PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ช่วยไม่ได้!! เราไม่เกี่ยว ไม่ได้ทำRoadmap ยืด

ช่วยไม่ได้!! เราไม่เกี่ยว ไม่ได้ทำRoadmap ยืด
“บิ๊กป้อม" ถ้า"โรดแมพ"ยืด เพราะมีคนยื่นศาลรธน.ตีความกฎหมายลูก ชี้หากมีอุปสรรคอะไร แต่เราไม่ได้ เป็นคนทำให้โรดแมพยืด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ระบุหากมีคนยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูก เรื่องส.ส.ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จะทำให้โรดแมพการเลือกตั้งเลื่อนไปเดือนก.พ.62 ว่า ข้อบังคับของรัฐธรรมนูญว่าอย่างไรต้องว่าตามนั้น หากมีใครยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถ้าศาลพิจารณาช้าก็ต้องช้า ซึ่งผมไม่ทราบว่าจะมีการยื่นหรือไม่
"ขออย่ากังวล หากช้าไป ก็ต้องทำตามนั้น "
แต่เรายึดตามโรดแมพ ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ระบุนั้น คงไม่มีอุปสรรคอะไร
ส่วนที่มีการกังวลว่าหากยืดระยะเวลาไปถึงเดือนก.พ. 62 จะช้าเกินไปหรือไม่นั้น ก็ไม่ทราบ ทุกอย่างต้องทำตามโรดแมพ เพราะเราไม่ใช่คนยื่น ดังนั้นจึงต้องยึดตามโรดแมพ
ส่วนการที่ นายกฯออกมาระบุเกี่ยวกับวันเลือกตั้งชัดเจนแล้วนั้น ถ้าเปลี่ยนอีก จะกระทบความเชื่อมั่น หรือไม่ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ที่ท่านมองว่าไม่มีอุปสรรคอะไร ทุกอย่างเป็นตามขั้นตอน
"แต่ถ้ามีอุปสรรคอะไรขึ้นมาคงต้องยืดไปตามนั้น เพราะเราไม่ได้เป็นคนทำให้โรดแมพยืด แต่ผมมองเหมือนนายกฯว่าคงไม่มีอุปสรรคอะไร"

ใครจะทำอะไร??!

ใครจะทำอะไร??!
"บิ๊กตู่" ส่งสัญญาณ เตือนคนจ้องป่วนประเทศ. ดักคอ ขอประณามไว้ก่อนเลย ถ้าใครทำให้สถานการณ์ เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมา ไม่ว่าจะใครทั้งสิ้น" ฝาก ปชช.ช่วยรัฐบาลดูแลความสงบ ช่วงพระราชพิธี /เตือนนัการเมืองฉวยโอกาส รู้ดี ทำถูกหริอผิด ขอใช้เป็นบทเรียน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงช่วงเตรียมงานพระราชพิธีสำคัญ ว่า การเตรียมการในพระราชพิธีสำคัญได้ฝากถึงประชาชนนานแล้ว
"ใครที่ใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ ที่ไม่เหมาะสม สังคมก็ช่วยกันกดดัน ช่วยกันคุ้มครองด้วย อย่าให้ต้องใช้กฎหมายมากนักเลย
สื่อก็ทราบกันอยู่แล้ว ก็ขออย่าให้เกิดปัญหาความไม่เรียบร้อยในประเทศขึ้นมาอีกในช่วงนี้ หรือในช่วงต่อไป
และก็เป็นบทเรียนเพราะมีคนอาศัยช่องว่างต่างๆ ซึ่งต้องถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน ซึ่งสังคมต้องเรียนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และไม่ควรจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ส่วนกรณีที่มีนักการเมืองฉวยโอกาสนำงานพระราชพิธีทำกิจกรรมเชิงการเมืองนั้น เรื่องการเคลื่อนไหวที่มีการเชื่อมโยงภาคประชาชน นักการเมือง คงทราบดีกันอยู่แล้วว่าสิ่งที่เขาทำมันถูก หรือผิด สังคมรู้อยู่แล้วคงไม่ต้องถามผม
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณทุกส่วน ขอบคุณประชาชน ในการร่วมแสดงความไว้อาลัย และการชมการฝึกซ้อมของเจ้าหน้าที่กองอำนวยการร่วม ซึ่งทุกคนทำได้อย่างเต็มที่
ฉะนั้นกรณีการรักษาความปลอดภัยทุกคนต้องช่วยกัน อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร แต่เพียงอย่างเดียว
" ทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ดังนั้นใครที่คิดจะทำอะไรเหล่านี้ ถ้าเราไปให้ความสำคัญมากๆเข้า เดี๋ยวเกิดทำอะไรขึ้นมา ซึ่งคนเหล่านี้ต้องถูกประณาม ถ้าใครทำให้สถานการณ์ เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมา ไม่ว่าจะใครทั้งสิ้น"
"ผมขอประณามไว้ก่อนเลย ที่ทำให้สถานการณ์มีความวุ่นวายในช่วงนี้ หรือช่วงต่อไปก็แล้วแต่ สังคมต้องช่วยกันดูแล ประชาชน
ท่านบอกว่าเป็นเจ้าของประเทศ ท่านเป็นเจ้าของทุกเรื่อง ทุกอำนาจ ท่านก็ต้องออกมาช่วยผมในการทำงาน เพราะผมใช้อำนาจแทนท่านอยู่ในตอนนี้
ท่านต้องออกมาช่วยกัน แต่ต้องออกมาแบบไม่ให้เกิดความสับสนอลม่าน ไม่ออกมาเดินขบวนอะไรต่างๆ ต้องช่วยกันดู สังคมมันก็เรียบร้อยปลอดภัยเอง ถ้าไปซ้ายที ขวาที ก็เดินหน้าไม่ได้ รัฐบาลก็แย่ไปด้วย แล้วใครจะทำอะไรให้ท่าน ก็คงไม่มีใครทำ ถ้าคาดหวังวันข้างหน้าจะมาทำ เขาทำมาหลายสิบปีแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก โอเคนะ ผมไม่ได้ว่าใคร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี ทดลองใช้บัตร E-Ticket บนรถโดยสารสาธารณะ

"บิ๊กตู่ 4.0"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทดลองใช้บัตร E-Ticket บนรถโดยสารสาธารณะ ของผู้ถือบัตร สวัสดิการฯสามารถนำบัตรมาแตะที่เครื่องอ่านบัตร ขณะที่ขึ้นและลงรถโดยสาร ได้
โดยวันนี้ ขสมก.นำรถมาจอดหน้าตึกไทยคู่ฟ้่า ก่อนนายกฯ ขึ้นประชุมในคณะรัฐมนตรี
เป็น รถเมล์ระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ E-Ticket, และระบบ GPS
ขสมก.มีแผนติดตั้งระบบนี้บนรถโดยสารจำนวน 2,600 คัน ซึ่งเบื้องต้นทำการติดตั้งเครื่องอ่านบัตรและเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติบนรถโดยสารแบบธรรมดาก่อนจำนวน 800 คัน เพื่อรองรับการใช้บริการของประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐหรือบัตรผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลัง โดยจะเริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน นี้เป็นต้นไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รถเมล์ระบบ E-Ticket และ GPS นี้ สามารถใช้ได้ทั้งบัตรและเงินสด รัฐบาลตั้งใจพัฒนาเพื่อประชาชนและผู้มีรายได้รายน้อย ซึ่งต่อไปจะต้องมีการพัฒนาให้กว่ากว่านี้
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวว่าประชาชนที่มาร่วมประชาสัมพันธ์โครงการนี้ว่า "ขออย่าไปเชื่อคนที่สัญญาว่าจะให้อะไร อย่าไปเชื่อใคร และรัฐบาลนี้ให้กับประชาชนตามข้อเท็จจริง ขอให้ทุกคนทำสิ่งดีๆไว้"

ขออย่าไปเชื่อ คนที่สัญญาว่า จะให้อะไร อย่าไปเชื่อใคร

"ขออย่าไปเชื่อ คนที่สัญญาว่า จะให้อะไร อย่าไปเชื่อใคร และรัฐบาลนี้ให้กับประชาชน ตามข้อเท็จจริง ขอให้ทุกคนจำสิ่งดีๆไว้".....
พลเอกประยุทธ์ 17 ตุลาคม 2560
หลังทดลองใช้บัตร E-Ticket บนรถโดยสารสาธารณะ ของผู้ถือบัตร สวัสดิการฯสามารถนำบัตรมาแตะที่เครื่องอ่านบัตร ขณะที่ขึ้นและลงรถโดยสาร ที่เป็น รถเมล์ระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ E-Ticket, และระบบ GPS
ขสมก.มีแผนติดตั้งระบบนี้บนรถโดยสารจำนวน 2,600 คัน ซึ่งเบื้องต้นทำการติดตั้งเครื่องอ่านบัตรและเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติบนรถโดยสารแบบธรรมดาก่อนจำนวน 800 คัน เพื่อรองรับการใช้บริการของประชาชนผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐหรือบัตรผู้มีรายได้น้อยของกระทรวงการคลัง โดยจะเริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน นี้เป็นต้นไป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รถเมล์ระบบ E-Ticket และ GPS นี้ สามารถใช้ได้ทั้งบัตรและเงินสด รัฐบาลตั้งใจพัฒนาเพื่อประชาชนและผู้มีรายได้รายน้อย ซึ่งต่อไปจะต้องมีการพัฒนาให้กว่ากว่านี้
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวว่าประชาชนที่มาร่วมประชาสัมพันธ์โครงการนี้ว่า "ขออย่าไปเชื่อคนที่สัญญาว่าจะให้อะไร อย่าไปเชื่อใคร และรัฐบาลนี้ให้กับประชาชนตามข้อเท็จจริง ขอให้ทุกคนทำสิ่งดีๆไว้"

บิ๊กโด่ง" ไม่เกี่ยว อุทยานราชภักดิ์



"บิ๊กโด่ง" ไม่เกี่ยว อุทยานราชภักดิ์ แล้ว ส่งมอบตำแหน่ง ประธานมูลนิธิฯให้ "บิ๊กเจี๊ยบ"แล้ว....โยนถาม "ผบ.ทบ.เรื่องใช้งบ 15 ล้าน สร้าง"ห้องน้ำ-ร้านค้า"ในอุทยานราชภักดิ์

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และกล่าวถึงกรณีที่ สำนักข่าวอิศรา เสนอข่าวเริ่องการก่อสร้างห้องน้ำ และการก่อสร้างอาคารร้านค้าภายในพื้นที่อุทยานราชภักดิ์ ใช้วงเงินงบประมาณ 15 ล้านบาท ว่า เป็นเรื่องของกองทัพบก เพราะได้มอบหมายความรับผิดชอบให้ไปแล้ว
ส่วนการดูแล "มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์"ได้มอบหมายให้พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.เป็นประธานมูลนิธิฯโดยตำแหน่งแล้ว
ซึ่งผบ.ทบ.ในทุกยุคก็จะดำรงตำแหน่งประธาน และทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลมูลนิธิฯด้วย
ดังนั้นเริ่องนี้ จะต้องไปสอบถามรายละเอียดจากผบ.ทบ.
แต่โดยหลักการเราอยากให้มีการพัฒนาให้ดีขึ้น เพื่อให้อุทยานฯเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน และให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์
ทั้งนี้ผมได้ให้คำแนะนำแก่กองทัพบกไป ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน

ผลึก”ความคิด” อำนาจ ทางการเมือง หลัง”รัฐประหาร”

ผลึก”ความคิด” อำนาจ ทางการเมือง หลัง”รัฐประหาร”


ถามว่าเหตุใดจึงมีการ “เลื่อน” โรดแมปการเลือกตั้ง ตั้งแต่ “ปฏิญญา โตเกียว” มายัง “ปฏิญญา นิวยอร์ก” มายัง “ปฏิญญา ทำเนียบขาว” กระทั่ง “ปฏิญญา ทำเนียบรัฐบาล” ในปี 2561 ทั้งๆ ที่กระหึ่มด้วยเสียงเพลง

“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน”

คำตอบโดยอัตโนมัติอาจย้อนกลับไปยังบทเรียนจากการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อเดือนกันยายน 2558 ที่ว่า

“เขาอยากอยู่ยาว”

ความปรารถนาที่จะอยู่ในอำนาจยาวมิได้มาจากความตั้งใจและความปรารถนาดีเพียงประการเดียว หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังอยู่ที่ความไม่พร้อม

เพราะต้องการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”

เพราะตระหนักในสภาพความเป็นจริงทางการเมืองที่ว่า พลันที่ “การเลือกตั้ง” มาเยือนหมายถึงการนับถอยหลัง

นี่คือ ความเป็นจริงอันร้ายกาจ

ขอให้ศึกษาบทเรียนจากยุคของ จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งสืบทอดอำนาจต่อจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2501

เห็นได้จากการยื้อเวลาในการร่างรัฐธรรมนูญ

ร่างผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญยาวนานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2502 กระทั่งถึงเดือนมิถุนายน 2511 จึงได้ประกาศและบังคับใช้

จึงได้มีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2512

แต่ในที่สุด รัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ก็จำเป็นต้องทำรัฐประหารตัวเอง ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งในเดือนพฤศจิกายน 2514

รัฐประหารสามารถต่ออายุไปได้อีกไม่ถึง 2 ปี

สถานการณ์เดือนตุลาคม 2516 ก็ปะทุ และจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ต้องออกจากอำนาจและไปอยู่ต่างประเทศ

จากยุค จอมพลถนอม กิตติขจร มายังยุคหลังรัฐประหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหารเดือนตุลาคม 2520 หลังรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2534 หลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

ล้วนแล้วแต่อยู่ในอำนาจไม่นาน

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521 ออกมารัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็จัดการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522

เดือนกุมภาพันธ์ 2523 ก็ต้องถูกบีบให้ลาออก

รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ออกมา รสช.ก็จัดการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2535 เพียง 40 กว่าวันที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็ต้องลาออก

บทเรียนเช่นนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รู้ดีอย่างที่สุด

เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐนตรีในเดือนตุลาคม 2549 หลังรัฐประหารก็รอกระทั่งประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ

เมื่อมีการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 ก็อำลา

เพราะชัยชนะจากการเลือกตั้งมิได้เป็นไปตามแผนบันได 4 ขั้นของ คมช. เป็นพรรคพลังประชาชนต่างหากที่ได้ชัยชนะ

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงเป็นของ นายสมัคร สุนทรเวช

การรุกคืบเข้ามาของ “การเลือกตั้ง” จึงเท่ากับเป็นการนับถอยหลัง ไม่ว่าอำนาจอันมาจากการรัฐประหาร ไม่ว่าอำนาจอันมาจาก “การลากตั้ง”

นี่จึงเป็นเรื่องน่าใจหาย

ยิ่งแกนนำ กปปส.ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่ายังไม่มีรูปธรรมแห่ง “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” อะไรปรากฏอย่างเด่นชัด

ยิ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย ยิ่งเป็นเรื่องสูญเสีญโอกาส

แก้ที่ต้นตอ

แก้ที่ต้นตอ

เพราะปีนี้มีฝนตกหนักต่อเนื่องจนเกิดน้ำท่วมภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง (และกรุงเทพ) ยืดเยื้อนุงนังพันเต

ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์การแก้ปัญหาน้ำของรัฐบาล คสช.ที่ดำเนินการไปแล้ว 3 ปี ยังเดินหน้าไม่เต็มลูกสูบ

ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งๆที่รัฐบาลนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จจัดการแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างสะดวกโยธิน

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยว่า 3 ปีของการแก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืนของรัฐบาล คสช.ยังไม่เห็นความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม

โครงการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาน้ำระยะยาวยังไม่เริ่มดำเนินการ

แผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำ “ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ” ก็ยังไม่สะเด็ดน้ำร้อยเปอร์เซ็นต์

มีแต่โครงการขุดลอกคลอง สร้างแก้มลิงเก็บน้ำขนาดเล็กๆ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้นเอง

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า สาเหตุการแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบของรัฐบาลไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

เพราะยังไม่ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบแก้ปัญหาน้ำ ซึ่งทำให้การทำงานของรัฐบาลล่าช้าอืดอาดเป็นเรือเกลือ

เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำมากถึง 34 หน่วยราชการ แยกย้ายกระจายอยู่ถึง 9 กระทรวง
แถมแต่ละหน่วยงานก็ต่างคนต่างทำ แต่ละหน่วยงานได้รับการจัดสรรงบแก้ปัญหาน้ำของตัวเอง ไม่ได้บูรณาการแผนการทำงานให้สอดคล้องกัน ทำให้การขับเคลื่อนนโยบายแก้ปัญหาน้ำของรัฐบาลเกิดติดขัดไม่คล่องตัว

จนเกิดปัญหาเหยียบตาปลากันเองเป็นประจำ

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าถ้า “นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต้องการเห็นการแก้ปัญหาน้ำแบบบูรณาการครบวงจรให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม

ต้องเริ่มจากปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลที่กระจายอยู่ 34 หน่วยงาน 9 กระทรวงให้มีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ มีความสอดคล้องคล่องตัว ไม่ซ้ำซ้อน หรือซ้อนทับกันเอง

การจัดตั้ง “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีให้มีหน้าที่กำกับนโยบายการแก้ปัญหาน้ำของรัฐบาล ในภาพรวมยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

เพราะยังไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรง

ถ้าจะแก้ปัญหาให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่คัน ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ควรจัดตั้ง “กระทรวงน้ำแห่งชาติ” ให้มีอำนาจหน้าที่แก้ปัญหาน้ำครบวงจร

โอนหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวกับน้ำที่กระจายอยู่ถึง 34 หน่วยงาน ในสังกัด 9 กระทรวงให้ย้ายข้ามห้วยไปสังกัด “กระทรวงน้ำแห่งชาติ” มีรัฐมนตรีกำกับดูแลโดยตรง

ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์แก้ปัญหาน้ำของรัฐบาลครบวงจร

หรือ “พล.อ.ประยุทธ์” จะควบเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงน้ำแห่งชาติเพิ่มอีกตำแหน่งก็เหมาะสมดี

หรือแต่งตั้ง “คนนอก” ที่มีความรู้เชี่ยวชาญด้านน้ำตัวจริงเสียงจริงเป็นรัฐมนตรี กระทรวงน้ำแห่งชาติ ก็เข้าท่าเหมือนกัน

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่าถ้าหากมี “กระทรวงน้ำแห่งชาติ” รับผิดชอบโดยตรง การแก้ปัญหาน้ำของรัฐบาลจะเกิดประสิทธิภาพคล่องตัว รวดเร็ว ทันใจไวไวควิกยิ่งกว่าที่ผ่านมา

เพราะจะมีทั้งกรมชลประทาน จากกระทรวงเกษตรฯ กรมทรัพยากรน้ำ จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมอุตุ

นิยมวิทยา จากกระทรวงไอซีที กรมบรรเทาสาธารณภัยจากกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เข้ามาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

ท่านนายกฯ จะเห็นด้วยหรือไม่ เชิญตามสบายนะคุณโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

การเมืองอย่าผิดคิว!

การเมืองอย่าผิดคิว!

โหมดสถานการณ์พิเศษ ห้วงเวลา “อ่อนไหว”

เสี่ยงผิดคิวได้ง่ายๆ

ตามปรากฏการณ์แบบที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานมูลนิธิไทยพึ่งไทย นำประชาชนย่านลาดปลาเค้า และพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมงานวางดอกดาวเรืองแทนดวงใจ แสดงความอาลัยในพระราชพิธีสำคัญ

แต่มันมีปัญหาตรงภาพที่ปรากฏออกมาตามสื่อ “เจ๊หน่อย” ยืนบนรถกระบะโบกไม้โบกมือให้ประชาชน โดยรถติดป้ายชื่อและเครื่องขยายเสียง พร้อมกับมีขบวนตำรวจนำ

ดูเหมือนเป็นการแห่ขบวนรถหาเสียง

จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมและไม่รู้จักกาลเทศะ

กระตุกน้ำเสียงเครียดๆของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เบอร์หนึ่งด้านความมั่นคง ฟันธงชัดถ้อยชัดคำเลยว่า ไม่เหมาะสมทำไม่ได้ เป็นการโฆษณาตัวเอง

“ใช้ดุลพินิจมั่ง ทำในช่วงนี้ เหมาะสมหรือไม่ เอาชื่อตัวเอง มาหาเสียงแบบนั้น ขอให้หยุดหมด ผมบอกแล้ว เดือนนี้ทั้งเดือน ถ้ายังทำแบบนี้ ก็เอาไว้ก่อน ยังไม่ปล่อย ยังไม่ปลดล็อก”

ถึงขั้นเตรียมส่งทหารทีม คสช.ไปพูดคุยปรับทัศนคติ

นี่คือผลของการเมืองที่สมควรนิ่ง แต่คนไม่นิ่งเอง

ในจังหวะกระแสดราม่าที่ก่อชนวนกรุ่นๆทางการเมือง ถึงขั้นผู้นำประเทศอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ต้องออกมาให้กำลังใจนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “ตูน บอดี้สแลม” ศิลปินนักร้องคนดัง ที่ตั้งใจวิ่งการกุศลเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลทั่วประเทศ

ต้องไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยินดีให้การสนับสนุน
และขอเชิญชวนให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ดีเพื่อชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน

เรื่องของเรื่อง มันก็หนีไม่พ้นโยงมาจากปมการเมืองแบ่งขั้วแบ่งค่าย แบบที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องเคลียร์กระแสวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียที่เหน็บแนมนักร้องดัง ทำนองว่า โง่ โลกสวย

ช่วยกลบความห่วยการบริหารงบประมาณของรัฐบาล

แต่เป้าหมายด่ากระแทกชิ่งทีมงาน “ลุงตู่” นำงบประมาณไปใช้ในทางที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธ บริหารภาษีของรัฐล้มเหลว จนทำให้ “ตูน บอดี้สแลม” ต้องวิ่งระดมทุนช่วยโรงพยาบาลขาดแคลน
แผนแห่กระแส “ตูน” เบิ้ลบลัฟรัฐบาลทหาร

สถานการณ์ชักลาม อย่างที่ “ลุงตู่” ต้องยืนยันแก้ต่างว่า รัฐบาลมีหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกระดับ จึงไม่สามารถทุ่มเทงบประมาณไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ อยากให้ประชาชนเข้าใจ

ส่วนการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพนั้น เป็นการใช้งบ ประมาณประจำปี ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เช่นเดียวกับการพัฒนาด้านอื่นๆ ทั้งการศึกษา การคมนาคมขนส่ง หรือแม้แต่การสาธารณสุข

เรื่องของความตั้งใจดีแท้ๆ แต่ผลกระแทกรัฐบาลเต็มๆ

สะท้อนปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝังลึกจนถอนไม่ขึ้น

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ต้องแยกกันให้ออก ในเมื่อสิ่งสำคัญจากกรณีของศิลปินดังที่ตั้งใจวิ่ง 2,191 กิโลเมตร จากใต้สุดไปเหนือสุดของประเทศไทย เพื่อระดมเงินบริจาคสาธารณกุศล

มันคือเรื่องของ “จิตอาสา”

สิ่งที่หายไปในช่วงวิกฤติบ้านเมืองแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งข้าง ผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าธุระไม่ใช่ นั่นไม่เท่ากับว่า ถ้าฝ่ายตรงข้ามทำดี อีกฝ่ายจะออกมาขวางลำ เตะตัดขากัน

แต่วันนี้สำนึกดีๆของสังคมไทยกำลังฟื้นกลับคืนมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลัง “ในหลวงรัชกาลที่ 10” ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้จัดโครงการ “หน่วยพระราชทานและประชาชนจิตอาสา เราทำความดี ด้วยหัวใจ”

เห็นได้จากการดำเนินการจัดกิจกรรมจิตอาสาทำการขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขินในกรุงเทพฯและปริมณฑล กำจัดผักตบชวา เก็บขยะ มูลฝอยและวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง

เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนได้มีส่วนรวมในการทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ให้แก่สังคมส่วนรวมและประเทศชาติ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

ถือเป็นพระราโชบายในการฟื้นวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย.


ทีมข่าวการเมือง

ศึกมาราวียุติแล้ว - รัฐบาลชนะ - ผู้นำฝ่ายกบฏถูกฆ่าตายทั้งสิ้น

ศึกมาราวียุติแล้ว - รัฐบาลชนะ - ผู้นำฝ่ายกบฏถูกฆ่าตายทั้งสิ้น - ช่วยชีวิตตัวประกันได้หลายคน ***
วันนี้ (จันทร์ 16 ต.ค. 2017) ทหารฟิลิปปินส์ได้บุกเข้าโจมตีฐานที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มกบฏในเมื่องมาราวี สามารถสังหารผู้นำกบฏคือนายอิสนิลอน ฮาปิลอน ผู้นำกลุ่มอาบูไซยัฟ และนายโอมาร์คัยยัม เมาเต้ ผู้นำกลุ่มพี่น้องเมาเต้ ยืนยันศพสำเร็จ ยุติสงครามมาราวีที่สู้กันมาเกือบห้าเดือน มีคนตายกว่าพันคนลงได้ (พี่น้องเมาเต้อีกสามคนรวมทั้ง นายอับดุลเลาะห์ เมาเต้ ซึ่งเป็นผู้นำสำคัญอีกคน ได้ถูกฆ่าไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมมีพี่น้องตระกูลเมาเต้ตายในศึกมาราวีทั้งสิ้นสี่คน)
ในช่วงท้ายๆ ของสงครามพวกกบฏสูญเสียกำลังมาก เคยเจรจายอมแพ้กับรัฐบาล โดยขอแลกตัวประกันที่มีอยู่ราว 40-70 คน กับการยอมปล่อยพวกตนหนีไป แต่ประธานาธิบดีดูเตอร์เตไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว บอกว่าต้องยอมแพ้ไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
พวกกบฏเสียขวัญมีการบังคับให้ตัวประกัน (ส่วนใหญ่เป็นเด็กกับผู้หญิง ครู และนักเรียนชาวคริสต์) มาร่วมรบด้วย ทำให้มีตัวประกันตายไปในการนี้พอสมควร อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกกบฏดูแลไม่ทั่วถึง ตัวประกันไม่ต่ำกว่าสี่คนจึงสามารถหลบรอดออกมาได้เอง รวมทั้งบาทหลวงเทเรซิโต ซูกานอปผู้นำชาวคริสต์มาราวีซึ่งเป็นตัวประกันสำคัญที่สุด
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมากบฏแตกกันเอง มีกบฏ 8 คนนำตัวประกัน 9 คนหลบออกมาขอยอมแพ้แบบไม่มีเงื่อนไข
วันเสาร์ที่ผ่านมาทัพรัฐบาลสู้กับกบฏถึงขั้นตะลุมบอม สามารถแย่งตัวประกันเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี ออกมาได้แค่คนเดียว แลกกับทหารบาดเจ็บกว่า 20 นาย แต่ข้อมูลจากเด็กสาวคนนั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เผด็จศึกได้สำเร็จในวันจันทร์
ในช่วงที่ตีสังหารกบฏได้หมดแล้วนั้น ยังมีตัวประกันชุดสุดท้ายเหลือรอดอยู่ 17 คน มีทั้งที่เป็นผู้หญิงและเด็กทารก จึงอนุมานได้ว่าตัวประกันรอดอย่างน้อย 30 คนเศษ นับว่าเยอะเมื่อเทียบกับที่ประมาณว่ามีตัวประกันทั้งหมด 40-70 คน
ศึกมาราวีถูกจุดชนวนจากการที่รัฐบาลทราบข่าวว่านายฮาปิลอนมาพบกับพี่น้องเมาเต้ในเมืองนี้ จึงเข้าจับกุม แต่ถูกพวกกบฏยิงต่อสู้จนพ่ายแพ้ และพวกกบฏขยายผลจนยึดเมืองมาราวีได้ในตอนแรก สงครามดำเนินอยู่ 4 เดือน 3 อาทิตย์ กบฏตาย 822 คน ทหารรัฐบาลตาย 163 คน ชาวบ้านตาย 87 คน
แม้จะมีกบฏบางส่วนยังคงต่อสู้อยู่ตามป่าเขา แต่ชัยชนะดังกล่าวก็เป็นการทำลายล้างกลุ่ม ISIS สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงรากฐาน
ภาพแนบ: ทหารฟิลลิปปินส์ฉลองชัยชนะ