PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

บิ๊กตู่ ฉะ พวกทำลายแผ่นดินแม่ บ้านเกิดเมืองนอน....



บิ๊กตู่ ฉะ พวกทำลายแผ่นดินแม่ บ้านเกิดเมืองนอน....สะกิด"พวกหนีไปตปท. อย่าใช้องค์กรตปท.ละเมิดอธิปไตยของชาติไทย เพียงเพื่อปกปิด ลบล้างความผิดของตน ฉะทำลายแผ่นดินแม่ บ้านเกิดเมืองนอน ที่ท่าน ที่ท่านเคยกล่าวเสมอว่ารัก อยากกลับมา เหน็บพวกหนีต่างประเทศ มักอ้างว่าถูกรังแกทางการเมือง ให้กลับมาสู้คดี มีหลายศาล วอนคนไทย ตปท.อย่าหลงเชื่อ
พลเอกประยุทธ์ กล่าวในรายการ คืนคืนความสุขฯ ถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า ก็ยังคงมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ที่มีความผิดตามกฏหมาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งกฎหมายปกติ – คำสั่ง คสช. – มาตรา 44 ที่ยังคงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ซึ่งเราก็ได้ใช้กฎหมายนี้กับทุกคดี ทุกข้อกล่าวหา กับผู้ต้องหาทุกคน ในทุกคดีเช่นกัน แต่คนบางกลุ่มไม่ยอมรับเลย
ในห้วงที่ผ่านมา บางคน บางกลุ่ม ไม่ยอมเข้าด้วย ต่อต้านทุกอย่าง ต่อต้านกฎหมาย ไม่ยอมรับการตรวจสอบ หรือต่อสู้คดีตามครรลองของกฎหมาย มีการหลบหนี แล้วก็ไปอ้างต่างประเทศว่าถูกรังแกทางการเมือง ทั้งที่มีข้อมูล มีหลักฐานชัดเจน หากไม่มีความผิด หรือไม่มีมูลเลย คงไม่มีใครไปแกล้งท่านได้อยู่แล้ว
" ขอให้ประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดจนคนต่างประเทศที่พำนักในประเทศไทย อย่าได้หลงเชื่ออีกต่อไป เราควรให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาอื่น คดีอื่นๆ เขาบ้าง นับพันนับหมื่นราย ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ หรือต่อสู้ทางกฎหมายอยู่ภายใต้กฎหมายอันเดียวกันนี้
เราจะต้องบังคับใช้กฎหมายเดียวกัน ในลักษณะเดียวกัน กับทุกคดี แล้วใครเห็นว่าไม่เป็นธรรม ก็ควรกลับมาสู้คดี หรือมีตั้งหลายศาล ก็มาแก้กันไป แต่ละพวกก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็ถ้ามีหลักฐานที่เพียงพอก็มาต่อสู่คดี ก็จบ เท่านั้นเอง ยอมรับในกติกาบ้าง
"สำหรับผู้ที่ใช้องค์กรระหว่างประเทศ – ต่างประเทศ มากดดันประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นการละเมิดอธิปไตยของชาติไทยนั้น ก็ต้องการเพียงเพื่อปกปิด ลบล้างความผิดของตน ยิ่งไม่ควรกระทำ ท่านต้องสำนึกว่าท่านได้ทำลายแผ่นดินแม่ของท่าน บ้านเกิดเมืองนอน ที่ท่าน ที่ท่านเคยกล่าวเสมอว่ารัก อยากกลับมา อยากมีความสุข กับพ่อแม่ลูกเมีย พีน้องอะไรก็แล้วแต่ แต่ท่านไม่ยอมรับความผิด ไม่รับกฎหมาย ไม่ต่อสู้ทางคดี ผมคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ คงรับไม่ได้ รัฐบาลก็รับไม่ได้เหมือนกัน"

"เฉลิมพล" อดีตตุลาการศาล รธน.เสียชีวิต

อนุญาโตตุลาการศาลโลก อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วูบดับคาบ้านพัก เมียกลับมาพบนอนนิ่ง บนที่พักบันไดบ้าน เจ้าหน้าที่ส่งศพชันสูตรโรงพยาบาลศิริราช

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 4 มี.ค. พ.ต.อ.วิธิวัฒน์ ศรีทองจ้อย หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม ได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 171/1 129 หมู่บ้านเสรีเพลส ต. กระทุ่มล้ม อ. สามพราน จ. นครปฐม จึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปพบว่าญาติผู้เสียชีวิตได้ประสานรถจาก รพ.วิชัยเวช มารับศพไปก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางติดตามไปยัง รพ.วิชัยเวช และทราบชื่อภายหลังคือ นายเฉลิมพล เอกอุรุ อายุ 71 ปี อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอนุญาโตตุลาการศาลโลก ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้น สันนิษฐานว่าผู้ตายอาจเกิดอาการวูบ และหมดสติ ในขณะที่อยู่บ้านเพียงลำพังและทิ้งเป็นเวลานาน โดยระหว่างที่รถพยาบาลไปรับ เจ้าหน้าที่ได้ทำการปั๊มหัวใจหลายครั้ง แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้



นางสุภาพร เอกอุรุ อายุ 68 ปี ภรรยาผู้ตาย เล่าว่า ตนและผู้ตายอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนี้พร้อมกับลูกอีก 2 คน โดยช่วงที่เกิดเหตุลูกทั้ง 2 คนไปทำงานแล้ว กระทั่งเวลา 08.00 น.หลังจากตนเตรียมอาหารเช้าไว้ให้สามีแล้วก็ได้เดินทางไปทำกายภาพที่โรงบาลมหิดล พร้อมกับคนขับรถ โดยปล่อยให้สามีอยู่บ้านเพียงลำพัง และตนได้กลับมาถึงบ้านในเวลา 11.00 น.เศษ ก็พบว่าสามีล้มฟุบอยู่บริเวณที่พักบันไดก่อนถึงพื้นชั้นล่าง 3 ขั้น รู้สึกตกใจมากจึงได้รีบโทรศัพท์ติดต่อโรงพยาบาลวิชัยเวช ให้นำรถมารับตัวสามีเพื่อช่วยเหลือเป็นการด่วน โดยขณะนั้นยังไม่ทราบว่าสามีเสียชีวิตหรือไม่



นางสุภาพร กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้สามีรับราชการในตำแหน่งตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา หลังจากเกษียณแล้วสามีก็ไปออกกำลังกายบ่อยครั้ง โดยเฉพาะการตีกอล์ฟ จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สามีมีอาการไอและเหนื่อยหอบ จึงได้เดินทางไปพบแพทย์ที่ รพ.ธนบุรี โดยแพทย์ให้ยามารับประทาน พร้อมด้วยที่ยาพ่น ถึงแม้ว่าจะมีสุขภาพไม่ค่อยดีมากนัก แต่ถือว่ายังแข็งแรง ไม่มีอาการที่แสดงออกว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต เบื้องต้นตนคาดว่าสามีน่าจะวูบแล้วหมดสติไปก่อนเสียชีวิต เพราะตามร่างกายไม่พบรอยฟกซ้ำหรือบาดแผลแต่อย่างใด



ด้านนายแพทย์วริศ ธรรมประสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ รพ.วิชัยเวช กล่าวว่า ในเบื้องต้นทางแพทย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการตรวจสภาพศพของผู้เสียชีวิต ไม่พบว่ามีร่องรอยหรือบาดแผลใดๆ ตามร่างกาย คาดว่าจะเกิดอาการป่วยจากโรคประจำตัว ทำให้หัวใจหยุดเต้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้ตายเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทางโรงพยาบาลจึงต้องส่งศพไปทำการชันสูตรที่ รพ.ศิริราช เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง



ขณะที่ พ.ต.อ.วิธิวัฒน์ ศรีทองจ้อย หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์แก้ว กล่าวว่า จากการตรวจสภาพศพเบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ รวมทั้งได้ตรวจสอบภายในบ้าน ก็ไม่พบความผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดเหตุเป็นบันไดสูงกว่า 10 ขั้น โดยพบร่างผู้ตายอยู่บริเวณที่พักบันไดและมีบันไดอีก 3 ขั้นก่อนจะถึงพื้นบ้าน จึงเชื่อได้ว่า ผู้ตายเกิดอาการวูบฉับพลัน ทำให้หัวใจหยุดเต้น ซึ่งในระหว่างนั้นไม่มีผู้ใดอยู่บ้าน จึงทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน ส่วนสถานที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่ สภ.โพธิ์แก้ว แต่มาเสียชีวิตที่ รพ.ศรีวิชัย จึงต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของ สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ซึ่งทางพนักงานสอบสวนของ สภ.กระทุ่มแบน จะรับดำเนินการต่อไป



สำหรับ นายเฉลิมพล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์ ข้าราชการบำนาญ เกิดวันที่ 19 ส.ค.2488 ปัจจุบันอายุ 71 ปี จบการศึกษาประกาศนียบัตรชั้นสูงทางรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ Diploma in international Relations Institute of Socical Studies The Hague Master of arts (M.A.) International Law and Relations Columbis University Newyork ประเทศสหรัฐอเมริกา
ส่วนประวัติการทำงานนั้น เคยเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ,อดีตรองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และเอกอัครราชทูตไทย ประจำสาธารณรัฐฮังการี โครเอเชีย บอสเนีย เฮอร์เซโกวีนา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

ชัดแล้ว! นายกฯ มีอำนาจเสนอชื่อตั้ง 'สังฆราช'



สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงคำวินิจฉัยกรณีอำนาจในการเสนอชื่อนามสมเด็จพระราชาคณะ ที่สมควรได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ระบุเป็นอำนาจของนายกฯ เป็นผู้เสนอให้ ส่วน มส.มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบไปตามขั้นตอน...
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 มี.ค. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม และสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กรณีเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ที่สมควรได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตามมติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอน ตามบทบัญญัติของกฎหมาย มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
โดยระบุว่า การแต่งตั้งพระสังฆราชเป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะต้องเป็นผู้เสนอนามพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ โดยมหาเถรสมาคมมีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบ ตามที่นายกฯ เสนอนามมา เมื่อมหาเถรสมาคมให้ความเห็นชอบแล้ว นายกฯ จึงเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด เสนอขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป ซึ่งจากการที่มหาเถรสมาคม มีการเสนอชื่อ "สมเด็จสมช่วง" เมื่อ 5 ก.พ. นั้น ถือว่าเป็นการกระทำผิดขั้นตอนของกฎหมาย เข้าข่ายไม่ถูกต้อง
ที่ถูกคือสำนักพุทธฯ ต้องเสนอเรื่องไปรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะเสนอให้นายกฯ พิจารณา หลังจากนายกฯ พิจารณาแล้ว ก็จะนำรายชื่อที่นายกฯ พิจารณา ไปให้มหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณาว่ามหาเถรสมาคมจะเห็นด้วยกับขั้นตอนที่นายกฯ เสนอไปหรือไม่ ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มั่นใจว่าสิ่งที่พิจารณา ได้ทำอย่างถูกต้องแล้ว เพราะเราได้ให้ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญพิจารณาอย่างรอบคอบ และเชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากพอสมควร
ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการแถลงในครั้งนี้ ว่าทราบข้อวินิจฉัยของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว แต่ที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครท้วงติงว่าการเสนอชื่อถูกต้อง หรือผิดขั้นตอนตรงไหน และย้ำว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเคารพมติของมหาเถรสมาคมมาตลอด
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวการขึ้นป้ายสนับสนุนการแต่งตั้ง สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตามวัดหลายแห่งนั้น ล่าสุดที่วัดแก้วฟ้า อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ก็มีการขึ้นป้ายสนับสนุนสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีก 1 แห่ง เป็นแผ่นป้ายไวนิลสีขาว ขนาดความกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร มีข้อความ “ขอสนับสนุนมติมหาเถรสมาคม ให้ เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถระ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ 20” ติดไว้ตรงบริเวณทางเข้าวัด ซึ่งทีมข่าวพยายามขอสอบถามข้อมูลจากพระในวัด แต่ไม่มีใครยอมให้สัมภาษณ์ และปฏิเสธไม่ทราบข้อมูล.

หุ้น BEC ซึมไม่เลิก คาดสูญรายได้กว่า 200 ล้าน หลังไร้เงา สรยุทธ

หุ้น BEC ซึมไม่เลิก คาดสูญรายได้กว่า 200 ล้าน หลังไร้เงา สรยุทธ
Cr:kapook
บล.กสิกรไทย คาด บีอีซี สูญรายได้ค่าโฆษณากว่า 200 ล้านบาท-เผยหุ้น BEC ยังซึมต่อเนื่อง ปิดตลาดที่ 29.75 บาท หลังสรยุทธ สุทัศนะจินดา ประกาศยุติการทำหน้าพิธีกร
วันที่ 4 มีนาคม 2559 นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย (บล.กสิกรไทย) ได้ประเมินรายได้จากค่าโฆษณาของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีซี จะหายไปประมาณ 200 ล้านบาท จากรายได้โฆษณารวม 14,540 ล้านบาท หลังนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ยุติการทำหน้าที่พิธีกรทุกรายการในสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เนื่องจากอาจมีสปอนเซอร์รายหลาย ตัดสินใจถอนโฆษณาออกจากช่อง 3
ทั้งนี้ หลังศาลมีคำสั่งศาลพิพากษาจำคุก นายสรยุทธ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นบีอีซีปรับลงต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ราคาปิดตลาดอยู่ที่ 32 บาท 25 สตางค์ ลดลงเหลือ 29 บาท 75 สตางค์ในวันนี้ (4 มีนาคม 2559) โดยก่อนหน้านี้ หุ้นบีอีซี ก็ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยเม็ดเงินโฆษณาที่ถูกกระจายไปยังรายการช่องอื่น ๆ อยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดกรณี นายสรยุทธ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถลดการลงโฆษณาในช่อง 3 ได้อีก
โดย 3 รายการ ที่มี นายสรยุทธ เป็นพิธีกร คือ เรื่องเล่าเช้านี้, เจาะข่าวเด่น และเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ มีอัตราค่าโฆษณา 2 แสน 2 หมื่น และ 2 แสน 9 หมื่นบาทต่อนาที ทำรายได้รวมกันถึง 2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ของรายได้รวมของบีอีซี ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 16,091 ล้านบาท

บิ๊กป้อม ยัน แนวคิด ตั้งสว.สรรหา ไม่ได้หวังให้มาโหวตเลือกนายกฯ แค่ทำปฏิรูป-ยุทธศาสตร์ชาติ

บิ๊กป้อม ยัน แนวคิด ตั้งสว.สรรหา ไม่ได้หวังให้มาโหวตเลือกนายกฯ แค่ทำปฏิรูป-ยุทธศาสตร์ชาติ มีกก.สรรหา จากแต่ละอาชีพ เผยเป็นความคิดส่วนตัว ที่คืดเอง ไม่เกี่ยว คสช.-กรธ.
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหม กล่าวถึงการหารือกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหวัหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 ที่ทำเนียบฯ ว่า เป็นการพูดคุยเรื่องส่วนตัว
ส่วนข้อเสนอให้มีสมาชิกวุฒิสภาสรรหา (ส.ว.)ในช่วงเปลี่ยนผ่าน5 ปี นั้น ยืนยันว่าเป็นความคิดของตน ไม่ใช่ความคิดของ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)หรือ คสช. เพราะต้องการให้สานต่องานยุทธศาสตร์ชาติ และหน้าที่ของ ส.ว.จะเป็นไปตามปกติ ไม่ได้มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่มี
ส่วน คสช. จะเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของ ส.ว.หรือไม่ขึ้นอยู่กับรายละเอียด ตอนนี้ยังไม่มีการหารือถีงเรื่องดังกล่าว
สำหรับการสรรหาคณะกรรมการคัดเลือก ส.ว.นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ต้องมีกรรมการคัดสรร แต่จะต้องดูรายละเอียดว่าเป็นใครบ้าง จะต้องมีสัดส่วนแต่ละสายาอาชีพอย่างครบถ้วน
แต่ยังไม่มีการพูดคุย กับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงแนวคิดของตนเท่านั้นและยังไม่ทราบว่านายกรัฐมนตรีเห็นด้วยกันกับแนวคิดของตน เพราะยังไม่มีการคุยในเรื่องนี้ และที่เสนอแนวคิดนี้เพราะต้องการให้แผนยุทธศาสตร์และการปฏิรูปเดินหน้า

บัญญัติ:ถึงเวลาปชป.จะออกมา

ท่าทีของคนการเมืองต่อร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ’มีชัย ฤชุพันธุ์’ มีเสียงโห่มากกว่าเสียงเชียร์
เพราะร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกที่ถูกเปิดเผย เต็มไปด้วยเงื่อนปม ซ่อนเงื่อนงำ กับดักทางการเมืองมากมาย
เจตนารมณ์อันเป็นกลไกข้อห้ามต่างๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในบทบัญญัติมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 จำนวน 10 ข้อ ถูกนำมาติดตั้งอย่างครบถ้วน
ล้อมคอกกลไกฝ่ายบริหารในอนาคตต้องปฏิบัติตามแผน คสช. ไปถึง 20 ปี หากฝ่าฝืนอาจเจอองค์กรอิสระที่ถูกเพิ่มอำนาจตัดสินตะเพิดให้ออกไปจากกระดานการเมืองอีกคำรบ
คำนิยามของร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 20 ถูก “มีชัย” และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) บัญญัติไว้ใต้วาทกรรมสวยหรูว่า “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง”
แต่สายตานักการเมืองเก่า-เก๋าประสบการณ์ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตหัวหน้าพรรค ปชป. คนที่ 7 พรรคเก่าแก่คู่การเมืองไทยร่วม 70 ปี ที่เคยผ่านระบบเลือกตั้งสารพัดรูปแบบ ทั้งสูตรบัตรใบเดียว บัตรเลือกตั้งสองใบ เขตเลือกตั้งพวงใหญ่ 3 คน ไปจนระบบ one man one vote
เขากลับมองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย” ที่คิดค้นสูตรบัตรเลือกตั้งใบเดียวรูปแบบใหม่ กากบาทครั้งเดียวได้ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะทำให้การเมืองไทยถอยหลัง และนำไปสู่หายนะมากกว่าพาประชาธิปไตยถึงเส้นชัย
“ผมเห็นใจ กรธ. เพราะมีข้อจำกัดเยอะ กรอบที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวมาตรา 35 คงทำให้ออกนอกกรอบลำบาก ปัญหาที่สำคัญคิดว่าช่วงหลังอาจเพราะการตลาดจะเข้ามามีบทบาทกับทุกเรื่องในบ้านเมืองมากเกินไป เลยมักมีนวัตกรรมขึ้นมาทำกฎหมายซึ่งมันไม่จำเป็น การเขียนรัฐธรรมนูญเช่นนี้เหมือนกับถอยหลังไปสู่การเมืองก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540”
“พอเน้นนวัตกรรมมาก บางเรื่องซึ่งมันดีอยู่แล้วก็ไปเปลี่ยนมัน เช่น ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ความคิดนี้มันเป็นความคิดที่เกิดขึ้นจากคณะกรรมการคณะหนึ่ง หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เรียกว่าคณะกรรมพัฒนาการเมือง มี นพ.ประเวศ วะสี (ราษฎรอาวุโสเป็นประธาน) ผมเป็นรองประธานกรรมการ วันที่มีคณะกรรมการคณะนี้ขึ้นมา การเมืองเราไม่มีเสถียรภาพ มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ลุ่มๆ ดอนๆ เดี๋ยวมีประชาธิปไตย เดี๋ยวมีรัฐประหาร”
“แต่สุดท้ายมาลงตรงที่ เป็นเพราะพรรคการเมืองไม่เข้มแข็ง ขาดความพร้อม จึงได้ข้อสรุปว่าทางหนึ่งที่จะทำให้พรรคการเมืองมีความพร้อมมากขึ้น คือความพร้อมด้านบุคลากร บุคลากรทางหนึ่งอยู่เขตเลือกตั้ง คลุกคลีประชาชน รับปัญหาเขามาแก้ไข แต่มันควรมีบุคลากรอีกชุดที่ทำยุทธศาสตร์รวมของประเทศ ที่มีความพร้อมจริงๆ นึกถึงนักวิชาการ ข้าราชการ ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์เยอะๆ ถ้าได้คนชุดนี้เป็นบุคลากรของพรรค พรรคน่าจะเข้มแข็งมากขึ้น เวลามีรัฐบาลชุดนี้อาจไปนั่งฝ่ายบริหาร พอเริ่มมีการจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ไปรับเอาความคิดของคณะกรรมการมา จึงเกิดระบบเลือกตั้ง 2 ใบ”
“ดังนั้น ปฏิเสธไม่ได้หลังการใช้รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 การใช้เลือกตั้งระบบนี้ทำให้พรรคเข้มแข็งมากขึ้น สำคัญที่สุดจะว่ายุ่งยากในการเลือกตั้งก็ไม่ใช่ ผ่านมา 15 ปี คิดว่าคนเข้าใจ และมันตรงกับเจตนารมณ์ประชาชนจริงๆ เวลาประชาชนไปเลือกตั้ง เอ๊ะ… ส.ส.เขตคนนี้อยู่พรรคไม่ดี แต่เป็นคนดี เลือกเขาสักคน แต่พรรคที่สังกัดอาจไม่เข้าท่าจึงไปเลือกพรรคโน้น นี่เรียกว่าตรงเจตนารมณ์ ไม่มีความเสียหายอะไรเลย”
“ระบบบัตรใบเดียวคนมีประสบการณ์อย่างพวกผม ซึ่งเคยได้รับเลือกตั้งมาตั้งแต่บัตรใบเดียว จนถึงบัตรเลือกตั้งสองใบ เราพบความจริงว่าระบบบัตรใบเดียวไปให้ความสำคัญกับตัวผู้สมัครสูงกว่าพรรค ในหลักทฤษฎีถือว่าผิด พอเปลี่ยนมาบัตรใบเดียวเอาผู้สมัครเป็นหลัก พรรคถูกลดความสำคัญลง เท่ากับเอาพรรคไปแอบหลังผู้สมัคร”
“แล้วฟันธงไว้เลยว่าถ้าระบบนี้เดินหน้าต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นประการแรกคือ ประมูลตัวผู้สมัครที่มีฐานเสียงแข็งแรงมาก ทีท่าว่าจะได้รับเลือกตั้งแน่นอน โดยเฉพาะพรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ฟันธงได้เลยว่าสิ่งนี้เกิด”
“บัญญัติ” ทำนายต่อว่า ถ้าบังเอิญร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ-ประกาศใช้-มีการเลือกตั้ง ห้วงเวลาที่ปั่นป่วนที่สุดคือช่วงการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคใหญ่ 2 พรรค ทั้งเพื่อไทย และ ปชป. จะถูกทอนกำลังจากระบบเลือกตั้งใหม่ สวนทางกับพรรคขนาดกลางที่จะได้จำนวนเสียง ส.ส.เพิ่มขึ้น อำนาจการต่อรองจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ
“เมื่อพรรคใหญ่ลดลง พรรคก็จะมีมากขึ้น การตั้งรัฐบาลก็จะมีมากพรรค พวกผมมีประสบการณ์มาแล้ว ตั้งรัฐบาลกับพรรคนั้น พรรคโน้นมาหลายครั้งหลายหน พบความจริงว่าเวลาพรรคแกนนำมีพรรคร่วมรัฐบาลเยอะๆ ปวดหัวที่สุด นโยบายหลักๆ ไม่มีทางได้ทำ เพราะพรรคนั้นก็จะทำเรื่องนี้ พรรคนี้ก็จะทำเรื่องนั้น มั่วไปหมด ไม่สนองการต่อรองเดี๋ยวรัฐบาลก็แตกหักอยู่ร่วมกันไม่ได้”
ทว่า จุดอ่อนที่อันตรายมากกว่าระบบเลือกตั้ง และเป็นจุดอ่อนอันน่ากลัวที่สุดในสายตานักการเมืองเก๋าประสบการณ์ คือ จุดอ่อนที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ไขได้
“บัญญัติ” กล่าวว่า การทำจุดอ่อนอื่นที่มีอยู่แล้วกลายเป็นจุดอ่อนถาวรไม่สามารถแก้ไขได้ คือ การไปกำหนดให้รัฐธรรมนูญแก้ไขยาก จนเกือบจะแก้ไม่ได้เลย เพราะจะแก้รัฐธรรมนูญในวาระแรกได้จะต้องมี ส.ว.รับรองจำนวน 1 ใน 3 ถ้า ส.ว.เลือกกันเอง 20 กลุ่มอาชีพเช่นนี้ คนคิดจะแก้รัฐธรรมนูญกลับสู่การเลือกตั้ง ส.ว. ปิดสนิทเลย เป็นไปได้อย่างไรที่ ส.ว.สรรหาจะไปรับรัฐธรรมนูญเรื่องแก้ ส.ว.”
“ที่หนักไปกว่านั้น ทุกพรรคการเมืองที่มีที่นั่งในสภา จะต้องเห็นด้วยอย่างน้อย 1 ใน 10 ทำลายหลักการ เพราะเมื่อ ส.ส. บวก ส.ว. มี 700 คน คน 685 คนเห็นว่าควรแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ แต่มี 15 คนไม่เห็นด้วย คุณแก้ไม่ได้ ผมว่าเป็นจุดอ่อนอย่างแรงที่สุด เพราะทำให้จุดอ่อนอื่นๆ ที่คนดูแล้วให้ผ่านไปก่อนค่อยแก้ไขทีหลังเกิดขึ้นไม่ได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร กรธ. ควรถอยเรื่องนี้”
แม้สัญชาตญาณการเมืองของ “บัญญัติ” จะอ่านเกมการเมืองในอนาคตขาดทะลุปรุโปร่ง แต่ท่าที ปชป. ต้นสังกัดเขายังออกอาการ “แทงกั๊ก” แบ่งรับแบ่งสู้ เพราะมีทั้ง “ชมปนด่า” ไม่ชัดเจนทางใดทางหนึ่ง ต่างจากคู่อริการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย ที่แสดงเจตนารมณ์ย้ำจุดยืนว่าอยู่ตรงข้ามร่างรัฐธรรมนูญมีชัย
อดีตหัวหน้าพรรค “บัญญัติ” จึงไขคำตอบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
“คนโวยวายกันมากว่ายังไม่เห็นพรรคแสดงออกอะไร ที่ชมเขาก็มี วิจารณ์เขาก็มี อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา อันไหนดีก็บอกว่าดี อันไหนไม่ดีก็บอกไม่ดี”
“พรรคการเมืองไม่ละเลย วันนี้แสดงความคิดเห็นบ้างพอสมควร ไม่อยากให้บรรยากาศขุ่นมัว แต่ในทันทีที่รัฐธรรมนูญจะลงสู่เวทีการทำประชามติ ถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม ถึงเวลาที่ความเป็นความตายจะปรากฏขึ้น วันนั้นทุกคนก็ต้องช่วยกันให้ความเข้าใจกับประชาชน แต่จะไปปลุกระดมให้ประชาชนมาคว่ำกันเถอะ มาคว่ำกันเถอะ คงไม่ถึงขนาดนั้น อาจบอกประชาชนให้รู้ว่าในความรู้สึกของเราซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ยาวนาน เราเห็นแล้วว่ารัฐธรรมนูญดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน รับได้หรือไม่ได้ด้วยเหตุผลอย่างไร แล้วให้ประชาชนตัดสินเอาเอง”
เขาลั่นวาจาว่า “ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็จะทรยศต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย ทรยศต่อชาวบ้าน”
แต่ในทางกลับกัน คำครหาที่เป็นชนักติดหลังกับพรรคเก่าแก่ในรอบ 2 ทศวรรษคือ ปชป. เป็นพรรคที่ไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่รอ “ส้มหล่น” เป็นรัฐบาล เพราะผลพวงจากการรัฐประหาร และมีรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ ปชป. มีเหตุผลอะไรที่จะคว่ำรัฐธรรมนูญ?
“บัญญัติ” แย้งทันทีว่า “การทำการเมืองจะมาคิดแต่ผลประโยชน์ที่พรรคการเมืองจะได้อย่างเดียวเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ถ้าคิดแต่เพียงเราได้ประโยชน์แล้วรับได้ ถ้าเสียประโยชน์กับเราแต่สังคมได้ประโยชน์กลับไม่รับ หรือสังคมเสียประโยชน์แต่เราได้ประโยชน์เรารับ เราก็แย่ ความที่ทำให้พรรคการเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถาบันการเมืองผมคิดว่ามันก็ไร้ประโยชน์ ไปทำอย่างนั้นไม่ได้”
“และไปคิดถึงเรื่องส้มหล่นคงไม่ได้ มันก็ไม่ใช่พรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ เตรียมยืนอยู่บนขาตัวเองอย่างแข็งแรงภายใต้การสนับสนุนของประชาชน นั่นคือจะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนผลที่เกิดขึ้นตามมาอย่างไรค่อยว่าอีกที”
แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยังไม่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะ “รับ” หรือ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญมีชัย
แต่สัญญาณต่อร่างรัฐธรรมนูญของ “บัญญัติ” อดีตหัวหน้าพรรคคนที่ 7 ในพรรคอายุ 70 ปี ตกผลึกแล้วว่า “แบ่งสู้มากกว่าแบ่งรับ”

บิ๊กป้อม ยันเปล่าสั่ง ผบ.ตร.เอาผิด"พะจุณณ์" ตร.ฟ้องเอง ทำตร.เสียหาย



บิ๊กป้อม ยันเปล่าสั่ง ผบ.ตร.เอาผิด"พะจุณณ์" ตร.ฟ้องเอง ทำตร.เสียหาย ยังไม่มั่นใจจะไกล่เกลี่ยให้ได้หรือไม่ ยังไม่ได้คิด ปวดหัว มีงานเยอะ บอก"มันไม่ใช่เรื่องของผมนะ เรื่องตำรวจไม่เกี่ยวกับผม" ที่ตร.ฟ้อง"พะจุณณ์" ปัด ไม่ใช่ สายคสช.ขัดแย้งกันเอง
จากกรณีของ พล.ร.อ. พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เผยแพร่ข้อมูลการซื้อขายตำแหน่งนั้น พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ/รมว.กห. กล่าวว่า "ที่จริง เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของผมนะ เรื่องตำรวจไม่เกี่ยวกับผม ผมไม่ได้สั่งให้ ตำรวจฟ้องนะ ตำรวจของฟ้องเอง เพราะทำให้ตำรวจเสียหาย
ส่วนที่มีการมองว่า คสช. ขัดแย้งกันเอง เพราะ
พล.ร.อ.พะจุณณ์ ก็เคยเป็นฝ่ายสนับสนุน คสช. นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้ขัดแย้งอะไร เป็นเรื่องของตำรวจที่ต้องดูแลองค์กรของเขา
เมื่อถามว่า มีแนวคิดจะไกล่เกลี่ยกับพล.ร.อ. พะจุณณ์ กับตำรวจ หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ยังไม่ได้คิด เนื่องจากมีเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบหลายเรื่อง ก็ปวดหัวอยู่แล้ว

โฆษกกลาโหม จี้นักการเมือง-พวก "คนหน้าเดิม" เคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นไม่สร้างสรรค์ ให้ทบทวนตัวเอง

โฆษกกลาโหม จี้นักการเมือง-พวก "คนหน้าเดิม" เคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็นไม่สร้างสรรค์ ให้ทบทวนตัวเอง เคยทำชาติขัดแย้งมาแล้ว หยุด ขยายความ ปั้นเรื่อง เชื่อมโยง ให้เกิดแนวร่วมทางอารมณ์จากกลุ่มต่างๆ ด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมือง

พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ คสช.เชิญบุคคลมาพูดคุยทำความเข้าใจ นั้นว่า เป็นเพราะบุคคล นั้น พยายามแสดงตนให้เป็นข่าว ด้วยการแสดงความคิดเห็น จาบจ้วง ให้ร้าย พาดพิงองค์กรและบุคคลอื่น โดยพยายามขยายความ ปั้นเรื่อง เชื่อมโยง ให้เกิดแนวร่วมทางอารมณ์จากกลุ่มต่างๆ ด้วยวาระซ่อนเร้นทางการเมือง

"พฤติกรรมของกลุ่มคนหน้าเดิมๆเหล่านี้ เป็นสาเหตุสำคัญของชนวนขยายความขัดแย้ง แตกแยกอย่างรุนแรงของคนในชาติมาแล้วในอดีต ดั่งที่ประชาชนคนไทยทุกคนได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดร่วมกันมาแล้ว"

พลตรี คงชีพ กล่าวว่า สังคมไทยปัจจุบันพัฒนาไปมาก เป็นที่ยอมรับถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกันทางเพศโดยทั่วกัน

" การที่บุคคลอ้างตัวว่าเป็นนักการเมืองที่มีวัฒนธรรมสูงส่งกว่าผู้อื่น พยายามขยายความ โยงการกดขี่เหยียดหยามทางเพศอย่างมีนัยยะ โดยกล่าวอ้างจดจำคำสอน ของผู้อาวุโสทางการเมืองได้ดี นั้น ซึ่งหากทบทวนคำสอนสักนิด และเงียบ คงไม่เปิดเผยตัวตนให้สังคมได้จดจำ วุฒิภาวะทางปัญญาและอารมณ์ เฉกเช่นนี้"

โฆษกกลาโหม กล่าวว่า สังคมไทย กำลังต้องการแรงขับเคลื่อนอย่างสูง ที่จะก้าวให้หลุดพ้นจากการจมปลักของปัญหาความขัดแย้งในอดีต
ขณะที่รัฐบาลปัจจุบัน มีความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง ที่จะคลี่คลายและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาฐานรากร่วมกับประชาชนทั้งประเทศสู่สังคมที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นหนึ่งเดียวกัน

" จึงอยากให้ข้อคิดต่อกลุ่มบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับสังคมปัจจุบัน ได้ทบทวนบทบาทในฐานะของคนไทยในทางที่สร้างสรรค์ เพื่อการก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกัน สู่ผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ"

กปปส.อัด"กกต.-ปู"ต้นเหตุดันทุรังจัดเลือกตั้ง


กปปส.อัด"กกต.-ปู"ต้นเหตุดันทุรังจัดเลือกตั้ง 

กปปส.อัด"กกต.-ปู"ต้นเหตุดันทุรังจัดเลือกตั้ง "ถาวร"อัด"กกต.-ยิ่งลักษณ์"ต้นเหตุดันทุรังจัดเลือกตั้งทั้งที่ผิดรัฐธรรมนูญ จ่อทำบันทึกส่งรัฐบาลให้ทบทวน 
 3 มีนาคม 2559 เวลา 17:58 น. 

เมื่อวันที่ 3 มี.ค. นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติสั่งให้ดำเนินการฟ้องทางอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับกลุ่มกปปส. จำนวน 234 คน ฐานขัดขวางการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2557 โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 2,400 ล้านบาท และ 2.ให้ดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ในรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 108 เขียนเอาไว้ชัดเจนว่าการเลือกตั้งทั่วไปนั้นให้จัดทำเพียงวันเดียว กกต.ได้เปิดสมัครรับเลือกตั้งในช่วงปลายเดือน ธ.ค.2557 ปรากฏว่ามีผู้มาสมัครรับเลือกตั้งขาดไป 28 เขตเลือกตั้ง เมื่อไม่ครบ กกต.รู้อยู่แก่ใจ จึงทำคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งจะเลื่อนไปได้หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้กกต.มั่นใจว่าสามารถเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากวันที่ 2 ก.พ.2557 เป็นวันอื่นได้ 

นายถาวร กล่าวต่อว่า จากนั้น กกต.ได้หารือกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ รักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรียืนยันให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินก็มายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการเลือกตั้งมีความชอบธรรมหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จึงสั่งให้การเลือกตั้งนั้นเป็นโมฆะไป ดังนั้นสาเหตุที่การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 เป็นโมฆะก็คือผู้สมัครรับการเลือกตั้งไม่ครบทุกเขต ดังนั้น เมื่อกกต.และน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นต้นเหตุ ยังดังทุรังจัดการเลือกตั้ง ทั้งที่รู้ว่าผิดรัฐธรรมนูญรู้ว่าจะเกิดโมฆะ เพราะผู้สมัครไม่ครบทุกเขต กกต.และน.ส.ยิ่งลักษณ์จึงควรรับผิดชอบกับการเลือกตั้งนั้นเป็นโมฆะ ไม่ใช่กลุ่มกปปส. “การลงมติของ กกต. ที่จะฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ กปปส. เป็นการลงมติแบบแก้เกี้ยว เพราะรู้อยู่ว่าประชาชนกำลังดำเนินการให้ กกต.ต้องรับผิดชอบ ผมขอโต้แย้ง และที่สำคัญ หลังจากนี้ กปปส.จะทำบันทึกถึงรัฐบาลให้ทบทวนเรื่องการเรียกค่าเสียหายจากการเลือกตั้งเพื่อให้เรียกค่าเสียหายได้ถูกคน เพราะถ้าไปฟ้องผิดนั้นก็จะส่งผลทำให้ คดีขาดอายุความได้”นายถาวรกล่าว เมื่อถามความเห็นเรื่องการฟ้องอาญา กลุ่มกปปส. จากข้อกล่าวหาว่า กปปส.ไปขัดขวางการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.2557 นั้น นายถาวรกล่าวว่าในวันที่ 2 ก.พ. กปปส.แค่เชิญชวนให้คนไม่ไปลงคะแนนเสียง แต่ไม่ได้ไปขัดขวางการเลือกตั้ง การที่กกต.แจ้งความดำเนินคดีกับมวลมหาประชาชนกรณีไปปิดคูหาเลือกตั้งที่เขตดินแดง เขตพระโขนง และที่อื่นๆ ศาลอาญาได้วินิจฉัยและยกฟ้องไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องการสมัครรับเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อยนั้นเป็นอำนาจของกกต.ที่ต้องทำให้การสมัครการเลือกตั้งมีความสงบเรียบร้อย ถ้าพื้นที่ใดสมัครไม่ได้ ก็เลื่อนไปที่อื่น หรือไม่ก็จัดกำลังไปเฝ้าดูแลการรับสมัคร.“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/politics/383500

สมเด็จช่วงจีวรร้อน"บิ๊กต๊อก"ลั่นครองรถเถื่อนต้องถูกดำเนินคดี



พล.อ.ไพบูลย์ ระบุแม้สมเด็จช่วงคืนเบนซ์ให้ผู้บริจาคแต่จะไม่มีผลต่อคดี เพราะดีเอสไอพิสูจน์แล้วเป็นรถผิดกฎหมาย ผู้ใดครอบครองต้องถูกดำเนินคดี ลั่นผิดต้องรับโทษไม่ต้องแห่กันออกมากดดัน
วันนี้(3 มี.ค.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ระบุว่าสมเด็จช่วงคืนรถยนต์โบราณผิดกฎหมายให้กับผู้บริจาคแล้ว ว่านั่นคือความประสงค์ แต่ในเนื้อหาของตัวบทกฎหมายก็ว่าไปตามกฎหมาย ตนไม่รู้รายละเอียด มันอาจจะเป็นเจตนารมณ์ที่มาแจ้งไว้ และตนก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องกฎหมาย ที่จะต้องเข้าไปสอบสวนผู้ครอบครองรถยนต์ว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างไร
"อย่างไรก็ตามหลังจากที่ตรวจสอบว่ารถคันนี้ผิดกฎหมายสมเด็จช่วงจะสามารถคืนให้กับผู้บริจาคได้หรือไม่นั้น ผมเห็นว่าจะต้องดูที่ขั้นแรกว่ารถผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก็จบไปแล้วว่ารถผิดกฎหมายจริง และขั้นที่สองผู้ครอบครองมีสถานะในการครอบครองรถคันนี้ผิดหรือไม่ ประเด็นที่สอบสวนมีเพียงแค่นี้ การจะนำรถไปที่ไหนและนำไปให้ใคร มันคนละประเด็นกัน คงไม่น่าจะเชื่อมโยงกันว่าเมื่อสมเด็จช่วงได้คืนรถคันนี้ให้กับผู้บริจาคแล้วจะไม่มีความผิด ซึ่งคงเป็นไม่ได้ จะต้องดำเนินคดีต่อไป เพราะมันไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ดำเนินคดี ซึ่งการครอบครองรถคันนี้โดยผิดกฎหมาย ถ้ามันผิดก็ต้องรับผิด จะเอารถคันนี้ไปไว้ที่ไหนก็มีความผิดเหมือนเดิม เพราะตอนนี้กำลังพิสูจน์ว่ารถคันนี้ผิดหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับว่าจะนำรถไปไหน"พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้หลายวัดขึ้นป้ายสนับสนุนให้ดำเนินการตั้งพระสังฆราช พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ทำไป ตนเป็นคนยึดหลักเกณฑ์กฎหมาย ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีการทูลเกล้าชื่อสมเด็จพระสังฆราชนั้น ตนไม่ได้เป็นคนส่งและไม่ได้พุดคุยเรื่องนี้ในครม. ต้องไปถามนายฯ และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ที่ผ่านมานายกฯก็ไม่ได้พูดอะไร
"ไม่มีใครมากดดันผมได้ ไม่ต้องแห่มากดดันเต็มบ้านเต็มเมืองหรอก ผมเป็นคนทำตามกฎหมาย ถ้าคุณไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว ถ้าคุณผิดก็ต้องรับโทษไป คุณจะยกมาแค่ไหนผมก็ต้องลงโทษอยู่ดี ผมพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้วในทุกคดี แต่ถ้าผมทำไม่ถูกต้อง ก็สามารถร้องเรียนผมได้ผมจะแก้ไขให้ แต่ถ้าผมทำถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่ต้องมากดดันผม"พล.อ.ไพบูลย์ ตอบคำถามที่ว่าวัดหลายแห่งขึ้นป้ายกรณีสมเด็จช่วง
เมื่อถามว่าถ้าเป็นรถยนต์ของชาวบ้านธรรมดาอาจจะถูกอายัดรถเอาไว้แต่กรณีนี้รถยนต์ของสมเด็จช่วงยังอยู่ที่วัดถือเป็นการดำเนินคดีล้าช้าหรือไม่ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่าตนขอไม่ตอบเพราะไม่ได้เป็นนักกฎหมาย แต่มันก็น่าคิดซึ่งตนก็ได้ถามอธิบดี ดีเอสไอว่าทำไมต้องปล่อยเรื่องนี้ไว้ 3-4 ปี โดยไม่รีบดำเนินการ และในวันจันทร์นี้จะมีการประชุมเรื่องนี้อีกครั้ง นอกจากนี้ในส่วนของรถหรู 6,000 คันที่นำเข้าผิดกฎหมาย ตนจะเรียกกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลังมาพูดคุยแล้วตนจะแยกแยะออกว่ารถคันใดที่ดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย ก็จะตัดบัญชีและจัดอันดับให้ใช้ จะใช้เวลากี่ปีกี่เดือนก็ตาม แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง.

“ประวิตร” ย้ำ ต้องมี ส.ว.ลากตั้งช่วงเปลี่ยนผ่าน เหตุช่วยปฏิรูปประเทศ แทงกั๊ก คสช.ร่วมด้วย

“ประวิตร” ย้ำ ต้องมี ส.ว.ลากตั้งช่วงเปลี่ยนผ่าน เหตุช่วยปฏิรูปประเทศ แทงกั๊ก คสช.ร่วมด้วย
เมื่อเวลา 12.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ตึกสันติไมตรี ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า เป็นการพูดคุยเรื่องส่วนตัว ไม่มีอะไร ส่วนข้อเสนอที่จะให้มี ส.ว.สรรหา ในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีนั้น เรื่องนี้เป็นความคิดเห็นของตน ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการที่มีคนเสนอให้ ส.ว.มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะ ส.ว.ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้อยู่แล้ว แต่ข้อเสนอของตน คือ ต้องการให้ ส.ว.เข้าไปดูแลการทำงานในเรื่องยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยเฉพาะการปฏิรูปเท่านั้น ซึ่งส.ว.จะไม่มีส่วนใดๆ เกี่ยวกับการเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าวไม่ใช่ความคิดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หรือส่วนใด
เมื่อถามต่อว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของส.ว.สรรหาหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็แล้วแต่ ก็ต้องช่วยกันทำ ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีการบอกว่าเสียของ ซึ่งคสช.จะเข้าไปเป็นส.ว.หรือไม่นั้น ผมยังไม่รู้ในรายละเอียด ส่วนกระบวนการสรรหาส.ว.นั้น ก็ต้องมีคณะกรรมการคัดสรร ซึ่งใครจะทำหน้าที่เป็นประธานก็ค่อยมาว่ากันอีกครั้ง เพราะจะต้องให้ครบในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งเรื่องนี้ผมยังไม่ได้คุยกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. เพราะบอกแล้วว่าเป็นความคิดของผม แล้วจะไปคุยกับใคร”


เมื่อถามอีกว่า นายกฯเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้นายกฯเห็นด้วย เพราะเรื่องนี้นายกฯยังไม่ได้พูดคุยกับตน แต่สิ่งที่ตนเสนอ เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ เช่น การปฏิรูปที่ต้องการให้เดินหน้าไปได้