PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง 2 นปช.เผาเซ็นทรัลเวิลด์ ชี้พยานหลักฐานไม่พอ

ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง 2 นปช.เผาเซ็นทรัลเวิลด์ ชี้พยานหลักฐานไม่พอ

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม4 กันยายน 2557 18:17 น

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ยกฟ้อง 2 นปช.วางเพลิงเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงเหตุการณ์จลาจลป่วนเมือง ปี 2553 ชี้พยานหลักฐานไม่เพียงพอ
      
       ที่ห้องพิจารณา 405 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 วันนี้ (4 ก.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีวางเพลิงเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หมายเลขดำ ด. 2478/2553 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสายชล แพบัว อายุ 32 ปี ชาว จ.ชัยนาท การ์ด นปช. และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 30 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
      
       คดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันชุมนุม และมั่วสุมกันบริเวณสี่แยกราชประสงค์ กทม. ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และได้เข้าไปในบริเวณอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ใช้กำลังทำลายบานกระจก ผนังอาคารบานกระจกประตู อาคารเซ็นทาวเวอร์ อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จนแตกเสียหายเป็นการกีดขวางการจราจร ขัดขวางต่อการประกอบกิจการของห้าง ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหาย และเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันเข้าไปภายในบริเวณอาคารเซ็นทาวเวอร์ และอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ที่เป็นทรัพย์โรงเรือนที่เก็บสินค้าของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ จนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ ลุกลามเผาอาคารเซ็นทาวเวอร์ และไฟไหม้เผาทรัพย์สินต่างๆ ของผู้เสียหาย 270 ราย รวมค่าเสียหาย 8,890,578,649.61 บาท และเป็นเหตุให้นายกิติพงษ์ หรือกิตติพงษ์ สมสุข ที่อยู่ภายในอาคารดังกล่าวถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 217, 218, 224 และพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 4, 5, 9, 11, 18 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 7 เม.ย. 2553 และประกาศศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม ลงวันที่ 8 เม.ย. 2553 ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
      
       คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเวลา 1 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์
      
       ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักไม่เพียงพอ ที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นด้วยพิพากษายืนยกฟ้อง
      
       ภายหลังนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช.เปิดเผยว่า วันนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการวางเพลิง ประกอบกับอากัปกิริยาของจำเลยที่ 1 ที่ได้ถือถังดับเพลิงเข้าไปภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โจทก์ไม่มีพยานมายืนยันสนับสนุน แค่เห็นว่าเป็นการวางเพลิง และพยายามเชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีอาวุธปืน เนื่องจากถังดับเพลิงที่จำเลยที่ 1 ถือนั้นไม่ได้นำไปใช้ก่อเหตุวางเพลิง อีกทั้งพยานโจทก์ทุกปากไม่ยืนยันว่าเห็นจำเลยที่ 1 อยู่ในขณะเกิดเหตุวางเพลิง พยานทั้งหมดของโจทก์จึงมีน้ำหนักน้อยมาก นอกจากนี้ อัยการยังไม่สามารถนำสืบให้เห็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความเชื่อมโยงกัน หรือแบ่งหน้าที่กันวางเพลิงอย่างไร พยานหลักฐานจึงไม่สามารถรับฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้วางเพลิง ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกจำคุกมาจนครบกำหนดแล้ว จึงไม่ต้องถูกจำคุกอีก
      
       นายวิญญัติกล่าวอีกว่า พนักงานอัยการจะยื่นฎีกาหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอัยการ แต่คดีนี้มีการยกฟ้องทั้ง 2 ศาลตามหลักแล้วต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เว้นแต่มีผู้พิพากษารับรองให้ฎีกา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีโอกาสที่พนักงานอัยการจะยื่นฎีกา ดังนั้น ตนจะทำหนังสือขอให้อัยการหยุดฎีกา
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำคุกในความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเวลา 9 เดือน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 จำคุกมาครบกำหนดแล้วและศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ จึงต้องปล่อยตัวตัวไป โดยในวันนี้จำเลยทั้งสองซึ่งไม่ได้ถูกควบคุมตัวได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ภายหลังฟังคำพิพากษาจำเลยทั้งสอง ได้แสดงความดีใจที่ศาลพิพากษายกฟ้อง

สมเด็จพระเทพฯ พระราชทาน สิ่งของเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดราชประสงค์



สมเด็จพระเทพฯ พระราชทาน
สิ่งของเยี่ยมผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดราชประสงค์
.
วันนี้ (24 ส.ค.58) สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ท่านผู้หญิงรวิจิตร สุวรรณบุปผา รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเจ้าหน้าที่กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เข้าเยี่ยมและติดตามอาการของผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา และได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ผู้ป่วยและญาติ ที่ได้รับพระราชทานสิ่งของเยี่ยมในครั้งนี้ พร้อมกับพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อช่วยเหลือในการนี้ด้วย
.
นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าหน้าที่กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเจ้าหน้าที่กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เดินทางเข้าเยี่ยมและติดตามอาการของผู้บาดเจ็บที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลต่างๆ ด้วย
.
ขอบคุณข้อมูลจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์
ขอบคุณภาพ จาก: flagship.prd.go.th
‪#‎DemocratTH‬#ประชาธิปัตย์

ประชาชนชาวญี่ปุ่นหลายพันคนเดินขบวนประท้วงคัดค้านกฎหมายส่งทหารญี่ปุ่นไปปฏิบัติการในต่างประเทศ



ประชาชนชาวญี่ปุ่นหลายพันคนเดินขบวนประท้วงคัดค้านกฎหมายส่งทหารญี่ปุ่นไปปฏิบัติการในต่างประเทศ
--------------
ไปต่อที่ญี่ปุ่นกันอีกซักข่าวนะครับ... เมื่อวานนี้ (23 ส.ค.58) สำนักข่าว cnn ของสหรัฐฯไม่รายงานข่าวนี้ แต่ RT news ของรัสเซียจัดให้ รายงานข่าวบอกว่าเยาวชนชาวญี่ปุ่นหลายพันคน (ตื่นตัว) รวมตัวกันประท้วงทั่วประเทศ คัดค้านกฎหมายฉบับหนึ่งที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนญี่ปุ่นไปก่อนหน้านี้ โดยอนุญาตให้ญี่ปุ่นสามารถส่งกองทัพป้องกันตนเองของญี่ปุ่นออกไปต่างประเทศ และอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารร่วมกับกองทัพต่างชาติได้
มีผู้ประท้วงจำนวนมากในเกือบ 60 เมืองทั่วญี่ปุ่น ซึ่งรวมทั้ง เกียวโต โซากา และโตเกียว ฮ็อกไกโด อาอิชิ ฟุกุโอกะ และจังหวัดอื่นๆ รายงานจากสำนักข่าว Kyodo ของญี่ปุ่น มีประชาชนชาวญี่ปุ่นที่เข้าร่วมประท้วงในเขต Shibuya กรุงโตเกียวราว 6,000 คนส่วนมากแล้วเป็นคนหนุ่มสาว
กลุ่มผู้ประท้วงพากันชูป้ายและโพสต์การ์ดที่มีข้อความต่อต้านสงครามและร้องตะโกนว่า "ไม่เอาสงคราม!, ปกป้องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ!, สงครามจบไปแล้ว, สันติ ไม่ใช่สงคราม, ให้โอกาศแด่สันติภาพ!, ใช่ สันติภาพ!" การเดินขบวนในครั้งนี้มีการจัดตั้งโดยนักศึกษาจากที่ต่างๆ และองค์เยาวชนซึ่งรวมทั้งองค์กรนักศึกษาปฏิบัติการฉุกเฉินเพื่อเสรีภาพประชาธิปไตยด้วย (Students Emergency Action for Liberal Democracy)
กฎหมายฉบับดังกล่าวที่ได้สร้างคลื่นความขุ่นเคืองจากภาคประชาชนชาวญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องนี้ได้มีการอนุมัติล่วงหน้าโดยสภาล่างของรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และประกอบด้วยกฎหมายหลายฉบับที่อนุญาตให้มีการแก้ไขกฎหมายด้านความมั่นคงอีกด้วย โดยร่างกฎหมายดังกล่าวอนุญาตให้กองทัพป้องกันตนเองของญี่ปุ่นออกปฏิบัติการในต่างประเทศเพื่อ "ปกป้องชาติพันธมิตรอื่นๆ" เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา (ญี่ปุ่นจะไปปกป้องใครหรือ? สหรัฐฯ? ยุโรป? ฮ่าๆๆ ถ้าสหรัฐฯต้องการให้ญี่ปุ่นไปปกป้องจริงๆ ก็น่าจะอนุญาตให้ญี่ปุ่นเข้าไปตั้งฐานทัพบนแผ่นดินแม่ของประเทศสหรัฐฯอเมริกาได้บ้างสิ ไม่ใช่มีแต่สหรัฐฯเท่านั้นที่เที่ยวขยายสร้างฐานทัพของตนไปในประเทศต่างๆหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะญี่ปุ่น)
กฎหมายฉบับดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเข้าร่วมในปฏิบัติการ (ทางทหาร) ร่วมกับต่างชาติ แม้ว่าญี่ปุ่นจไม่ถูกคุกคามโดยตรงก็ตาม นอกจากนี้แล้วยังเป็นการยกเลิกข้อห้ามบางอย่างในการมีส่วนร่วมของญี่ปุ่นในปฏิบัติการของยูเอ็น ซึ่งอนุญาตให้กองทัพป้องกันตนเองของญี่ปุ่นให้ (ต่างชาติ) ยืมการสนับสนุนด้านโลจิสติก (การขนส่ง) ให้กับสหรัฐฯและกองกำลังของชาติที่เป็นมิตร โดยปราศจากระบุชื่อประเทศที่พิจารณาว่าเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น
หมายความว่าเปิดช่องให้กองทัพต่างชาติเข้าไปใช้ระบบโลจิสติกของญี่ปุ่นได้มากขึ้น เช่นจักรวรรดิเฮเกต้องการจะเผด็จศึกที่เยเมนและยูเครนหรือในซีเรียให้เร็วที่สุด แทนที่จะใช้เครื่องบินรบหรือหรือรบของตนเองออกศึก ก็จะใช้ของญี่ปุ่นแทนโดยบีบหรือกล่อมให้ญี่ปุ่นซื้อจากจักรวรรดิเฮเกกับพันธมิตร จากนั้นคนที่ใช้งานอาจจะไม่ใช่กองทัพญี่ปุ่น แต่เป็นกองทัพของต่างชาติ อ้างว่าขอยืมไปใช้ก่อน ถ้าพังมาก็ให้ญี่ปุ่นสั่งซื้อใหม่จากจักรวรรดิเฮเกอีกรอบ ว้าววว! แผนนี้แหล่มแฮะ จากนั้นประเทศที่เป็นอริกับจักรวรรดิเฮเกที่ถูกจักรวรรดิเฮเกเข้าไปก่อสงครามอาจจะทำตาเขียวใส่ญี่ปุ่น แล้วก็ส่งผู้ก่อการร้ายเข้าไปป่วนในญี่ปุ่นแทน แล้วสันติและความสงบภายในญี่ปุ่นก็จะหายไปเหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในยุโรปในปัจจุบันนี้ เข้าแก๊บอีกแล้วครับท่าน อันนี้มโนเล่นๆนะครับ ฮ่าๆๆ
รายงานข่าวกล่าวต่ออีกว่า พลเมืองชาวญี่ปุ่นได้คัดค้านกฎหมายฉบับดังกล่าวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จากโพลของ Asahi Shimbun บอกว่ามีผู้คัดค้านนโยบายทางกองทัพจำนวน 56% ในขณะที่อีก 26% ให้การสนับสนุน
การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนครั้งล่าสุดซึ่งขึ้นโดยสำนักข่าว Kyodo ได้แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันนี้ชาวญี่ปุ่นเป็นประมาณ 70% มีความเห็นตรงข้ามกับการให้การรับรองกฎหมายในรอบสุดท้าย โดยจำนวนของผู้สนับสนุนลดลองประมาณ 2% มาอยู่ที่ 26%
ประชาชนชาวญี่ปุ่นมากกว่า 73% ไม่พึงพอใจกับข้อเท็จจริงที่ว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวมีการอนุมัติไว้ล่วงหน้า แม้ว่า ส.ส.คนสำคัญหลายคนจากพรรคฝ่ายค้านไม่ได้เข้าร่วมการประชุม ซึ่งประท้วงด้วยบอยคอตการออกเสียง
ฝ่ายค้านจะประท้วงหรือจะวอร์คเอาท์ก็ช่าง... ภาคประชาชนจะออกมาคัดค้านก็ช่าง... ฝ่ายรัฐบาลที่กุมเสียงข้างมากจะเดินหน้าต่อไป เพราะว่าได้รับใบสั่งมาแล้วว่ายังไงซะก็ต้องผ่านกฎหมายฉบับนี้ให้ได้ ถ้าไม่ผ่านในช่วงนี้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพื่อให้ดูสมเหตุสมผลหน่อยก็จะยกกรณีของจีนในทะเลจีนกับจีนนี่แหละขึ้นมาใช้เป็นข้ออ้าง ประมาณว่าถ้าไม่รีบเสริมกองทัพของตัวเองให้แข็งแกร่ง มีหวังโดนจีนเอาคืนแน่ เพราะไปทำเขาไว้เยอะ แต่กลับไม่คิดว่า ขนาดญี่ปุ่นกับสหรัฐฯเองก็เคยถล่มสงครามใส่กันมาแล้วหนักกว่ากรณีญี่ปุ่นกับจีนซะอีก ยังร่วมมือกันได้เลย แล้วทำไมถึงญี่ปุ่นถึงไม่หันไปร่วมมือกับจีนแบบสหรัฐฯบ้างหละ? ปัญหาก็คือสหรัฐฯไม่ยอมให้ร่วมมือนะสิ เพราะคอยเป่าหูญี่ปุ่นอยู่ทุกวันว่า "ระวังจีนนะ ระวังจีนกับเกาหลีให้ดี เขาเอาคืนแน่ เพราะสมัยก่อนคุณไปเล่นเขาไว้เยอะ งานนี้มีแต่สหรัฐฯเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องญี่ปุ่นเอาไว้ได้ ถ้าไม่ร่วมมือกับสหรัฐฯ และต่อต้านจีนตามนโยบายของสหรัฐฯ มีหวังญี่ปุ่นเละเป็นโจ๊กแน่" (โดยใคร? คงไม่ใช่จีนหรอก เพราะในอดีตคนที่ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ญี่ปุ่นตั้งสองลูกก็คือสหรัฐฯนั่นแหละ)

เศรษฐกิจจะไม่ผลัดใบหากขวดใหม่ยังใส่เพียงเหล้าเก่า

เศรษฐกิจจะไม่ผลัดใบหากขวดใหม่ยังใส่เพียงเหล้าเก่า

โดย ไสว บุญมา
23 สิงหาคม 2558 16:05 น.
        ย้อนไปในตอนก่อนที่ประธานาธิบดีบิล คลินตัน จะชนะการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2535 ที่ปรึกษาทางการเมืองของเขาเสนอว่า การหาเสียงต้องจับเรื่องปากท้องของชาวอเมริกัน ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลานั้น ชาวอเมริกันกำลังเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประโยคสั้นๆ ที่เขาใช้ได้แก่ It’s the economy, stupid. หรือ “ต้องชูเรื่องเศรษฐกิจนะเจ้างั่ง” ซึ่งทั้งหนักแน่นและตรงประเด็นจนมักถูกยกมาเป็นตัวอย่างทุกครั้งในการหาเสียงเลือกตั้งที่สหรัฐอเมริกา
      
        เศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญมากเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่สัมผัสอยู่ในชีวิตประจำวัน ความกดดันทางด้านเศรษฐกิจมักก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นในระบบประชาธิปไตยหรือในระบบเผด็จการ รัฐบาลจีนจึงกังวลมากหลังจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงมาก จากปีละเกิน 10% เหลือปีละ 6-7% ทั้งที่อัตรานี้ยังสูงจนเป็นที่อิจฉาของชาวโลก ที่เป็นเช่นนั้นเพราะชาวจีนคุ้นเคยกับการขยายตัวในอัตราสูงมากหลังประเทศเปลี่ยนจากระบบคอมมิวนิสต์มาใช้ระบบตลาดเสรี ในขณะที่การเมืองยังคงไว้ซึ่งระบบเผด็จการ หากรัฐบาลไม่สามารถทำเศรษฐกิจให้ขยายตัวในระดับที่ชาวจีนคาดหวังได้ ผู้กำอาจอาจถูกขับไล่ซึ่งจะนำไปสู่การนองเลือด
      
        การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีล่าสุดของไทยโดยเปลี่ยนรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจยกแผงสะท้อนให้เห็นประเด็นเดียวกัน รัฐมนตรีที่รับหน้าที่ทางด้านนี้จะตกอยู่ในภาวะกดดันสูงมาก หากเปลี่ยนเศรษฐกิจจากภาวะซบเซาให้กลับเข้าสู่ภาวะรุ่งโรจน์ไม่ได้ ผู้กุมอำนาจอาจถูกขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่งเร็วเกินคาด การขับไล่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งร้ายแรงถึงเลือดตกยางออก ด้วยเหตุนี้ นโยบายที่จะนำมาใช้ในอนาคตอันใกล้จึงอาจเป็นจำพวกที่ทำให้เศรษฐกิจดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาแบบทันทีทันใด แต่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงในระยะยาว ยิ่งผู้ที่เข้ามาเป็นผู้นำรับทำหน้าที่เคยมีประวัติการใช้นโยบายในแนวประชานิยมแบบเลวร้ายด้วยแล้ว โอกาสที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยมีอยู่สูงมาก
เศรษฐกิจจะไม่ผลัดใบหากขวดใหม่ยังใส่เพียงเหล้าเก่า
        ก่อนเขียนต่อไปขอทบทวนว่าในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกยังตกอยู่ในภาวะซบเซาและเปราะบางมาก ทั้งจากปัญหาของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองของโลก ญี่ปุ่นยังซบเซาต่อ อัตราการขยายตัวของจีนลดลงมาก ยุโรปปั่นป่วนจนกรีซถึงกับล้มละลายและหลายประเทศตกอยู่ในภาวะลูกผีลูกคน สหรัฐอเมริกาฟื้นขึ้นมาจากปัญหาฟองสบู่แตก แต่การขยายตัวยังต่ำมาก ละตินอเมริกาประสบปัญหามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบราซิลหรือเวเนซุเอลา แอฟริกาคงไม่ต้องพูดถึงเนื่องจากส่วนหนึ่งยังรบราฆ่าฟันกันอยู่ ย่านตะวันออกกลางก็เช่นกัน แม้แต่มหาเศรษฐีน้ำมันก็ใช้จ่ายได้น้อยลงเนื่องจากราคาน้ำมันตกต่ำ ในภาวะเช่นนี้ จะให้เศรษฐกิจไทยซึ่งอาศัยการส่งออกและการท่องเที่ยวสูงมากขยายตัวในอัตราที่เคยทำได้ย่อมเป็นไปได้ยาก ส่วนด้านจะใช้การขยายตัวของการบริโภคภายในก็เป็นไปได้ยากเนื่องจากภาวะหนี้สินล้นพ้นที่เกิดจากนโยบายเลวร้ายในอดีต เมื่อเป็นเช่นนี้ พฤติกรรมเลื่อยขาเก้าอี้ประกอบกับความกดดันจากหลายฝ่ายจึงทำให้ต้องปรับเปลี่ยนผู้รับหน้าที่ด้านเศรษฐกิจ
      
        ในช่วงปีที่จะมาถึง ภาวะความซบเซาอาจเปลี่ยนไปในทางบวกบ้างเนื่องจากสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มว่าจะขยายตัวได้ต่อไปและยุโรปคงตัดเนื้อร้ายออกไปได้บ้าง แต่เนื่องจากทั้งโครงสร้างและปัญหาทางการเมืองเดิมยังอยู่ ฉะนั้น ทุกอย่างยังเปราะบางและอาจเปลี่ยนไปในทางลบแบบฉับพลันก็ได้ โอกาสขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจึงมีไม่สูงนัก ยิ่งถ้าปัญหาภายในจำพวกวางระเบิดในกรุงเทพฯ ยังไม่จบ โอกาสขยายตัวยิ่งริบหรี่มากขึ้น สภาพเช่นนี้จะกดดันให้รัฐบาลใช้นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายให้ขยายตัวอย่างรวดเร็วขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง 
      
        สิ่งแรกๆ ที่น่าจะเห็นเป็นจำพวกตำน้ำพริกละลายแม่น้ำของภาครัฐ และการหาทางให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้น การจัดงานจำพวกขายผลิตภัณฑ์ของโครงการต่างๆ รวมทั้งหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์จะเกิดบ่อยขึ้นและเอิกเกริกขึ้น รัฐจะทุ่มเงินลงไปในโครงการระดับหมู่บ้านมากขึ้น รวมทั้งผ่านกองทุนหมู่บ้านที่มีอยู่แล้วและผ่านการช่วยเหลือเกษตรกร และครูที่มีหนี้สินล้นพ้นโดยไม่ให้ความสนใจมากนักว่าเงินที่ทุ่มลงไปนั้นจะนำไปสู่การบริโภค หรือการลงทุนที่จะมีผลดีในระยะยาวหรือไม่ ในขณะเดียวกันก็อาจมีการรื้อฟื้นโครงการจำพวกทำเมืองไทยให้เป็นศูนย์ต่างๆ รวมทั้งกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่นและโครงการจำพวกซื้อบ้านหลังแรกพร้อมๆ กับการไปตั้งศูนย์ขายสินค้าไทยในต่างประเทศ รัฐจะเปิดประตูโดยตั้งกองทุน หรือโครงการให้กู้ยืมได้ง่ายขึ้นรวมทั้งการกู้ไปใช้จ่ายในการท่องเที่ยวภายในซึ่งเคยทำในอดีต นอกจากนั้น ยังจะมีการกดดันให้ลดราคาพลังงาน การควบคุมราคาสินค้า และการขยายการขายสินค้าราคาถูกแนวกิจการธงฟ้าให้กว้างขวางขึ้นอีก
      
        สำหรับในด้านการสร้างความเชื่อมั่นที่พูดถึงกันมาก นอกจากจะเป็นเรื่องการสร้างแรงจูงใจเพื่อมิให้นักท่องเที่ยวงดมาเมืองไทยเพราะไม่มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยแล้ว จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระตุ้นนักลงทุนให้ลงทุนเพิ่มขึ้น การให้สิทธิพิเศษต่างๆ รวมทั้งการยกเว้นภาษีจะถูกนำมาใช้ การให้สิทธิเหล่านั้นเป็นไปได้ว่าจะไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะถ้ามันนำไปสู่การทำให้คนไทยสนับสนุนการลดต้นทุนของนายทุนสามานย์ด้วยการทำลายสุขภาพ ทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่เป็นประจำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตัดต้นไม้ทำลายป่าเพื่อนำที่ดินมาปลูกยางพาราและข้าวโพด การทำลายลูกปลาและป่าชายเลนเพื่อทำปลาป่นและเลี้ยงกุ้ง หรือการปล่อยสารพิษลงไปในดิน ในน้ำและออกไปในอากาศ การเอาใจจะทำให้นายทุนสามานย์รุกรานประชาชนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตัวอย่างในด้านนี้ได้แก่การเคลื่อนไหวจะให้เปลี่ยนพื้นที่สีเขียวของจังหวัดนครนายกเป็นเขตอุตสาหกรรม โดยมีข้าราชการอำนวยความสะดวกให้โดยใช้วิธีลักหลับ ลับลวงพรางและลักไก่
      
        อนึ่ง เรื่องการเอาใจนายทุนสามานย์โดยการให้ประชาชนรับต้นทุนกำลังเป็นเรื่องใหญ่ในเมืองจีน ที่ดินการเกษตรจึงได้ถูกทำลายด้วยสารเลวร้ายไปแล้วอย่างน้อย 20% เพราะรัฐบาลยอมให้โรงงานอุตสาหกรรมทิ้งสารจำพวกตะกั่ว สารหนูและแคดเมียมลงไป น้ำในแม่น้ำและห้วยหนองคลองบึงเป็นพิษไปแล้วราว 1 ใน 3 แหล่งน้ำใต้ดินใช้อาบกินไม่ได้แล้วถึง 60% และการวิจัยพบว่าชาวจีนตายจากมลพิษในอากาศถึงปีละ 1.6 ล้านคนเนื่องจากทั้งโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมต่างปล่อยสารพิษออกไปในอากาศจนทำให้บรรดาเมืองจีน 161 เมือง เพียง 16 เมืองเท่านั้นที่กระทรวงปกป้องสิ่งแวดล้อมบอกว่าอากาศสะอาดพอหายใจได้ เรื่องโรงงานและอาคารระเบิดในเทียนจินเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการให้ประชาชนใช้ชีวิตและทรัพย์สินสนับสนุนการลดต้นทุนของนายทุนสามานย์
      
        เมืองไทยจะทำลายสิ่งแวดล้อมที่มีผลทำให้คนไทยตกอยู่ในภาวะตายผ่อนส่งมากขึ้น หากยังฝืนกระตุ้นให้นายทุนสามานย์ลงทุนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้เข้ามารับหน้าที่ทางด้านเศรษฐกิจเป็นนักการตลาดมากกว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์มาก่อน ต่อไปเมื่อเศรษฐกิจไม่ขยายตัวสูงตามคาด หรือเกิดอะไรที่ประชาชนทั่วไปไม่ปรารถนา จะมีการนำการตลาดออกมาใช้ปกปิด หรือบิดเบือนสภาพความเป็นจริง นอกจากการจัดงานต่างๆ เพื่อสร้างความสนุกสนานที่จะผลาญงบประมาณมากมายแล้ว อาจมีการปกปิดและบิดเบือนข้อมูลอีกกระทงหนึ่งอีกด้วย รัฐบาลอาร์เจนตินาพยายามทำเช่นนั้นจนถึงกับในกรณีมีการลงโทษข้าราชการและนักวิชาการที่ออกมาบอกความจริง คนไทยคงไม่เลวทรามจนถึงกับทำขนาดนั้น แต่อาจใช้วิธีที่เรียกกันว่า “โกหกด้วยวิชาสถิติ” ซึ่งเป็นชื่อของหนังสืออมตะ How to Lie with Statistics หนังสือเล่มเล็กๆ นี้มีประโยชน์มากหากต้องการรู้ทันนักการเมือง หรือนักวิชาการที่ต้องการบิดเบือนภาพของความเป็นจริง หากไม่มีเวลาอ่านทั้งหมด อาจลองอ่านบทคัดย่อภาษาไทยซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com
เศรษฐกิจจะไม่ผลัดใบหากขวดใหม่ยังใส่เพียงเหล้าเก่า
        เนื่องจากนโยบายและมาตรการต่างๆ จะต้องใช้เงิน ฉะนั้น เงินจะมาจากแหล่งไหนคนไทยควรช่วยกันจับตาและหากเห็นว่าไม่ชอบมาพากลต้องออกมาบอกหัวหน้ารัฐบาล บทความนี้จะไม่พูดถึงที่มาเหล่านั้นนอกจากจะแนะว่าให้ช่วยกันดูเรื่องการกู้หนี้ยืมสินและการเสนอให้ใช้เงินสำรองของประเทศ เงินกองนี้แม้จะดูว่ามีขนาดใหญ่จนเกินความจำเป็นในระยะสั้น แต่เราจะต้องเก็บมันไว้และไม่ควรโยกย้ายไม่ว่าจะเป็นการนำออกมาใช้ในโครงการที่อาจมองกันว่าเกินคุ้มค่า หรือเพื่อการตั้งกองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund)
      
        มาถึงตอนนี้คงมีคำถามว่า จะให้ทำอย่างไรต่อไป คอลัมน์นี้ได้เสนอข้อคิดให้พิจารณามาหลายต่อหลายครั้งหลังการยึดอำนาจเมื่อปีที่ผ่านมา จึงจะไม่นำมาเสนออีก หลายเรื่องได้นำไปรวมไว้ให้ดาวน์โหลดได้ฟรีที่ในเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา นอกจากบทความจำนวนหนึ่งแล้ว เว็บไซต์นั้นยังบรรจุบทคัดย่อภาษาไทยของหนังสือภาษาอังกฤษที่มีข้อคิดน่าศึกษากว่าร้อยและหนังสือภาษาไทยหลายเล่มไว้อีกด้วย รวมทั้งเรื่อง “สู่จุดจบ!” ซึ่งสันนิษฐานกันว่าน่าจะถูกลิ่วล้อของรัฐบาลในอดีตกีดกันมิให้วางขายในร้านหนังสือต่างๆ จนทำให้สำนักพิมพ์ขาดทุนย่อยยับ วันนี้อาจดาวน์โหลดกันได้ฟรีแล้ว
      
        ในฐานะหนึ่งในคนไทยที่อยากให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างมั่นคง และเมืองไทยพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน ขอภาวนาให้รัฐบาลและผู้รับงานด้านเศรษฐกิจเปิดเผยสภาพความเป็นจริงต่อประชาชนพร้อมกับก้าวพ้นกลไกเก่าๆ อันจะเป็นเสมือนการเปลี่ยนทั้งขวดทั้งเหล้าซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมาย งดใช้กลไกเก่าๆ เพราะบ้านเมืองของเราจะล้มลุกคลุกคลาน หรือร้ายยิ่งกว่านั้นจะล้มละลายเช่นหลายประเทศที่ใช้นโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนตินา เวเนซุเอลา หรือกรีซ 

เก่าไป-ใหม่มา! ขมวดรอยร้าวทีมเศรษฐกิจ“หม่อมอุ๋ย”ก่อนแตกหัก“บิ๊กตู่”?

วันจันทร์ ที่ 24 สิงหาคม 2558 เวลา 15:44 น.
เขียนโดย
isranews


“…ผมเองกับคุณสมคิดก็รู้จักกัน ถ้าอะไรไม่เหมาะผมก็โทรบอกเขาตรง ๆ ได้อยู่แล้ว แต่ระหว่างนี้เราต้องสนับสนุนเขาเต็มที่ ไม่ควรแบ่งแยกแล้วปกครองอีกต่อไป ประเทศไทยทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ต้องช่วยกันทำให้เศรษฐกิจดี เดินให้ได้…”
PIC oui yutt 24 8 58 1
เห็นหน้าค่าตากันไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ชุดที่ 3” ภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา 
และเป็นไปตามคาด “ทีมเศรษฐกิจ” ของ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล (อดีต) รองนายกฯ ถูกปรับออก “ยกทีม” ไม่ว่าจะเป็น “สมหมาย ภาษี” (อดีต) รมว.คลัง “จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช” (อดีต) รมว.อุตสาหกรรม เป็นต้น
เป็นไปตามเกมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องการฟอร์มทีมขึ้นใหม่นำโดย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่ปรึกษาหัวหน้า คสช. กู้วิกฤติเศรษฐกิจที่ “ยักแย่ยักยัน” เป็น “แผลสด” จน “เปื่อย” รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย
แต่ “รอยร้าว” ในคณะรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” ได้เริ่มขึ้นก่อนหน้านั้นสักระยะหนึ่งแล้ว ?
เพื่อเล่าความเป็นมาให้ชัด สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงให้เห็นภาพ ดังนี้
กระแสปรับคณะรัฐมนตรีเริ่ม “คุกรุ่น” ขึ้น ในช่วงกลางปี พ.ค.-มิ.ย. 2558 ภายหลังภาวะเศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ ทำให้บรรดาฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็น “อดีตรัฐบาล” หรือ “บรรดาฝ่ายต้าน” ขุดเรื่องนี้ขึ้นมาเล่นอย่างแพร่หลาย
โดยช่วงนี้ชื่อของ “สมคิด” ถูกยกขึ้นมาเป็น “เต็งหนึ่ง” ในการเข้ามารับตำแหน่ง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ซึ่งก็มีเค้าลางไม่น้อย เพราะ “สมคิด” เริ่มลงมาเดินเกมเศรษฐกิจ “ฉากหน้า” มากขึ้น เห็นได้จากในวันครบรอบ 1 ปีของ คสช. “สมคิด” เป็นคนเสนอให้รัฐบาลพัฒนาด้านการเกษตร และเร่งทำโครงการขนาดใหญ่กับเอกชน เพื่อแก้พิษเศรษฐกิจ
ต่อมาช่วงเดือน ก.ค. มีเสียงซุบซิบเล่ากันว่า “หม่อมอุ๋ย” เผลอหลุดพูดในงาน CEO FORUM ของสมาคมธนาคารไทยว่า “บิ๊กตู่” ไม่เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ 
อย่างไรก็ดี “บิ๊กตู่” ตอบกระแสข่าวนี้ว่า ไม่ได้ติดใจ และไม่ได้มีการเคลียร์อะไร พร้อมยืนยันว่า “เป็นคนรับผิดชอบในทุกด้าน”
หลังจากนั้นช่วงต้นเดือน ส.ค. กระแสการปรับคณะรัฐมนตรีก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ มีข่าวว่าคนนั้น-คนนี้ เตรียมเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันยกใหญ่ ผ่านการทาบทามของ “สมคิด” ที่เป็นหัวเรือใหญ่ 
ขณะที่ช่วงนี้ “หม่อมอุ๋ย” และทีมงานก็เริ่มเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยออกมาพูดเรื่องเศรษฐกิจมากนัก ออกมาแต่ละทีก็ “ปฏิเสธ” ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างเดียว โดยยืนยันว่า ทีมเศรษฐกิจเดิมยังทำงานได้อยู่
ก่อนที่ปลายเดือน ส.ค. กระแสปรับคณะรัฐมนตรีจะดังถึงขีดสุด กระทั่ง “บิ๊กตู่” ออกมายอมรับว่า ได้ทูลเกล้าฯถวายรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไปแล้ว แต่ก็อุบไต๋ไม่ยอมบอกว่าใครเข้ามานั่ง “เก้าอี้ร้อน” บ้าง
และในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันเดียวกันนั้นเอง “บิ๊กตู่” ได้ใช้เวลาช่วงแรกก่อนเข้าประชุมบอกกับบรรดารัฐมนตรีว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี และนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯถวายแล้ว พร้อมกับกล่าว “ขอบคุณ” รัฐมนตรีทุกคนที่ร่วมทำงานกันอย่างหนักในตลอดเกือบ 1 ปี เต็ม
ซึ่งในช่วงนี้เองรายงานข่าวแจ้งว่า มีรัฐมนตรี “บางคน” รู้ตัวแล้วว่าจะโดนปรับออก ก็นั่งก้มหน้าก้มตาโดยมีสีหน้าที่เรียบเฉย ส่วนบางคนที่แน่ใจแล้วว่าจะได้ “อยู่ต่อ” ก็ตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี
หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้น “ทีมเศรษฐกิจ” ได้เข้านั่งปรึกษาหารือกันที่ห้องทำงานของ “หม่อมอุ๋ย” ซึ่งมีรายงานข่าวแจ้งว่า รัฐมนตรีหลายรายใน “ทีมหม่อมอุ๋ย” ต่างตกใจ และนึกไม่ถึงว่าจะถูกปรับออกอย่างรวดเร็วเช่นนี้ บางคนก็ทำใจไม่ทัน
หลังจากนั้นอีก 2 วัน ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่โปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ชุดที่ 3 ซึ่งเป็นไปตามคาด “สมคิด” เสียบแทนเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจแทน “หม่อมอุ๋ย” เรียบร้อยโรงเรียน คสช. 
ฟาก “หม่อมอุ๋ย” รวมถึงทีมงานต่างไม่ออก “แอ็คชั่น” อะไรมากนัก เพราะคาดกันไว้ก่อนอยู่แล้ว ขณะที่ “บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณไปยังทีม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ว่า เข้ามาเป็นที่ปรึกษาแทนได้
ด้วยคำพูดนี้เองทำให้ “หม่อมอุ๋ย” ต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงกรณีการถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี 
“ผมเองกับคุณสมคิดก็รู้จักกัน ถ้าอะไรไม่เหมาะผมก็โทรบอกเขาตรง ๆ ได้อยู่แล้ว แต่ระหว่างนี้เราต้องสนับสนุนเขาเต็มที่ ไม่ควรแบ่งแยกแล้วปกครองอีกต่อไป ประเทศไทยทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้ต้องช่วยกันทำให้เศรษฐกิจดี เดินให้ได้ก็เลยอยากจะฝากสื่อมวลชนว่า อย่าไปออกข่าวเลยว่าผมไปเป็นที่ปรึกษาไม่เคยมีการทาบทาม ถ้าทาบทามก็จะไม่รับ ไม่ชอบหลักการแบ่งแยกปกครองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เป็นคำยืนยันของ “หม่อมอุ๋ย” ก่อนที่จะระบุด้วยว่า ไม่เคยมีการทาบทามให้มาเป็นที่ปรึกษา “นายกฯ” แต่อย่างใด
หลุดวาทะสำคัญที่จุดชนวนการ “แตกหัก” ต่อ “บิ๊กตู่” คือ ใช้หลักการ “แบ่งแยกแล้วปกครอง”
ก่อนยืนยันว่า ตัวเองถูกจับผิดตลอดเวลาทำให้หมดแรง ไม่มีความสุข และถามกลับว่า “ทำงานแล้วมีที่ปรึกษามาคอยดูงานตลอดเวลามันก็แปลว่ามันจะถูกหรือผิดใช่ไหม” 
ล่าสุด “สมหมาย ภาษี” อดีตขุนคลัง ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่ออย่างเผ็ดร้อนถึงอนาคตของรัฐบาลชุดนี้ว่า “เพิ่งออกจากห้องคลอด ยังไม่ออกจากโรงพยาบาล”
ทั้งหมดคือชนวนเหตุตั้งแต่ “เริ่มร้าว” จนกระทั่ง “แตกหัก” ระหว่าง “หม่อมอุ๋ย” กับ “บิ๊กตู่” 
แต่ไม่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ?
ปัญหาปากท้องของประชาชน เป็นสิ่งที่รอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว และต้องการให้รัฐบาลเข้ามาคลี่คลายโดยด่วน!

สูญสิ้น! วิหารแห่งนครอินทผลัม ‘พัลไมรา’

เปิดปูมนครสองพันปี พัลไมรา มรดกโลกของซีเรีย หลังตกเป็นเหยื่อความขัดแย้ง กลุ่มนักรบไอเอสระเบิดทิ้งวิหารเทพสวรรค์ บะอัลชามีน โอเอซิสบนเส้นทางสายไหม
 พัลไมรา เด่นตระหง่านมานาน 2,000 ปี อลังการด้วยวิหารและถนนที่มีเสาหินเรียงราย นครโบราณของซีเรียแห่งนี้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ตั้งอยู่ห่างจากกรุงดามัสกัสไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 210 ก.ม.
 ชื่อของเมืองในโอเอซิสกลางทะเลทรายดังกล่าว มีความหมายว่า นครอินทผลัม (City of Dates) นามเรียกขานนี้ปรากฏครั้งแรกบนแผ่นจารึกสมัยศตวรรษที่ 19 ก่อนคริสตศักราช จารึกระบุว่า พัลไมราเป็นจุดแวะพักของกองคาราวานบนเส้นทางสายไหมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
 ในยุคจักรวรรดิโรมัน กินเวลาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 1-3 นั้น พัลไมราเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด กลายเป็นนครใหญ่ด้วยผลของการค้าเครื่องเทศ น้ำหอม ผ้าไหม และงาช้าง จากโลกตะวันออก และรูปปั้นกับเครื่องแก้วจากเมืองฟีนีเซียริมฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน
 
@  ภาพจากวีดิโอ ถ่ายเมื่อ 28 พฤษภาคม 2558 แสดงให้เห็นผืนธงของกลุ่มไอเอส โบกสะบัดเหนือโรงละครยุคโรมันแห่งเมืองพัลไมรา
ในปี ค.ศ. 129 จักรพรรดิโรมัน ฮาเดรียน ประกาศให้พัลไมราเป็นนครอิสระภายในจักรวรรดิของพระองค์ ในศตวรรษนั้น วิหารต่างๆ เช่น อะโกรา และบะอัล ถูกสร้างขึ้น
ก่อนหน้าคริสตศาสนาแพร่มาถึงในศตวรรษที่สอง นครพัลไมราบูชาตรีเอกานุภาพ นั่นคือ เทพบะอัลของชาวบาบิโลน อาทิตยเทพ และจันทรเทพ เมื่อจักรวรรดิโรมันเผชิญการเมืองวุ่นวายในศตวรรษที่ 3 พัลไมราฉวยโอกาสประกาศอิสรภาพ
 นางเซโนเบียนำทัพชาวเมืองไล่ตีพวกโรมันทางทิศตะวันตก กับพวกเปอร์เซียทางทิศตะวันออก แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นราชินี ในปี ค.ศ. 270 พระนางมีชัยเหนือดินแดนซีเรียทั้งหมด และบางส่วนของอียิปต์ แผ่อำนาจประชิดดินแดนเอเชียไมเนอร์
 ทว่าเมื่อจักรพรรดิออเรเลียนของโรมันยึดพัลไมราคืนได้ พระราชินีได้ถูกนำตัวกลับไปยังกรุงโรม พัลไมราเริ่มเสื่อมถอยนับแต่นั้น 
@  วิหารเทพสวรรค์ บะอัล ชามีน ถ่ายเมื่อ 14 มีนาคม 2557 มีรายงานว่ากลุ่มไอเอสได้ระเบิดวิหารแห่งนี้เมื่อ 23 สิงหาคม 2558 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก
 ก่อนซีเรียเกิดวิกฤตเมื่อเดือนมีนาคม 2554 แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปชมเมืองพัลไมรากว่า 150,000 คน ชื่นชมความงามของเทวรูป เสาหินกว่าพันต้น และสุสานที่มีหลุมศพกว่า 500 หลุม
 เหตุปะทะระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลกับพวกกบฏเมื่อปี 2556 ทำให้เสาหินล้มหลายต้น รูปปั้นพังยับ แม้ว่าเทวรูปและวัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์ของพัลไมราถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้วก่อนที่พวกนักรบกลุ่มอิสลามิกสเตทจะเข้ายึดเมือง ทว่าโบราณสถานนั้นไม่อาจย้ายได้
 ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ กลุ่มไอเอสได้ระเบิดวิหารบะอัลชามีน หรือวิหารเทพสวรรค์ (Lord of Heaven) และทำลายรูปปั้นสิงโตอันโด่งดังด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
 แน่นอน ใช่มีแต่เพียงชาวซีเรียเท่านั้น ที่รู้สึกสูญเสีย...  
 Source: AFP
Photo & Video: AFP
ที่มา : http://news.voicetv.co.th/world/249426.html

จับสัญญาณกองทัพ 'ธีรชัย' ผงาด 'ทบ.1' - 'ปรีชา' นั่ง 'ปลัดฯ กห.'

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 14 ส.ค. 2558 05:00

37,605 ครั้ง


เป็นที่แน่ชัดนายทหารจากค่าย "บูรพาพยัคฆ์" ยังคงผงาดโลดแล่นสยายปีกคุมถิ่นรั้วแดง-กำแพงเหลือง ราชดำเนินต่อไป เมื่อ "บิ๊กโด่ง" พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. เสนอชื่อ "บิ๊กหมู" พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผช.ผบ.ทบ.(1) ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ตท.14 ขึ้นเป็น "ผบ.ทบ." คนที่ 39 หลังหารือพี่ใหญ่ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม โดยจะโยก "บิ๊กติ๊ก" พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ. น้องชาย "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไปเป็น ปลัดฯ กห. เพื่อลดตำบลกระสุนตก เป็นเป้าในการถูกโจมตีทางการเมืองและกองทัพ ก็ส่งผลให้นายทหารจากถิ่น "บูรพาพยัคฆ์" ได้ก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพบกตามติดกันมานับเป็นคนที่ 5 แล้ว…

ความเคลื่อนไหวในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2558 จะชัดเจนในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ว่าใครจะนั่งเป็น ผู้นำเหล่าทัพคนใหม่ ต้องถือว่าเป็นฤกษ์ดีของ "แม่ทัพบก" คนใหม่ เพราะ "บิ๊กโด่ง" พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. จะเป็นผู้นำรายชื่อในส่วนของกองทัพบก ส่งมอบให้ถึงมือพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
บิ๊กโด่ง เตรียมเกษียณ
วันที่ 15 สิงหาคม อันเป็นวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของ พล.อ.อุดมเดช ที่ถือเป็นวัน "แซยิด" และนับจากนี้อีกเพียง 45 วัน ก็จะต้องเกษียณอายุราชการ จะเหลือเพียงตำแหน่งทางการเมือง และเลขาฯ คสช. ฉะนั้นผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนที่ 39 จะต้องเป็นคนที่ "บิ๊กโด่ง" สามารถคอนโทรลได้ พูดจากันรู้เรื่อง และจะต้องฝากฝังในภาคหน้าได้ ไม่ว่าจะเรื่องของงานหรือเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะการดูแลลูกน้องใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดอาการ "ขาลอย" ดังนั้น พล.อ.อุดมเดช จะเสนอชื่อใครจะต้องได้พูดจา หรือลงสัตยาบันกันแล้ว ก่อนปิดซองเสนอชื่อ "ผบ.ทบ." ต่อจากเขานับจากวันที่จะหมดอำนาจทางกองทัพ
พร้อมรับตำแหน่งใหม่
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาตอกย้ำเรื่องการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหาร หลังจากได้รับรายชื่อจะนัดหมายกำหนดวันประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลมีด้วยกัน 7 คน มี รมว.กลาโหม เป็นประธาน และ  รมช.กลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดย พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล จะเป็นผู้รวบรวมบัญชีรายชื่อทั้งหมดก่อนจะนัดวันประชุม
พี่ใหญ่ "บูรพาพยัคฆ์"
"ใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องเลือกคนที่ดีที่สุด จะต้องพิจารณาถึงความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ความไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ ตลอดจนผลงานที่ผ่านมาของแต่ละคน ซึ่งใกล้เคียงกันหมด จึงต้องดูว่าใครเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน"
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็แสดงทัศนะ ผู้มาเป็น ผบ.ทบ.จะต้องได้รับการยอมรับจากคนในกองทัพ หากเป็นแล้วปั่นป่วนทั้งหมด กองทัพคงไม่ชอบ ดังนั้น จะตั้งใครส่งเดชไม่ได้ เพราะวันข้างหน้าจะปั่นป่วน จึงต้องสร้างวัฒนธรรมให้ถูกต้อง ไม่ใช่เชียร์ใครคนนั้น จะได้เป็นตามนั้น อีกทั้งการแต่งตั้ง ผบ.ทบ.ที่ผ่านมา ไม่เคยมีปัญหาอะไร โดยเฉพาะไม่ต้องกลัวเรื่องปฏิวัติซ้อน และถ้าจะปฏิวัติมาบอก ตนจะยกให้ไปเลย พร้อมยืนยันไม่ได้ต้องการอำนาจ แต่ต้องการทำให้ประเทศมีอนาคตที่ดีต่อไป จะต้องดูทั้งในเรื่องความเหมาะสม รุ่น อาวุโส
จากสัญญาณบอกเหตุของทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ทำให้กองทัพ น่าจะรู้ว่าใครได้ตำแหน่งอะไร และตอกย้ำในเก้าอี้ ผบ.ทบ. และ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ที่จะมาสานงานต่อจากคนเก่า และร่วมงานกับรัฐบาล คสช. และนัยเพื่อเป็นการยุติปัญหา ต่อสู้แย่งชิงเก้าอี้ที่กำลังเกิดขึ้น ที่ พล.อ.ประยุทธ์ หวั่นที่สุดคือ ความแตกแยก ความขัดแย้งในกองทัพ ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายทุกครั้งเมื่อมีการโยกย้ายนายทหาร การแต่งตั้ง ผบ.ทบ.

สิ่งที่น่ากังวลคือ สตาฟฟ์ กองเชียร์ ทีมงานของทั้ง พล.อ.ธีรชัย และ พล.อ.ปรีชา จะเปิดยุทธการทำลาย เพื่อหวังให้ "นาย" เข้าสู่เส้นชัยเท่านั้น แต่ผลที่ออกมาจะทำให้กองทัพเกิดความแตกแยก เสียภาพลักษณ์ ภาพพจน์นั่นเอง ดังนั้นเพื่อเป็นการให้กองทัพมียูนิตี้ ความเป็นเอกภาพ เมื่อ พล.อ.ประวิตร ได้รับรายชื่อมาจากเหล่าทัพ ก็จะรีบนำส่งให้ นายกรัฐมนตรี เพื่อทำการทูลเกล้าฯ ถวาย
พล.อ.ปรีชา คาดข้ามไปเป็น ปลัดฯกห.
เพราะเวลานี้ถนนราชดำเนิน ถูกแบ่งออกเป็นสองสาย ฝ่าย "บิ๊กหมู" พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผช.ผบ.ทบ.(1) ตท.14 ก็มั่นใจว่าทั้งรุ่น อาวุโส การเติบโตในตำแหน่งราชการ เหนือกว่า อีกทั้งได้รับการผลัดกันจาก พล.อ.ประวิตร และเพื่อน ๆ ตท.14 รวมทั้งเป็นนายทหารที่โตตามกันมากับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร  ผบ.ทบ. ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น และทีมงาน "บูรพาพยัคฆ์" แต่ในก็ยังมีคนพยายามปล่อยข่าว ว่าทั้งคู่ระหว่าง พล.อ.ธีรชัย กับ พล.อ.อุดมเดช มีคอนฟิกกัน ตั้งแต่การรับราชการเมื่อครั้งอยู่ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เพราะขณะนั้น พล.อ.อุดมเดช เป็น ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.21 รอ.) ทหารเสือราชินี ส่วน พล.อ.ธีรชัย เป็น ผู้การกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.2 รอ.) ซึ่งจะต้องแข่งกันขึ้นเป็น รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. และพล.อ.ธีรชัย ก็เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ จนต้องเด้ง พล.อ.อุดมเดช ไปเป็น รองผบ.พล.1 รอ. แต่นั่นคืออดีต ซึ่งปัจจุบันคนทั้งสองก็คือเพื่อนร่วมรุ่น ที่มีแวดล้อมเพื่อนฝูงในรุ่นรู้ว่า ต้องอยู่กับปัจจุบัน ต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ
นายกฯเมื่อครั้งกับพล.อ.พิสิทธิ
ขณะที่ "บิ๊กติ๊ก" พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ.(2) ตท.15 เป็นน้องชายในสายโลหิต "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 3 ส่วนใหญ่จะอยู่ในสายงานกิจการพลเรือน หรือ ฝ่ายเสนาธิการเป็นหลัก เกือบทุกตำแหน่งของ พล.อ.ปรีชา ได้รับการผลักดดันจากพี่ชาย พล.อ.ประยุทธ์ ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญ จนกระทั่งได้รับติดยศพลตรีในตำแหน่ง เสนาธิการกองทัพน้อยที่ 3 ก่อนจะขึ้นพรวดเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 เบียด พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ แม่ทัพน้อยที่ 3 (ตท.14) ออกจากเก้าอี้ เป็นการปิดทางการขึ้นเป็น "แม่ทัพภาคที่ 3" ของ พล.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ปรีชา ก้าวขึ้นมานั่ง และในปีถัดมาก็ขึ้นเป็น แม่ทัพภาคที่ 3 จนพล.อ.ประยุทธ์ ต้องตอบแทนให้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ขึ้นเป็น รมช.ศึกษาธิการ 
จะเห็นได้ว่าทุกตำแหน่งของ พล.อ.ปรีชา พี่ชาย อาจมีส่วนจัดเส้นทางเดินไว้ให้หมดแล้ว ต่อจากนี้ก็เหลือแต่ "บุญ-วาสนา" เท่านั้น ดังนั้นการตัดสินใจ เลือกคนขึ้นมานั่งเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนที่ 39 จะต้องเลือกคนให้เหมาะสมกับสถานการณ์พิเศษ เพราะผู้ที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. จะต้องทำงานเข้าขากับรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะจะต้องเป็นคนที่มองตารู้ใจกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล พล.อ.ประวิตร ในฐานะเจ้ากระทรวงปืนใหญ่ และที่สำคัญ จะต้องเป็นคนที่ พล.อ.อุดมเดช ไว้ใจหรือพูดคุยภาษาเดียวกันก่อนส่งมอบไม้ให้ ที่สำคัญจะต้องควบคุมสถานการณ์ที่ไม่ปกติให้อยู่ ปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ผบ.ทบ.คนใหม่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังมีความขัดแย้ง อาจไม่ใช่เพียงแค่หลักการอาวุโส ความรู้ความสามารถ และการบังคับบัญชางานในกองทัพเท่านั้น แต่จะต้องมีการทำงานที่เข้าขากับทุกฝ่าย ในมิติเรื่องงานความมั่นคง กับ ผบ.เหล่าทัพคนใหม่ด้วย
บิ๊กโชย ว่าที่ เสธ.ทบ.
เหตุเพราะ พล.อ.ธีรชัย เคยดำรงแม่ทัพภาคที่ 1 มีบทบาทสำคัญในช่วงปฏิวัติรัฐประหาร นำกำลังร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในการยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถือว่าได้ร่วมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกทั้งเป็นทหารจากบูรพาพยัคฆ์ ที่สนิทกับพี่น้อง 3 ป. ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ - พล.อ.ประวิตร - พล.อ.อนุพงษ์ รวมทั้งเคยเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบ (กกล.รส.) ซึ่งจะมีความคุ้นเคยกับ ผบ.หน่วยคุมกำลังหลักในกรุงเทพฯ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการให้ พล.อ.ปรีชา ถูกนำไปเป็นประเด็นทางการเมือง และนำไปโจมตีในเรื่องการแต่งตั้งน้องชาย เกรงว่าอาจจะถูกโยงเรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สินที่ยังคาใจคนหลายฝ่ายกันอยู่
เพราะหลังจากที่ พล.อ.อุดมเดช ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้ข้อยุติที่ชัดเจน และได้ตกผลึกรวมกันในมิติของความมั่นคงต้องควบคู่กับงานรัฐบาล คสช. โดยเฉพาะในห้วงสถานการณ์พิเศษ จะต้องได้คนที่มีคุณสมบัติพร้อม รอบรู้ และทำงานในห้วงที่ประเทศชาติจะต้องปฏิรูป สร้างความปรองดอง ขจัดความขัดแย้ง เพื่อคืนความสุขให้ประชาชน โดยเป็นเอกฉันท์จะให้ "บิ๊กหมู" พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผช.ผบ.ทบ.(1) ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.คนที่ 39 ส่วน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ.(2) จะข้ามไปเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม
โดยมี พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ เสธ.ทหาร (ตท.15) ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น  ผบ.ทหารสูงสุด เช่นเดียวกับ พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร.(ตท.14) ได้รับการผลักดันให้ เป็น ผบ.ทร. เพื่อสานงานเรื่องการจัดซื้อจัดหา "เรือดำน้ำ" 3 ลำ ต่อไปตามแผนการจัดกำลังรบของกองทัพเรือ
กองทัพพร้อมรับ ผู้บังคับบัญชาใหม่
สำหรับรายชื่อที่คาดว่าได้จัดส่งถึงมือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เพื่อทำการรวบรวม เรียบเรียง ก่อนส่งมอบให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป ประกอบด้วย
กองทัพบก
พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผช.ผบ.ทบ.(ตท.14) จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. (ตท.14) เป็น รอง ผบ.ทบ. พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ.(ตท.17) เป็น ผช.ผบ.ทบ.(1) พล.ท.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ผบ.นสศ.) เป็น ผช.ผบ.ทบ.  พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็น เสธ.ทบ. พล.อ.พอพล มณีรินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ (ตท.16) เป็น ประธานณะที่ปรึกษา ทบ. (อัตราจอมพล)
พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.18) เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.18) เป็น แม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.16) เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ต.บรรเจิด ฉางปูนทอง รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.16) เป็น แม่ทัพน้อยที่ 3 พล.ต.พะโจมม์ ตามประทีป รอง ผบ.นสศ. (ตท.16) เป็น ผบ.นสศ. พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.20) เป็น รอง เสธ.ทบ.
กองทัพเรือ
พล.ร.อ.ณรงค์พล ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. (ตท.14) เป็น ผบ.ทร. พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ เสธ.ทร. (ตท.15) เป็น รอง ผบ.ทร. พล.ร.ท.พลเดช เจริญพูล รองเสธ.ทร. (ตท.14) เป็น ผช.ผบ.ทร. พล.ร.อ.พัลลภ ตมิศานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. (ตท.17) เสธ.ทร. พล.ร.ท.พงษ์เทพ หนูเทศ ผบ.รร.นายเรือ (ตท.16) เป็น ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ
กองทัพอากาศ
พล.อ.อ.ศิวเกียรติ ชเมยะ(ตท.16) เป็น รอง ผบ.ทอ.  พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง เสธ.ทอ. (ตท.16) เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.เผด็จ วงษ์ปิ่นแก้ว ผบ.คปอ.(ตท.15) เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.อ.อนันตศักดิ์ อะดุงเดชจรูญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทอ. (ตท.16)เป็น ผบ.คปอ.พล.อ.ท.สุทธิพงษ์ อินทรียงค์ รองเสธ.ทอ.(ตท.17) เป็น เสธ.ทอ.
กองทัพไทย
พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ เสธ.ทหาร (ตท.15) เป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.วลิต โรจนภักดี รอง เสธ.ทหาร (ตท.15) เป็น รอง ผบ.สส. พล.อ.ทวีป นิยมเนตร ผบ.นทพ. (ตท.16) เป็น รอง ผบ.สส. พล.อ.อ.สุทธิพันธ์ กฤษณคุปต์ ผชงผบ.ทอ.(ตท.16) เป็น รอง ผบ.สส. พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ รองเสนาธิการทหาร (ตท.15) เป็น เสนาธิการทหาร
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ. (ตท.15) เป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ผอ.สำนักนโยบายและแผน (ตท.16) เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชนะพล แก้ววาตะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. (ตท.14)  เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.อนุทัย รัตตะรังสี ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.  (ตท.15) เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.วรฉัตร ธารีฉัตร ประธานคณะที่ปรึกษา ทอ. (ตท.15) เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม
เปลี่ยนถ่าย แม่ทัพบก