PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

'พรายพล' จี้บอร์ดไทยพีบีเอสสอบอิทธิพลแทรกแซงตัดรายการ"เถียงให้รู้เรื่อง"

'พรายพล' จี้บอร์ดไทยพีบีเอสสอบอิทธิพลแทรกแซงตัดรายการ"เถียงให้รู้เรื่อง"

การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรม วิชาชีพอย่างร้ายแรง

วันที่ 9 มิถุนายน 2559 ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน ทำจดหมายถึงประธานคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. หลังไปบันทึกเทปสำหรับรายการชื่อ "เถียงให้รู้เรื่อง" ในประเด็น :สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ? ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ของไทย PBS ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อตอนค่ำของวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2559

ดร.พรายพล ระบุถึงการไปออกรายการ ในฐานะนักวิชาการ เป็น commentator ร่วมกับอาจารย์ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์  ให้ความเห็นเพิ่มเติมจากการอภิปรายของวิทยากรหลัก 2 ท่านคือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล  มีคุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ เป็นพิธีกร และรายการที่บันทึกเทปนี้มีกำหนดออกอากาศผ่านช่องโทรทัศน์ของไทย PBS ในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559นั้น

ต่อมาในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ของไทย PBS ซึ่งประสานงานการเชิญผมเข้าร่วมรายการดังกล่าวได้โทรศัพท์มาถึงผมและแจ้งให้ทราบว่าในการออกอากาศรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ในคืนวันอังคารที่ 7 มิถุนายนนั้น สถานีจำเป็นต้องตัดส่วนที่เป็นความเห็นของนักวิชาการออกไปเพื่อให้เกิดความเป็นกลาง ซึ่งผมก็ตอบไปว่าผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้นและหากดำเนินการจริงก็จะทำเรื่องร้องเรียนผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปในการออกอากาศรายการในคืนนั้นก็ปรากฏว่าสถานีไทย PBS ได้ตัดส่วนที่เป็นความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ออกไปทั้งหมดจริง

ประเด็นจึงมีอยู่ว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการนั้นก่อให้เกิด”ความเป็นกลาง” หรือไม่อย่างไร ผมได้รับเชิญเข้าร่วมรายการในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านพลังงาน ซึ่งได้ศึกษาและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านพลังงานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ผมตระหนักดีว่าการให้ความเห็นของผมในฐานะดังกล่าวจะต้องยึดหลักการของการมีเหตุมีผล มีหลักวิชา และมีข้อมูลที่ถูกต้องสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่จำเป็นต้องเอาใจใครหรือตามใจใครไม่มีอคติเป็นการส่วนตัว และไม่เห็นแก่พวกพ้อง ผมเชื่อมั่นว่าผมได้ให้ความเห็นในรายการนี้โดยยึดหลักการดังกล่าวอย่างดีที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์ฐิติศักดิ์ก็คงยึดหลักการเดียวกัน ผมและอาจารฐิติศักดิ์จึงเปรียบเสมือนเป็น “คนกลาง” ที่ให้ความเห็นจากแง่มุมของวิชาการโดยแท้จริง ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจเลยว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการจะทำให้เกิดความเป็นกลางได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามการตัดความเห็นของ “คนกลาง” ออกไปกลับจะทำให้ความเป็นกลางด้อยน้อยลงไปเสียด้วยซ้ำ

ในกรณีที่ความเห็นของนักวิชาการทั้งสองคนเผอิญไปสนับสนุนความเห็นของวิทยากรหลักท่านใดท่านหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่า รายการจะไม่มีความเป็นกลางและก็ไม่ได้หมายความว่าวิทยากรหลักอีกท่านหนึ่งจะเสียเปรียบหรือ "โดนรุม" เพราะผมเห็นว่าพิธีกรก็เปิดโอกาสให้วิทยากรหลักทั้งสองฝ่ายสามารถชี้แจงตอบโต้นักวิชาการและตอบโต้กันเองได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว

ผมเห็นว่าไทย PBS ควรออกอากาศเนื้อหาสาระที่วิทยากรหลักและนักวิชาการได้นำเสนอไว้ในการบันทึกเทปอย่างครบถ้วน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ชมรายการสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อใครโดยอาศัยเหตุผลและข้อมูลของแต่ละฝ่ายสำหรับผู้ชมรายการที่มีใจเป็นกลางแล้ว ความเห็นที่คน 3 คนเห็นตรงกันแต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอย่อมไม่น่าเชื่อถือมากไปกว่าความเห็นของคนคนเดียวที่มีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนอย่างหนักแน่น

ผมได้ทราบมาว่า การที่ไทย PBS ตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการที่ได้ออกอากาศในวันนั้น เนื่องมาจากว่ามีวิทยากรหลักท่านหนึ่งไม่พอใจที่นักวิชาการทั้งสองคนมีความเห็นขัดแย้งกับความเห็นของตน และมองไปว่าการอภิปรายโต้เถียงกันมีลักษณะที่ตนถูกรุมโจมตี (ในทำนอง “สามรุมหนึ่ง”) จึงได้ติดต่อไปทางสถานีเพื่อให้แก้ไขตัดต่อเทปสำหรับการออกอากาศซึ่งจะทำให้ข้อเสนอและความเห็นของตนมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยวิธีการตัดความเห็นของนักวิชาการออกไปในที่สุด

ผมได้ทราบมาด้วยว่า ในเบื้องแรกวิทยากรหลักท่านนี้ได้ขอให้ไทย PBS บันทึกเทปรายการใหม่ แต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้เดินทางไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทย PBS ในเย็นวันที่ 7 มิถุนายนโดยมีผู้บริหารของสถานีให้การต้อนรับเป็นพิเศษและพาเข้าไปถึงในห้องปฏิบัติงานเพื่อกำกับการตัดต่อเทปรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง" ที่กำลังจะออกอากาศในคืนนั้นด้วย ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า วิทยากรหลักท่านนี้มีอิทธิพลและอำนาจมากล้นจนทำให้สามารถกดดันให้ผู้บริหารไทย PBS ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม และถูกแทรกแซงการทำงาน อันเป็นผลทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาการออกอากาศตามความต้องการของวิทยากรหลักท่านนี้

หากเหตุการณ์นี้เป็นจริง ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้อิทธิพลและอำนาจโดยบุคคลที่บ้าอำนาจ เห็นแก่ตัว มีจิตใจคับแคบไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และสังคมไม่ควรให้การยอมรับนับถือ

การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในข้อบังคับที่ให้ความสำคัญกับความเที่ยงตรง ความเป็นธรรมและความเป็นอิสระของวิชาชีพ ไทย PBS ในฐานะองค์กรก็คงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสถาบันสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์สังคม คุณภาพ และคุณธรรมได้อีกต่อไป ความเชื่อมั่นในการเป็นสถาบันสื่อที่มีความเป็นอิสระเพราะได้รับงบประมาณจากรายได้ภาษีสรรพสามิตของรัฐก็จะเสื่อมถอยลงในที่สุด

อนึ่ง การไม่ยอมให้ความเห็นทางวิชาการของผมได้รับการเผยแพร่ น่าจะเข้าข่ายการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญของไทยเกือบทุกฉบับ

ดังนั้น ผมจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ให้สืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และบุคคลที่ทำ ให้ความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ ถูกตัดออกจากรายการ"เถียงให้รู้เรื่อง" ซึ่งออกอากาศในคืนวันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2559 และหากพบว่า มีการปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพ ก็ให้ดำเนินการตามระเบียบวินัยขององค์กรต่อไป พร้อมทั้งหาทางป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องในการทำงานเช่นนี้อีกในอนาคต

ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมทราบว่าในกรณีที่ผมร้องเรียนนี้ ไทย PBS ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบผ่านโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ผมจึงหวังว่าคณะกรรมการฯ จะสามารถพิจารณาข้อร้องเรียนของผมได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และชี้แจงผลการพิจารณาให้สาธารณชนได้ทราบ อันจะเป็นการกอบกู้ฟื้นฟูให้ไทย PBS มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นและสามารถกลับมาทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์สังคมได้อย่างแท้จริง

สนช.ไฟเขียวกม.ชำระค่าปรับผ่านแบงก์-ร้านสะดวกซื้อ

สนช.ไฟเขียวกม.ชำระค่าปรับผ่านแบงก์-ร้านสะดวกซื้อ
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน โดยได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบก (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) พ.ศ..ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ที่มี พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ สมาชิก สนช.เป็นประธาน พิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีสาระสำคัญคือให้เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับตามใบสั่งด้วยวิธีการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิต หรือวิธีการอื่น โดยผ่านธนาคารหรือหน่วยบริการรับชำระเงินได้ ตามวิธีการและสถานที่ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด และเมื่อผู้ได้รับใบสั่งได้ชำระค่าปรับครบถ้วนถูกต้องแล้วให้คดีเป็นอันเลิกกัน
ทั้งนี้ กมธ.ได้ตั้งข้อสังเกตให้กับคณะรัฐมนตรี 3 เรื่องคือ 1.การเพิ่มช่องทางชำระค่าปรับโดยวิธีการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรจะต้องเปิดโอกาสให้ธนาคารหรือหน่วยบริการรับชำระเงินอื่นๆ ได้เข้าร่วมโครงการด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการผูกขาดรวมทั้งควรให้มีการพัฒนาระบบการรับชำระค่าปรับผ่านเครดิตจากทุกธนาคารได้ด้วย 2.เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและไม่ก่อให้เกิดภาระกับผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถเกินสมควร ควรกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้บริการการชำระค่าปรับตามใบสั่งโดยผ่านบัตรเครดิตของธนาคารไว้ในข้อตกลงในอัตราไม่เกินร้อยละ 3 ต่อหนึ่งใบสั่ง แต่หากเป็นการชำระด้วยเงินสดอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวต้องไม่เกิน 20 บาทต่อหนึ่งใบสั่ง และ 3.เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการชำระค่าปรับตามร่าง พ.ร.บ.นี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรเร่งรัดในการออกกฎหมายอนุบัญญัติให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยคะแนน 179 เสียง การประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

ญี่ปุ่นเสนอธาตุใหม่"นิฮอนเนียม"

ชาวญี่ปุ่น เสนอชื่อธาตุใหม่ลำดับที่ 113 “นิฮอนเนียม (Nh)” ให้เวลา 5 เดือน ฟันธงใช้ชื่อ ส่วนทีมรัสเซียและสหรัฐเสนอชื่อธาตุลำดับที่ 115, 117 และ 118 ว่า มอสโกเวียม (Mc), เทนเนสซีน (Ts) และออแกนนิสซัน (Og) ตามลำดับ
ในขณะที่ผมไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับสำหรับงานเวิร์คช็อปของอาเซียน-ญี่ปุ่นเกี่ยวกับนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ STS ASEAN-JAPAN Workshop on Innovation, Science and Technology for Sustainable Development ที่จะจัดขึ้นวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. ณ บ้านพักท่านทูตญี่ปุ่น นั้น ท่านทูตได้กระซิบบอกผมเกี่ยวกับเรื่องที่น่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่ง “ชาวญี่ปุ่นจะประกาศเสนอชื่อธาตุใหม่ของโลก ว่า นิโฮเนียม”
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่ผมโพสท์ (ดู goo.gl/Oe069G) เกี่ยวกับของขวัญปีใหม่สำหรับประชาคมโลก คือ นักวิทยาศาสตร์ในญี่ปุ่น รัสเซียและอเมริกา ได้รับสิทธิในการเสนอชื่อธาตุค้นพบใหม่ 4 ชนิด ในตารางธาตุ ในลำดับที่ 113, 115, 117 และ 118 ตามกติกาของสหภาพเคมีบริสุทธิ์และเคมีประยุกต์ระหว่างประเทศ หรือ IUPAC (ไอยูแพ็ก) ทำให้ตารางธาตุแถวที่ 7 มีธาตุครบถ้วนสมบูรณ์ มาวันนี้นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนั้น ได้เสนอชื่อมาเพื่อทำประชาพิจารณ์แล้ว โดยให้เวลา 5 เดือนถึง 8 พฤศจิกายน 2559
ชาวญี่ปุ่น ได้เสนอชื่อ “นิฮอนเนียม (nihonium)” มีสัญลักษณ์ว่า Nh สำหรับธาตุลำดับที่ 113 ที่ค้นพบที่สถาบัน RIKEN ในญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นธาตุแรกของชาวเอเชีย โดยคำว่า นิฮอน (Nihon) หรือนิฮอง にほん(日本)เป็นชื่อเรียกประเทศญี่ปุ่น และหมายถึง ‘ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์’ ซึ่งชื่อ นิฮอนเนียมได้รับการเสนอชื่อเพื่อเป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่นและชาวเอเชีย โดยหัวหน้าคณะทีมวิจัย ศาสตราจารย์โคซูเกะ โมริตะ ใช้โอกาสนี้ในการเชิดชูเกียรติการค้นหาธาตุลำดับที่ 43 ของมาซาตากะ โอกาวา ในปีค.ศ. 1908 ซึ่งเขาได้พยายามตั้งชื่อว่า นิปอนเนียม แต่ต่อมาพบว่าธาตุดังกล่าว เป็นธาตุลำดับที่ 75 คือ รีเนียม (rhenium) ซึ่งศาสตราจารย์โคซูเกะหวังว่า การค้นพบนี้จะแทนที่ศรัทธาของชาวโลกที่สูญเสียไปจากเหตุการณ์นิวเคลียร์ที่ฟูกูชิม่าได้
ส่วนธาตุลำดับที่ 115 และ 117 ได้รับการเสนอชื่อโดยคณะนักวิจัยนิวเคลียร์จากสถาบันความร่วมมือด้านวิจัยนิวเคลียร์แห่งเมืองดุบนาประเทศรัสเซีย ห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอคริดจ์ในสหรัฐอเมริกาและมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ โดยเสนอชื่อธาตุลำดับที่ 115 ว่า “มอสโกเวียม (moscovium)” มีสัญลักษณ์ว่า Mc เพื่อเป็นเกียรติให้กับพื้นที่มอสโกที่เป็นที่ตั้งของสถาบันวิจัยร่วมที่ทดลองเครื่องแยกอนุภาคกับเครื่องเร่งอนุภาคในห้องแล็ป Flerov และธาตุลำดับที่ 117 ว่า “เทนเนสซีน (tennessine)” มีสัญลักษณ์ว่า Ts เพื่อเป็นเกียรติกับย่านเทนเนสซี ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอคริดจ์ มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์และมหาวิทยาลัยเทนเนสซีแห่งเมืองนอกซ์วิลล์ ในสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่ธาตุลำดับที่ 118 ซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือของทีมจากสถาบันร่วมวิจัยนิวเคลียร์แห่งเมืองดุบนา ประเทศรัสเซีย กับห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอเรนซ์ลิเวอร์มอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการเสนอชื่อว่า “ออแกนนิสซัน (oganesson)” ใช้สัญลักษณ์ว่า Og เพื่อเป็นเกียรติให้กับศาสตราจารย์ Yuri Oganessian ที่ทุ่มเทให้กับงานวิจัยธาตุหนัก โดยเฉพาะการสังเคราะห์ธาตุในแถวที่ 7 ของตารางธาตุ
สังเกตได้นะครับว่า การค้นพบทั้งหมดนี้มาจากความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งผมเห็นตรงกันว่าความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ในลักษณะเป็นจุดที่สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตได้อย่างดี โดยเราชาวกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กำลังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะนี้ ภายใต้โปรแกรม “การทูตเชิงวิทยาศาสตร์ หรือ Science Diplomacy”
ความร่วมมือแบบนี้กำลังจะทำให้เกิดธาตุแถวที่ 8 ในตารางธาตุ ซึ่งเขากำลังทำงานกันอย่างหนักครับ
เครดิตข้อมูลจาก http://iupac.org/elements.html

ป.ป.ช.จับมือกลาโหม-เหล่าทัพ จัดงาน’กลาโหมโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่น’

ป.ป.ช.จับมือกองทัพจัดงาน “กลาโหมโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่น” จันทร์ 13 มิ.ย.นี้ ลงนาม MOU ปราบโกง ร่วม 7 หน่วยงาน
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่สำนักงาน ป.ป.ช. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช.ร่วมกับกระทรวงกลาโหม จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตกระทรวงกลาโหม ภายใต้ชื่อโครงการ “กลาโหมโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่น” และจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระหว่างกระทรวงกลาโหมกับสำนักงาน ป.ป.ช. ในวันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร ภายในงานเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ซึ่งมีหน่วยงานที่ร่วมลงนามทั้งหมด 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมราชองครักษ์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงาน ป.ป.ช.
จากนั้น นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะบรรยายพิเศษหัวข้อ “กฎหมาย ป.ป.ช. และกรณีศึกษา” และเวลา 10.30 น. นายอุทิศ บัวศรี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.บรรยายหัวข้อ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม” อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินภารกิจหลักด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างต่อเนื่อง คือการป้องกันการทุจริตและการเสริมสร้างทัศนคติค่านิยมในความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้ประชาชนหรือกลุ่มบุคคล เครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556-2560) เรื่องการบูรณาการการทำงานของหน่วยงาน ในการต่อต้านการทุจริตและพัฒนาเครือข่ายในประเทศโดยการสร้างความเข้มแข็งการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชน ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดและขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย

ประวัติศาสาตร์วันที่9มิ.ย.2489

“ประวัติศาสตร์ไทย”
ฉะบับพิเศษ หน้า๕ ตอนที่ ๓๙ เล่ม ๖๑ ราชกิจจานุเบกษา ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙
.
ประกาศ
.
โดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จสวรรคคต เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
.
โดยที่ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา ๙ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา
.
โดยที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์ที่ร่วมพระราชชนนี ตามความในมาตรา ๙ (๘) แห่งกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันนิวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗
.
โดยที่รัฐสภาได้ลงมติ ณ วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ แสดงความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ในการที่จะอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันนิวงศ์ต่อไป ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๙
.
จึงขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันนิวงศ์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นต้นไป
.
ประกาศ ณ วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
.
ปรีดี พนมยงค์
นายกรัฐมนตรี
.
‪#‎DemocratTH‬ ‪#‎พรรคประชาธิปัตย์‬

ทักษิณ ถวายพระพรเนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี

อดีตนายกฯทักษิณ ถวายพระพรเนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี พร้อมเผย ปลาบปลื้มและสุขใจในเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
*****************************************************************
‪#‎NEWSROOM‬ ‪#‎TV24‬ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ Instagram ส่วนตัว เนื่องในโอกาสวันมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี โดยระบุว่า ผ่านมาแล้ว 10 ปี ที่ผมได้มีโอกาสจัดงานเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในวันนั้นพสกนิกรชาวไทยพร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองถวายพระพรฯ ทั่วทั้งประเทศ
ผมได้มีโอกาสกล่าวนำถวายพระพรฯ พร้อมกับพสกนิกรชาวไทยนับแสนคน เสียงแซ่ซ้อง "ทรงพระเจริญ" ที่เปล่งออกมาพร้อมๆ กัน ยังคงดังก้องอยู่ในหัวใจจวบจนทุกวันนี้ วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความปลาบปลื้มและสุขใจที่ได้ถวายความจงรักภักดี
วันนี้แม้จะไม่มีโอกาสได้ร่วมงานถวายพระพร ในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า ดร. ทักษิณ ชินวัตร

อาแล้วไง! SCB ปลดพนักงานกว่าครึ่งร้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้ทำการยกเลิกจ้างพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ทั่วประเทศกว่า 50 ตำแหน่ง ซึ่งขณะนี้อดีตพนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเคยปฏิบัติงานในสาขาพื้นที่ภาคใต้จำนวนหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะถูกผู้บริหารเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าตามกฎหมายกำหนด นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงที่จะจ่ายเงินโบนัสจากการปฏิบัติงานช่วงกลางปีจำนวนอย่างน้อย 1 เดือน ที่ทุกคนจะต้องได้รับอีกด้วย
โดยภายหลังจากที่ฝ่ายบริหารแจ้งเรื่องการเลิกจ้างพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ในวันที่ 25 พ.ค.นั้น ถัดมาเพียง 2 วัน คือ ในวันที่ 27 พ.ค. นายไวทิต ศิริสุวรรณประธานสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำหนังสือที่ สร.ธทพ.7/2559 ส่งถึง นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อแจ้งเรื่องขอให้ยกเลิกนโยบายเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ พร้อมกันนั้น ยังได้ส่งคู่ฉบับแจ้งไปยัง นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ และ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์ด้วย โดยมีเนื้อหาสำคัญดังนี้
ด้วยสหภาพแรงงานธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากพนักงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ภาคใต้ และภาคเหนือที่มีผลกระทบกรณีผู้บริหารสายงานสินเชื่อรถยนต์เลิกจ้างไม่เป็นธรรม มีการบังคับลงลายมือชื่อให้ทำหนังสือลาออกโดยพนักงานไม่ยินยอม และยังมีพนักงานอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงลายมือชื่อ แต่ถูกผู้บริหารหน่วยงานแจ้งให้พนักงานกลุ่มนี้ไม่ต้องมาปฏิบัติงาน อีกทั้งยังแจ้งให้มีผลสิ้นสุดการเป็นพนักงานภายในวันที่ 1 มิ.ย.2559

อยู่ได้เป็นแสนปี!สุสานนิวเคลียร์ใต้ดินในฟินแลนด์

อยู่ได้เป็นแสนปี!สุสานนิวเคลียร์ใต้ดินในฟินแลนด์
การจัดการกากของเสียจากโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์นั้นถือเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อเร็วๆนี้ฟินแลนด์ได้ก่อสร้างโกดังที่แน่นหนาลึกลงไปใต้ดินประมาณ 400 เมตรบนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งจะเอาไว้ปิดผลึกกากของเสียที่ใช้แล้วนานถึง 1 แสนปี คำถามคือ มันจะปลอดภัยไหม?สำนักข่าวของฝรั่งเศสให้ความเห็นว่า หากว่ายังปิดผนึกโกดังใต้ดินอยู่ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เมื่อเร็วๆนี้ ฟินแลนด์ได้ก่อสร้าง “สุสานนิวเคลียร์” บนเกาะ Olkiluoto และเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “Onkalo” ซึ่งภาษาฟินแลนด์มีความหมายว่า “ข้างในว่างเปล่า” ตั้งอยู่ใต้ดินลึก 420 เมตร ซึ่งหลังจากแล้วเสร็จจะกลายเป็นโกดังเก็บกากนิวเคลียร์ที่ใช้ต้นทุนเยอะที่สุดและเก็บได้นานที่สุดในโลก
หลังจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกของโลกได้ก่อสร้างขึ้นทศวรรษที่ 50 นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็พยายามหาวิธีเก็บกากนิวเคลียร์ โดยที่ผ่านมาหลายประเทศก็สร้างพื้นที่เก็บกากนิวเคลียร์บนดิน ดังนั้น “Onkalo” จึงจะเป็นพื้นที่เก็บกากนิวเคลียร์แห่งแรกของโลกที่สามารถเก็บกากนิวเคลียร์ใต้ดินได้นานเป็นแสนปี
บนเกาะ Olkiluoto มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แล้วสองแห่ง การก่อสร้างพื้นที่เก็บกากนิวเคลียร์ใต้ดินแห่งนี้คาดว่าจะใช้ทุนประมาณ 35 ร้อยล้านยูโร และจะเริ่มใช้สถานที่เพื่อเก็บกากนิวเคลียร์ในปี 2020 หลังจากนั้นก็จะปิดผลึกไว้ตลอดกาล
Onkalo มีความยาวใต้ดิน 42 กิโลเมตร เนื่องจากใต้ดินมีอุณหภูมิต่ำ ดังนั้นจึงเหมาะสมกับการเก็บกากนิวเคลียร์ โดยจะเก็บกากนิวเคลียร์ไว้ในเหล็กหล่อ จากนั้นก็เก็บไว้ใต้ดิน โดยมีกันชนเพื่อป้องกันความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือนและความชื้น

'พรายพล' จี้บอร์ดไทยพีบีเอสสอบอิทธิพลแทรกแซงตัดรายการ"เถียงให้รู้เรื่อง"


การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรม วิชาชีพอย่างร้ายแรง

วันที่ 9 มิถุนายน 2559 ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน ทำจดหมายถึงประธานคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. หลังไปบันทึกเทปสำหรับรายการชื่อ "เถียงให้รู้เรื่อง" ในประเด็น :สัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ได้คุ้มเสียจริงหรือ? ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ของไทย PBS ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อตอนค่ำของวันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2559

ดร.พรายพล ระบุถึงการไปออกรายการ ในฐานะนักวิชาการ เป็น commentator ร่วมกับอาจารย์ฐิติศักดิ์ บุญปราโมทย์  ให้ความเห็นเพิ่มเติมจากการอภิปรายของวิทยากรหลัก 2 ท่านคือ คุณมนูญ ศิริวรรณ และคุณรสนา โตสิตระกูล  มีคุณอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ เป็นพิธีกร และรายการที่บันทึกเทปนี้มีกำหนดออกอากาศผ่านช่องโทรทัศน์ของไทย PBS ในเวลาสี่ทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2559นั้น

ต่อมาในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งของวันอังคารที่ 7 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ของไทย PBS ซึ่งประสานงานการเชิญผมเข้าร่วมรายการดังกล่าวได้โทรศัพท์มาถึงผมและแจ้งให้ทราบว่าในการออกอากาศรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ในคืนวันอังคารที่ 7 มิถุนายนนั้น สถานีจำเป็นต้องตัดส่วนที่เป็นความเห็นของนักวิชาการออกไปเพื่อให้เกิดความเป็นกลาง ซึ่งผมก็ตอบไปว่าผมไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้นและหากดำเนินการจริงก็จะทำเรื่องร้องเรียนผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปในการออกอากาศรายการในคืนนั้นก็ปรากฏว่าสถานีไทย PBS ได้ตัดส่วนที่เป็นความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ออกไปทั้งหมดจริง

ประเด็นจึงมีอยู่ว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการนั้นก่อให้เกิด”ความเป็นกลาง” หรือไม่อย่างไร ผมได้รับเชิญเข้าร่วมรายการในฐานะที่เป็นนักวิชาการด้านพลังงาน ซึ่งได้ศึกษาและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านพลังงานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ผมตระหนักดีว่าการให้ความเห็นของผมในฐานะดังกล่าวจะต้องยึดหลักการของการมีเหตุมีผล มีหลักวิชา และมีข้อมูลที่ถูกต้องสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่จำเป็นต้องเอาใจใครหรือตามใจใครไม่มีอคติเป็นการส่วนตัว และไม่เห็นแก่พวกพ้อง ผมเชื่อมั่นว่าผมได้ให้ความเห็นในรายการนี้โดยยึดหลักการดังกล่าวอย่างดีที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าอาจารย์ฐิติศักดิ์ก็คงยึดหลักการเดียวกัน ผมและอาจารฐิติศักดิ์จึงเปรียบเสมือนเป็น “คนกลาง” ที่ให้ความเห็นจากแง่มุมของวิชาการโดยแท้จริง ดังนั้นผมจึงไม่เข้าใจเลยว่า การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการจะทำให้เกิดความเป็นกลางได้อย่างไร ในทางตรงกันข้ามการตัดความเห็นของ “คนกลาง” ออกไปกลับจะทำให้ความเป็นกลางด้อยน้อยลงไปเสียด้วยซ้ำ

ในกรณีที่ความเห็นของนักวิชาการทั้งสองคนเผอิญไปสนับสนุนความเห็นของวิทยากรหลักท่านใดท่านหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้หมายความว่า รายการจะไม่มีความเป็นกลางและก็ไม่ได้หมายความว่าวิทยากรหลักอีกท่านหนึ่งจะเสียเปรียบหรือ "โดนรุม" เพราะผมเห็นว่าพิธีกรก็เปิดโอกาสให้วิทยากรหลักทั้งสองฝ่ายสามารถชี้แจงตอบโต้นักวิชาการและตอบโต้กันเองได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว

ผมเห็นว่าไทย PBS ควรออกอากาศเนื้อหาสาระที่วิทยากรหลักและนักวิชาการได้นำเสนอไว้ในการบันทึกเทปอย่างครบถ้วน แล้วเปิดโอกาสให้ผู้ชมรายการสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อใครโดยอาศัยเหตุผลและข้อมูลของแต่ละฝ่ายสำหรับผู้ชมรายการที่มีใจเป็นกลางแล้ว ความเห็นที่คน 3 คนเห็นตรงกันแต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอย่อมไม่น่าเชื่อถือมากไปกว่าความเห็นของคนคนเดียวที่มีเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนอย่างหนักแน่น

ผมได้ทราบมาว่า การที่ไทย PBS ตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการที่ได้ออกอากาศในวันนั้น เนื่องมาจากว่ามีวิทยากรหลักท่านหนึ่งไม่พอใจที่นักวิชาการทั้งสองคนมีความเห็นขัดแย้งกับความเห็นของตน และมองไปว่าการอภิปรายโต้เถียงกันมีลักษณะที่ตนถูกรุมโจมตี (ในทำนอง “สามรุมหนึ่ง”) จึงได้ติดต่อไปทางสถานีเพื่อให้แก้ไขตัดต่อเทปสำหรับการออกอากาศซึ่งจะทำให้ข้อเสนอและความเห็นของตนมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยวิธีการตัดความเห็นของนักวิชาการออกไปในที่สุด

ผมได้ทราบมาด้วยว่า ในเบื้องแรกวิทยากรหลักท่านนี้ได้ขอให้ไทย PBS บันทึกเทปรายการใหม่ แต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงได้เดินทางไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทย PBS ในเย็นวันที่ 7 มิถุนายนโดยมีผู้บริหารของสถานีให้การต้อนรับเป็นพิเศษและพาเข้าไปถึงในห้องปฏิบัติงานเพื่อกำกับการตัดต่อเทปรายการ "เถียงให้รู้เรื่อง" ที่กำลังจะออกอากาศในคืนนั้นด้วย ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า วิทยากรหลักท่านนี้มีอิทธิพลและอำนาจมากล้นจนทำให้สามารถกดดันให้ผู้บริหารไทย PBS ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม และถูกแทรกแซงการทำงาน อันเป็นผลทำให้มีการแก้ไขเนื้อหาการออกอากาศตามความต้องการของวิทยากรหลักท่านนี้

หากเหตุการณ์นี้เป็นจริง ก็ถือได้ว่าเป็นการใช้อิทธิพลและอำนาจโดยบุคคลที่บ้าอำนาจ เห็นแก่ตัว มีจิตใจคับแคบไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี และสังคมไม่ควรให้การยอมรับนับถือ

การตัดความเห็นของนักวิชาการออกจากรายการออกอากาศ รวมทั้งการยอมให้อิทธิพลภายนอกเข้าไปครอบงำและแทรกแซงการทำงานอย่างไม่เหมาะสม อันอาจก่อให้เกิดการบิดเบือนในการนำเสนอเนื้อหาสาระของรายการโทรทัศน์ หากเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเครื่องชี้ได้ว่า ผู้บริหารไทย PBS ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะในข้อบังคับที่ให้ความสำคัญกับความเที่ยงตรง ความเป็นธรรมและความเป็นอิสระของวิชาชีพ ไทย PBS ในฐานะองค์กรก็คงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสถาบันสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์สังคม คุณภาพ และคุณธรรมได้อีกต่อไป ความเชื่อมั่นในการเป็นสถาบันสื่อที่มีความเป็นอิสระเพราะได้รับงบประมาณจากรายได้ภาษีสรรพสามิตของรัฐก็จะเสื่อมถอยลงในที่สุด

อนึ่ง การไม่ยอมให้ความเห็นทางวิชาการของผมได้รับการเผยแพร่ น่าจะเข้าข่ายการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้รับการคุ้มครองในรัฐธรรมนูญของไทยเกือบทุกฉบับ

ดังนั้น ผมจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. ให้สืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์และบุคคลที่ทำ ให้ความเห็นของผมและอาจารย์ฐิติศักดิ์ ถูกตัดออกจากรายการ"เถียงให้รู้เรื่อง" ซึ่งออกอากาศในคืนวันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2559 และหากพบว่า มีการปฏิบัติหน้าที่อันขัดต่อข้อบังคับด้านจริยธรรมวิชาชีพ ก็ให้ดำเนินการตามระเบียบวินัยขององค์กรต่อไป พร้อมทั้งหาทางป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องในการทำงานเช่นนี้อีกในอนาคต

ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมทราบว่าในกรณีที่ผมร้องเรียนนี้ ไทย PBS ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบผ่านโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ผมจึงหวังว่าคณะกรรมการฯ จะสามารถพิจารณาข้อร้องเรียนของผมได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และชี้แจงผลการพิจารณาให้สาธารณชนได้ทราบ อันจะเป็นการกอบกู้ฟื้นฟูให้ไทย PBS มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นและสามารถกลับมาทำหน้าที่เป็นสื่อสาธารณะที่สร้างสรรค์สังคมได้อย่างแท้จริง

กอ.รมน.แจ้งความดำเนินคดี 3 นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้ กรณีเผยแพร่ข้อมูลการซ้อมทรมานบนอินเทอร์เน็ต

กอ.รมน.แจ้งความดำเนินคดี 3 นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชายแดนใต้ กรณีเผยแพร่ข้อมูลการซ้อมทรมานบนอินเทอร์เน็ต
วานนี้ (8 มิถุนายน 2559) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CRCF) เปิดเผยต่อไอลอว์ว่า ทางมูลนิธิฯเพิ่งได้รับแจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 กองทัพบกมอบอำนาจให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่ส่วนหน้า(กอ.รมน. 4 สน.) เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรเมืองยะลา ให้ดำเนินคดีกับพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ, สมชาย หอมลออ และอัญชนา หีมมิหน๊ะ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เบื้องต้นทางมูลนิธิคาดว่าการตั้งข้อกล่าวหาน่าจะเกิดจากกรณีทั้งสามร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม ปี 2557-2558 ฉบับเต็มลงบนเว็บไซต์วอยซ์ ฟอร์ม ไทย (Voice from Thais) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 8 มกราคม 2559 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, กลุ่มด้วยใจและเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี ได้สรุปสถานการณ์การซ้อมทรมานลงบนเว็บไซต์วอยซ์ ฟอร์ม ไทย (Voice from Thais) และยื่นรายงานฉบับเต็มต่อแก่พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่สี่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานระดับสูงที่รับผิดชอบโดยตรงตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซ้อมทรมานในค่ายทหารในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา โดยเนื้อหาของรายงานเป็นการเก็บข้อมูลบุคคลที่อ้างว่าถูกซ้อมทรมานจากเจ้าหน้าที่รัฐจนได้รับความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจระหว่างปีพ.ศ. 2547-2558 จำนวน 54 เรื่อง ใบแถลงข่าวประกอบการเปิดตัวรายงานฉบับดังกล่าวซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 บนเว็บไซต์วอยซ์ฟอร์มไทยยังระบุด้วยว่า ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆเกี่ยวกับการสืบสวนหาข้อเท็จจริงใดๆเกี่ยวกับกรณีที่อยู่ในรายงาน
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดของคดี มีการสอบปากคำพยานเสร็จสิ้นไปแล้ว 6 ปากและอยู่ระหว่างการออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา
ดูรายงานฉบับเต็มที่นำมาซึ่งการแจ้งข้อกล่าวหาครั้งนี้ >>>https://voicefromthais.wordpress.com/…/press-release-launc…/