้เกืดผลดีต่อส่วนร่วมเป็นหลัก มีประสิทธิภาพสูง และยั่งยืน โดยรูปแบบที่ดหมาะสมของกิจการเพื่อสังคมในประเทศไทยจะเป็นรูปแบบผสมผสานระหว่างแนวทางที่ประสบความสำเร็จในโลกตะวันตก กับรูปแบบการเข้าใจในรายละเอียด และวัฒนธรรมของผู้คนในโลกตะวันตก
ทั้งนี้มีการกำหนด 4 ยุทธศาสตร์ 1.การส่งเสริมผลักดัน กิจกรรมเพื่อสังคม 2.การสร้างทัศนคติและการเรียนรู้เรื่องกิจการสังคม3.การพัฒนาขีดความสามารถของกิจการเพื่อสังคม และ4.การสร้างกลไกสนับสนุนกิจการเพื่อสังคม โดยการจัดตั้งหน่วยงานในระดับกรมหรือองค์กรอิสระเพื่อรับผิดชอบ การจัดตั้งกองทุนคงยอดเงินต้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านงบประมาณ พร้อมทั้วออกกฎหมายให้สามารถจัดตั้งจดทะเบียนบริษัทหรือหน่วยงานที่เป็นกิจสังคมได้ การจัดทำนโยบายและแนวปฎิบัติเพื่อสนับสนุนกิจการสังคม การสร้างระบบประเมินผลและรองรับมาตราฐานของกิจการสังคมรวมถึงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์กิจการสังคม พร้อมเครือข่ายการเรียนรู้

สำหรับเรื่องการปฎิรูปการศึกษา นักศึกษา วปอ. ได้เสนอโครงการการปฎิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต เน้นการแก้ปัญหาการศึกษาทุกด้าน ให้ตอบสนองวัตถุประสงค์เป้าหมายเพื่อการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน โดยมีแนวทางสำคัญคือ การจัดทำโครงสร้างปฎิรูปการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ และระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วม สร้างจิตสำนึกให้ตระหนักถึงปัญหาการศึกษาที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาคน ซึ่งส่งผลต่ออนาคตของชาติ โดยขับเคลื่อนปฎิรูป10 ด้าน คือ การปฎิรูปขบวนการผลิตแบะพัฒนาครู การปฎิรูประบบการเรียนการสอน ปฎิรูปองค์ความรู้ ปฎิรูปการวัดและประเมินผลการศึกษาทุกระดัย ปฎิรูปสถานการศึกษา ปฎิรูปการบริหารการศึกษา ปฎิรูปการศึกษาด้านอาชีพ การปฎิรูปการศึกษาเพื่อความมั่นคง การปฎิรูปการศึกษาตลอดชีวิตและ ปฎิรูปองค์กรด้านการศึกษา โดยให้ตระหนักรู้ว่า การศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ ทั้งนี้ นักศึกษา วปอ.2556 เห็นว่า หากนำยุทศาสตร์ชาติปี2558-2562ไปสู่การปฎิบัติ จะช่วยแก้ปัญหาที่เป็นรากเหง้าสำคัญของปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญมาตลอด

วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)

วามเป็นมาของสถาบัน

แนวความคิดในการก่อตั้งเป็นสถาบัน
  
        วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นสถาบันการศึกษาและการวิจัยระดับสูงของกระทรวงกลาโหม ตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมเสนาธิการกลาโหม พ.ศ.2498 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 เพื่อ “ประศาสน์วิทยาการด้านการป้องกันราชอาณาจักรให้แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง ฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือน เพื่อให้เกิดความสำนึกและตระหนักในความรับผิดชอบร่วมกันในอันที่จะต้องป้องกัน ต่อสู้ การจัด สรรพกำลัง การปกครอง และการรักษา ความสงบของประเทศ”

        แนวความคิดที่ได้ก่อกำเนิดวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ปรากฏตามความนำ ของระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ประกาศเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2498 ว่า “ในการป้องกันประเทศชาติให้พ้นจากการรุกรานในสมัยนี้หาได้มีความสำคัญอยู่ที่กำลังทางทหารแต่ฝ่ายเดียวไม่  ตรงกันข้ามบรรดาเจ้าหน้าที่ในกระทรวงทบวงกรมตลอดจนองค์การทั้งสิ้นย่อมมีความสำคัญในการป้องกันชาติร่วมกัน   รวมทั้งพลเมืองของชาติตลอดจนทรัพยากรทั้งมวลจะต้องเข้าอยู่ในแผนการป้องกันชาติด้วยเพื่อที่จะให้การร่วมมือประสานงานกันได้เรียบร้อยทั้งในการต่อสู้การจัดสรรพกำลังการปกครองและการรักษาความสงบ    รัฐบาลจึงจำเป็นต้องตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นเป็นแหล่งกลางเพื่อประสาทความรู้ในสาขาต่างๆโดยกว้างๆให้แก่ผู้ที่จะทำหน้าที่ดำเนินการเป็นฝ่ายปฏิบัติการชั้นสูงของรัฐบาลในด้านของการป้องกันราชอาณาจักร สถาบันแห่งนี้ให้ชื่อว่า “วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร”

       แนวความคิดดังกล่าวเริ่มปรากฏเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2492 โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและในฐานะที่ได้ดำรงตำแห่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย  จึงได้อนุมัติให้กรมเสนาธิการกลาโหมเป็นหน่วยดำเนินการพิจารณาสรรหาที่ตั้งของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ต่อมาพ.ศ.2496 พลเอก เดช เดชประดิยุทธ ดำรงตำแหน่งเสนาธิการกลาโหมตกลงใจเลือกบริเวณด้านหลังอาคารกระทรวงกลาโหมเป็นที่ก่อสร้างวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

ประวัติสถาบัน

         วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรได้มีการวางศิลาฤกษ์ในวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2496 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2497 ได้ทำพิธีเปิดอาคารพร้อมๆกับพิธีเปิดการศึกษา วปอ.รุ่นที่ 1 ในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2498 โดยฯพณฯจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นประธานในพิธี
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพัฒนาการของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรที่ผ่านมาทั้งในด้านรูปธรรมและนามธรรมอาจแบ่งได้ 3 ยุคดังนี้
ยุคแรก คือยุคการก่อตั้ง (พ.ศ.2498-2509 )

ยุคที่สอง คือยุคพัฒนา (พ.ศ.2510-2520)

ยุคที่สาม คือยุคสองประสาน (พ.ศ.2531 – ปัจจุบัน)


ยุคแรกคือยุคการก่อตั้ง (พ.ศ.2498-2509)วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรยุคแรกมีที่ทำการอยู่ด้านหลังของอาคารกระทรวงกลาโหมริมคูเมืองชั้นในซึ่งเรียกกันว่าคลองโรงไหม (คลองเตย) ดำเนินการก่อสร้างในวงเงินงบประมาณ 7,493,000 บาท โดยได้สร้างเชื่อมเป็นส่วนหนึ่งของอาคารด้านหลังของกระทรวงกลาโหม มีทางเดินติดต่อกัน 3 ชั้น ชั้นบนเป็นห้องบรรยาย ชั้นกลางเป็นห้องประชุม และชั้นล่างเป็นห้องรับรอง ซึ่งใช้เป็นห้องประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สำหรับด้านปีกของอาคารซึ่งต่อออกมาในทางทิศใต้นั้น ส่วนหนึ่งใช้ทำเป็นที่ทำการของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร อีกส่วนใช้เป็นที่ตั้งของกรมเสนาธิการกลาโหม และอีกส่วนหนึ่งใช้เป็นที่ประชุมขององค์การป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียอาคเนย์ (SEATO SOUTHEAST ASIA TREATY ORGANIZATION)

การจัดการศึกษาในยุคแรก นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 1 มีจำนวนทั้งสิ้น 68 คนประกอบด้วยข้าราชการทหารที่มียศตั้งแต่พลจัตวา พลเรือจัตวา และพลอากาศจัตวา ขึ้นไป กับข้าราชการพลเรือนชั้นพิเศษ และนายตำรวจที่มียศตั้งแต่นายพลตำรวจจัตวา ขึ้นไป โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือนักศึกษาแต่ละคนจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เข้ารับการศึกษา ซึ่งได้ถือปฏิบัติจนถึงปัจจุบันในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2498 นับเป็นวันปฐมฤกษ์ของการศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเมื่อพลเอกจิระ  วิชิตสงคราม เสนาธิการกลาโหม รองผู้บัญชาการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร กล่าวรายงานสรุป แนวความคิดที่จำเป็นให้มีการเปิดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรขึ้นต่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี

ในพิธีนี้มี ข้าราชการระดับรัฐมนตรี อธิบดี นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ และผู้มีเกียรติอื่นๆ มาร่วมพิธีด้วยจำนวนมาก   วิธีการศึกษาใช้เวลาศึกษาในห้องเรียนด้วยวิธีการบรรยายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ การชมภาพยนตร์ และการปฏิบัติการเป็นคณะ ซึ่งมีลักษณะเดียวกันกับการถกแถลงเป็นคณะ การแก้ปัญหา และการสัมมนาเป็นกลุ่มเฉกเช่นในปัจจุบัน ส่วนการศึกษานอกห้องเรียนเป็นการเดินทางไปดูกิจการโรงงานอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯ ทั้งของรัฐและเอกชน รวมทั้งการไปศึกษาภูมิประเทศในบางจังหวัดอีกตามสมควรเท่าที่เวลาจะอำนวยให้   ในยุคนี้มีการบันทึกเหตุการณ์สำคัญไว้ว่า สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงรับพระราชทานปริญญาบัตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรกิตติมศักดิ์ ณ ห้องประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

นักศึกษาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯประทับฉายพระรูปร่วมกับข้าราชการและนักศึกษา ทรงมีกระแสพระราชดำรัสกับข้าราชการและนักศึกษาตอนหนึ่งว่า “......การวิจัยของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จะต้องตรงไปตรงมาและจริงจัง มีความคิดเห็นร่วมกันอย่างไรก็เสนอไปอย่างนั้น ไม่ต้องเกรงว่าจะไม่ถูกใจผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไป โดยคิดให้ได้ว่าไม่ถูกใจผู้บังคับบัญชาดีกว่าพ่ายแพ้ศัตรู........”
ยุคที่สองคือยุคพัฒนา (พ.ศ.2510-2520)

 เนื่องจากสถานที่ตั้งเดิมของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร อยู่ร่วมกับกรมเสนาธิการกลาโหม (กองบัญชาการทหารสูงสุด) คับแคบ ไม่สะดวกต่อการปฏิบัติงาน ของเจ้าหน้าที่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นนักศึกษา  จึงได้พิจารณาที่ตั้งแห่งใหม่ กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้รับที่ดินจากกองทัพบก จำนวน 37 ไร่ 86 ตาราวา บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 6 ริมถนนวิภาวดีรังสิต ในเขตอำเภอพญาไท เพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารใหม่ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร การก่อสร้างอาคารได้เริ่มขึ้นใน พ.ศ.2504 ภายใต้การกำกับดูแลของ พลโทเฉลิม มหัทธนานนท์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาจักร ซึ่งจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มาเป็นประธาน ในพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2504 การก่อสร้างนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22,422,000 บาท (ยี่สิบสองล้านสี่แสนสองหมื่นสองพันบาทถ้วน) เมื่อการก่อสร้างอาคารเรียนและหอประชุมใหญ่แล้วเสร็จพอที่จะใช้งานได้ จึงได้ดำริให้ย้ายที่ทำการจากหลังกระทรวงกลาโหมมาอยู่ ณ อาคารใหม่แห่งนี้เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน พิธีเปิดอาคารแห่งใหม่ได้จัดขึ้นในวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2510  โดยจอมพลถนอม  กิตติขจร เป็นประธานในพิธี ขณะนั้นเป็นเวลาที่นักศึกษาฯ รุ่นที่ 9 กำลังศึกษาอยู่ นับเป็นนักศึกษารุ่นสุดท้ายที่ได้รับการศึกษา ในอาคารหลังกระทรวงกลาโหม และเป็นนักศึกษารุ่นแรก เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานถึง 20 ปี  ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ นับหลากหลายเกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลานี้ ซึ่งภาพความเคลื่อนไหวของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สรุปได้ ดังนี้

 - ด้านการศึกษา  มีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาและวิธีการศึกษาให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ โดยเฉพาะระเบียบวิธีปฏิบัติในฐานการศึกษาเช่น จัดให้มีการศึกษาหลักสูตร ปฐมนิเทศ กำหนดหลักเกณฑ์ในการสำเร็จการศึกษาโดยวางระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ.2508 และปรับเปลี่ยนการบริหารการศึกษา โดยให้มีสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

 -  ด้านการคัดเลือกผู้เข้ารับการศึกษา  ได้กำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ เข้าศึกษาได้ เพราะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หลายหน่วยมีบทบาทอย่างสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความมั่นคงแห่งชาติ สมควรที่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานเหล่านั้น จะได้รับการศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และให้สิทธิสตรีเข้ารับการศึกษาในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรได้เช่นเดียวกับบุรุษ

 -  ด้านสถานที่  ได้มีการพัฒนาสถานที่ เพิ่มเติมอีกตามความจำเป็น ทั้งเพื่อใช้ในราชการ และเพื่อสวัสดิการแก่ ข้าราชการ และคนงานในวิทยาลัย การปรับปรุงสถานที่ต่าง ๆ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานใกล้เคียง และนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

- ด้านกิจกรรมและงานสังคม ยุคนี้ได้รับการสนับสนุน การประชาสัมพันธ์ และการประสานประโยชน์ จากวงการต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่

  - การปลูกต้นไม้อนุสรณ์ เป็นงานประจำปีที่สำคัญ งานหนึ่งของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ซึ่งได้เป็นประเพณีสืบต่อกันมาว่านักศึกษารุ่นใดกำลังศึกษาอยู่จะต้องปลูกต้นไม้ประจำรุ่นไว้เป็นอนุสรณ์และที่เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น เป็นมิ่งมงคลแก่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจนบัดนี้ ก็คือในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษารุ่นที่ 16 เมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ.2517 นั้น ได้ทรงปลูกต้นบุนนาคไว้ เป็นพระบรมราชานุสรณ์ บริเวณสวนหย่อมระหว่างตึกอำนวยการกับหอประชุมของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรด้วย

  - งานเลี้ยงขอบคุณทูตานุทูตที่จัดขึ้นเพื่อขอบคุณคณะทูตของประเทศที่นักศึกษาเดินทางไปศึกษากิจการ ในการจัดทำกำหนดการศึกษากิจการของประเทศนั้น ๆ และการช่วยประสานงานกับหน่วยงานในต่างประเทศ

  - งานต้อนรับนักศึกษาใหม่ เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ ระหว่างนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ทุกรุ่น เพื่อแสดงความยินดีและต้องรับนักศึกษารุ่นปัจจุบันเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของสโมสรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

  - การแข่งขันกอล์ฟประเพณี เป็นการจัดการแข่งขันกอล์ฟระหว่างข้าราชการ และนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เพื่อประสานสัมพันธ์และเพื่อหารายได้สำหรับจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของนักศึกษา และกิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์

  - งานคล้ายวันสถาปนา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นงานที่ ระลึกถึงวันที่ได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมเสนาธิการกลาโหม พ.ศ.2498 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 และได้จัดงานสืบต่อกันมาทุกปี จนถึงปัจจุบัน

 -   ด้านการฝึกอบรมลูกเสือ
  กิจกรรมนี้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.2528 ณ ค่ายฝึกวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระยะเวลาการฝึก 5 วันการฝึกอบรมแต่ละครั้งนับว่าได้ผลดีอย่างยิ่ง เพราะนอกจากนักศึกษาจะได้รับความรู้และทักษะในการเป็นผู้บังคับบัญชาลูกเสือแล้ว การได้ทำกิจกรรมร่วมกันและมีเวลาอยู่ใกล้ชิดกันตลอดระยะเวลาของการฝึกอบรมทำให้นักศึกษาที่เข้ารับการฝึกอบรมมีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกัน นับเป็นวิธีเสริมสร้างความรัก  ความสามัคคีที่ได้ผลอีกวิธีหนึ่งภายในระยะเวลาอันจำกัด
ยุคที่สามคือยุคสองประสาน (พ.ศ.2531 – ปัจจุบัน)

 เป็นยุคที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานมีการนำโทรสารและคอมพิวเตอร์ กำลังพลระดับข้าราชการชั้นผู้น้อยได้รับการสงเสริมให้เข้าศึกษาอบรมในด้านการปฏิบัติงานตอนโดยรวมสถาบันการศึกษาที่สำคัญ 3 สถาบันของกองบัญชาการทหารสูงสุดคือ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันจิตวิทยาความมั่นคงและโรงเรียนเสนาธิการทหาร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน อยู่ภายใต้การบริหารของสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ผลงานชิ้นสำคัญ ที่ทำให้ขนานนามยุคนี้ว่า ……ยุคสองประสานคือการเกิดแนวความคิดใหม่ในด้านการป้องกันราชอาณาจักรเพื่อเป็นการเตรียมรับและเพื่อความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก……….
 กองบัญชาการทหารสูงสุด (ปัจจุบันคือกองบัญชาการกองทัพไทย) ได้มองเห็นความจำเป็นของการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนได้เข้ามาร่วมสร้างความมั่นคงแห่งชาติด้านเศรษฐกิจร่วมกันกับภาครัฐบาลด้วยการทำความเข้าใจให้ตรงกันในหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีความมั่นคั่งและมั่นคงของประเทศชาติ สามารถรวมกันแก้ปัญหาและพิจารณากำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติทางด้านเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของชาติและนำประเทศไปสู่ความมั่งคั่งและมั่นคง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจึงได้นำแนวความคิดดังกล่าวมาพัฒนาการจัดการศึกษาและความเป็นไปได้ ในการจัดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับภาคเอกชน จนสามารถกำหนดรูปแบบและหลักการต่างๆโดยอาศัยหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรที่มีเป็นแนวทางมาผสมผสานกับร่างหลักสูตรการศึกษา  สำหรับโครงการพัฒนานักบริหารภาครัฐและเอกชนของสถานศึกษา และวิจัยรัฐวิสาหกิจ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลักสูตรที่จัดขึ้นใหม่นี้ใช้ชื่อว่า  “หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน” (NATIONAL DEFENCE COURSE FOR THE JOINT STATE PRIVATE SECTOR) เรียกโดยย่อว่า หลักสูตร ปรอ. หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน หรือ ปรอ. เปิดการศึกษารุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2532 วิธีดำเนินการศึกษาประกอบด้วยการบรรยาย การถกแถลง การสัมมนา การแก้ปัญหา การศึกษาด้วยตนเอง การเขียนเอกสารวิจัยส่วนบุคคล และการศึกษากิจการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ   

จากจำนวนนักศึกษาที่เพิ่มขึ้นทำให้อาคารเดิมที่จัดการศึกษาอยู่คับแคบไม่เพียงพอต่อการจัดการศึกษาได้ พ.ศ.2534 กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้ทำการก่อสร้างอาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหนึ่งหลังและหอประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหนึ่งหลัง เป็นเงินงบประมาณ 252,000,000 บาท (สองร้อยห้าสิบสองล้านบาทถ้วน) เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2534 แล้วเสร็จสมบูรณ์ ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ตัวอาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชนิดไม่มีคาน และระบบพื้นสำเร็จรูปสูง 5 ชั้น ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

พ.ศ.2546 พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในขณะนั้นได้มีดำริให้ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเปิดหลักสูตรการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้นักการเมืองได้มีส่วนร่วมเข้ารับการศึกษาในลักษณะเดียวกัน เพราะมีความเห็นว่าภาคการเมืองมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติและนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจึงได้เปิดการศึกษา “หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐเอกชนและการเมือง” หรือ วปม. ขึ้นมาอีก 1หลักสูตร  โดยเริ่มเปิดการศึกษารุ่นที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2546 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปีการศึกษา พ.ศ.2549 ซึ่งตรงกับหลักสูตร วปม.รุ่นที่ 4

พ.ศ.2547 พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุมัติให้วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเปิดรับนักศึกษาชาวต่างประเทศเข้าศึกษาในหลักสูตร วปอ.  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นักศึกษาชาวต่างประเทศเข้ารับการศึกษา  ปัจจุบันมีนักศึกษาต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้ารับการศึกษาในหลักสูตร วปอ. ทุกปีการศึกษา

ปีการศึกษา 2550 สภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร โดยมีพลเอก บุญรอด สมทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และประธานสภาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรได้มีมติให้ปิดหลักสูตร วปม. ด้วยเหตุผลที่ว่าหลักสูตรเน้นในเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติและการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ เนื้อหาของบทเรียนนี้มีความใกล้เคียงกับหลักสูตร วปอ. และ หลักสูตร ปรอ. จึงเปิดโอกาสให้นักการเมืองเข้ารับการศึกษาในหลักสูตร วปอ. และ ปรอ. ได้จนถึงปัจจุบัน

ที่มา กองพัฒนาการศึกษาฯ (๕ ต.ค.๕๔)

ความเคลื่อนไหว ครม.ประยุทธ์1เข้าทำเนียบฯและกระทรวงฯมอบนโยบาย

ประยุทธ และ รมต.เข้าทำเนียบฯกระทรวงฯมอบนโยบาย

พล.อ.ประยุทธ์ เข้าห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้าแล้ว ฤกษ์ 09.09 น. ข้าราชการให้การต้อนรับจำนวนมาก ยังใช้รถประจำตำแหน่ง ผบ.ทบ. เหมือนเดิม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางเข้าห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยถือฤกษ์เวลา 09.09 น. เพื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ โดยมี พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นางเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหารสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยข้าราชการทำเนียบรัฐบาลให้การต้อนรับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังใช้รถประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ก่อนที่จะหมดวาระตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายนนี้
ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ก็เดินทางเข้าทำงานที่ตึกบัญชาการ 1 พร้อมเจ้าหน้าที่ในช่วงเช้าที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังถือเป็นวันครบกำหนดส่งคืนตึกบัญชาการ 2 หลังทำการบูรณะมากว่า 45 วัน ซึ่งเบื้องต้นยังไม่เรียบร้อยดี เหลือการตกแต่งอีกเล็กน้อย
--
พล.อ.ประวิตร มั่นใจแก้ปัญหาความมั่นคง เพื่อความปลอดภัยของ ปชช. เห็นผลชัด 1-2 เดือนนี้ คุยสันติสุขแก้ไฟใต้ รอรายงานเลขาฯ สมช.
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์หลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก ว่า ในส่วนของตนเองได้ดูแลรับผิดชอบในด้านความมั่นคง โดยจะดูแลให้ทุกหน่วยงานทำงานอย่างครอบคลุม ลดปัญหาอาชญากรรม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนในทุกพื้นที่ให้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้กำลังสั่งการเพื่อให้เกิดการทำงานที่ชัดเจน พร้อมกับจะเรียกประชุมหน่วยงานของรัฐในเร็ววันนี้ และจะทำให้เห็นผลชัดเจน ภายใน 1-2 เดือน
ส่วนนโยบายการปราบคอร์รับชั่นนั้น ตนเองไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม เพราะทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติและรัฐบาลได้พูดชัดเจนแล้ว ว่าทุกหน่วยงานของรัฐจะต้องมีเรื่องขจัดการคอร์รัปชั่นแทรกเข้าไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมที่จะต้องมีความโปร่งใสและความปรองดองเป็นที่ตั้ง

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ขอให้มีความเชื่อมั่น โดยจะต้องนำพาประเทศเดินต่อไปให้ได้ ซึ่งถ้าทุกคนช่วยกันยืนยันว่าประเทศจะเดินต่อไปได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนเรื่องการพูดคุยสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จะมีการเรียกประชุมเร็ว ๆ นี้
----------
พล.อ.อนุพงษ์ รู้สึกเป็นเกียรติเข้ามารับผิดชอบงานมหาดไทย ยึดหลักโปร่งใส ความซื่อตรง ทำงานเพื่อประชาชน ย้ำไม่มีวาระทางการเมือง
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวมอบนโนบายต่อผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ว่า รู้สึกเป็นเกียรติในการเข้ามารับผิดชอบหน้าที่ในกระทรวงมหาดไทย เพราะเป็นถืองานสำคัญ นอกจากนี้ หากหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งใจทำงานตามความคาดหวังของประชาชน ได้แก่ ความโปร่งใส ความซื่อตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้เพื่อนำความเจริญและความสุขไปสู่ประชาชน ก็จะถือว่า ได้ทำหน้าที่
หลักของกระทรวงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้จะต้องไม่มีเรื่องของการทุจริตหรือไม่ถูกต้อง รวมถึงใครทำผิดต้องดำเนิน
การตามความผิด
นอกจากนี้ การเข้ามาทำงานในครั้งนี้ ไม่มีวาระทางการเมือง ดังนั้นเมื่อทำการปฏิรูปตามโรดแมป ที่ได้ตั้งไว้ ก็ถือว่าหมดหน้าที่และจะส่งต่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สานต่อการทำงานต่อไป ขณะที่ นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวบรรยายสรุปการทำงานของกระทรวงที่รับมอบภารกิจจาก คสช. การตั้งศูนย์ดำรงธรรม เป็นต้น
-------------
พีระศักดิ์ ระบุ สนช. ยังไม่หารืออย่างเป็นทางการ สอบจัดซื้อจัดจ้างไมโครโฟนห้องประชุม ครม. เชื่อไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์รัฐบาล
นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คนที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งการให้คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการใช้งบประมาณภาครัฐ หรือ คตร. ตรวจสอบกรณีการจัดซื้อจัดจ้างห้องประชุมคณะรัฐมนตรีที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ว่า ขณะนี้ สนช. ยังไม่มีการพูดคุยอย่างเป็นทางการ และยังไม่มีเชิญ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. ฝ่ายกิจการพิเศษ ในฐานะดูแลรับผิดชอบการปรับปรุงและซ่อมแซมอาคารภายในทำเนียบ กรมโยธาธิการและผังเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงแต่อย่างใด แต่เชื่อว่าจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม สนช. ที่มีขึ้นในสัปดาห์นี้ เพราะเป็นเรื่องที่สังคมกำลังจับตามอง

อย่างไรก็ตาม นายพีระศักดิ์ เชื่อว่า เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของรัฐบาล เพราะคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในฐานะผู้นำรัฐบาลก็ได้รับผิดชอบด้วยการให้ คตร. เร่งตรวจสอบ
--------------
นายกฯ เดินทางเป็นประธาน การแถลงยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ทหาร ของ น.ศ.วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) 2556
             พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เดินทางมาเป็นประธานในงานแถลงยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2558-2562 โดยคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นปี 2556 โดยมี ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้แทนเหล่าทัพ ข้าราชการ นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางเข้าร่วมภายในงานอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี จะให้ข้อคิดเห็นภายหลังที่มีการแถลงยุทธ์ศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ทหารแล้วเสร็จ โดยการแถลงยุทธ์ศาสตร์ชาติยุทธ์ศาสตร์ ทหารในครั้งนี้ มีการกำหนดจุดยืนเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่ "การปฏิรูปประเทศ สร้างความผาสุกให้คนในชาติ"
---------
พล.อ.อนุพงษ์ ยัน สานต่องานปรองดอง มั่นใจสำเร็จใน 1 ปี ขู่หากพบทุจริตซื้อไมโครโฟนจัดการแน่นอน โยกย้าย ขรก.เสร็จภายในเดือนนี้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยภายหลังการมอบนโยบายแก่ข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงประจำกระทรวง ว่า การดำเนินการด้านการปรองดองจะสานต่อการดำเนินของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง กระทรวงมหาดไทย จะใช้กลไกการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน และเตรียมประชุม ร่วมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมอบนโยบายสร้างความปรองดองอีกครั้ง โดยเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการสำเร็จได้ภายใน 1 ปี ทั้งนี้ ยังได้ยืนยันถึงการทำงานด้วยความโปร่งใส ซึ่งเป็นวาระสำคัญตามโรดแมป ของ คสช. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับไว้อยู่แล้ว
ในส่วนกรณีการจัดซื้อไมโครโฟนที่ใช้ในห้องประชุมภายในทำเนียบรัฐบาล ทราบว่า นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภาครัฐเข้ามาดูแล ซึ่งหากพบว่ามีการทุจริตจริงก็จะมีบทลงโทษอย่างแน่นอนเนื่องจากเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ในส่วนเรื่องบัญชีรายชื่อโยกย้ายข้าราชการจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม ตนเองพร้อมชี้แจงข้อมูลการทำงานแก่สื่อมวลชนได้รับทราบต่อไป
---------------
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร" เตรียมวางรากฐานเศรษฐกิจไทยไปสู่ "ดิจิตอล-อีโคโนมี" เร่งทำงานตามนโยบายข้อ 6 ให้เกิดผลจริง
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านเศรษฐกิจ กล่าวภายหลังสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาลถึงกรอบการทำงานด้านเศรษฐกิจ ว่า เตรียมวางรากฐานเศรษฐกิจไทยไปสู่ "ดิจิตอล-อีโคโนมี" ที่ต้องเชื่อมโยงกับทุกหน่วยงานในการใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต่างชาติ ทั้งประเทศสิงคโปร์ เกาหลี และญี่ปุ่น สนใจ
ทั้งนี้ ส่วนตัวจะเร่งทำงานตามนโยบายรัฐบาล ข้อ 6 ให้เกิดผลจริง โดยเริ่มจากการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชน ภายใน 3 เดือน นี้ และข้อ 7 ในการวางรากฐานเศรษฐกิจทั้งด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม คมนาคม การปรับปรุงโครงสร้างน้ำมัน เป็นต้น เพื่อวางรากฐานให้รัฐบาลชุดต่อไปเข้ามาสานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เปิดเผยว่า ได้เสนอชื่อ นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อดีตอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นเลขานุการรองนายกรัฐมนตรี และ นายอำนวย ปะติเส อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล นายชวน หลีกภัย เป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และตั้งบุคคลเป็นผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี อีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 16 ก.ย. นี้
-------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมหารือข้าราชการระดับสูง วางแนวทางการทำงาน
นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางเข้ากระทรวง เพื่อประชุมร่วมกับข้าราชการระดับสูง แลพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง ในการวางกรอบการทำงานให้เป็นไปตามนโยบายของทางคณะรัฐมนตรีที่ได้มีการแถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ก่อนหน้านี้ รวมทั้งจะมีการวางแนวทางการทำงานเรื่องเร่งด่วนให้มีความสอดคล้องกับการทำงานของทาง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมแล้วเสร็จ จะมีการแถลงนโยบายการดำเนินงานภายใต้กรอบ 5 ยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาลพร้อมวางเป้าหมาย 1 ปีเห็นผล ภายใต้หลักการ "ทำก่อน ทำจริง ทำเร็ว เพื่อความยั่งยืนในอนาคต" อีกด้วย
---------
พล.อ.ฉัตรชัย พร้อม รัฐมนตรีช่วยฯ พาณิชย์ เข้ากระทรวงแล้ว เปิดให้ข้าราชการระดับ ผอ. ร่วมรับฟังนโยบาย
ในวันนี้ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางถึงกระทรวงพาณิชย์ ในเวลา 09.00 น. และได้เข้าประชุมมอบนโยบาย ให้กับผู้บริหาร
และข้าราชการของกระทรวงพาณิชย์ทันที โดยในครั้งนี้ได้ใช้ห้องประชุมชั้น 12 ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
เป็นสถานที่ในการจัดการประชุม เพราะเป็นห้องประชุมใหญ่สามารถจุคนได้จำนวนมาก เนื่องจากการมอบนโยบายของ
พล.อ.ฉัตรชัย ในครั้งนี้ เปิดโอกาสให้ข้าราชการตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการเข้าร่วมรับฟังนโยบายด้วย จากธรรมเนียม
ปฏิบัติเดิมที่จะให้ผู้บริหาร ตั้งแต่ระดับรองอธิบดี เข้ารับนโยบายเท่านั้น และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการมอบนโยบาย
ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังด้วย
----
รัฐมนตรีพาณิชย์ มอบนโยบายเน้นดูแลสินค้าเกษตร แทรกแซงราคาเท่าที่จำเป็น กำหนดเป้าส่งออกปีหน้าที่ 4%
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบนโยบายให้กับผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ เน้น 2 ยุทธศาสตร์สำคัญสอดรับกับการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยยุทธศาสตร์เร่งด่วนคือการดูแลสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวต้องได้ราคาดีรักษากลไกตลาดและจะมีการแทรกแซงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ในขณะที่การระบายข้าวยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดประมูลเป็นการทั่วไปและการขายแบบ G2G แต่จะต้องดูแลไม่ให้ราคาข้าวฤดูกาลใหม่มีราคาตกต่ำ ซึ่งราคาข้าวจะต้องไม่ต่ำกว่า ตันละ 8,500 บาท และสำหรับการดูแลภาคการส่งออกนั้นได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งหาตลาดใหม่ และเน้นการค้าชายแดนให้มากขึ้น รักษาตัวเลขการส่งออกในปีนี้ให้ขยายตัวร้อยละ 3.5 และเป้าหมายการส่งออกในปีหน้าอยู่ที่ร้อยละ 4
-------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเรียกผู้ประกอบการ คุยตรึงราคาสินค้าเดือนนี้ พร้อมวางรากฐาน พณ. ระยะยาวให้ยั่งยืน
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงนโยบายในการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน ว่าหลังจากจะสิ้นสุดมาตรการขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าในช่วงเดือนพฤศจิกายน ภายในเดือนนี้ตนจะเรียกผู้ประกอบการมาประเมินสถานการณ์ตามความเหมาะสมว่ายังจำเป็นต้องมีการตรึงราคาสินค้าต่อไปอีกหรือไม่ ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีต้องดูแลให้ภาคเอกชนเห็นแก่ประชาชนแต่จะต้องมีความเข้าใจในภาคเอกชนด้วยเพราะเสียโอกาสทางการค้ามาแล้วตั้งแต่ในช่วงต้นปีที่สถานการณ์ทางการเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่สงบ และสำหรับนโยบายในระยะยาวของ กระทรวงพาณิชย์ ในระยะ 10 ปีนี้ จะต้องมีการวางรากฐานกำหนดเป้าหมายให้มีความยั่งยืน เน้นความร่วมมือในการทำการค้าระหว่างประเทศทั้งในกรอบของอาเซียน อาเซียนบวกสาม และอาเซียนบวกหก
----------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หวัง จีดีพี ปีนี้ โต 2% มองปีหน้าฟื้นตัว หลังนโยบายรัฐชัดเจน
นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปีนี้ว่า จะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ร้อยละ 2 ซึ่งหากขยายตัวได้ตามเป้า ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี โดยมองว่าไตรมาสสุดท้ายของปีจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว การท่องเที่ยวเริ่มกลับมา รวมทั้งมีงบประมาณของภาครัฐที่ยังค้างท่อ และมีการอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐผ่านนโยบายต่าง ๆ จะเป็นตัวกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 2 ขณะที่ ปีหน้ามั่นใจว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน เพราะปีนี้ มีฐานต่ำ
ขณะที่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ vat ที่ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 7 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 และจะมีการปรับขึ้นเป็นร้อยละ 10นั้น นายสมหมาย กล่าวว่า จะต้องดูตามความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ
------------
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยว เดินทางสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พร้อมมอบนโยบายผู้บริหารและข้าราชการ
บรรยากาศความเคลื่อนไหวที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. นางกอบกาญจ์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ถือฤกษ์ดีเดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงฯ โดยมี นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดดระทรวงฯ รอให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ภายหลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิประจำกระทรวงฯ แล้วเสร็จ ได้เดินทางมายังห้องประชุม 1 เพื่อมอบนโยบายแก่ผู้บริหารและข้าราชการ
ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีพร้อมทั้งแนะนำหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จากนั้นผู้บริหารและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ รวมถึงภาคเอกชนได้แสดงความยินดีและมอบของที่ระลึก
---------
/////////
คดี ชายชุดดำ
"สมยศ" เผย โอนคดี 5 ชุดดำ ให้ DSI สอบ เร่งล่าอีก 2 ย้ำหลักฐานชัด - รอ กริชสุดา ชี้แจงหลักฐานการโอนเงิน
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าการจับกุมผู้ต้องหา
"ชายชุดดำ" 5 ราย ที่ก่อเหตุป่วนในการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 ว่า สำหรับการสืบสวนสอบสวนอยู่ในความ
รับผิดชองของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แล้ว เพื่อติดตามผู้ต้องหาอีก 2 รายที่กำลังหลบหนีแต่ด้านการดำเนิน
คดี ข้อหาครอบครองอาวุธสงครามนั้น ก็ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป ด้านกรณีที่ นายถาวร เสนเนียม
อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมายืนยันว่า ชายชุดดำมีอยู่จริง โดยมี 4 คน ที่ติดต่อ และบอกเล่าข้อเท็จ
จริง ว่ามีใครบ้างอยู่เบื้องหลังนั้น ไม่ทราบว่าเป็นจริงแค่ไหน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ นายถาวร ที่จะนำหลักฐานพยานมายืน
ยันกับประชาชนเอง โดนแนวทางในการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ขึ้นอยู่กับหลักฐานพยานมากกว่า จะไม่เอาความคิดเห็น
หรือข้อมูลของบุคคลใด มาเป็นองค์ประกอบทางคดีแน่นอน
ซึ่งการติดตามคนร้ายอีก 2 รายนั้น เจ้าหน้าที่ก็เร่งสืบสวนจับกุม แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ ด้านคดีทางการเมืองเมื่อปี 53 นั้น ก็เร่งทยอยคลี่คลายตามพยานหลักฐาน สำหรับการตรวจสอบหลักฐานการโอนเงิน ของ น.ส.กริชสุดา คุณะแสน หรือ เปิ้ล สหายสุดซอย ให้กับผู้ต้องหาทั้ง 5 รายนั้น ยังไม่ยืนยันว่าเป็นเงินค่าอะไรและไม่ได้ปรักปรำว่าเป็น
เงินค่าจ้าง ซึ่งต้องรอ น.ส.กริชสุดา เข้ามาชี้แจงถึงรายละเอียดเอง ด้านการติดต่อกับ น.ส.กริชสุดา ก็คงจะไม่มีการ
ติดต่อ โดย พล.ต.อ.สมยศ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนตัวแล้วจากกรณีดังกล่าวไม่ได้รู้สึกกดดันกับการทำงาน เพราะการดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมทุกขั้นตอน ย้ำเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ พนักงานสอบสวนทำงานด้วยความโปรงใส ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่
----------
รอง ผบก.บก.ป. เผย สั่งฟ้อง ชายชุดดำทั้ง 7 คน ข้อหามีอาวุธครอบครองไม่ได้รับอนุญาต เตรียมส่งสำนวนให้
อัยการกองคดีอาญา วันนี้
พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการปราบปราม กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับผู้ต้องหากลุ่มชายชุดดำ ที่ก่อเหตุใช้อาวุธทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชน ในช่วงการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่า คดีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 312/2557 ลงวันที่ 20 มิ.ย. 2557 ตั้งคณะพนักงานสอบสวน โดยมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับชายชุดดำนั้น แนวทางการสืบสวนของ เจ้าหน้าที่ทราบว่า มีผู้ต้องหาในคดีนี้รวม 8 คน แต่ 1 ในนั้น เสียชีวิตไปแล้ว จึงเหลือผู้ต้องหา 7 คน และตำรวจติดตามจับกุม ได้แล้วรวม 5 คน และทุกคนให้การรับสารภาพ พร้อมกับนำชี้ ที่เกิดเหตุ มีความสอดคล้องกับเหตุการณ์และแนวทางสืบสวนของเจ้าหน้าที่ รวมถึง นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น ซึ่งสื่อมวลชน สามารถบันทึกภาพไว้ได้ ในวันเกิดเหตุ
ดังนั้น คณะพนักงานสอบสวน จึงมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้ง 7 คนในข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรโดยจะส่งสำนวน จำนวน 2 แฟ้ม มีความหนา 775 หน้า ให้อัยการกองคดีอาญา ในวันนี้
-----------
วรัญชัยบุกยื่นหนังสือชื่นชม สมยศจับชายชุดดำ พร้อมจี้เร่งรัดติดตามคดี เสธ.แดง - 6 ศพ วัดปทุมวัน
ชี้เพื่อความเป็นธรรมไม่เลือกปฏิบัติ
นายวรัญชัย โชคชนะ แกนนำกลุ่มพลังประชาธิปไตย เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชากาตำรวจแห่งชาติ โดยมี พ.ต.อ.วิฑูร เหลืองอมรศักดิ์ ผู้กำกับการตำรวจสันติบาล 3 กองบัญชาการตำวจสันติบาล เป็นตัวแทนรับหนังสือ สำหรับเนื้อหาสำคัญในหนังสือระบุว่า ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.สมยศ ได้จับกุมชายชุดดำที่ก่อการร้ายต่าง ๆ บริเวณสี่แยกคอกวัว ในเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 2553 อันเป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือ เสธ.เปา อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.21 รอ.) เสียชีวิต กลุ่มพลังประชาธิปไตย ขอชื่นชมที่สามารถติดตามจับกุมได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ขณะเดียวกันได้เรียกร้องให้ดำเนินการสืบสวนและจับกุมในคดีของอีกฝ่าย เพื่อความเป็นธรรมและเสมอภาคเท่าเทียมกันไม่เลือกปฏิบัติ โดยไม่มีข้ออ้างใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะคนที่เสียชีวิตล้วนเป็นคนไทยเช่นกัน และทุกฝ่ายกำลังจับตา โดยมีคดีที่ยังไม่คืบหน้า 3 คดี คือ คดีการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง คดีฆ่า 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ตลอดจนคดี 98 ศพ เมื่อปี 2553 ซึ่งกลุ่มพลังประชาธิปไตย จะติดตามความคืบหน้าของคดีเหล่านี้ คู่ขนานกับคดีชายชุดดำที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ด้วย
/////////////
สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร ดีขึ้น ด้าน พระนครศรีอยุธยา น้ำยังคงล้นตลิ่ง จนท.เร่งช่วยเหลือ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 29 จังหวัด รวม 77 อำเภอ ประชาชนได้รับผลกระทบ 19,374 ครัวเรือน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 26 จังหวัด เหลือเพียง 3 จังหวัด คือ จังหวัดสุโขทัย ยังเหลือท่วมที่ลุ่มและพื้นทีการเกษตร 4 อำเภอ จังหวัดพิษณุโลก ยังมีน้ำท่วมขัง 3 ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และ จังหวัดพิจิตร ปัจจุบันมีน้ำท่วมใน 2 อำเภอ ระดับน้ำในแม่น้ำยมที่ไหลผ่านทรงตัว
ขณะที่น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 อำเภอ คือ อำเภอเสนา และอำเภอผักไห่กว่า 10 ตำบล ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,406 ครัวเรือน ทาง ปภ.จังหวัด ได้ร่วมกับหน่วยทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดมสรรพกำลังและทรัพยากรปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ รวมทั้งตรวจสอบความเสียหายเพื่อทำการช่วยเหลือต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยสามารถแจ้งเหตุ หรือติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประจำจังหวัด ประจำสาขา หรือโทรสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ช.ม. เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วน
---------
เครือข่ายปชช.ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมสงขลา-สตูล ยิ่นหนังสือถึงนายกฯ คัดค้านนโยบายก่อสร้างท่าเรือเชื่อมทะเลอันดามัน-อ่าวไทย
เครือข่ายประชาชนปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสงขลา-สตูล เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผ่านศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านนโยบายก่อสร้างท่าเรือเชื่อมชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา โดยกำหนดให้มีการพัฒนาระบบคมนาคมเพื่อขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างสองฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยซึ่งหมายถึงโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือในจังหวัดสงขลาและจังหวัดสตูล ที่การก่อสร้างส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ จึงขอให้รัฐบาลศึกษารายละเอียดและข้อมูลให้รอบด้าน รวมถึงยุติการดำเนินการใดๆ ของหน่วยงานราชการในพื้นที่ซึ่งนำไปสู่การจัดทำโครงการดังกล่าวต่อไป
------------
นายกฯ บอก น.ศ.วปอ. ไม่ได้ยึดอำนาจรัฐบาล เก่าแต่เข้ามาแก้ขัดแย้ง
///เข้าหน้าเปิด/// นายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับข้อเสนอยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ทหารของนักศึกษา วปอ. ปี 2556 พร้อมยืนยัน รัฐบาลไม่ได้เข้ามายึดอำนาจบริหาร แต่เป็นการเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง เพื่อให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า และเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยขอให้มั่นใจในการทำงานของ คสช.และรัฐบาล
///โดยภารกิจของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วงบ่าย เป็นประธานงาน การแถลงยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ.2558-2562 โดย คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 2556 ซึ่งมีนายประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และข้าราชการทหารระดับสูงเข้าร่วม

สำหรับยุทธศาสตร์ชาติ มีสาระสำคัญ ให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง มีเกียรติและศักดิ์ศรีในสังคทโลก สังคมแห่งการเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี และรักษาสิ่งแวดล้อม กำหนดวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะ 5 ปี คือ มีการปฏิรูปการเมือง มีเศรษฐกิจที่เข้มแข็งลดความเหลื่อมล้ำของสังคม มัการกระจายโอกาสทางการศึกษา
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า วันนี้เป็นวันแรกที่เข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าขณะนี้ เป็นปัญหาเดิม ซึ่งสิ่งที่ต้องดำเนินการคือการปรับประชาธิปไตยให้เหมาะสมกับประเทศ และเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งตนพอใจที่รัฐบาล เหล่าทัพ ภาคเอกชน และประชาชน มีความเห็นในแนวทางเดียวกัน ทั้งด้านความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ให้ทันต่อการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ขณะเดียวกัน ในการทำงาน จะต้องทำให้วิกฤติเป็นโอกาส เพื่อแก้ปัญหา และพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือของคนไทยทั้งประเทศ ส่วนการแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นนั้นก็ต้องแก้ปัญหาในทุกมิติ เพราะมีความเกี่ยวพันในทุกๆเรื่อง

ขณะที่ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยืนยัน เป็นเรื่องภายในประเทศ ซึ่งจะต้องระมัดระวัง ไม่ให้ขยายไปยังต่างประเทศ โดยขณะนี้ รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงกำลังเร่งรัดดำเนินการให้ดีขึ้นผ่านการพูดคุยเจรจา เพื่อให้เกิดความสันติสุข

ระวังงานเข้าหากโพสต์แชร์ไม่ดูตาม้าตาเรือ

"โพสต์แฉ-แชร์ประณาม"ระวังย้อนเข้าตัว!

วันอังคารที่ 9 กันยายน 2557, 12:21 น.
โดย......นรินทร์ ใจหวัง 

ในยุคที่เครือข่ายสังคมออนไลน์กำลังเบ่งบาน หลายครั้งที่การนำภาพถ่าย คลิปซึ่งบันทึกเหตุการณ์บางเหตุการณ์ มาโพสต์ก็กลายเป็นเรื่องที่สร้างความเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไปในทางที่ดีขึ้น 

ทว่าหลายครั้งการโพสต์ การแชร์แบบสนุกมือกลับสร้างปัญหาทั้งกับตัวเจ้าของภาพ เจ้าของคลิป ตลอดจนผู้กดแชร์และสังคมส่วนรวมได้เช่นเดียวกัน

เมื่อเกิดการตรวจสอบขึ้นก็พบว่า ข้อมูลจำนวนไม่น้อยที่ถูกนำมาโพสต์และแชร์ เป็นข้อมูลด้านเดียวเพื่อต้องการกล่าวหาอีกฝ่าย หรือ ไม่ก็เป็นข้อมูลที่ไม่เป้นความจริงเพื่อหวังจะสร้างความเสียหาย

พฤติกรรมการแฉออนไลน์ในศาสตร์ทางด้านจิตวิทยามองว่าเป็นการสนองตอบทางอารมณ์ต่อผู้ โพสต์-แชร์ เพราะทำแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกดีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่นความรู้สึกดีจากจำนวนไลค์ที่ได้รับ หรือจากการได้ระบายเรื่องราวที่อยู่ในใจออกไป

บุรชัย อัศวทวีบุญ อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ แบ่งรูปแบบการใช้ออกเป็น 3ลักษณะคือ เพื่อต้องการเผยแพร่เรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อใช้ระบายความรู้สึกที่ไม่ดีของตนเอง เพราะไม่รู้จะจัดการด้วยวิธีอื่นอย่างไร และอย่างสุดท้ายเพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจของคนอื่นมาที่ตนเอง ซึ่งทั้ง3 ประเด็นล้วนเป็น "การมอบรางวัลให้ตัวเอง" ทั้งสิ้น 

"เวลาที่เราทำอะไรแล้ว รู้สึกดี ในทางจิตวิทยาจะมองว่า มันคือรางวัลที่เราได้รับ เมื่อได้รับรางวัลในพฤติกรรมใด ก็มีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมนั้นให้มากยิ่งขึ้น กรณีที่หากมีคนสนใจในสิ่งที่เราโพสต์และแสดงความคิดเห็น ความคิดเห็นเหล่านั้นจะมีอิทธิพลต่อผู้โพสต์ทั้งๆที่คนเหล่านั้นอาจไม่รู้จักกันเลยก็ตาม จากงานวิจัยแม้เป็นความคิดเห็นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เราก็ยังรู้สึกร่วมไปกับมันด้วย ซึ่งถ้ามันเป็นไปในทางบวก ทำให้เรารู้สึกดี เราก็อยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ 

แต่ กรณีที่ไม่มีใครสนใจ สังคมออนไลน์ก็ยังหน้าที่รองรับการระบายอารมณ์ได้ดี ยกตัวอย่างเช่นทวิตเตอร์ เราโพสต์ๆอะไรก็ได้เพื่อระบาย เพราะมันไปเร็วมาเร็ว ดังนั้นคนไม่ต้องเก็บอะไรไว้กับตัว ไม่ต้องฝึกที่จะอดทนน่ะครับ ซึ่งถามว่าต่อไปจะแย่มั้ย มันก็ค่อนข้างทำให้คนใจร้อนขึ้น หุนหันพลันเเล่นมากขึ้น"

ระวังเสพติดแชร์ โพสต์+ไลค์ แบบไม่รู้ตัว

เมื่อ เกิดการเรียนรู้ทางสังคม การเลียนแบบก็เกิดขึ้น ซึ่งหากทำเเล้วรู้สึกดี เราจะเสพติดเรื่องเหล่านี้อย่างไม่รู้ตัว เช่นการเสพติดไลค์

"ถ้าทำเเล้วรู้สึกดี ก็เกิดการทำต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลายครั้งทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป ในบางเรื่องต้องยอมรับว่ามีข้อดีต่อสังคมอย่างมาก ที่เเชร์เรื่องราวที่เหมาะสมเพื่อให้สังคมได้รับรู้ แต่บางเรื่องมันยังไม่ได้กลั่นกรองมาดี พอเเชร์ออกไปก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น

สิ่งที่น่าเป็นห่วง หากมองในเเง่ส่วนบุคคลก่อนคือ การจัดการกับความรู้สึกของตนเอง หากเขามองเพียงว่าทำไปเพื่อความรู้สึกดีของตนไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม โดยไม่สนใจบุคคลอื่น ไม่สนว่าสิ่งที่เขาเผยแพร่ออกไปนั้น มันไปกระทบต่อใครมั้ย และหากมีคำพูด มีคอมเมนท์ที่ทำให้ไม่พอใจ ก็จะตีความว่าคนนั้นเป็นฝั่งตรงข้ามทันที ทำให้บุคคลปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ยากขึ้น พอเราไม่ได้เรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจให้ดี ไม่เรียนรู้ที่จะควบคุม มันจะเป็นจุดเริ่มของการนำไปสู่พฤติกรรมที่ผิดปกติบางอย่าง 

หากมองในระดับใหญ่ไปกว่านั้น เมื่อคนเสพติดการยอมรับ ต้องการความสนใจจากคนอื่นอยู่ตลอด หรืออย่างที่เราเห็นสังเกตว่า จะมีคนที่โค้ดคำพูด หรือต้องโพสอะไรบ้างอย่างให้เท่ๆ หรือกดแชร์ เพื่อรอคนมากดไลค์ คนเหล่านี้มีแนวโน้มที่ปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและสังคมไม่ค่อยดีนัก แทนที่จะหาความใส่ใจโดยอยู่กับคนรอบข้างจริงๆ กลับไปหาในโลกของสังคมออนไลน์

มองในทางสังคม บางเรื่องมันเป็นสิทธิของคนอื่นเขา หรือเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้กลั่นกรองมาว่าจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ต้องมาคิดต่อว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะแชร์ต่อ การแชร์ต่อกันแบบบิดเบือน พร้อมตัดสินว่าอันนี้ดีไม่ดี หลายครั้งมันขาดข้อมูล ไม่รู้แม้แต่ที่มาของข้อมูล แต่คนเสพก็เอาไปพูดต่อกันได้เรื่อยๆ 

สำหรับเทรนด์ความนิยมในการติดอุปกรณ์กล้องบนรถยนต์ หรือบนหมวกกันน็อคเพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่างๆขณะสัญจรไปบนท้องถนนนั้น บุรชัยมองว่าไม่สามารถตีความในภาพกว้างได้ เพราะแต่ละคนใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เหล่านั้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป

"มันมากับเทคโนโลยี อย่างบางคนเขามองว่ามันเป็นประโยชน์ บางคนเพื่อโชว์ว่ารถเขามีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าคนอื่น บางคนอาจใช้เพราะความหวาดระเเวง"

แต่เรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง คือข้อมูลที่แท้จริงมากกว่า ยิ่งเป็นเรื่องราวของคนอื่น ถ้ายังไม่รู้ว่า ใช่หรือไม่ การที่เราไปตีตราอย่างนั้น อย่างนี้ทำให้คนได้รับผลกระทบมากกว่า คือคนในสังคมก็จะคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ อีกอย่างหลายเรื่องที่นำมาโพสหรือแชร์ก็เป็นสิทธิส่วนบุตคล ที่เราไม่ควรนำไปเผยแพร่ด้วย

คนเรามักทำหลายๆ อย่างเพื่อความสนุก เพื่อความรู้สึกดีของตัวเอง แต่ก็ต้องระวังไว้ด้วย เพราะผมเชื่อว่า ในท้ายที่สุด สิ่งที่เราทำลงไปมันจะย้อนกลับมาหาเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเราต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เราทำให้ได้ด้วย"

แชร์ได้ โพสต์ดี อาจมีงานเข้า!!

แน่นอนมือแฉผุดขึ้นมากมายในปัจจุบันย่อมต้องมีมือใหม่ที่พลั้งพลาดถูกฟ้องร้อง แต่เนื่องจากกฎหมายการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ไทยยังไม่เข้มงวดมากนัก คนไทยจึงไม่ค่อยตระหนักเรื่องการเคารพสิทธิส่วนบุคคลมากนัก ขอให้เร็วเข้าว่า 

ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ เล่าว่าทุกวันนี้มีคดีที่ฟ้องร้องกันเรื่องที่เกี่ยวกับการกระทำผิดทาง คอมพิวเตอร์เกิดขึ้นเยอะมากเป็นร้อยๆ คดี ความถี่ในแต่ละเดือน10-20 ครั้ง แม้ส่วนใหญ่จะจบลงด้วยการเจรจาได้ แต่อีกไม่นานนัก จะมีการคลอดกฎหมายตัวใหม่เกี่ยวกับการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลเข้ามา 

"ปัญหา ส่วนใหญ่จะเป็นเฟชบุ๊กมากที่สุด เมื่อคนโพสต์ตั้งสถานะการเผยแพร่เป็นสาธารณะก็จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ 80%มีคนภายนอกโพสต์เเละเเสดงความเห็น จนเกิดเป็นการสบประมาทตัวคนที่ถูกพาดพิง ส่วนความผิดเรื่องที่การนำข้อมูลที่เจ้าของตั้งค่าความเป็นส่วนตัวออกมาเผยแพร่นั้น ในเฟชบุ๊คไม่มากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มักเป็นอินสตาแกรมที่หลุดออกมาจากศิลปินดารา ที่ฟ้องร้องกัน คดีมีเป็นร้อย ที่ทำอยู่เดือนหนึ่ง 10 -20 คดี ถือว่าเยอะมาก ซึ่ง บริษัท หรือนิติบุคคล จะฟ้องร้องมากกว่าคนธรรมดา แต่มักจบลงด้วยการเจรจา"

อีก2 เดือนอาจเจอของจริง 

ไพบูลย์ แนะนำผู้ที่หลงไหลการแชร์ข้อมูลของคนอื่นโดยไม่ได้รับการอนุญาตว่า ในอีก 2 เดือนข้างหน้า (ประมาณเดือนต.ค.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะพิจารณากฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้นมา ซึ่งหากกฎหมายนี้ออกมา สิ่งที่หลายคนทำเป็นประจำเช่นการถ่ายคลิปมนุษย์ลุง-ป้า หรือใครก็ตามมาเผยแพร่ ก็อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตามกฎหมายใหม่ถึงแม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องจริงก็ตามแต่ 

"ข้อที่น่ากังวลคือร่าง พรบ.คุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลตัวนี้ จะมีข้อยกเว้นในส่วนของสื่อมวลชนหรือไม่ ถ้ารายงายข่าว หรือวิเคราะห์วิจารณ์ในลักษณะปกติอะไรอย่างนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาอย่าง ไร

สิ่งที่ควรระวังในแง่ของผู้ใช้แชร์คือ เวลาที่เห็นข้อความ รูปภาพ ควรดูก่อนว่าการกดแชร์หรือนำไปแสดงความเห็นต่อ จะไปพาดพิงกับบุคคลภายนอกเเละสร้างความเสียหายกับเขาหรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นภาพในลักษณะการตัดต่อ เช่นภาพหลุดยิ่งไม่ควรรจะเเชร์เพราะมันผิดกฎหมาย 

"ต้องพิจารณารายละเอียดให้ดีเพราะมัน ผิดทั้งกฎหมายหมิ่นประมาท กฎหมายอาญา และ พรบ.คอมพิวเตอร์"ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์กล่าว