PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560

"บิ๊กตู่" บอกแค่ พูดเล่น เตรียมออกกม.ห้ามมีกิ๊ก

"บิ๊กตู่" บอกแค่ พูดเล่น เตรียมออกกม.ห้ามมีกิ๊ก แค่พูดแก้ง่วง ถามมันจะทำได้จริงเหรอ ? บ่น สื่อ ทีพูดจริงจัง ดันมองตลก
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวถึงกรณีที่กล่าวกับประชาชนระหว่างลงพื้นที่จ.นครราชสีมาเมื่อวันที่ 21 ส.ค.ระบุถึงกฎหมายห้ามมีกิ๊ก
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวแบบขำ ไปด้วยว่า “ผมพูดเล่น คุณไม่เข้าใจอะไร เลยรึไง ไอ้เรื่องดีๆตั้งเยอะตั้งแยะ ปัดโธ่!! แล้วมันมีได้ไหมเล่า มันควรจะมีไหม ผมพูดถึงให้แม่บ้านเริ่มจะง่วงนอน ผมก็ให้กำลังใจแม่บ้านเขา ผมก็ขู่พ่อบ้านเขา มันก็หัวเราะหัว
ใคร? ไอ้นี่ไปพาดหัวข่าว นายกฯห้ามมีกิ๊กจะออกกฎหมายไหม ปัดโธ่! ไอ้เรื่องขี้ไก่พวกนี้ชอบไปตีความ ความจริงผมเป็นคนสนุกสนานรื่นเริง เป็นคนใจดีนะ ผมเป็นคนตลกนะ ไอ้เรื่องเป็นจริงเป็นจังคุณมองเป็นเรื่องตลก เรื่องตลกคุณมองเป็นเรื่องจริง ผมก็ไม่เข้าคุณเหมือนกัน ตีความไม่ถูก พูดเล่นไม่ให้ประชาชนเขาเบื่อหน่ายจากการที่ผมพูดยาวๆของให้เขาสนใจ”

"เจ้าชายกบ"

"บิ๊กตู่" แจง แค่"เล่านิทาน "เจ้าชายกบ"ให้ กบ ฟัง"....บอกกบตัวผู้ ว่า ชาติหน้า ให้เกิดเป็น ตัวเมียนะ จะได้มีเจ้าชาย มาจุมพิต"
บ่นนักข่าว สนใจแต่ "2ก." ก.กิ๊ก (กม.ห้ามมีกิ๊ก ที่พูดเล่น แก้ง่วง) กับ ก.กบ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง ที่คุยกับกบว่า“ชาติหน้าขอให้เป็นกบตัวเมียนะ ผมจะเป็นเจ้าชายกบ" ว่า “ผมก็ยกตัวอย่างนิทานเรื่องกบ ให้ฟัง เจ้าชายกบ ไม่เคยฟังเหรอไง"
"ผมจับกบ ก็เปรียบเทียบนิทานกบ ผมก็ถามเขาว่า นี่กบตัวผู้หรือตัวเมีย เขาบอกกบตัวเมีย แล้วอีกตัวๆผู้
"ผมก็บอกตัวผู้ว่า ชาติหน้าเกิดเป็นตัวเมียนะ จะได้มีเจ้าชายมาจุมพิต"
ผมเล่านิทานให้เขาฟัง เจ้าชายกบไง
"เนี่ยสนใจเรื่องกบ กับเรื่องกิ๊ก ก.2 ตัวเนี่ยเว้ย”

ไม่มีรั่วมติองค์คณะฯ เพราะยังไม่ได้ลงมติ

ผู้คนหลายแวดวง ไม่ใช่แค่กับนักการเมือง แต่ทั้งนักธุรกิจ นักวิชาการ ทหาร ข้าราชการ และประชาชนทั้งหลาย ต่างก็จับจ้องกันว่า ผลคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีระบายข้าว จีทูจีและคดีจำนำข้าว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะออกมาอย่างไร ?
ทั้งนี้ หากไม่มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาทั้งสองคดีออกไป โดยมีการอ่านคำพิพากษาตามที่องค์คณะฯได้นัดไว้ในวันศุกร์ที่ 25ส.ค.นี้ จะพบว่า ในหลายแวดวง ต่างก็ประเมิน-วิเคราะห์ ทิศทางผลที่จะออกมา โดยเน้นไปที่”คดีจำนำข้าว-ยิ่งลักษณ์”ซึ่งมี “ชีพ จุลมนต์ ว่าที่ประธานศาลฎีกาคนใหม่ ”เป็นตุลาการเจ้าของสำนวน ซึ่งคดีดังกล่าว มียิ่งลักษณ์เป็นจำเลยเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคดีจีทูจี ที่มีจำเลยหลายคน ส่วนใหญ่ ก็บอกถึงทิศทางคดี บนหลักไม่ก้าวล่วงละเมิดอำนาจศาล แต่เป็นการวิเคราะห์บนทิศทางและกรอบที่คุยกันได้ ซึ่งก็เป็นหลักปกติอยู่แล้ว ว่า ก็จะมีอยู่ประมาณ 3-4ทิศทาง บนหลักวิเคราะห์แค่คดีอาญาอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับคดียิ่งลักษณ์ที่ศาลปกครองแต่อย่างใด  ทิศทางหลักๆ ก็จะมี ดังนี้
       
1.ยกฟ้องโจทก์ ที่ก็คือ ยกฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลย
       
2.ตัดสินว่าจำเลยมีความผิด ตามคำฟ้อง แต่ให้รอลงอาญา
       
3.ตัดสินว่าผิด ไม่รอลงอาญา แล้วก็ทำเรื่องยื่นขอประกันตัว จากนั้น ก็ไปใช้สิทธิ์อุทธรณ์คดีตามช่องทางที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญต่อไป
        
ซึ่งทั้งสามแนวทางดังกล่าว จะพบว่า ช่วงหลังๆ ผู้คนหลายแวดวง ก็วิเคราะห์กันผ่านสื่อมวลชนกันมากขึ้น โดยเฉพาะคาดว่ากว่าจะไปถึงวันศุกร์ที่25ส.ค. ก็คงมีการพูดกันมากไปจนถึงตอนศาลฎีกาฯใกล้อ่านคำพิพากษา แต่การวิเคราะห์ก็คงต้องอยู่ในกรอบ ไม่ให้ก้าวล่วงศาลไปมากกว่านี้
ด้วยความที่เป็นคดีใหญ่ จำเลยเป็นถึงระดับอดีตนายกรัฐมนตรีและเป็นน้องสาว ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทย  จึงไม่แปลกที่ ช่วงนี้ หากแวะไปเจอผู้คนในแต่ละแวดวง ไม่ว่าจะเป็น แวดวงการเมือง- วงนักธุรกิจ- วงนักกฎหมาย -วงพูดคุยของทหารระดับสูง แม้แต่วงกินข้าวของชาวบ้านร้านตลาด ต่างก็ต้องมีคุยกันในเรื่องนี้ และก็ต้องวิเคราะห์กันไป ตามแต่ฐานข้อมูลความเข้าใจของแต่ละคน  ซึ่งคนที่อยู่ในวงพูดคุย ก็ต้องรู้ทันข่าวสาร ว่า สิ่งที่คุยกันนั้น เป็นแค่การคุยกันตามปกติ ไม่ใช่เรื่องของ “มติรั่ว-รู้ผลล่วงหน้า” แต่อย่างใด
เนื่องจาก กระบวนการลงมติและเขียนคำพิพากษากลางในคดี จะเกิดขึ้นในช่วงเช้า วันศุกร์ที่25ส.ค.หากไม่มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปในบางคดีหรือทั้งสองคดี และเมื่อได้มติขององค์คณะฯแล้ว กระบวนการต่อไป องค์คณะฯ ก็จะประชุมร่วมกันเพื่อเขียนคำพิพากษากลางในคดี  มาอ่านในห้องพิจารณาคดีต่อหน้าคู่ความ
ดังนั้น ที่อาจมีผู้คนบางแวดวง พูดกันไป คุยกันมา ในเรื่องการตัดสินคดีที่จะเกิดขึ้น  จึงเป็นแค่การวิเคราะห์กันเองเท่านั้น เพราะเมื่อองค์คณะฯยังไม่มีการลงมติ ยังไม่มีคำตัดสินออกมา แล้วจะมีมติรั่ว รู้ผลคำตัดสินล่วงหน้าได้อย่างไร ขอให้หยุดมโนได้แล้ว
เรื่องนี้มีคำอธิบายที่ดี จาก “ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา” ที่เคยเป็นองค์คณะตุลาการตัดสินคดีในศาลฎีกาแผนกดคีอาญาฯ มาก่อนหน้านี้ เช่น “คดีทุจริตจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ กระทรวงสาธารณสุข” ที่เป็นคดีแรกที่ขึ้นศาลฎีกาฯและมีคำตัดสินออกมา
โดย “ชูชาติ ศรีแสง”ได้โพสต์ข้อความถึงกระบวนการลงมติขององค์คณะฯไว้ในเฟสบุ๊กส่วนตัวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาไว้ตอนหนึ่งดังนี้  
"ขณะนี้มีการปล่อยข่าวในลักษณะอ้างแหล่งข่าวที่ไม่สามารถตรวจสอบตัวตนได้ว่าเป็นใคร แม้แต่สื่อมวลชนรายใหญ่ที่มีทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็เสนอข่าวด้วย
ข่าวดังกล่าวอ้างว่า คดีรับจำนำข้าวที่นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงทางการเมือง จะมีคำพิพากษาว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีความผิดให้ยกฟ้องโจทก์
ในฐานะเคยทำหน้าที่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีแรกของศาลมาก่อน จึงรู้กระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลนี้ดีคือ เมื่อสืบพยานโจทก์ จำเลย เสร็จและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว องค์คณะผู้พิพากษาแต่ละท่านต่างก็พิจารณาวินิจฉัยว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไรและทำคำวินิจฉัยของตนเอง โดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับองค์คณะท่านอื่นๆ 
ในวันนัดฟังคำพิพากษาองค์คณะ จะมีการประชุมกันในตอนเช้าก่อนเวลานัดฟังคำพิพากษาและลงมติกันว่า จะมีคำพิพากษาว่าอย่างไร จำเลยมีความผิดหรือไม่ ลงโทษหรือยกฟ้อง ถ้าลงโทษเป็นโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ โทษจำคุกกี่ปี โทษปรับเท่าใด โทษจำคุกจะรอการลงโทษหรือไม่ การลงมติให้ถือเสียงข้างมาก เมื่อลงมติกันอย่างไรก็จะพิมพ์คำพิพากษาแล้วจึงอ่านให้คู่ความฟัง
ณ วันนี้ แม้แต่องค์คณะ คดีนี้แต่ละท่านก็ทราบเฉพาะตัวท่านเองเท่านั้นว่าจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร ไม่อาจทราบได้ว่าท่านอื่นอีก 8 ท่านจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร แต่ละท่านจึงยังไม่ทราบว่า องค์คณะผู้พิพากษาอีก 8 ท่านแต่ละท่านจะมีมติว่าอย่างไรและมติเสียงข้างมากจะมีว่าอย่างไร
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งทราบว่า ศาลฯจะมีคำพิพากษาอย่างไร ที่มีการปล่อยข่าวว่าศาลจะพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการกล่าวเท็จอย่างแน่นอน"
ถือเป็นการให้ข้อมูลที่ชัดเจน และเคลียร์ปมข้อสงสัยต่างๆได้เป็นอย่างดี และแสดงให้เห็นว่า แต่ละฉากก่อนจะไปถึง วันตัดสินคดี 25ส.ค.  มีอีกหลายปม ให้ต้องเกาะติด จนกว่าผลคำตัดสินจะออกมาในช่วงสายของวันดังกล่าว.

ไทม์ไลน์พิพากษาคดีข้าว "บุญทรง" ขึ้นเขียงก่อน "ยิ่งลักษณ์"

เผยองค์คณะผู้พิพากษาจะเริ่มอ่านคดีระบายข้าวจีทูจีที่มี "บุญทรง-พวก"ตกเป็นจำเลยก่อนตามด้วยคดีของ "ยิ่งลักษณ์" เชื่อไม่เลื่อนอ่านคำพิพากษา
21 ส.ค. 60 - แหล่งข่าวจากศาลยุติธรรม เปิดเผยว่า ในวันที่ 25 สิงหาคม องค์คณะผู้พิพากษาจะเริ่มอ่านคดีหมายเลขดำ อม.25/2558 ซึ่งเป็นคดีการระบายข้าวจีทูจีที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกเป็นจำเลยก่อน ส่วนปัญหาที่ว่าในคดีระบายข้าวจีทูจีมีจำเลยจำนวนมาก หากในวันดังกล่าวมีจำเลยไม่ได้มาฟังคำพิพากษานั้น องค์คณะสามารถที่จะอ่านคำพิพากษาได้ในวันนั้นเลย เนื่องจากคดีนี้มีจำเลยที่ไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวอยู่ ก็สามารถอ่านคำพิพากษาเฉพาะที่มีตัวได้เลย
แหล่งข่าวระบุว่า ส่วนเวลาในการเริ่มอ่านและความยาวของคำพิพากษานั้นไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากในวันดังกล่าวองค์คณะ จะทำคำวินิจฉัยส่วนตนมาและประชุมทำคำพิพากษากลางในวันที่อ่านคำพิพากษาเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่าปกติแล้วหลายคดีส่วนใหญ่จะเลื่อนคดีออกไปหากไม่มีตัวจำเลย แหล่งกล่าวว่าเหตุที่จะต้องอ่านคำพิพากษาในวันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีจำเลยที่ถูกคุมขังอยู่ ย่อมสามารถอ่านได้เลย และเมื่อมีการอ่านคำพิพากษาในจำเลยที่ถูกคุมขังอยู่แล้ว ก็ย่อมสามารถอ่านให้จำเลยที่มีตัวมาแสดงได้หมด ส่วนจำเลยที่ไม่มาฟังคำพิพากษาเท่ากับหลบหนีขั้นตอน ก็จะออกหมายจับปรับนายประกันตามสัญญาประกันที่เคยทำกันไว้.

"ประยุทธ์"เหน็บคืน24สิงหา.มีไม่กี่คนที่นอนไม่หลับ

"บิ๊กตู่"ไม่ห่วงสถานการณ์หลังพิพากษาคดีจำนำข้าว เผยถามคนอีสานแล้วเขาบอกจะอยู่บ้าน ส่วนคืนวันที่ 24 ตนจะนอนหลับสบายคงมีไม่กี่คนที่นอนไม่หลับ
22 ส.ค. 60 - ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ถึงการเตรียมรับมือสถานการณ์หลังการพิพากษาคดีจำนำข้าวในวันที่ 25 สิงหาคม
โดยผู้สื่อข่าวถามว่าคืนวันที่ 24 สิงหาคมจะนอนหลับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า “มีอะไรหรือ เป็นวันอะไร วันศุกร์หรือ วันศุกร์ก็ดีใจซิ วันศุกร์แล้วตนจะได้พักผ่อน จะไปสนใจว่าเป็นวันอะไร ก็เป็นเรื่องของคดี หรือเป็นเรื่องของใครก็เป็นเรื่องของคนๆ นั้น เรื่องของศาล
"คนที่จะนอนไม่หลับคงมีไม่กี่คนละมั้ง สำหรับผมหลับสบายทุกวันนั้นแหละ งานผมเยอะอยู่แล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่เขาก็เตรียมของเขาตามหน้าที่ไม่ได้ไปกดดันใคร อีกฝ่ายก็อย่าไปยุแยงตะแคงรั่ว ว่าจะโน้นจะนี่ อีกฝ่ายก็ต้องเตรียม ไม่รู้จะไปขู่กันทำไม เจ้าหน้าที่เขาก็ต้องเตรียมการของเขาไว้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เสียเวลาเปล่า เสียงบประมาณ ขอร้องกันวานนี้ (21 ส.ค.) ผมได้ถามชาวอีสานว่าเขาจะไปหรือไม่ เขาตอบว่าไม่ไป แล้วมันจะมีอะไรเกิดขึ้นมา”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.

เผลอเพี้ยนตามโพล?

เผลอเพี้ยนตามโพล?

“รักลุงตู่ รักลุงตู่ รักลุงตู่”

เสียงตะโกนลั่นรอบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ประชาชนคนโคราชต้อนรับ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีเดินสายประชุม ครม.สัญจรที่บ้านเกิด จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 21–22 สิงหาคม

บรรยากาศคึกคักตามท้องเรื่อง กระตุกอารมณ์ “นายกฯลุงตู่” ตอบกลับเสียงเชียร์ชาวบ้าน “คนอีสานน่ารักอยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะทำงานให้ไม่ต้องห่วง”

ตามฉากปูพรมเต็มพื้นที่ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ภาคเอกชน

เข้าโหมดลุยงาน โชว์ความคืบหน้าเนื้องานตามนโยบายรัฐบาล

และโดยสถานการณ์ต่อเนื่อง ครม.สัญจรรอบนี้เป็นข่าวดังตั้งแต่ทีมงาน “นายกฯลุงตู่” ยังไม่ทันลงพื้นที่ ตามฉากที่นายกฯออกอาการเชิดใส่สื่อมวลชน ไม่ต้องมาสนใจตามทำข่าว

ไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อตีปี๊บ เพราะยี่ห้อนี้ยิ่งตียิ่งดัง

เป็นอารมณ์ตกค้างมาจากยุทธการขอความร่วมมือสไตล์ทหาร ที่ “เสธ.ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ควบเก้าอี้รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เรียกประชุมบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง

ขอร้องเสียงเข้มๆให้ทีวีช่องต่างๆแยกกันติดตามทำข่าวการปฏิบัติภารกิจ

ของรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆในการประชุม ครม.สัญจรที่โคราช

ออกแนวเรียลลิตี้ “1 ช่อง 1 รัฐมนตรี”

นั่นก็ทำให้เจอปฏิกิริยาต่อต้านจากวงการสื่อยืนยันการทำหน้าที่เพื่อสาธารณะ

ไม่ใช่กระบอกเสียงของรัฐบาล ล้อไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่มองสไตล์ถนัด
ของทหาร เอะอะก็เน้นการสื่อสารทางเดียว ยัดเยียดข้อมูลให้ชาวบ้าน

ขาดความรู้ ความเข้าใจในธรรมชาติของงานทางการเมือง

เรื่องของเรื่อง มันสะท้อนภาวะ “หลงทิศทางกระแส” ของทีมงานรัฐบาลทหาร คสช.

คิดว่าการ “เสกข่าว” เข้าทางตัวเองเป็นของง่าย การทำให้สังคมชื่นชมผลงานรัฐบาลสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้เหมือนทหารเกณฑ์ในค่าย

นั่นไม่เท่ากับเผลอหลงว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือซะเอง

และยิ่งเป็นอะไรที่ล้อไปกับข้อมูลแวดล้อมรัฐบาลที่ออกแนวเป็นอกเป็นใจ ตอกย้ำ
ต้นทุนส่วนตัวของผู้นำในเชิงบวกเข้าไปอีก

แบบที่ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “3 ปี ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์”

อันดับหนึ่งร้อยละ 30.16 ระบุว่า “นายกฯลุงตู่” ทำงานในตำแหน่งนายกฯได้ดีมาก
แถมส่วนใหญ่ ร้อยละ 73.68 ยังเห็นว่า “นายกฯลุงตู่” มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ และมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการทำงาน

ท่ามกลางเสียงทักย้อนแย้ง ผลโพลสวนกับสถานการณ์แท้จริง

ตัวเลขมันผิดธรรมชาติ

แทนที่จะเป็นผลดี ตรงกันข้ามจะเสี่ยงทำให้ผู้นำรัฐบาลไขว้เขว

เพราะตัวเลขที่เพี้ยนๆจะพากันเพี้ยนไปหมด

ทำให้การตัดสินใจของผู้นำไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

และจุดอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตามท้องเรื่องที่นักการเมืองคุยกันในหลายๆวง ว่ากันว่าวันนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นของ “โพลเชลียร์” อย่างเดียว

แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านไม่บอกความจริงตรงๆก็เยอะ

โดยพัฒนาการของประชาชนมาถึงจุดที่กล้าหลอกการสำรวจโพลของสำนักต่างๆ หรือแม้แต่โพลของหน่วยความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ มหาดไทย จะเจอเหมือนกัน

คนตอบแบบให้พ้นๆไป เพราะอยากให้การเมืองเปลี่ยนแปลง

ตามรูปการณ์ถ้ารัฐบาลทหาร คสช.ย่ามใจกับตัวเลขหรูๆ

ในโพล หรือล่าสุดที่ “นายกฯลุงตู่” แย็บถามคนโคราชจะเลือกใครเข้ามาเป็นรัฐบาล ชาวบ้านพากันตอบว่า พล.อ.ประยุทธ์

จุดที่ยิ่งทำให้ตัวลอย กระหยิ่มยิ้มย่อง

ลองปล่อยไฟเขียวเลือกตั้งเมื่อไหร่

จะได้ยินเสียงหัวเราะดังๆมาจากเมืองดูไบ.


ทีมข่าวการเมือง

"นายกฯบิ๊กตู่" ถ่ายภาพร่วมกับนักข่าวสายทำเนียบรัฐบาล

ดีกันแระ!!
"เจ้าชาย กบ"...เอ้ย!! "นายกฯบิ๊กตู่" ถ่ายภาพร่วมกับนักข่าวสายทำเนียบรัฐบาล ที่ตามไปทำข่าว ครม.สัญจร ที่โคราช หลังประชุมเสร็จ.......ก่อน หยอดว่า "สื่อน่ารัก"
แถมทดลองเป็นนักข่าว และช่างภาพ ด้วยการนำกล้องทีวี. มาลองถือแล้วถ่าย ก่อนบอกว่า มันลำบากเหมือนกันนะ จากนั้น ทำมือเป็น ไมค์ ไปจ่อปาก ถามสื่อว่า จะต้องปฏิรูปสื่อมั้ย 5555
หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ นายกฯ ไล่สื่อ "ไม่ต้องตามสัมภาษณ์ผม" ไม่คาดหวังกับสิ่อ ใครจะเกลียดผมก็ช่าง
หลังจากสื่อวิจารณ์ พลโทสรรเสริญ ขอความร่วมมือสื่อทีวี. ทำข่าว รมต.
แต่มาประชุม ครม. ก็ยิ้มทักทาย นักข่าว ตั้งแต่วานนี้. จนวันนี้ ถ่ายภาพร่วม