PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2562

กกต. ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระต่างๆ ตลอดจนศาลฎีกา เกี่ยวพันกันอย่างไร

Atukkit Sawangsuk
กกต. ปปช. ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระต่างๆ ตลอดจนศาลฎีกา เกี่ยวพันกันอย่างไร
มาตรา 203 ว่าด้วยการสรรหาตุลาการศาล รธน.ถูกนำไปใช้กับทุกองค์กรอิสระ ซึ่งมีที่มาไม่ยึดโยงกับประชาชน แต่ยึดโยงกันเอง
นั่นคือ เมื่อจะสรรหาองค์กรอิสระใด ก็ให้มีกรรมการประกอบด้วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และบุคคลซึ่งองค์กรอิสระอื่นตั้งมา มีตัวแทนฝ่ายการเมือง 2 คนเท่านั้นคือประธานสภากับผู้นำฝ่ายค้าน (ซึ่งในยุค สนช.ก็มีพรเพชรคนเดียว แถมมาจากแต่งตั้ง)
เมื่อจะสรรหา กกต.ก็มีกรรมการที่ตั้งมาจากศาล รธน. ปปช. คตง. กสม. ผู้ตรวจ (โดย กกต.2 คนมาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือก) เมื่อจะสรรหา ปปช.ก็มีกรรมการที่ตั้งมาจากศาล รธน. กกต. คตง. กสม. ผู้ตรวจ เป็นเช่นนี้ทั้งหมด โดยประธานศาลฎีกาเป็นประธานทุกชุด
ถามว่าเมื่อจะถอดถอน กกต. ต้องยื่น ปปช. แล้วส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (องค์คณะให้ที่ประชุมใหญ่เลือก) มันจะปฏิเสธความทับซ้อนได้อย่างไร ในเมื่อทั้งศาลและ ปปช.ก็มีส่วนเลือก กกต.มา โดยศาลยังเลือก กกต.2 คนมากับมือด้วยซ้ำ
(ดูชื่อกรรมการสรรหา กกต.ได้ที่นี่ https://www.ect.go.th/dlc5/ewt_news.php…)
เช่นกัน เมื่อ กกต.ส่งเริื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตอนที่สรรหา กกต. ศาล รธน.ก็ส่งคนไปเป็นกรรมการด้วย ซึ่งอาจจะบังเอิญ หนึ่งใน กกต.คือฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ เคยเป็นที่ปรึกษานุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ (คนนี้เป็นทนายความ จบ ดร.นิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปทุมธานีเมื่อปี 57 นี่เอง)
https://news.thaipbs.or.th/content/278787

ปิดเกมส์เร็ว "ธนาธร/ปิยบุตร" - คลอดสูตรพิสดารคำนวณ ส.ส.

การเมืองไทยหลังสงกรานต์ จับตาดูสองประเด็นสำคัญ หนึ่งคือความพยายามในการปิดเกมส์เร็ว กรณีปมโอนหุ้น วีลัคมีเดียของ “ธนาธร” ซึ่ง กกต.ตั้งคณะทำงานสอบสวนเฉพาะ และกำหนดกรอบเวลาในการตรวจสอบให้จบก่อนวันเปิดสภา หรือในวันที่ 9 พ.ค.2562 ขณะที่ “ปิยบุตร” ประกาศชัดเตรียมไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่ง คสช.ได้กล่าวโทษ กรณีปมอ่านแถลงการณ์ยุบพรรคไทยรักษาชาติ สองคือความพยายามคลอดสูตรพิสดารในการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่ง กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในประเด็นนี้!!
การเมืองไทยหลังสงกรานต์ จับตาดูสองประเด็นสำคัญ หนึ่งคือความพยายามในการปิดเกมส์เร็ว กรณีปมโอนหุ้น วีลัคมีเดียของ “ธนาธร” ซึ่ง กกต.ตั้งคณะทำงานสอบสวนเฉพาะ และกำหนดกรอบเวลาในการตรวจสอบให้จบก่อนวันเปิดสภา หรือในวันที่ 9 พ.ค.2562 ขณะที่ “ปิยบุตร” ประกาศชัดเตรียมไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่ง คสช.ได้กล่าวโทษ กรณีปมอ่านแถลงการณ์ยุบพรรคไทยรักษาชาติ สองคือความพยายามคลอดสูตรพิสดารในการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่ง กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในประเด็นนี้!!
ก่อนสงกรานต์จะมาถึง “ชูวิทย์” ประเมินว่า ทั้ง “ธนาธร-ปิยบุตร”​ จะโดน “ปิดเกมส์เร็ว” ในความหมายนี้คือความพยายามในการทำทุกวิถีทางเพื่อสะกัดไม่ให้ทั้งคู่เข้าสู่สภาฯ
และแล้วความเคลื่อนไหวสำคัญก็ปรากฎ เมื่อมีรายงานข่าวว่า กกต.ได้กำหนดกรอบเวลาในการตรวจสอบปมโอนหุ้น วีลัค มีเดียของ “ธนาธร” โดยกำหนดปิดเกมส์ก่อน 9 พฤษภาคม 2562 อันเป็นจังหวะเวลาเปิดสภาฯ พอดิบพอดี
รายงานข่าวจาก “อิศรา” ระบุว่า “ก่อนหน้านี้สำนักงาน กกต. มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมารวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นแล้ว ต่อมาที่ประชุม กกต. เห็นว่ากรณีนี้เป็นเรื่องสำคัญ เลยดึงเรื่องเข้าไปทำเอง และตั้งคณะกรรมการช่วยตรวจสอบฯดังกล่าว โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก 7 รายมาเป็นกรรมการ พร้อมกับนำสำนวนจากคณะทำงานชุดเดิมมารวมกับสำนวนของคณะกรรมการช่วยตรวจสอบฯชุดนี้ด้วย
รายงานข่าว ระบุด้วยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมการช่วยตรวจสอบฯชุดนี้ ได้ส่งหนังสือขอเอกสารหลักฐานไปยังบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อนำมาประกอบในสำนวนแล้ว โดยกรอบการทำงานเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้เสร็จก่อนวันที่ 9 พ.ค. 2562 หรือก่อนวันประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าเอกสารหรือหลักฐานมีจำนวนมาก อาจขยายระยะเวลาได้”
ขณะที่ “ปิยบุตร”​ วันนี้ (17 เม.ย.) ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก ซึ่ง คสช.ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดอาญา 2 ฐาน จากกรณีที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้อ่านแถลงการณ์ให้ความเห็นต่อการยุบพรรคไทยรักษาชาติ
“ผมเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว พรุ่งนี้ 10.00 น. จะต้องไป บก.ปอท. ศูนย์ราชการฯ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ส่งมาให้อย่างต่อเนื่อง ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วงและที่สำคัญอย่าเพิ่งถอดใจหรือสิ้นหวังกับสถานการณ์ จริงๆ แล้วยิ่งโดนคดีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเหมือนเครี่องแสดงว่าเราได้ต่อสู้กับ คสช.”
แม้ “พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ” รอง ผบก.ปอท. ใน ฐานะ โฆผก บก.ปอท. จะแถลงต่อสื่อมวลชนแล้วว่า “ขั้นตอนในวันนั้นก็จะมีการแจ้งข้อหาสอบปากคำและปล่อยตัว ซึ่งหลังจากสอบปากคำแล้วทาง ปอท. ก็จะปล่อยชั่วคราว นายปิยบุตร โดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์เนื่องจากเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก” ทว่าการดำเนินคดีในจังหวะเร่ง ก่อนวันเปิดสภาฯ เป็นเรื่องน่าจับตาไม่น้อย
การเมืองไทยหลังสงกรานต์จึงเต็มไปด้วยความร้อนระอุเกินคาดเดาเพราะสัญญาณพิเศษต่ออนาคตใหม่มีความชัดเจนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะที่มาจาก ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน ในแง่นี้ก่อนวันเปิดสภา จึงได้เห็นคดีความของทั้ง “ธนาธร-ปิยบุตร-อนาคตใหม่” เข้าสู่การดำเนินการในจังหวะเร่ง ทั้งเร่งฟ้องและเร่งดันคดีให้ไปถึงจุดสุดท้ายไวขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่คุกรุ่นอย่างมาก คือ การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติส่งเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ เพื่อจัดสรรจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองจะพึงมีได้ ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
หากศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องของ กกต.ไว้พิจารณาวินิจฉัย เป็นไปได้ว่าคำวินิจฉัยจะเป็นตราประทับรับรองให้พรรคเล็กพรรคน้อย ที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยการจะมี ส.ส.พึงมี 1 คน สามารถเข้าสู่สภาฯได้
ที่ต้องหมุดหมายไว้ก็คือพรรคเล็กพรรคน้อยที่เข้าสู่สภาฯ ด้วยสูตรคำนวณพิสดารเช่นนี้ เป็นพรรคที่มีแนวโน้มจะให้การสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ชู “ประยุทธ์”​ เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ดำเนินไปในแนวทางนี้ จะยิ่งเซาะกร่อน บ่อนทำลาย ความชอบธรรมและความสง่างามของการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างมาก
เพราะเท่ากับเป็นการกำหนดกติกาการเลือกตั้งให้ชัดเจน หลังเลือกตั้งแล้วเสร็จ และเพราะเท่ากับเปิดช่องให้พรรคการเมืองที่ได้เสียง “ต่ำกว่า” ที่กำหนดไว้ เข้าสู่สภาฯ จนทำให้ประชาชนเกิดคำถามว่า “แล้วจะมีการเลือกตั้งไปเพื่ออะไร หากไม่สนใจเสียงของประชาชนที่แท้จริง ซึ่งได้แสดงเจตจำนงแล้วว่า อยากให้พรรคการเมืองใด เข้าสู่สภาฯ บ้าง!!”
ก่อนหน้านี้ “นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์”  หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และ แกนนำ 12 พรรคเล็ก 13 ที่นั่ง ได้ออกมาตอบโต้ พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นสองพรรคใหญ่ที่ออกมาให้ความเห็นถึงสูตรพิสดารคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ฉบับเกลี่ยที่นั่งให้พรรคเล็กพรรคน้อย ว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก
“พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคอื่นๆ เองนั้นอย่าเห็นแก่ตัว อย่าพูดข้อมูลด้านเดียวทำให้เกิดความแตกแยก ทำให้ประชาชนสับสน ปลุกระดมมาให้คนไม่ชอบ กกต. ถอดถอน กกต. ทำลายความน่าเชื่อถือในการจัดการเลือกตั้ง”
“ที่ถูกต้องคือพรรคที่ได้คะแนนลำดับ 17-77 เขาก็มีประชาชนเลือกมาถึง 1,059,700 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนบริสุทธิ์มิได้ผ่านการซื้อเสียงมา 100% นี่คือเสียงสวรรค์ อย่าดูถูกคะแนนเสียงของประชาชน”
หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ไม่เพียงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับสูตรพิสดารคำนวณ ส.ส. ฉบับของ กกต.ที่ขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ทว่ายังประกาศชัดเจนถึงจุดยืนทางการเมือง ที่ไม่ขอร่วมรัฐบาลกับ สองพรรคใหญ่ฝ่ายประชาธิปไตย
“บางทีพรรคเล็กๆ นโยบาย อุดมการณ์ น่าจะดีกว่าพรรคใหญ่ๆ บางพรรค ที่ต้องฟังเสียงนายทุนที่ออกเงินใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เพื่ออาจจะถอนทุนคืนจากงบประมาณแผ่นดินก็ได้ ตั้งใจมายกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ตั้งใจมาแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตั้งใจมาแก้ไขคดีให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีทุจริตไปถึง 2 ราย ออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมสุดซอยให้ ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก ไม่สงบสุข ประชาชนต้องการรัฐบาลแบบนั้นหรือ”
ความพยายามในการปิดเกมส์เร็ว “อนาคตใหม่” ไม่ให้เข้าสู่สภาฯ​ได้ครบถ้วนก็ดี
ความพยายามในการเปิดช่องให้พรรคเล็กพรรคน้อยที่สนับสนุน การสืบทอดอำนาจเผด็จการ เข้าสู่สภาฯ ได้ก็ดี
เหล่านี้คือความพยายามเพื่อทำให้ สัตยาบันแลงคาสเตอร์ ล่ม!! ทำให้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยเกิดขึ้นไม่ได้!! และทำให้ฝ่ายค้านในสภาฯ สมัยหน้า อ่อนแรง ไม่อาจใช้เสียงเกิน 250 ล้มรัฐบาลฝ่ายเผด็จการได้สำเร็จตามที่วางแผนสำรองไว้!!
ที่ประเมินกันว่า รัฐบาลสมัยหน้าจะอายุสั้น ที่ประเมินกันว่า เลือกตั้งครั้งใหม่จะมีเร็วๆ นี้ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากเต็มที ในวันที่เครือข่ายของผู้มีอำนาจร่วมกันวางแผนแล้วว่า จะอยู่ยาวและจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม!! ยิ่งสัญญาณพิเศษชัดความพยายามในการปิดเกมส์เร็ว พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ย่ิงจะปรากฎให้เห็นชัดขึ้นนับแต่นี้เป็นต้นไป!!

ชื่นมื่น'อนุทิน'ควง'กรณ์'หม่ำอาหารอิตาเลียนที่ลอนดอน

17 เม.ย.62 - นายอนุทิน ชาญวีรกูล  หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กระบุว่า   "พี่จี๊ป พี่ดอน ปิ๊บและตัวผม ย้อนไปเมื่อ 41 ปีก่อน ตอนนั้นเป็นฤดูร้อนปี 1978 ผมพักอยู่ที่บ้านสวน คิวการ์เดน พวกเราได้กลายเป็นพี่เป็นน้องกันนับแต่นั้น ขอบคุณที่พาผมไปกินอาหารอิตาเลียนแท้ๆ ที่ลอนดอนค่ำนั้น พี่จี๊ปเป็นคนจ่ายเหมือนเคย"

มีผลแล้ว! กม.ข่าวกรองแห่งชาติ เปิดช่องใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ล้วงข้อมูลบุคคล

มีผลแล้ว! กม.ข่าวกรองแห่งชาติ เปิดช่องใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ล้วงข้อมูลบุคคล




ภาพกราฟิกลิขสิทธิ์ของ "มติชนออนไลน์"

เมื่อวันที่ 16 เมษายน ราชกิจจานุเบกษาแพร่ พ.ร.บ.ข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับใหม่ 2562 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผล 17 เมษายน) โดยมีสาระสำคัญ อาทิ
มาตรา 6 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ อาจสั่งให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลใดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติภายใน ระยะเวลาที่ผู้อำนวยการกำหนด หากหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลดังกล่าวไม่ส่งข้อมูลหรือเอกสารภายในกำหนดเวลาโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา สั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งข้อมูลหรือเอกสารอันเกี่ยวกับการข่าวกรอง การต่อต้านข่าวกรอง การข่าวกรองทางการสื่อสาร หรือการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือน สำนักข่าวกรองแห่งชาติ อาจดำเนินการด้วยวิธีการใด ๆ รวมทั้งอาจใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องโทรคมนาคม หรือเทคโนโลยีอื่นใด เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือเอกสารดังกล่าวได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการกำหนดโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี โดยระเบียบดังกล่าวอย่างน้อยต้องกำหนดให้มีการบันทึกรายละเอียดขั้นตอน การดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ เหตุผล ความจำเป็น วิธีการ บุคคลที่ได้รับผลกระทบหรือ อาจได้รับผลกระทบ และระยะเวลาในการดำเนินการ รวมทั้งวิธีการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามมาตรานี้ หากได้กระทำตามหน้าที่และอำนาจโดยสุจริตตามสมควร แก่เหตุแล้ว และเป็นไปเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงหรือการป้องกันภัยสาธารณะ ให้ถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมี
มาตรา 12 ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติจัดให้มีศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “ศป.ข.” เป็นหน่วยงานภายใน เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานกิจการการข่าวกรองการต่อต้านข่าวกรอง และการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือนร่วมกับหน่วยข่าวกรองอื่นภายในประเทศโดยให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งรองผู้อำนวยการคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติเรียกโดยย่อว่า “ผอ.ศป.ข.” มีหน้าที่รับผิดชอบ บริหารจัดการ และกำกับดูแลการดำเนินงาน ของ ศป.ข. ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการ
มาตรา 13 ให้ ศป.ข. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้
(๑) ติดตาม ประเมิน และวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง รวมทั้งรายงานข่าวประจำวัน ข่าวเร่งด่วน ข่าวเฉพาะกรณี และรายงานการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงต่อนายกรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้อำนวยการ ตลอดจนกระจายข่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พรบ.ข่าวกรองมีผล

มีผลแล้ว! กม.ข่าวกรองแห่งชาติ เปิดช่องใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ล้วงข้อมูลบุคคล



ภาพกราฟิกลิขสิทธิ์ของ "มติชนออนไลน์"

เมื่อวันที่ 16 เมษายน ราชกิจจานุเบกษาแพร่ พ.ร.บ.ข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับใหม่ 2562 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผล 17 เมษายน) โดยมีสาระสำคัญ อาทิ
มาตรา 6 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 สำนักข่าวกรองแห่งชาติ อาจสั่งให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลใดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติภายใน ระยะเวลาที่ผู้อำนวยการกำหนด หากหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลดังกล่าวไม่ส่งข้อมูลหรือเอกสารภายในกำหนดเวลาโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา สั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องได้มาซึ่งข้อมูลหรือเอกสารอันเกี่ยวกับการข่าวกรอง การต่อต้านข่าวกรอง การข่าวกรองทางการสื่อสาร หรือการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือน สำนักข่าวกรองแห่งชาติ อาจดำเนินการด้วยวิธีการใด ๆ รวมทั้งอาจใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องโทรคมนาคม หรือเทคโนโลยีอื่นใด เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือเอกสารดังกล่าวได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่ผู้อำนวยการกำหนดโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี โดยระเบียบดังกล่าวอย่างน้อยต้องกำหนดให้มีการบันทึกรายละเอียดขั้นตอน การดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ เหตุผล ความจำเป็น วิธีการ บุคคลที่ได้รับผลกระทบหรือ อาจได้รับผลกระทบ และระยะเวลาในการดำเนินการ รวมทั้งวิธีการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง การดำเนินการตามมาตรานี้ หากได้กระทำตามหน้าที่และอำนาจโดยสุจริตตามสมควร แก่เหตุแล้ว และเป็นไปเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงหรือการป้องกันภัยสาธารณะ ให้ถือว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมี
มาตรา 12 ให้สำนักข่าวกรองแห่งชาติจัดให้มีศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “ศป.ข.” เป็นหน่วยงานภายใน เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการประสานกิจการการข่าวกรองการต่อต้านข่าวกรอง และการรักษาความปลอดภัยฝ่ายพลเรือนร่วมกับหน่วยข่าวกรองอื่นภายในประเทศโดยให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งรองผู้อำนวยการคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติเรียกโดยย่อว่า “ผอ.ศป.ข.” มีหน้าที่รับผิดชอบ บริหารจัดการ และกำกับดูแลการดำเนินงาน ของ ศป.ข. ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการ
มาตรา 13 ให้ ศป.ข. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้
(๑) ติดตาม ประเมิน และวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง รวมทั้งรายงานข่าวประจำวัน ข่าวเร่งด่วน ข่าวเฉพาะกรณี และรายงานการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงต่อนายกรัฐมนตรี สภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้อำนวยการ ตลอดจนกระจายข่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ปอท.ให้ ปิยบุตร ยื่นหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ภายใน 25 เม.ย.

ปอท.ให้ ปิยบุตร ยื่นหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร ภายใน 25 เม.ย. ปิยบุตร ชี้ช่องว่างกฎหมายห้ามประชาชนวิจารณ์ศาล หวั่นเกิดปัญหาในอนาคต ย้อนถาม คสช. เกี่ยวอะไร มาร้องทุกข์แทนศาล เชื่อหวังผลการเมือง
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยหลังเข้ารับทราบข้อกล่างหาและให้การด้วยวาจากับพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง ว่า ฝ่ายกฎหมายของ คสช. เป็นผู้มอบอำนาจให้กับ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ มาร้องทุกข์กล่าวโทษตนในข้อหาหมิ่นศาล และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จากกรณีแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่หลังยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องการดูหมิ่นศาล ซึ่งเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ คสช. ซึ่งมีหัวหน้าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของอีกพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งกันทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง กลับมาเป็นผู้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่มาร้องทุกข์กล่าวโทษตน
นอกจากนี้ นายปิยบุตร ยังกล่าวว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน คือ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ซึ่งใช้อำนาจอำนาจอธิปไตยของประชาชนในเรื่องตุลาการ ดังนั้นในการเรื่องการตรวจสอบวิพากษ์เป็นเรื่องปกติในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ที่ผ่านมาฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ก็ถูกประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ ดังนั้นองค์กรตุลาการก็ควรอยู่ในระนาบเดียวกันเพื่อให้ประชาชนสามารถวิจารณ์ได้ โดยเฉพาะ ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งตัดสินคดีที่ส่งผลกระทบทางการเมือง ถ้าต้องการให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบมากก็จะกระทบกับความเป็นอิสระในการพิจารณาคดี 
ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการให้สาธารณชนเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยคำพิพากษาต่างๆ ซึ่งตนทำมาโดยตลอด เมื่อครั้งเป็นนักวิชาการคณะนิติศาสตร์ และอีกเรื่องที่สำคัญคือ การดูหมิ่นศาลเทียบเคียงได้กับการดูหมิ่นบุคคลอื่น ซึ่งคนที่ถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงต้องเป็นคนเริ่มร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่เนื่องจากความผิดฐานดูหมิ่นศาลไปอยู่ในความผิดฐานอาญาแผ่นดินที่ใครก็สามารถไปร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ตนเห็นว่าจะเป็นปัญหาในอนาคต 
และคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานในอนาคตว่าหากสุดท้ายตนมีความผิดจริงจะทำให้บรรทัดฐานการวิจารณ์องค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐจะไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน ถือเป็นจุดอ่อนของกฎหมายไทย การที่ตนถูกกล่าวโทษนี้ให้ถือเป็นอุทาหรณ์ว่าสภาพกฎหมายที่เป็นอยู่มีข้อบกพร่องอย่างไร และกระทบกระเทือนกับเสรีภาพของประชาชน แต่ตนยังมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทยและการทำหน้าที่ของพนักงานสืบสวนสอบสวน และเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แต่ตนเห็นใจที่ถูกสั่งการเริ่มต้นมาจาก คสช.
ทั้งนี้ในการสอบสวนตนได้ขอเวลาในการทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรและขอเวลาในการเตรียมพยานหลักฐาน 30 วัน แต่เจ้าพนักงานสอบสวนกลับเร่งรัดเหลือ 9 วัน คือให้มายืนคำให้การภายในวันที่ 25 เมษายน ซึ่งตนเห็นการละเมิดสิทธิผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่ตนเพิ่งมาทราบว่าถูกกล่าวหาอะไรและเพิ่งได้อ่านคำร้องทุกข์กล่าวโทษ อีกทั้งหลายข้อความที่อยู่ในคำร้องตนก็ไม่ได้พูด
ส่วนหากท้านที่สุด ปอท. ไม่สั่งฟ้อง ตนจะฟ้องกลับ คสช. หรือไม่ นายปิยบุตร ตอบว่า เรามาเป็นผู้แทนของประชาชนเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย สิ่งสำคัญคือต้องอดทนอดกลั้นในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เช่นนั้นสังคมประชาธิปไตยจะไปต่อไม่ได้ ตนเองหรือตัวหัวหน้าพรรคก็อดทนอดกลั้นกับการแสดงความคิดเห็นต่างอย่างถึงที่สุด หลายเรื่องที่เป็นข้อความ Hate speech หลายเรื่องเป็นการกล่าวเท็จ หลายเรื่องเป็นการใส่ร้ายป้ายสีแต่เราก็เข้าใจและก็อดทนอดกลั้น
“ในเมื่อคุณจะยืนหยัดในการเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ต้องทนให้ได้ทุกอย่างก็อยากจะเรียนฝากไปว่านักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ ก็ต้องอดทนอดกลั้นเรื่องพวกนี้เหมือนกัน รวมทั้งองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหมดก็ต้องอดทนอดกลั้นกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง เราเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้ง เรายังทนได้นักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจก็ต้องทนให้ได้เช่นเดียวกัน”
ด้านทนายความ นายกฤษฎางค์ นุตจรัส กล่าวว่า พนักงานสอบสวน อ้างว่าคสช. กล่าวหาว่า นายปิยะบุตรหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตนถามกลับไปว่าได้สอบถามไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้วหรือยัง แต่ปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ตอบ และให้อยู่ในดุลยพินิจของศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นข้อสงสัยที่ทำให้ต้องกลับไปหาข้อมูลเพราะตัวผู้เสียหายจริงๆ ยังไม่บอกเลยว่าโดนหมิ่นประมาทหรือเสียหายหรือเปล่า ต้นจึงต้องขอเวลาในการหาพยานหลักฐาน 30 วัน แต่พนักงานสอบสวนให้เวลาเพียงแค่ 9 วันโดยให้เหตุผลว่ามีผู้ใหญ่เร่งรัดมา ซึ่งตนคาดว่าจะทำคำให้การไม่ทันและหากครบกำหนด 9 วันพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนยื่นฟ้องไปยังอัยการตนจะขอขยายเวลารวบรวมพยานหลักฐานในชั้นอัยการต่อไป พร้อมยังยืนยันว่าในวันแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่ไม่มีข้อความใดดูหมิ่นศาลแต่เป็นการพูดถึงการเลือกตั้งเท่านั้น
ทั้งนี้นายปิยบุตรกล่าวเสริมว่าถ้าจะร้องทุกข์กล่าวโทษตนก็ขอให้กล่าวโทษให้ตรง เนื่องจากมีหลายประเด็นในสำนวนที่ตนไม่ได้พูด อีกทั้งความผิดนี้คือการดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา แต่คสช. เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ถ้าต่อไปนี้มีใครวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐบาลต้องทำหน้าที่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษให้หมดเลยหรือ และในอดีตไม่เคยปรากฏว่ามีประชาชนคนใดหรือไม่
“ความผิดฐานดูหมิ่นศาลก็คือดูหมิ่นตัวศาลหรือตัวผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีปัญหาคือว่าคสช. เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เทียบเคียงกัน คสช. ก็เทียบเท่ากับเป็นรัฐบาล ถ้าอย่างนี้หมายความว่าต่อไปนี้มีใครวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐบาลต้องทำหน้าที่ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้หมดอย่างนั้นหรือในอดีตที่ผ่านมา เราไปตรวจสอบแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาพบว่าความผิดฐานดูหมิ่นศาลส่วนใหญ่ผู้พิพากษาเป็นคนริเริ่มร้องทุกข์แทบจะไม่เคยปรากฏว่ามีนายดำ นายแดงไปแจ้งความแบบนี้หรือองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นไม่เคยไปร้องทุกข์กล่าวโทษเรื่องการดูหมิ่นศาลครั้งนี้เป็นครั้งแรก”

ร.10พระราชทานพระราชดำรัสทหารตร.ราชองครักษ์

เมื่อเวลา 21.13 น. วันที่ 13 เมษายน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำนายทหารราชองครักษ์พิเศษ นายตำรวจราชองครักษ์พิเศษ นายทหารราชองครักษ์ นายตำรวจราชองครักษ์ ราชองครักษ์ในพระองค์ และนายตำรวจราชองครักษ์ในพระองค์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ รวม 1,205 นาย เฝ้าฯกราบพระบาทแสดงความจงรักภักดี และถวายสัตย์ปฏิญาณ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา
โอกาสนี้ พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับหน้าที่ราชองครักษ์ ความตอนหนึ่งว่า คำทั้งหลายในคำปฏิญาณ อันนั้นคือคำที่สวยงามมากและครบถ้วน คือหน้าที่ราชองครักษ์มีหน้าที่รักษาชาติ บ้านเมือง รักษาสถาบัน รักษาประชาชน ในเวลาเดียวกันรักษาความถูกต้องในประเทศ ให้เป็นไปตามวัฒนธรรมของประเทศไทย เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เก่าแก่ มีวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์ มีสถาบัน มีประชาชน ตลอดจนบรรพบุรุษของเราก็ได้ทุ่มเทรักษาบ้านเมืองมาพ้นความวุ่นวาย พ้นอุปสรรคมามากมาย เพราะฉะนั้นราชองครักษ์ คือ รักษา สืบทอด สืบสาน ต่อยอด ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่เป็นผลดีต่อส่วนรวมต่อประชาชน โดยนึกถึงประวัติศาสตร์ นึกถึงวัฒนธรรมและนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ เพราะว่าประวัติศาสตร์ขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศ ค่านิยมที่ถูกต้องของประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่ล้าสมัย เป็นสิ่งที่จะต้องดำรงรักษาต่อไป