PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

รอยเลื่อนมีพลังและแผ่นดินไหวจังหวัดคุมะโมะโตะ



รอยเลื่อนมีพลังและแผ่นดินไหวจังหวัดคุมะโมะโตะ
รอยเลื่อนมีพลังและภูเขาไฟบนเกาะคิวชู ตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น เป็นผลจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกทะเลฟิลิปปินส์กับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย
โดยเขตรอยต่อธรณีแปรสัณฐานโออิตะ-คุมะโมะโตะ (Oita-Kumamoto Tectonic Line) เป็นบริเวณที่มีรอยเลื่อนเกิดขึ้นมากและส่วนใหญ่วางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งทำมุมเฉียงกับทิศทางการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกทะเลฟิลิปปินส์ ทำให้รอยเลื่อนเหล่านี้มีการเลื่อนแบบเฉือนไปทางขวา
กลุ่มรอยเลื่อนฟุตะกาวะ-ฮินากุ (Futagawa-Hinagu Fault Zone) เป็นรอยเลื่อนตามแนวระดับไปทางขวา กระจายตัวตามแนวภูเขาไฟอะโสะ ผ่านตัวเมืองคุมะโมะโตะ ไปยังทะเลยะสึชิโร การขยับตัวของรอยเลื่อนกลุ่มนี้สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่ระดับตื้นได้

cr: 
Pudit Sukhasvasti



โฆษกกลาโหม ติง ..อย่า การเมือง !!

โฆษกกลาโหม ติง ..อย่า การเมือง !!
แจง กองทัพรับ"ลูกชาย บิ๊กติ๊ก" เป็นนายทหาร เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และขั้นตอนการบรรจุบุคคลพลเรือนเข้ารับราชการทหาร วอนอย่าดึงเป็นเรื่องการเมือง ยันผ่านคณะกรรมการคัดสรรของแต่ละหน่วยตั้งขึ้น คุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ ในสาขาที่ตรงกับความต้องในท้ายอัตราที่กำหนด เผย รมว.กห. มอบ ปลัดกห. ลงนามแทน เพราเแต่ละปี มึเป็นจำนวนมาก
...ระบุ การมีลูกหลานพลเรือน ตำรวจ ทหารและข้าราชการอื่นๆสมัครเข้ารับการบรรจุเป็นทหารจำนวนมากในแต่ละปีนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ
จากกรณีการบรรจุเข้ารับราชการของ นายปฏิพัทธิ์ จันทร์โอชา ลูกชาย พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกลาโหม จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเหมาะสม และความถูกต้องในการบรรจุเข้ารับราชการทหารนั้น
(17/4/59)พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหมกล่าวว่า กองทัพได้บรรจุบุคคลพลเรือนเข้ารับราชการทหารเพื่อทดแทนกำลังพลที่เกษียณอายุราชการเป็นปกติในทุกปี ตามหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่ กห.กำหนด โดยยังคงพิจารณาสัดส่วนที่ลดลง เพื่อคงยอดกำลังพลรวมให้เป็นไปตามแผนปรับลดกำลังพล ให้กองทัพมีขนาดที่เหมาะสม ทันสมัยและมีความคล่องตัวที่จะสามารถตอบสนองการปกป้องผลประโยชน์ชาติได้อย่างทัดเทียมภูมิภาค
กองทัพมีกำลังพลในทุกเหล่า ทั้งเหล่ารบ เหล่าสนับสนุนการรบและช่วยรบ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญในสาขาวิชาและประสบการณ์ของบุคคลในแต่ละด้านร่วมกัน
สำหรับขั้นตอนการบรรจุบุคคลนั้น ผู้บังคับหน่วยแต่ละหน่วยจะอนุมัติบุคคล บรรจุทดแทนตามตำแหน่งและอัตราที่ว่าง ผ่านคณะกรรมการคัดสรรของแต่ละหน่วยที่ตั้งขึ้น โดยพิจารณาจากผู้สมัครทุกคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ตามหลักเกณฑ์ ในสาขาที่ตรงกับความต้องในท้ายอัตราที่กำหนด ต่อจากนั้นจะเสนอเรื่องผ่านสายการบังคับบัญชาตามลำดับชั้น
สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งยศนายทหารสัญญาบัตร อยู่ในอำนาจ รมว.กห. โดยปลัดกลาโหม ได้รับมอบอำนาจให้ทำการแทนและสั่งการในนามของ รมว.กห. เนื่องจากในแต่ละปี ทุกเหล่าทัพมีการบรรจุและแต่งตั้งยศทหารจำนวนมากทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ
โฆษกกห. กล่าวว่า สำหรับการมีลูกหลานพลเรือน ตำรวจ ทหารและข้าราชการอื่นๆสมัครเข้ารับการบรรจุเป็นทหารจำนวนมากในแต่ละปีนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่กองทัพเปิดกว้างสำหรับทุกคนที่ประสงค์และสมัครใจรับใช้ชาติ
"ขออย่ามองตัวบุคคลเป็นประเด็นการเมือง กองทัพเป็นของประชาชน ทหารทุกคนคือประชาชนที่ยังคงต้องการความร่วมมือและกำลังใจจากเพื่อนร่วมชาติ ในการทำหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม"พลตรี คงชีพ ระบุ

บิ๊กติ๊ก โอด เพราะ นามสกุล "จันทร์โอชา"

บิ๊กติ๊ก โอด เพราะ นามสกุล "จันทร์โอชา"
พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกห. แจงการรับ ลูกชายเป็นนายทหาร ตามขั้นตอนถูกต้องจากทัพภาค3 ที่มีตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการด้านกิจการพลเรือน ว่าง และมองว่า ลูกชาย มีคุณสมบัติตรง เพราะทำงานด้านนี้ อยู่ใน ปตท. และทำงานกับชมรมสื่อในพื้นที่มาด้วย และจบนิเทศน์ศาสตร์ ยอมรับ เดิมลูกชายไม่ได้อยากเป็นทหาร แต่พอพูดคุยเขาก็เข้าใจ อยากเป็นทหาร และจะไปรายงานตัว ทำงานเต็มที่ อีกทั้งเพราะเห็นว่า ทำงานที่ ปตท.ไม่มั่นคง เพราะเป็น ลูกจ้าง เฉยๆ จึงอยากให้เป็นทหาร เพราะในครอบครัว บรรดาลูกๆก็ไม่มีใครเป็นทหาร พอดีมีตำแหน่งว่าง...เผยเมื่อวาน ได้พบ พลเอกประยุทธ์ นายกฯแล้ว นายกฯ ไม่ได้ว่าอะไร แต่บอก ดูให้ดีๆแล้วกัน เมื่อเราทำถูกต้อง ก็ไม่ต้องห่วง สงสัยใครปล่อยเอกสาร ออกมา หวังผลอะไร คาดเพราะ เรานามสกุล จันทร์โอชา เลยโดนเพ่งเล็ง ทั้งๆที่ ลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ก็มีเข้ามาเป็นนายทหาร กันจำนวนมาก เมื่อมีตำแหน่งว่าง. แต่ก็ไม่อยากคิดว่า เป็นเรื่องการเมือง แต่พร้อมให้ ปปช.ตรวจสอบ

บิ๊กป้อม ขู่ เอา"วัฒนา" เข้าหลักสูตร7วัน ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เอาเข้าไป ยันงานนี้ทูต ไม่เกี่ยว



บิ๊กป้อม ขู่ เอา"วัฒนา" เข้าหลักสูตร7วัน ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เอาเข้าไป ยันงานนี้ทูต ไม่เกี่ยว ไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ ไม่สน อ้างเหตุเพื่อจะขอลี้ภัย หรือไม่ อยากจะไปไหนก็ไป
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กห. ยันทหารต้องเชิญตัว"วัฒนา เมืองสุข"พูดกี่ครั้งก็เชิญเท่านั้น ก็พูดกันไม่เข้าใจ ขู่ เอาเข้าหลักสูตร7วันถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เอาเข้าไป ยันงานนี้ทูต ไม่เกี่ยว ไม่ละเมิดสิทธิ์ ถามทำไมคนอีก60-70ล้าน คน ไม่ทำ เผย ชอบไม่ชอบ เก็บไว้ในใจ แล้วไปลงประชามติเลย. ตอนนึ้ยังไม่ใช่เวลา เดี๋ยวพอถึงเวลา อยากทำอะไรก็ทำไป ตอนนี้ขอเราทำงานก่อน....ไม่สน "วัฒนา" จะสร้างเงื่อนไขขอลี้ภัย หรือไม่ บอก ไม่รู้ แต่อยากไปไหนก็ไป แต่ช่วงนี้ต้องเอาแบบนี้ก่อน....เย้ย ไม่ได้เก่งอะไรหรอก เรียกคะแนนเสียง ใครก็ทำได้ แบบนี้ ก็ทำได้ อยากทำก็ทำ....ยัน ทูต ไม่เกี่ยว งง "วัฒนา"เชิญทูต มาร่วมดูการเชิญตัวเอง ยัน ไม่ใช่Human Rights Watch นะไม่ใช่ ไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ ทำไมวัฒนา ทำ แล้วคนอีก60-70 ล้านคนเขาไม่ทำหล่ะ....ยันไม่ได้ละเมิดสิทธิ์ ทหารไปล้อมบ้าน แนะคนในบ้านก็บอก หัวหน้าครอบครัวซิว่า อย่าไปทำผิด

"บิ๊กหมู" สั่งตรวจสอบ มีการอ้าง คสช. ปิดการจราจร ปิดถนน เก็บค่าจอดรถ



"บิ๊กหมู" สั่งตรวจสอบ มีการอ้าง คสช. ปิดการจราจร ปิดถนน เก็บค่าจอดรถ การเรียกรับผลประโยชน์ การจัดงาน
คสช.สรุป9วันสงกรานต์ ยึดรถ6,613 คัน เป็นจยย.4,963คัน รถยนต์ 1,650 คัน ยึดใบขับขี่ 17,449ราย เป็นจยย.908 ราย รถโดยสาร/รถยนต์16,541 ราย เผยผู้ทำผิดจราจร 277,055ครั้ง เป็นจยย.153,626คันรถโดยสารรถยนต์123,429ครั้ง ส่งดำเนินคดี142,820คน เป็นจยย.83,697รถโดยสาร/รถยนต์59,123คน คสช.หวังมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” จะเป็นส่วนหนึ่งช่วยประชาชนใช้รถใช้ถนน
ตามกฎจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม /นายกฯ-คสช. ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมดูแลความเรียบร้อยช่วงสงกรานต์ "บิ๊กหมู" สั่งตรวจสอบ มีการอ้าง คสช. ปิดการจราจร ปิดถนน เก็บค่าจอดรถ การเรียกรับผลประโยชน์ การจัดงาน
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวว่า จากการที่ คสช. และรัฐบาลได้มอบให้ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ร่วมดูแลและอำนวยความสะดวกประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่าง
๙-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ตามมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุ ด้วยการตั้งจุดตรวจ จุดป้องปรามการดื่มไม่ขับ ควบคู่ไปกับการสกัดกั้นการทำผิดกฎหมายในรูปแบบต่างๆ ซึ่ง ตลอดเทศกาลได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนน
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเสียสละ โดยมีสถิติการตรวจพบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยประมาทด้วยการดื่มแล้วขับตลอด ๙ วันที่ผ่านมา ระหว่าง ๙ – ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ดังนี้
ตรวจพบผู้กระทำความผิด ๒๗๗,๐๕๕ ครั้ง (แยกเป็นรถจักรยานยนต์ ๑๕๓,๖๒๖ คัน รถโดยสารสาธารณและรถยนต์ส่วนบุคคล ๑๒๓,๔๒๙ ครั้ง) ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ส่งดำเนินคดีรวม ๑๔๒,๘๒๐ คน (แยกเป็นรถจักรยานยนต์ ๘๓,๖๙๗ คน และ รถโดยสารสาธารณและรถยนต์ส่วนบุคคล ๕๙,๑๒๓ คน) โดยได้ยึดใบอนุญาตขับขี่ ๑๗,๔๔๙ ราย (แยกเป็นรถจักรยานยนต์ ๙๐๘ ราย และรถโดยสารสาธารณและรถยนต์ส่วนบุคคล ๑๖,๕๔๑ ราย) และ เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการดื่มไม่ขับ ๖,๖๑๓ คัน (แยกเป็น รถจักรยานยนต์ ๔,๙๖๓ คันและ รถยนต์ ๑,๖๕๐ คัน )
จากมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” ที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายตั้งใจดำเนินการเพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตลอดการเฉลิมฉลองสงกรานต์ตั้งแต่วันที่ ๙-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้การตอบรับและให้ความสำคัญกับมาตรการนี้ มีความตื่นตัว และเพิ่มความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น
รวมทั้งเสนอให้ คสช. ดำเนินมาตรการนี้ต่อเนื่องตลอดปี เพื่อช่วยลดและป้องกันความสูญเสีย จากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์จนเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย
ที่สำคัญได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศในด้านความปลอดภัยและช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวยังส่งผลทางอ้อม กับผู้ประทุษร้ายหรือต้องการจะก่อเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ ที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนส่วนรวม ให้ไม่สามารถก่อเหตุร้ายได้ เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนคุมเข้มตามจุดสกัดต่างๆ รวมทั้ง ยังช่วยป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายในรูปแบบอื่นๆเช่น ยาเสพติด อาวุธสงคราม สินค้าหนีภาษี แรงงานผิดกฎหมาย เป็นต้น
ทั้งนี้ คสช.หวังว่ามาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้รถใช้ถนน ด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎแห่งความปลอดภัย อย่างจริงจัง ในทุกการเดินทาง เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความปลอดภัย อย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผบทบ./เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
พลเอกธีรชัย กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ฝากขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองและอาสาสมัคร ที่ร่วมกันดูแลและอำนวยความสะดวกประชาชนด้วยความเสียสละและทุ่มเทตลอดเทศกาลสงกรานต์ ตามมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” ซึ่งได้รับความชื่นชมและการยอมรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ไม่ปรากฏเหตุการณ์ร้ายแรงที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าวสถิติทางคดีที่เกี่ยวกับอาชญากรรมลดลงถึง50เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับพื้นที่ ที่อำนวยการจราจรตามเส้นทางต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการปฏิบัติงานของ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงให้เข้มข้นในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและจัดระเบียบสังคมทั้ง การปรบปรามผู้มีอิทธิพล บ่อนการพนัน
อาวุธสงคราม และยาเสพติด เพื่อให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้จับกุมผู้กระทำความผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด ๑๒๙ ครั้ง ยึดยาบ้า๙๔๘,๐๓๐ เม็ด กัญชา ๑,๑๕๐ กิโลกรัม ได้จับกุมผู้กระทำผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ ๑๙ ครั้ง ได้ของกลางเป็นไม้ ๒๙๖ ท่อน ๒๖ แผ่น จับกุมผู้กระทำผิด พ.ร.บ. อาวุธเครื่องกระสุน ๓๐ ครั้ง ได้อาวุธปืน ๕๖ กระบอก จับกุมผู้กระทำผิดพ.ร.บ.ศุลกากร ๓ ครั้ง ได้น้ำมันหนีภาษี ๑๐๑,๐๐๐ ลิตร บุหรี่และสุราต่างประเทศจำนวนหนึ่ง รวมทั้งได้เข้าจับกุมการเล่นพนัน ๒๔ ครั้ง ได้ผู้ต้องหา ๑๗๕ คน และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมือง ๖ ครั้ง ผู้ต้องหา ๕๑ คน
นอกจากเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกส่วนร่วมกันลงพื้นที่ในทุกหมู่บ้าน เพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกเรื่อง ปัญหาเร่งด่วนขณะนี้คือภัยแล้ง ให้ทุกส่วนเข้าดำเนินการทันทีในทุกหมู่บ้านและบูรณาการ
การแจกจ่ายน้ำให้ทั่วถึงในทุกพื้นที่ โดยปัจจุบันมีพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ๒๗ จังหวัด ๔,๓๕๔ หมู่บ้าน และหน่วยงานของรัฐ โดยกระทรวงกลาโหมนำน้ำไปแจกจ่ายแล้ว ๕๐ ล้านลิตรเศษ กรมทรัพยากรน้ำนำเครื่องสูบน้ำ ๑๔๗ เครื่อง ติดตั้งเพื่อสูบน้ำเข้ามาเติมในแหล่งน้ำใน ๓๖ จังหวัด ปริมาณน้ำ ๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนกรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ๖๓ เครื่อง
และส่งรถบรรทุกน้ำออกช่วยเหลือตามพื้นที่ต่างๆ แล้ว อีก ๑๕ ล้านลิตร
ทั้งนี้ในช่วงเทศกาลมีบุคคลบางกลุ่มมีพฤติกรรมแอบอ้าง คสช. ไปกระทำบางอย่าง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดและมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อ คสช. เช่น ปิดการจราจร ปิดถนน เก็บค่าจอดรถ การเรียกรับผลประโยชน์ การจัดงาน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบและจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป จึงขอให้ประชาชนได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและอย่าได้หลงเชื่อในพฤติกรรมของบุคคลเหล่านี้

บิ๊กป้อม เผย ให้"บิ๊กตู่"ตัดสินใจ เพราะเป็นอำนาจ หน.คสช. หาก ร่างรธน.ไม่ผ่านประชามติ



บิ๊กป้อม เผย ให้"บิ๊กตู่"ตัดสินใจ เพราะเป็นอำนาจ หน.คสช. หาก ร่างรธน.ไม่ผ่านประชามติ ประชุม ครม.-คสช. ระบุ รธน.ปี40,50 ก็มีปัญหามา คาด แก้รธน.ชั่วคราว ก่อน /สั่ง ถอดเสื้อVote NoยันจะVote YesหรือVote Noใส่ไม่ได้ทั้งนั้น ห้ามรณรงค์ต้านหรือหนุนร่างรธน.ไปลงประชามติเลย
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า หาก ร่างรธน.ฉบับนี้ ไม่ผ่านประชามติ ต้องแก้ รธน.ชั่วคราว และเป็นอำนาจ หัวหน้า คสช. เพื่อให้เกิดความเหมาะสม
ส่วนการที่ นายวิษณุ เครืองาม ระบุว่า อาจ นำ รธน.4ฉบับ มารวมกัน หรือ ข้อเสนอเอา รธน.ปี2550 มาเพิ่มบทเฉพาะกาลนั้น เป็นแค่แนวคิด ยังไม่เกิดขึ้น ผมพูดไม่ได้ว่าฉบับไหน เพราะทั้ง รธน.ฉบับปี2540,2550 ก็ล้วนแต่มีปัญหามาแล้วทั้งนั้น
โดยในร่างรธน.ฉบับนี้ คสช. เราได้เสนอบทเฉพาะกาล เพื่อรองรับช่วงเวลาเปลั่ยนผ่าน5 ปี ไป
ท้ายที่สุด หากไม่ผ่านประชามติ ก็แล้วแต่ หัวหน้า คสช.จะตัดสินใจ โดยจะมีการประชุมคสช. และประชุมครม.
แต่ตอนนี้ มารอดูก่อนว่า ร่างรธน.จะผ่านประชามตื หรือไม่ ก่อนดีกว่า ยังไม่ไปถึงตรงนั้น ผ่านหรือไม่ ก็แล้วกัน แล้วแต่ประชาชนจะตัดสินใจ ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน
ส่วนการที่ นักวิชาการออกมารณรงค์ ไม่รับร่าง และใส่เสื้อVote No นั่น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ทำไม่ได้ ใครจะคิดเห็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ได้ แต่เก็บไว้ในใจ จะมารณรงค์ ไม่ได้ ใส่เสื้อVote noก็ไม่ได้
"เดี๋ยวก็ไปถอดเสื้อ. ใส่ไม่ได้ จะVote No หรือ Vote Yes ก็ไม่ได้หมด ไม่มีการเชียร์ ไม่มีการค้าน" พลเอกประวิตร กล่าว
ส่วนเป็นการปิดกั้นการแสดงออกหรือไม่ พลเอกประวิตรกล่าวว่า ในเมื่อกำหนดไว้ในรธน. แล้ว ก็ตามนั้น เพราะเป็นกม.สูงสุด

บิ๊กป้อม บอก "เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย" ...อำนาจผม !!! รับลูก บิ๊กติ๊ก เป็น นายทหาร


บิ๊กป้อม บอก "เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย" ...อำนาจผม !!! รับลูก บิ๊กติ๊ก เป็น นายทหาร
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม บอก "เรื่องธรรมดา ไม่เห็นเป็นไรเลย" กรณีบรรจุ ลูกชาย พลเอกปรีชา จันทร์โอชา เป็นนายทหาร
"เป็นอำนาจผม อำนาจรมว.กลาโหม
รับใครได้เลยทันทีทันใด เพราะหากขาดตำแหน่งที่จะมาทำงาน นึ่เป็นสาขาพิเศษ"
ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติครบ ผ่านการตรวจร่างกายแล้ว ไม่มีคดีติดตัว ตามระเบียบ ทุกอย่าง จบปริญญาตรี เป็นตำแหน่งคุณสมบัติพิเศษในด้านนี้
ยอมรับว่า กรณีนี้ ไม่จำเป็นต้องสอบ แข่งขัน เพราะเป็นตำแหน่งคุณสมบัติพิเศษ ที่ขาดอยู่ ส่วนใหญ่ ต้องขอร้องมาเป็นทหาร ยกเว้นมีคนมาสมัครจำนวนมาก ต้องสอบแข่งขัน ในตำแหน่งต่างๆทั่วไป
ปัดตอบ เป็นระบบอุปถัมภ์หรือไม่ แต่ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกน่า โบ้ย สื่ออยากเข้าเป็นทหาร มั้ยล่ะ
พร้อมเพ่งเล็ง เอกสาร กท.หลุดบ่อยๆ มีขบวนการอะไรหรือไม่ ระบุ ครั้งนี้เรื่องลูกชายปลัดกห.ไม่ได้ลับอะไรมาก แต่ก็หลายครั้ง ที่เอกสารลับหลุดออกมา

ตามดู 3 วิธีบรรจุพลเรือนเข้าเป็นทหาร... ลูกผู้ใหญ่ลอยชายเข้าช่องทางไหน

คำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ให้บรรจุ นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา ลูกชายคนรองของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และน้องชายแท้ๆ ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับราชการในตำแหน่งนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 ยศร้อยตรี โดยไม่มีการจัดสอบนั้น ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าวิธีการบรรจุบุคคลพลเรือนเข้ารับราชการทหารมีระเบียบปฏิบัติกันอย่างไร 
defence
          จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การบรรจุบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในอัตราต่างๆ ของกองทัพ มีวิธีการดำเนินการอยู่ 3 วิธี หรือ 3 รูปแบบ คือ
          1.เลื่อนฐานะ ส่วนใหญ่เป็นการเลื่อนฐานะจากทหารชั้นประทวนเป็นชั้นสัญญาบัตร มักเปิดสอบกันเองภายในหน่วย เพื่อรองรับข้าราชการทหารชั้นประทวนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือสาขาที่ตรงกับความต้องการของหน่วย หรือตรงกับคุณสมบัติตามอัตราตำแหน่งที่ว่าง
          2.การรับบุคคลพลเรือนจากภายนอกเข้าเป็นทหาร มีทั้งชั้นประทวนและสัญญาบัตร วิธีการคือเปิดสอบเป็นการทั่วไป โดยให้แต่ละหน่วยที่ต้องการกำลังพลหรือมีอัตราว่างในตำแหน่งต่างๆ เสนอความต้องการไปที่หน่วยต้นสังกัด เช่น หน่วยของกองทัพบก ก็เสนอไปยังกองบัญชาการกองทัพบก, หน่วยของกองทัพไทย ก็เสนอไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อขออนุมัติเปิดสอบ ซึ่งอาจเปิดเฉพาะหน่วย หรือเปิดรับพร้อมๆ กับหน่วยอื่นที่มีความต้องการอัตรากำลังในห้วงเวลาเดียวกัน
          3.การรับบุคคลพลเรือนเข้าเป็นทหารในสาขาวิชาเฉพาะ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษตามที่หน่วยต้องการ โดยมากเป็นสาขาวิชาหายากหรือที่กองทัพขาดแคลน หรือเป็นไปตามนโยบายของกองทัพ เช่น บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านภาษาจีน, นักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่ขาดแคลน เป็นต้น
          วิธีการจะเป็นการรับวิธีพิเศษ ไม่มีเปิดสอบเป็นการทั่วไป แต่จะคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ต้องการ แล้วบรรจุเข้ารับราชการโดยการอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ เช่น ปลัดกระทรวงกลาโหม
          ทั้งนี้ เป็นที่รู้กันดีว่าการรับบุคคลพลเรือนประเภทที่ 3 เปิดช่องให้บรรดาลูกหลานของผู้ใหญ่ในกองทัพเข้ารับราชการได้โดยไม่ผ่านการสอบตามกระบวนการปกติ ซึ่งมีมาทุกยุคทุกสมัย วิธีการที่ทำกันก็คือ การออกคำสั่งกำหนดคุณสมบัติของบุคลากรที่ต้องการบรรจุเข้ารับราชการให้ตรงตามคุณสมบัติและวุฒิการศึกษาของบุตรหลานผู้ใหญ่ในกองทัพที่ฝากฝังเข้ามา จากนั้นก็เสนอให้ผู้มีอำนาจลงนามอนุมัติ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ โดยส่วนใหญ่จะกระทำกันก่อนที่ผู้ใหญ่รายนั้นจะเกษียณอายุราชการ ถือเป็นเทศกาลหรือช่วงเวลาที่ทำกันเป็นประจำทุกปี
          จากการตรวจสอบข้อกฎหมายกับหน่วยทหารที่เกี่ยวข้อง ได้รับการยืนยันว่า การเปิดรับบุตรหลานของผู้ใหญ่ในกองทัพเพื่อบรรจุเข้ารับราชการโดยไม่ผ่านการสอบคัดเลือกนั้น หลายกรณีทำให้กำลังพลที่อยู่ในสายงานเดียวกัน และมีคุณสมบัติตรงตามอัตราตำแหน่งที่ว่าง ต้องสูญเสียโอกาสความเจริญก้าวหน้าไป ซึ่งสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ แต่ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าดำเนินการ เพราะถือเป็นวัฒนธรรมของกองทัพที่ปฏิบัติกันมานานจนเป็นที่รับรู้กันดี

ให้คสช. มีอำนาจเลือก ส.ว. 250 คนแรก

ให้คสช. มีอำนาจเลือก ส.ว. 250 คนแรก

บทเฉพาะกาล ของร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในวาระเริ่มแรกมี 250 คน มาจากการคัดลือกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกือบทั้งหมด และมี ส.ว.โดยตำแหน่งที่เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ อีก 6 คน ด้วยเหตุว่าจะเข้ามาประคับประคองประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ซึ่งเป็นการร่างแทบจะตามข้อเสนอที่ คสช. ขอมา

[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4069]

ร่างรัฐธรรมนูญเปิดทาง "นายกฯ คนนอก"

ร่างรัฐธรรมนูญเปิดทาง "นายกฯ คนนอก"

ร่างรัฐธรรมนูญเปิดทางให้รัฐสภาตั้ง 'นายกฯ คนนอก' ได้ ในมาตรา 272 สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงครั้งเดียว และต้องอาศัย


1) ส.ส.ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 250 คน เสนอต่อประธานรัฐสภาว่าจะเลือกนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากรายชื่อที่พรรคการเองแจ้งไว้า
2) รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว.ทั้งหมด ลงมติด้วยคะแนนเสียง 2 ใน 3 หรือ 500 คนจาก 750 คน อนุมัติ
3) ส.ส. เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 หรือ 50 คนเสนอชื่อบุคคลใดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 251 คน

[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4068]

โรดแมปสู่การเลือกตั้ง สิ้นปี 60

1. โรดแมปสู่การเลือกตั้ง สิ้นปี 60

ร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดขั้นตอนไปสู่การเลือกตั้งว่า หลังจากวันออกเสียงประชามติที่คาดว่าจะเป็น 7 สิงหาคม 2559 หากผล คือ เห็นชอบ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างรัฐธรรมนูญทูลเกล้าฯ ถวายภายใน 30 วัน เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้แล้ว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.) ภายใน 240 วัน และส่งร่าง พรป. ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาภายใน 60 วัน และดำเนินการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ พรป. 4 ฉบับ มีผลบังคับใช้

รวมความแล้ว หลังวันออกเสียงประชามติ 7 สิงหาคม 2559 ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 30+240+60+150 = 480 วัน หรือ 16 เดือน กว่าจะถึงวันเลือกตั้ง คาดว่าจะได้เลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรอย่างเร็วประมาณเดือนธันวาคม 2560

[อ่านต่อที่ http://ilaw.or.th/node/4070]

"สมเกียรติ"ประกาศไม่รับร่างรธน.ฉบับลงประชามติ

18 เม.ย. 59 ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และอดีต ส.ว.สุพรรณบุรี ทวีตข้อตวามผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว @somkiatonwimon ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ พร้อมแนะนำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ ข้อความว่า
ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ของ คสช. เหตุเพราะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่แรกเริ่มกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ
ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ของ คสช. เหตุเพราะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยในเนื้อหาบทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญ
ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ของ คสช. เพราะไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ที่มาก็ไม่ใช่ ที่จะไปก็ไม่มี...ประชาธิปไตย !
รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยยั่งยืนต้อง ร่างให้เป็นประชาธิปไตย และ ให้มีกระบวนการหลอมรวมจิตวิญญาณของชาติและประชาชน
เนื้อหาของรัฐธรรมนูญนั้นสำคัญ ใครๆ ก็ร่างได้ ที่ยิ่งใหญ่กว่าและขาดหายไปคือจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญที่ต้องมาจากประชาชน
ทางออกของประเทศไทยง่ายนิดเดียว คือ คสช. ร่วมทำงานสร้างชาติกับประชาชนไปด้วยกันพร้อมกัน โดยให้ประชาชนมีอำนาจเหนือ คสช. อย่างนี้ทำอะไรก็สำเร็จ

“พรรคเพื่อไทย”ออกแถลงการณ์ ให้ปล่อยตัว”วัฒนา”โดยปราศจากเงื่อนไข


วันที่ 18 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอให้ปล่อยตัวนายวัฒนา เมืองสุข โดยปราศจากเงื่อนไข ความว่า ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังที่นายวัฒนา เมืองสุข ได้แสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับการไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คสช.ได้สั่งการให้ทหารไปที่บ้านของนายวัฒนาฯ เพื่อควบคุมตัวแต่ไม่พบตัวนายวัฒนาฯ และในวันนี้นายวัฒนาฯ ได้เข้าพบทหารด้วยตนเองตามที่ได้แถลงผ่านสื่อไปแล้ว ปรากฏว่าทหารได้ควบคุมตัวนายวัฒนาฯ ไว้โดยไม่ปรากฏข้อกล่าวหาใดๆ นั้นพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นและเผยแพร่ความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง บนพื้นฐานของความสุจริตและไม่ขัดต่อกฎหมาย การกระทำของนายวัฒนาฯ หรือบุคคลใดก็ตามในลักษณะดังกล่าว ไม่ควรที่จะถูกกล่าวอ้างจาก คสช.ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย และไม่ควรที่จะถูกควบคุมตัวโดยปราศจากข้อกล่าวหาใดๆ
ดังนั้น การที่ทหารได้ควบคุมตัวนายวัฒนาฯ ไว้ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างอย่างไร ย่อมถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลอย่างร้ายแรง เป็นการใช้อำนาจที่เกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นและเกินสมควรแก่เหตุ มองบุคคลที่เห็นต่างเป็นศัตรูทางการเมือง การใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมดังกล่าว จึงไม่อาจที่จะทำให้ประเทศชาติบรรลุซึ่งการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ความรู้รักสามัคคี และความเป็นธรรมแต่อย่างใด
พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องให้ คสช.ได้เปิดโอกาสให้บุคคลที่เห็นต่างได้แสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ยิ่งในภาวะที่บ้านเมืองต้องการความปรองดองสมานฉันท์ด้วยแล้ว คสช.ต้องไม่ใช้อำนาจพิเศษของตนเพื่อลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้คสช.ปล่อยตัวนายวัฒนาฯ ในทันทีโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ และพรรคเพื่อไทยพร้อมที่ จะแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของพรรคต่อการกระทำใดๆ ที่เห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าผู้ถูกกระทำจะเป็นสมาชิกของพรรคหรือไม่

ปล่อยอีก! ปธน.พม่าอภัยโทษ”นักโทษการเมือง” 83 คน


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 17 เมษายน ทางการพม่าเปิดเผยว่า นายติน จ่อ ประธานาธิบดีพม่า ลงนามคำสั่งให้อภัยโทษนักโทษ 83 คนที่ถูกควบคุมตัวไว้ฐานก่ออาชญากรรมทางการเมือง
คำสั่งที่ถูกลงนามขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ระบุว่า การอภัยโทษมีขึ้นเพื่อ “ความปรองดองในประเทศและความสงบของจิตใจ” ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองปีใหม่พม่า
เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำกรมราชทัณฑ์พม่าให้สัมภาษณ์โดยไม่ขอเปิดเผยชื่อว่า “เท่าที่ผมรู้จนถึงตอนนี้ ผู้คนที่ถูกปล่อยตัวเป็นผู้คนที่ถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนพิจารณาว่าเป็นนักโทษการเมือง” และในที่ถูกปล่อยตัว ยังรวมถึงผู้สื่อข่าวและผู้บริหารจากหนังสือพิมพ์ยูนิตีเจอร์นัลรวม 5 คนด้วย โดยพวกเขาถูกตัดสินโทษเมื่อปีที่ผ่านมา ให้เข้าค่ายแรงงาน 10 ปี ฐานที่พวกเขารายงานข่าวอ้างถึงโรงงานอาวุธเคมีของกองทัพ
พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย พรรครัฐบาลพม่าที่เพิ่งคว้าชัยเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ได้ทำการปล่อยตัวหรือยกเลิกข้อหาประชาชนถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมทางการเมืองไปแล้ว 282 คน นับตั้งแต่ขึ้นสู่อำนาจเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

ปัดฝุ่นพรรคพลังธรรม

matichonweekly
2 ชม.
(18 เม.ย.) นายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษารองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Paisal Puechmongkol' ระบุว่า
.
ผลจากการพูดคุยกลุ่มย่อยกลุ่มละ 3-4 คน นานนับเดือน สรุปข่าวว่า
1. ชาวพรรคพลังธรรม อดีตแกนนำพันธมิตรบางท่าน อดีตแกนนำ กปปส และภาคประชาชน จะฟื้นพรรคแนวทางพลังธรรม เพื่อระดมผู้รักชาติและคนดีมีความเสียสละทั่วประเทศเข้าสู่สนามเลือกตั้งเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่เคยโหวตโน ที่ต่อต้านการเมืองแบบอัปรีย์ไปจัญไรมา
.
2.ตกลงตั้งพรรคการเมืองของประชาชน
ตกลงกำหนดอุดมการณ์ธรรมรัฐ ที่ใช้หลักนิติธรรมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมุ่งเน้นแก่นแท้การปกครองแบบธรรมาธิปไตย
.
ตกลงเป้าหมายในการฟื้นฟูชาติให้มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
.
ตกลงระดมพลังของประชาชนที่เคยร่วมปกป้องรักษาชาติในรอบ 12ปี ที่ผ่านมาเป็นพลังพื้นฐานของพรรค
.
ตกลงมอบหมายการสร้างพรรคเป็น 3 ทีม มอบหมายนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นหัวหน้าทีมประสานงานการเมืองและเข้าร่วมตั้งรัฐบาล
.
3.ต่อไปจะตั้งคณะกรรมการเตรียมการเลือกตั้ง
คิดตามดูกันต่อไปครับ

‘บิ๊กติ๊ก’ยันตั้งลูกชายเป็นทหารถูกต้องตามขั้นตอน พร้อมแจง ป.ป.ช.

‘บิ๊กติ๊ก’ยันตั้งลูกชายเป็นทหารถูกต้องตามขั้นตอน พร้อมแจง ป.ป.ช. บิ๊กป้อมลั่นเป็นอำนาจ ชี้เรื่องธรรมดา


“บิ๊กติ๊ก” ยัน ตั้งบุตรเป็น “ทหาร” ถูกต้องตามขั้นตอน พร้อมชี้แจง ป.ป.ช. ชี้คุณสมบัติเหมาะสม ด้าน “บิ๊กป้อม” รับเป็นอำนาจตน จะตั้งใครก็ได้
เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งนายปฏิพันธ์ จันทร์โอชา บุตรชายเป็น รรท.นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือนกองทัพภาคที่ 3 ว่า เป็นอำนาจของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมอบหมายอำนาจให้ตนเป็นผู้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าว ทั้งนี้ขอยืนยันว่ากระบวนการดังกล่าวถูกต้องตามขั้นตอน อีกทั้งมีหลักฐาน เพราะอยู่เฉยๆ จะไม่สามารถไปบรรจุได้
เมื่อถามว่าสาเหตุเป็นเพราะนามสกุลจันทร์โอชา เลยถูกนำมาโจมตีหรือไม่ พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า “พี่ชายผมก็เป็นทหาร โตมาจากครอบครัวทหาร ส่วนลูกชายของผมก็เรียนจบสื่อสารมวลชน และก็ตรงตามสายงานที่บรรจุพอดีในส่วนของกองกิจการพลเรือน ที่เน้นการทำงานเกี่ยวกับมวลชน งานด้านจิตวิทยา รวมทั้งงานประชาสัมพันธ์”
เมื่อถามว่าทางออกของประเด็นนี้จะเป็นรอย่างไร พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอนุมัติบรรจุแล้ว บุตรชายตนต้องมารายงานตัว เพื่อทำงานต่อไป
เมื่อถามต่อว่า คำสั่งดังกล่าวหลุดออกมาจากคนใกล้ตัวหรือไม่ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ตนไม่ทราบ อย่างไรก็ตามต้องมีการตรวจสอบว่าเอกสารดังกล่าวออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณะได้อย่างไร
ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ไปร้องเรียนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบว่าการใช้อำนาจดังกล่าวขัดกับต่อประมวลจริยธรรม พล.อ.ปรีชา กล่าวว่า ทางพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งคำสั่งดังกล่าวปฏิบัติตามข้อระเบียบบังคับที่ถูกต้องตามขั้นตอน ไม่ใช่ตนแต่งตั้งขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ตนจะรอ ป.ป.ช.นัดไปชี้แจง ขณะเดียวกันทางนายกรัฐมนตรีก็รับทราบในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งท่านไม่ได้ว่าอะไร

ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นอำนาจของตน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยตนจะรับใครทำงานได้ทันทีทันใด เพราะว่าบางตำแหน่งดังกล่าวกองทัพกำลังขาดแคลนอยู่ อีกทั้งเป็นสาขาพิเศษที่ตนมีอำนาจในการรับบุคคลได้ หากมีคุณสมบัติครบ เช่น จบปริญญาตรี รับการตรวจสุขภาพเรียบร้อย และไม่มีคดีความติดตัวก็สามารถรับเข้าเป็นทหารได้เลย ซึ่งบางตำแหน่งไม่จำเป็นต้องมีการสอบแข่งขัน นอกจากว่าจะมีคนมาสมัครตำแหน่งดังกล่าวเป็นจำนวนมากก็จะต้องเปิดสอบ ซึ่งเรื่องพวกนี้บางครั้งต้องขอร้อง เพราะบางทีเขาไม่อยากจะมา บางคนไม่อยากเข้า โดยเฉพาะพวกที่มีคุณสมบัติพิเศษของแต่ละบุคคล
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ถูกมองเป็นระบบอุปถัมภ์ หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เอาน่า ไม่เป็นอะไรหรอก”
เมื่อถามว่าการที่มีเอกสารลับหลุดออกมามีความเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เอกสารนี้ไม่ได้เป็นเอกสารลับ ถือเป็นเอกสารปกติ เพราะขั้นตอนทุกอย่างถูกต้อง”

พระพุทธะอิสระ ฟ้องหมิ่นพระเมธีธรรมมาจารย์ พร้อมพวก

พระพุทธะอิสระ ฟ้องหมิ่นพระเมธีธรรมมาจารย์ พร้อมพวก ผิด.พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ศาลนัดไต่สวนรับฟ้องหรือไม่ 12 ก.ย.
Cr:ผู้จัดการ
วันนี้( 18 เม.ย.)เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เดินทางมายื่นฟ้อง พระเมธีธรรมมาจารย์ หรือ ประสาร จันทสาโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสมหาธาตุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ รองคณะบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา พระอธิการฉัตรชัย อธิจิตโต เจ้าอาวาสวัดบางใหญ่ ต.บางจาก จ.นครศรีธรรมราช ประธานองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ และพระปลัดนรุตม์ชัย อภินันโท เป็นจำเลยที่ 1 - 4
ในความผิดฐาน ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ตาม ป.อาญา มาตรา 309 , ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา328 ,83 , 84 , 85 และความผิดตาม พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2535 มาตรา 25 และ กฎมหาเถรสมาคม พ.ศ.2551

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 มี.ค.-5 เม.ย.2559 ได้มีการประกาศอุกเขปนียกรรม กับหลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งเป็นโทษตามพระธรรมวินัย ที่จะลงโทษแก่พระภิกษุสงฆ์ละเมิดพระธรรมวินัย โดยขั้นตอนดังกล่าวมิชอบตาม พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ทั้งนี้เบื้องต้นศาลได้รับคำฟ้องไว้ โดยนัดฟังคำสั่งจะรับคดีไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 12 ก.ย.2559 เวลา 09.00 น.
ภายหลังหลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า ในวันนี้มายื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่ เนื่องจากได้ชักชวนและสั่งการให้ภิกษุที่เป็นเจ้าคณะปกครองที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับตนเอง กระทำกรรมที่ละเมิดหลักธรรมวินัย เรื่องการลงทัณฑ์อุกเขปนียกรรม คือไม่ให้พระสงฆ์อื่นๆร่วมสังฆกรรมกับตนเอง นอกจากนี้จำเลยกับพวกยังละเมิดกฎหมายปกครองสงฆ์ จึงขอใช้สิทธิตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมืองอย่างถูกต้อง ถือเป็นการสั่งสอนให้หลาบจำต่อพฤติกรรมใช้พวกมากข่มเหงผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม ส่วนการหมิ่นประมาทอื่นๆ ก็จะได้มีการถอดคำเทปคำพูดเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อจะยื่นฟ้องฐานนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในสัปดาห์หน้าต่อไป

มองชีวิตสมคิด ศรีสังคม ผ่านสายตาลูกชาย-ศักดา ศรีสังคม


“น้ำตาคลอ! ลูกเป่าแคนให้พ่อวัยชราที่นอนป่วยอยู่ฟัง”
เป็นชื่อคลิปอันเป็นภาพของบุตรชายคนหนึ่งกำลังเป่าแคนอย่างเต็มกำลังฝีมือให้แก่คุณพ่อในวัยชราภาพซึ่งนอนพักอยู่บนเตียงได้รับฟัง
ชายชราที่ดูอ่อนแรงนั้นกลับขยับไม้ขยับมือด้วยท่าทางเปี่ยมสุข ตามจังหวะของเสียงแคนที่ลูกชายบรรจงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนักคลิปนี้ได้แพร่หลายในสื่อโซเชียลจนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ได้สร้างความซาบซึ้งใจแก่ผู้คนที่ได้รับชมเป็นอย่างมาก
“ปู่ท่านนี้คือ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.อุดรธานี อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.อุดรธานีเด้อครับ?”
นี่คือหนึ่งในคำพูดในสื่อโซเชียลที่มีต่อคลิปนี้
จนนำไปสู่การสืบเสาะตามหา สุดท้ายแล้วก็พบว่าชายชราผู้นี้คือ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม อดีตหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.อุดรธานี, อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.อุดรธานี, ประธานโครงการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย (ครป.) เพื่อรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2521 และเป็นผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์เศรษฐกิจทวีปยุโรป จากยุคดึกดำบรรพ์ถึง ค.ศ.1750
ปัจจุบันอายุ 100 ปีแล้ว
ส่วนชายผู้เป่าแคนนั้นก็คือ ศักดา ศรีสังคม บุตรชายคนสุดท้องของ พ.อ.สมคิด
หลังจากเหตุการณ์ในคลิปไม่นานนัก วิวรรธนไชย ณ กาฬสินธุ์ อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคไทยรักไทย ได้นำคณะ ส.ส.เข้าเยี่ยม พร้อมด้วย หมอแคนแห่งรัฐสภา อดิศร เพียงเกษ ที่มาเป่าแคนให้ฟังถึงที่เพื่อเป็นกำลังใจ
ทั้งนี้ ศักดาเล่าว่า ปัจจุบันคุณพ่อมีอาการนอนหลับลึกกว่า 90%  ลืมตาได้บ้างบางครั้ง รับอาหารผ่านทางช่องท้อง เนื่องจากมีการเจาะที่คอเพื่อช่วยหายใจ จึงไม่สะดวกรับอาหารทางปาก เพราะจะทำให้สำลัก แต่ถึงอย่างไรเมื่อฟังเสียงแคนท่านจะมีปฏิกิริยาตอบรับเสมอ
“ท่านชอบเสียงแคนมากแม้จะเป่าไม่เป็น ผู้มาเยี่ยมเยียนจึงมักจะนำแคนมาเป่าให้ท่านฟัง เพราะทุกคนต่างทราบดีเมื่อท่านฟังเสียงแคน จะมีความสุขยกมือทำท่าทางตามเสียงแคน” ศักดาเล่าให้ฟัง
แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จากชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ทางการเมืองของ พ.อ.สมคิด
เรื่องเล่าจากบรรทัดต่อไปนี้ จะเพิ่มเติมส่วนที่เหลือในชีวิตของอดีตหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
ผ่านสายตาของบุตรชาย “ศักดา ศรีสังคม”

 นิยามเมื่อพูดถึงคุณพ่อ ?

ท่านไม่ใช่คนดุดัน แต่เป็นนักสู้ ล้มแล้วลุก สู้ต่อ สู้ไปเรื่อยๆ จะเห็นหนทางชนะหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านก็ยังคงสู้ต่อไป
ช่วงเวลาในชีวิตที่ท่านดูท้อแท้ เศร้าซึม เคยเห็นอยู่ครั้งเดียวคือตอนที่ท่านมีหนี้มากจากการที่ไปค้ำประกันผู้อื่นแล้วต้องมารับภาระหนี้แทน ท่านก็สู้นะครับ ขายทรัพย์สินบ้านช่อง ให้หักเงินเดือนผู้แทนผ่อนหนี้เป็นเวลานาน จนมีผู้ใหญ่เห็นใจ เจรจาลดหนี้ให้
ท่านเคยสอนว่าทุกข์ไหนไม่มีเท่าทุกข์จากหนี้ พอหมดจากภาระหนี้ ท่านมีพลังเพิ่มขึ้นมหาศาล

สิ่งที่คุณพ่อมักพูดให้ฟังเมื่อสมัยยังเด็ก ?

ตอนเด็กๆ เวลาคุณพ่อขับรถไปส่งที่โรงเรียนหรือพาไปทำธุระที่ไหน ท่านจะคุยเรื่องบ้านเมืองให้ฟังระหว่างนั่งในรถ วิจารณ์ปัญหาต่างๆ เช่น การขาดการวางผังเมืองของกรุงเทพฯสมัยนั้น ท่านก็จะบอกว่าสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ท่านเสด็จฯยุโรปเห็นบ้านเมืองเขาเป็นระเบียบ ก็กลับมาออกแบบถนนให้ใหญ่กว้างขวางอย่างถนนราชดำเนิน
แต่สมัยหลังผู้ปกครองประเทศเอาแต่แย่งชิงอำนาจกัน ไม่สนใจเรื่องการวางแผน ปล่อยให้สร้างถนนหนทางกันอย่างไร้ระเบียบ
ส่วนผู้คนก็ไม่ค่อยมีใครยอมเสียสละ สร้างรั้วเสียติดขอบที่ดินทำให้เป็นซอยแคบๆ เล็กๆ สวนทางกันลำบาก ท่านเองก็ทำตามความเชื่อของท่านว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ คือ บ้านที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ของท่าน ท่านก็เว้นที่สร้างรั้วโดยขยับจากขอบแนวที่ดินเข้ามาประมาณเมตรครึ่งแล้วปลูกหญ้าให้ที่ดูกว้างสบายตา ถ้ารถจะหลบหลีกทางกันก็ทำได้สะดวก

สิ่งที่เรียนรู้จากคุณพ่อคืออะไร ?

หลายอย่างก็เรียนรู้จากการกระทำของคุณพ่อ โดยซึมซาบเข้าไปเอง เช่น การพูดดีๆ ไม่ดูถูกคน มองทุกคนเหมือนญาติ ไม่ว่าจะคนที่ช่วยงานในบ้านเรา บ้านญาติ บ้านเพื่อน หรือคนบริการขายของ หรือคนงาน ชาวไร่ชาวนา
ผมก็เพิ่งมารู้เมื่อไม่นานนี้เองตอนมาอ่านประวัติที่ท่านเขียนว่า แม่ของท่านสอนไม่ให้ด่าว่าคนอื่น แม้เป็นลูกจ้าง ซึ่งคุณพ่อเขียนไว้ว่า “…แม่ยังสอนให้นำกิริยามารยาทอันดีงามดังกล่าวไปใช้กับลูกจ้าง คนงานของเราด้วย เมื่อแม่ได้ยินลูกๆ ด่าติเตียนบุคคลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ แม่ก็จะตักเตือนว่า หากคนงานหรือคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นกับเราทำอะไรไม่เป็นที่พอใจของเราแล้ว อย่าไปด่าไปว่าเขา พูดกับเขาดีๆ สอนเขาดีๆ ถ้าเขาดีหรือเก่งเหมือนเรา เขาก็ไม่มารับจ้างเราหรอก ไม่หนีร้อนมาพึ่งเย็นกับเราหรอก… คำสอนของแม่ยังคงก้องอยู่ในหูของข้าพเจ้ามาจนกระทั่งทุกวันนี้…”

ส่วนตัวเคยนำคำสอนของคุณพ่อไปปฏิบัติจริงอย่างไรบ้าง

คำสอนของท่านทำให้เวลาเห็นชาวบ้านที่ไหนก็ไม่รู้สึกแบ่งแยก เขาอาจจะเป็นญาติเราก็ได้ มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย ครั้งหนึ่งตอนผมไปเรียนอยู่ญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีชาวบ้านที่แอบไปทำงานที่นั่น อยากกลับเมืองไทย เลยมาติดต่อผมและขอให้พาไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น เราก็พาไปให้ ดีที่ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้ เลยบอกว่าเจออยู่ข้างถนนเลยพามา ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะเข้าใจผิดว่าไปเกี่ยวข้องกับการลักลอบคนงานเข้าเมือง (หัวเราะ)

นอกจากมุมจริงจัง ในอีกมุมท่านเป็นคนอย่างไร ?

ตอนเป็นเด็ก ก็จะได้นั่งรถไฟชั้น 1 ติดตามคุณพ่อที่ได้สิทธิของผู้แทนฯขึ้นฟรี ตอนนั้นคุณพ่อน่าจะเริ่ม 50 กว่า ตู้ชั้น 1 ตอนถึงอุดรฯจะอยู่ห่างจากตัวสถานีไปหน่อย ทำให้ต้องลงเดินข้างรางรถไฟ เช้าวันนั้นมืดๆ หน่อย เจ้าหน้าที่รถไฟก็ตะโกนมาว่า ลุงๆ มาทางนี้ คุณพ่อทำเป็นไม่ได้ยิน บ่นอุบว่ามาเรียกเราว่าลุงได้ยังไง (หัวเราะ)
มีอยู่เรื่องหนึ่งอย่างกับนิยายแผลเก่า ตอนพ่อไอ้ขวัญบุกไปขอเมียให้ไอ้ขวัญที่กำลังคร่ำครวญอยู่ คือว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งตอนผมเป็นนักเรียนนอกญี่ปุ่นและยังโสด เคยรำพึงกับคุณพ่อว่าเสียใจเพราะสาวที่บ้านนอกมีคู่แล้ว ปรากฏว่าคุณพ่อเป็นทุกข์ตาม ไม่ถามอะไรผมเลยแต่ให้ญาติไปติดต่อทางโน้นและมาบอกผมว่าเขายังไม่มีแฟน
แต่คนที่ไม่มีแฟนนั่นมันคนน้อง แต่คนที่ผมหมายถึงคือคนพี่…
สุดท้ายแล้วเขินมากตอนคนพี่โทรมาบอกว่าน้องเขายังไม่มีแฟนนะ เลยต้องสารภาพบอกความจริงกันทางโทรศัพท์ สุดเขินเลยครับตอนนั้น พ่อนะพ่อ (หัวเราะ)

ตอนเติบโตเห็นชีวิตการทำงานและด้านอื่นอย่างไรบ้าง ?

คุณพ่อขยันมาก รักงานวิชาการ ช่วงไม่มีงานสภาให้ทำ ท่านก็ค้นคว้าเขียนหนังสือประวัติศาสตร์เศรษฐกิจทวีปยุโรป จากยุคดึกดำบรรพ์ถึง ค.ศ.1750 ท่านทุ่มเทเวลากับหนังสือเล่มนี้มาก จะพูดเสมอว่าการเข้าใจประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของโลกนั้นสำคัญมาก ไปอังกฤษท่านก็จะเข้าร้านหนังสือ อ่านเพลินจนโดนคนขโมยกระเป๋าเอกสาร ยังดีครับที่ขโมยยังใจดีเอาแต่เงินแล้วโยนกระเป๋าที่มีพาสปอร์ตทิ้งไว้ในที่จอดรถใกล้ๆ ตำรวจลอนดอนเลยหาคืนมาให้ได้

ช่วง 6 ตุลาคม 2519 เกิดอะไรขึ้นบ้าง ?

คุณพ่อกลับจากประชุมระดับนานาชาติของสมาชิกสภาทั่วโลกที่สวิตเซอร์แลนด์ มาถึงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม ผมเป็นคนไปรับคุณพ่อจากสนามบินดอนเมืองและพาไปซ่อนตัว โดยญาติที่เป็นตำรวจสั่งให้พามาอยู่เงียบๆ ที่แฟลตตำรวจแถวเตาปูน แม้แต่แม่หรือพี่สาว ผมก็ไม่บอกว่าพาคุณพ่อไปไว้ที่ไหน
จากนั้นคุณพ่อก็จะให้คอยไปถามเพื่อนของท่านที่เป็นนักกฎหมายซึ่งมีฐานะจากตระกูลเก่าแก่ จำได้ว่าท่านมีออฟฟิศแถวสี่แยกคอกวัว ผมโทรติดต่อขอเข้าไปพบ ออฟฟิศท่านอย่างกับหนังเจมส์บอนด์เลยครับ มีประตูกระจกเงาให้ผลักเข้าไปเหมือนประตูลับ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่มีใครทำอันตรายคุณพ่อหรอก คุณพ่อไม่ได้เป็นเป้าหมายอะไร
หลังจากนั้นคุณพ่อก็กลับมาอยู่บ้านที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ จำได้ว่าท่านกำลังทำสวนก็มีคนเอาหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวว่า “สมคิดข้ามไปลาว” มาให้ท่านดู ก็ตลกดี คงเป็นเพราะเราพาท่านไปเก็บตัวได้ดีมาก นักข่าวเลยไม่รู้ว่าอยู่กรุงเทพฯมาโดยตลอด

ส่วนตัวมีส่วนช่วยการทำงานของคุณพ่ออย่างไรบ้าง ?

ทั้งครอบครัวที่มีคุณแม่ พี่สาว 3 คน และผม จะช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งเมื่อมีโอกาส ผมเป็นผู้ชายก็จะได้บู๊กว่าหน่อย ยุคหนึ่งที่มักมีการก่อกวนกัน ก็มีเรื่องตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ เช่น ตอนเยี่ยมหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้ข่าวไม่ดีมาก็ต้องรีบถอยออกก่อนมืด ผมต้องนอนหมอบราบไปกับตำรวจคุ้มกันบนหลังคารถสองแถวที่เร่งความเร็วหนีไปตามทางลูกรัง
มีอีกครั้งที่ทุ่งศรีเมือง อุดรฯ คุณพ่อปราศรัยได้ไม่นานก็มีรถบัสขนคนมา ผมยังวัยรุ่นก็ชอบถ่ายรูป แต่พอระเบิดควันลงเท่านั้นแหละ ก็วิ่งขึ้นรถปิกอัพที่กำลังออกตัวหนีแทบไม่ทัน (หัวเราะ)

แล้วคุณแม่ ?

คุณแม่เป็นคนไม่พูดไม่บ่นให้ได้ยินว่าเหตุการณ์อันตรายขนาดไหน แต่ท่านก็คอยระวังเรื่องความปลอดภัยของลูกๆ แทนคุณพ่อ ผมมาทราบภายหลังว่าที่เด็กๆ ต้องย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนคุณแม่คนละแห่งอยู่พักหนึ่งเพราะถูกเตือนว่าช่วงนั้นอยู่บ้านอาจไม่ปลอดภัย
ความที่คุณแม่เป็นคนอังกฤษที่ไม่เก่งภาษาไทย ทำให้แม้คนจะด่าว่าขู่เรื่องคุณพ่อทางโทรศัพท์ บทความหนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ ท่านก็ไม่เข้าใจเท่าไร จึงไม่เครียดตามไปด้วยมากนัก (ยิ้ม) คุณแม่ชอบไปเยี่ยมชาวบ้านตามหมู่บ้านในภาคต่างๆ ช่วยนำสินค้าหัตถกรรมมาขายในหมู่เพื่อนฝูงชาวต่างประเทศของท่าน

อุดมการณ์ที่ท่านยึดถือมาโดยตลอด ?

ช่วยชาวบ้านที่ลำบากและมาร้องทุกข์ จะเห็นภาพคุณพ่อนั่งพิมพ์สองนิ้วอย่างคล่องแคล่วที่เครื่องพิมพ์ดีดตั้งแต่กลางวันจนดึกดื่นเพื่อทำเรื่องร้องทุกข์ให้ชาวบ้าน ทั้งในช่วงที่ได้เป็นผู้แทนและช่วงที่ไม่ได้เป็น นั่นคือสิ่งที่ท่านยึดเป็นหลักในการทำงานมากที่สุด

ทำไมท่านชอบเสียงแคน ?

น่าจะชอบมาตั้งแต่เกิดมั้งครับ ดนตรีท้องถิ่นทุกอย่างท่านชอบ การร้องหมอลำเล่าเรื่องต่างๆ ท่านชอบฟังมาก แต่ท่านเองเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็น คงเป็นเพราะไม่มีเวลาให้ด้านนี้ ด้วยต้องทำงานไปพร้อมกับเรียนหนังสือตั้งแต่เล็ก ท่านถูกพี่ชายบังคับให้จากบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 11 ขวบ โดยพี่ชายให้ขี่ซ้อนหน้ารถจักรยานถีบไปตามทางเกวียนกว่า 70 กม.เข้าสู่เมืองอุดรธานี มาฝากกับภรรยาข้าราชการในเมืองอุดรให้อาศัยอยู่บ้านช่วยงานพร้อมกับเรียนหนังสือ
ดังนั้น ท่านจะผูกพันกับพี่ชายมาก ที่สำคัญพี่ชายของท่านจะเป็นคนที่ชอบเป่าแคน เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกจากกัน เสียงแคนจึงเป็นเสมือนตัวแทนของพี่ชายของท่านเสมอ
 ที่มา : http://www.matichon.co.th/news/107321
ชีวิตของ ศักดา ศรีสังคม กับเสียงแคนที่สร้างโอกาส
ถามถึงความทรงจำเกี่ยวกับ พ.อ.สมคิด ผู้เป็นพ่อไปมาก
ศักดาเองก็ได้เผยชีวิตส่วนตัวให้ฟังกับความทรงจำในมุมหนึ่งกับเรื่อง “แคน”
ศักดาเล่าว่า จุดเริ่มต้น คือ คุณพ่อพาหมอแคนที่ชื่อว่า ผ่าน เป็นคนตาบอดซึ่งเป่าแคนเก่งมากให้มาพักที่บ้านในกรุงเทพฯ อยู่ 2-3 เดือนเพื่อสอนตน
“พี่ผ่านเป่าลายเพลงเป็นท่อนๆ ให้ผมดูนิ้วและฟังเสียง แล้วผมก็เป่าตาม จากนั้นช่วงปิดเทอมผมก็ตามไปเรียนกับพี่ผ่านต่อที่หมู่บ้านเขาในต่างจังหวัด
“บางวันก็พายเรือตามไปนอนเรียนที่แพติดสะดุ้ง หรือยอขนาดใหญ่ไว้จับปลาที่ห้วยน้ำใหญ่ พี่ผ่านจับปลาไปด้วย สอนแคนไปด้วย แกตาบอดแต่มีเมีย-มีลูก
“สองคนผัวเมียหาปลาได้ก็ทำปลาร้าปลาแดกใส่ไหบรรทุกท้ายรถ 3 ล้อเครื่อง ที่พี่ผ่านเป็นคนขับแล้วเมียเป็นคนบอกทางไปขายถึงขอนแก่น” ศักดาเล่า
ต่อมาเขาก็ไปเรียนกับคุณลุง “คำผอง” พี่ชายของคุณพ่อ เป็นลุงคนที่พ่อผูกพันมากและเป็นคนเดียวกันกับที่บังคับให้พ่อเรียนหนังสือ
“คุณลุงมีประวัติที่น่าทึ่งมาก ท่านเป็นทั้งกำนัน พ่อค้า ครูประชาบาล ท่านเป็นคนรูปหล่อสูงเพรียว เดินทางค้าขายทั้งสองฝั่งโขงด้วย สมัยนั้นแม่น้ำโขงไม่ได้เป็นพรมแดน แต่เป็นเส้นทางคมนาคมไปมาหาสู่กัน
“เล่าลือกันว่าท่านจะมีแคนติดมือไปด้วย และตกค่ำจะเป่าเพลงเย็นๆ จีบสาวในหมู่บ้านที่ท่านไปค้างแรม ชาวบ้านสมัยนั้นมักจะพูดให้หัวเราะกันว่า สองมือก็ไม่พอนับจำนวนผู้สาวที่ท่านมีตามหมู่บ้านสองฝั่งโขง”
หลังจากเล่าเรียนจนเป่าได้ชำนาญ ต่อมาศักดาได้ทุนไปเรียนมัธยมปลายที่แคนาดาก็เอาแคน พิณ และหึนไปแสดงด้วย จนได้อยู่ในคณะวัฒนธรรมของโรงเรียนเวลาแสดงงานต้อนรับแขก
“ตอนนั้นมีเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นประธานและพระองค์ท่านก็เสด็จมาเยี่ยมโรงเรียน ผมเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ได้แสดงถวาย เลยได้รับคัดเลือกให้นั่งโต๊ะทานอาหารเย็นกับพระองค์ในโรงอาหารพร้อมกับนักดนตรีอื่นอีก 6-7 คน ก็ต้องขอบคุณแคนนี่แหละครับ
สมคิด ศรีสังคม
“นอกจากนี้ตอนโบกรถข้ามประเทศแคนาดา 8,000 กม. ก็หอบแคนไปเป่าให้คนที่ใจดีรับเราไปส่งด้วย จนบางคนพาไปพักบ้านเลี้ยงดูอย่างดี ไปถึงเมืองหลวงออตตาวาก็ลองยืนเป่าหาตังค์จนคนมามุงดูกันมากมาย
“มีงานมหกรรมดนตรีในสวนสาธารณะเมืองแวนคูเวอร์ก็เอาแคนตามไปแจมกับเขาด้วย เขียนจดหมายมาเล่าให้คุณพ่อและญาติที่อุดรฯอ่าน ทุกคนก็ดีใจและภูมิใจ”
ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ เสียงแคนนี่แหละที่เป็นจุดกำเนิดของ “มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา”ของ พ.อ.สมคิด
“ผมได้ทุนต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่นก็เอาไปเป่าจนได้เพื่อนชาวญี่ปุ่น ที่หลงใหลในเสียงแคนและตามมาดูบ้านเกิดของคุณพ่อ จนเกิดเป็นโครงการทุนการศึกษาช่วยเหลือเด็กยากจนที่ได้ผู้บริจาคมากมายจากญี่ปุ่นจนช่วยเด็กได้ทั้งภาคอีสาน
“สุดท้ายก็พัฒนากลายเป็นมูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา ที่คุณพ่อเป็นประธาน และขยายกิจกรรมไปภาคอื่นของประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านด้วย”
ศักดาทิ้งท้ายกับความทรงจำที่มีต่อเสียงแคนที่ได้เปิดโอกาสมากมายในชีวิตของเขา
รวมทั้งโอกาสให้ความสุขแก่บิดาในช่วงบั้นปลาย

ชาวมะกันลุกฮือ ประท้วงอำนาจเงินที่เข้ามาแทรกแซงในการเมือง

ชาวมะกันลุกฮือ ประท้วงอำนาจเงินที่เข้ามาแทรกแซงในการเมือง
เมื่อวานนี้ (17 เม.ย.) ชาวอเมริกาหลายพันคนได้รวมตัวกันมาประท้วงหน้าอาคารรัฐสภา (Capitol Hill) ในวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ ต่อการให้เงินมามีบทบาทสำคัญในการเมืองของสหรัฐอเมริกา
การชุมนุมขนาดใหญ่ครั้งนี้มีเป้าหมายในการประท้วงเพื่อต่อต้านการปล่อยให้เงินมามีอิทธิพลต่อการเมืองของสหรัฐฯ จนเกินควร อุปสรรคในการลงคะแนนเสียง และเรียกร้องให้สภาคองเกรสของสหรัฐฯ อนุมัติกฎหมายให้ชาวอเมริกันทุกคนได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรม สมาชิกขององค์กร Democracy Awakening ซึ่งประกอบด้วยองค์กรมากกว่า 260 แห่งกล่าว
"ประชาธิปไตยของเราควรจะเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เงิน" แดน สมิธ หัวหน้าโครงการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยจากกลุ่มงานวิจัยเพื่อประโยชน์สาธารณะแห่งสหรัฐฯกล่าว
เหตุการณ์ประท้วงในครั้งนี้มีกำหนดการเป็นเวลา 3 วัน โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (16 เม.ย.) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวในวงกว้างที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน