PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เอาชีวิตเป็นเดิมพันคดีทุจริตโรงพัก

สุเทพ ไลฟ์สด เอาชีวิตเป็นเดิมพันคดีทุจริตโรงพัก ท้า ป.ป.ช. ส่งฟ้องศาลฎีกาฯ หากทำให้ติดคุกไม่ได้ต้องพิจารณาตัวเอง ถามเป็นการเตะตัดขาตอนตั้งพรรคการเมืองหรือไม่
16 ส.ค. 2561 - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊ก กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหาโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ จำนวน 396 แห่ง ว่า
ข้อกล่าวหาดังกล่าวร้ายแรงมาก เพราะผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มีโทษถึงประหารชีวิต ความจริงเรื่องนี้มีกระบวนการตั้งข้อกล่าวหาถึง 7 ปี โดยบรรดาสมุนทรราชทั้งจากของนักการเมือง ข้าราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
ตนอดทนมาตลอด 7 ปี เพราะเห็นว่าเมื่อคดีถึง ป.ป.ช. ต้องทำความจริงให้ปรากฏ และแถลงข้อเท็จจริงให้สาธารณชนทราบ เมื่อป.ป.ช.ทำบันทึกข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 14 พ.ค.58 ตนได้รวบรวมเอกสารหลักฐานเสนอต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. คิดว่าสมบูรณ์ที่สุด สมควรที่ ป.ป.ช.จะได้ตัดสินวินิจฉัยได้ แต่ไม่เป็นไปตามคาด และเกิดความสงสัยในใจว่าคณะอนุกรรมการไต่สวนมีอคติต่อตน ตั้งธงเอาไว้ให้ตนเข้าคุกให้ได้ ต้องลงโทษในคดีนี้ให้ได้
กระทั่งเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจากการพิจารณาเห็นว่า มีความจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยตัวเอง โดยวิธีที่ดีที่สุด คือ นำข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ทุกข้อ มาแสดงต่อหน้าประชาชน และนำเอกสารหลักฐานข้อเท็จจริง แสดงต่อหน้าประชาชนเช่นกัน เพราะหากรอ ป.ป.ช. พิจารณาก็ไม่ทราบว่าจะจบเมื่อไหร่ ดังนั้น ให้ประชาชนพิจารณาไปพร้อมกันจะดีกว่า
“ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้ ไม่ใช่ปกป้องเกียรติยศส่วนตัว แต่มีความรับผิดชอบต่อพี่น้องชาวไทย เคยชักชวนให้ประชาชนต่อสู้กับรัฐบาลทรราช คนที่ออกมาร่วมต่อสู้กับผม ถ้าผมเป็นคนชั่ว คนเลว ทุจริต คอร์รัปชั่น พี่น้องเหล่านั้นต้องเสียใจแน่ ดังนั้น จึงเห็นเป็นความรับผิดชอบ ขอกราบเรียนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. โปรดสั่งการให้คณะอนุกรรมการ ส่งมอบเอกสารหลักฐานที่เชื่อว่าผมทุจริตมาเผยแพร่ เพื่อเปรียบเทียบว่าเอกสารในมือ ป.ป.ช. กับเอกสารที่ผมเสนอ อันไหนเหมาะสมที่จะเชื่อถือมากกว่ากัน”
ขณะเดียวกัน นายสุเทพ กล่าวต่อว่า “ขอกราบเรียนผู้ที่ให้ร้ายโจมตีทั้งที่เป็นตำรวจ ดีเอสไอ นักการเมืองของพรรคเพื่อไทย มีเอกสารหลักฐานเอาผิดผมประการใดให้รีบนำไปให้ป.ป.ช. และให้รีบด่วนสรุป ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตนจะได้ต่อสู้คดี ดีกว่ามาดองเค็มและทำให้เสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ตนเป็นผู้ร่วมจัดตั้งพรรครปช. การทำให้เรื่องดังกล่าวยืดเยื้อออกไป ทำให้เกิดความสงสัยว่าเป็นการเตะตัดขาหรือไม่ เป็นการทำลายคะแนนนิยมทางการเมืองหรือไม่”
เนื่องจากเรื่องนี้เดิมพันสูง ถ้าผิดเอาชีวิตตนไปเลย แต่ถ้าป.ป.ช. ไม่สามารถดำเนินคดีได้ลงโทษตนได้ คณะกรรมการป.ป.ช.ต้องพิจารณาตัวเองว่า ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นต่อไปอีกหรือไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องเอาแพ้เอาชนะ แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องพิสูจน์ให้คนทั้งประเทศหายสงสัย
โดยตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จะนำข้อกล่าวหาทุกข้อของป.ป.ช. แสดงต่อพี่น้องประชาชน และจะนำเอกสารหลักฐานมาชี้แจงอย่างเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นขอเชิญประชาชนโปรดติดตาม
//////////

ความลับที่ประชาชนรู้ไม่ได้?

"บิ๊กตู่" กับ "บิ๊กป้อม" มีเรื่องอะไรกัน?
                หลายคนสงสัยว่าทำไม ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในคำสั่ง คสช.ฉบับล่าสุด
                คือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๓/๒๕๖๑ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ แทนชุดเดิม
                ให้คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วย
                ๑) หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประธานกรรมการ
                ๒) พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองประธานกรรมการ
                ๓) หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรรมการ
                ๔) พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท กรรมการ
                ๕) พลเรือเอกนริส ประทุมสุวรรณ กรรมการ
                ๖) พลอากาศเอกจอม รุ่งสว่าง กรรมการ
                ๗) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการ
                ๘) นายประมนต์ สุธีวงศ์ กรรมการ
                ๙) นายถวิล เปลี่ยนศรี กรรมการ
                ๑๐) รองศาสตราจารย์จุรี วิจิตรวาทการ กรรมการ
                ๑๑) รองศาสตราจารย์ต่อตระกูล ยมนาค กรรมการ
                ๑๒) นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ กรรมการ
                ๑๓) นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการ
                ๑๔) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการ
                ๑๕) นายประยงค์ ปรียำจิตต์ กรรมการ
                ๑๖) เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กรรมการ/เลขานุการ
                ๑๗) เสนาธิการทหารบก/ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรรมการ/ผู้ช่วยเลขานุการ
                ไม่มีชื่อ "บิ๊กป้อม"?
                เป็นเพราะแหวนแม่นาฬิกาเพื่อนหรือเปล่า?
                "บิ๊กป้อม" ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องความไม่โปร่งใสมากเกินไปใช่หรือไม่?
                ก็คาดเดากันไป.....
                วานนี้ (๑๖ สิงหาคม) วันหวยออก นายกฯ ประยุทธ์ เฉลยคำตอบว่า
                "ไม่มีอะไร แค่แบ่งงานท่านออกมาบ้าง คำสั่งดังกล่าวที่ออกมา พล.อ.ฉัตรชัย ที่มีชื่อเป็นรองประธานยังไม่ได้รับผิดชอบ จึงแบ่งงานของ พล.อ.ประวิตร ออกมาเท่านั้นเอง ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น อย่าไปคิดให้เป็นอย่างอื่นสิ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นแหละ"
                "ไม่เกี่ยวเรื่องนาฬิกา ผมไม่สนใจ เรื่องไหนใครตรวจสอบก็รับไปสิ เขาตรวจสอบว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ผมไปเกี่ยวอะไรเล่า ไม่เกี่ยว แล้วทำไมเธอไม่ถามล่ะ คุณต่อตระกูล ทำไมยังอยู่ ผมเอาออกหรือเปล่า ก็ว่าโน่นว่านี่อยู่บ่อยๆ ก็ยังอยู่เหมือนเดิมในคณะ ผมไม่ได้ตั้งแบบนี้"
                ใครอยู่ใครไปมันมีเรื่องราว 
                ถ้าจะบอกว่า "บิ๊กป้อม" ถูกถอดชื่อออกเพราะนาฬิกาเพื่อน ใช่ก็เหมือนไม่ใช่
                เพราะผลมันคือ "ใช่" ก็ได้
                "ไม่ใช่" ก็ไม่เชิง
                แล้วแต่จะมอง
                ที่จริงกรรมการชุดเก่าถูกเปลี่ยนออกไปหลายคน เช่น นายวิษณุ เครืองาม พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รองศาสตราจารย์สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นต้น
                การเปลี่ยนแปลงมีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
                ที่น่าสนใจคือ การที่ "บิ๊กตู่" ปฏิเสธเรื่องนาฬิกาเพื่อน ด้วยการยกตัวอย่างว่า "ต่อตระกูล ยมนาค" ยังอยู่ เพื่อให้เห็นว่า ไม่เกี่ยวกัน
                แต่ผลที่ออกมา ใครคิดว่าเกี่ยวมันก็ต้องเกี่ยว
                เพราะอะไร?
                ก่อนหน้านี้ นายต่อตระกูล ยมนาค เป็นหนึ่งในบุคคลที่ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าในการตรวจสอบกรณีนาฬิกาเพื่อน ของ "บิ๊กป้อม"
                คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดูจะเกรงอกเกรงใจ "บิ๊กป้อม" เป็นพิเศษ
                จนเสียรังวัด!
                ป.ป.ช.ถูกตั้งคำถามเรื่องการปราบคอร์รัปชันมากที่สุดยุคหนึ่งเลยทีเดียว
                การไม่มีชื่อ "บิ๊กป้อม" ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ จึงเป็นผลดีกับรัฐบาล คสช.
                แล้วจะเป็นผลดีกับประเทศหรือไม่?
                มองในแง่ความตั้งใจที่จะปราบคอร์รัปชัน การที่ "บิ๊กตู่" ถอด "บิ๊กป้อม" ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ความตึงเครียดทั้งในและนอก คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติดูจะลดลงไป
                แต่ถึงวินาทีนี้การที่ไม่มี "บิ๊กป้อม" ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ใช่ว่าคำถามเกี่ยวกับการปราบคอร์รัปชันของรัฐบาลจะลดลง
                ถ้าจะพูดเรื่องการทุจริต ต้องพูดให้หมด ไม่ว่าฝ่ายไหนเข้าไปเกี่ยวข้อง
                ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนี้ รัฐบาลก่อน หากพัวพันถึง จะละเว้นไม่ได้เด็ดขาด 
                นาฬิกาเพื่อนไม่ใช่เรื่องเดียวที่พบว่ามีปัญหา
                แม้ดูเหมือนว่ารัฐบาล คสช.จะต่อสู้กับการคอร์รัปชันหนักกว่ารัฐบาลก่อนๆ 
                มีมาตรการควบคุมคนโกงออกมากว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมา
                แต่...นำไปสู่การปฏิบัติจริงหรือไม่?
                นี่เป็นคำถาม
                และคำถามที่ดูจะมีน้ำหนัก เพราะตั้งข้อสังเกตโดย ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
                ดร.มานะ นิมิตรมงคล โพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคมที่ผ่านมา
                เรื่องความลับที่ประชาชนรู้ไม่ได้
                "จากความลับทางทหาร สู่ ความลับทางการค้า"
                ....ก่อนหน้านี้ เมื่อราชการจะจัดซื้ออะไรแพงๆ เขามักใช้คำว่า ‘ความลับทางทหาร’ หรือ ‘ความมั่นคงของชาติ’ เพื่อปกปิดข้อมูล แต่เมื่อถูกคัดค้านและตรวจสอบจากประชาชนมากขึ้น จึงเริ่มมีข้อจำกัดขึ้นมาบ้างว่า หน่วยงานไหน และภายใต้เงื่อนไขอะไร จึงจะอ้างเช่นนี้ได้
                มาวันนี้ การซื้อดาวเทียม ๗ พันล้านบาทได้อ้างว่า มีหลายเรื่องหลายอย่างเปิดเผยให้ประชาชนรู้ไม่ได้ เพราะเป็น ‘ความลับทางการค้า’ ที่ไปตกลงไว้กับต่างชาติ ทำให้สงสัยว่า ผลประโยชน์ทางการค้าของเอกชนสำคัญกว่าผลประโยชน์ของชาติหรืออย่างไร
                ประเด็นนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. เคยกล่าวไว้ว่า
                ‘ถ้าเอาเงินภาษีของประชาชนไปใช้ การจะอ้างว่าเรื่องใดเป็นความลับทางการค้า ผู้อ้างต้องหาหลักฐานมารองรับให้ได้ว่า เรื่องนั้นเป็นไปตามกฎหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับใด จะมาอ้างเอาลอยๆ หรือไปตกลงกันเองไม่ได้’
                คนป่ามีปืน:
                หน่วยงานที่จะซื้อดาวเทียมยังให้ข้อมูลอีกว่า ขั้นตอนการจัดซื้อครั้งนี้ใช้ ‘ระเบียบพัสดุของหน่วยงานเอง’ ไม่ได้ใช้ระเบียบสำนักนายกฯ ปี ๒๕๓๕ หรือกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างฯ ที่ออกมาเมื่อโครงการจัดซื้อเริ่มเดินไปบ้างแล้ว
                ประเด็นมีอยู่ว่า
                ที่ผ่านมา การที่หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต่างคนต่างออกระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของตนเองนั้น เปรียบดั่ง ‘คนป่ามีปืน’
                คือมีข้อดีอยู่บ้าง แต่ก็สร้างปัญหาตามมาอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องคอร์รัปชัน จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องตรา พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ๒๕๖๐ ออกมาเพื่อให้การใช้เงินของแผ่นดิน เงินของประชาชน เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยยึดหลัก ‘ความคุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้’
                การนำ ‘ข้อตกลงคุณธรรม’ มาใช้ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้ แต่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนของรัฐและพ่อค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องให้ความร่วมมือจริงจัง
                คือต้องเปิดเผยและยินยอมให้ผู้แทนภาคประชาชนตรวจสอบได้อย่างปรุโปร่ง สังคมจึงจะมั่นใจได้ว่าการจัดซื้อนั้นเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ต่อไปใครจะค้าขายกับราชการ ไม่ว่าคนไทยหรือต่างชาติที่ก็สบายใจว่าไม่ต้องวิ่งเต้นและบวกราคามากๆ ไว้จ่ายใต้โต๊ะให้กับใคร
                อันที่จริง ‘ข้อตกลงคุณธรรม หรือ Integrity Pact’ ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นกติกาสากลที่ใช้กันมานาน โดยรัฐบาลนี้รับมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ เพื่อหวังให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ในการทำงานของข้าราชการ คือทำอย่างโปร่งใส ทำงานร่วมกับตัวแทนประชาชนที่มีความรู้ มากประสบการณ์และเสียสละอาสาเข้ามาช่วยคิด ช่วยตรวจสอบ เพื่อเป็นหลักประกันว่า การลงทุนในโครงการของรัฐจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ ลดความสูญเสียจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการและช่วยลดการรั่วไหลของเงินภาษี
                หลายโครงการที่สำเร็จไปแล้วยังพบว่า ทั้งผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ต่างทำงานมั่นใจสะดวกสบายขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยเกรงใจผู้ใหญ่หรือใครที่จะมาแทรกแซง เพราะมีคนกลางคอยช่วยจับตาอยู่..."
                หรือที่ นายต่อตระกูล ยมนาค เขียนบทความไว้ก่อนหน้านี้ ที่มีข่าวที่มีผู้สังเกตการณ์อิสระ ๖ คน ในโครงการจัดซื้อจัดจ้างโครงการดาวเทียม THEOS-2 มูลค่ากว่า ๗ พันล้านบาท ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISDA) แจ้งขอลาออกทั้งหมด
                เพราะไปพบว่ามีขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงคุณธรรม แต่เมื่อแจ้งเตือนไปกลับไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด
                นายต่อตระกูลชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่อ่านข่าวแบบนี้อาจมีความรู้สึก ๒ อย่างพร้อมๆ กัน
                อย่างแรกคือ รู้สึกดีที่มีคนมาช่วยดูแลไม่ให้หน่วยงานรัฐโกงเงินภาษีของเรา
                และอย่างที่สองคือ กลุ้มใจว่าถึงมีคนมาช่วยดูก็เหมือนจะไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้
                แม้นายต่อตระกูลจะสรุปว่าอย่ากลุ้มใจไป เพราะข้อตกลงคุณธรรมนี้สามารถช่วยทำให้การประมูลจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐโปร่งใสไร้ข้อครหาเรื่องการทุจริตได้จริง
                แต่...เห็นอะไรหรือเปล่า
                ความพยายามที่คอร์รัปชันโดยระบบราชการ องค์กรมหาชน ภายใต้รัฐบาล คสช.นั่น ยังคงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
                และเหมือนทั้ง ดร.มานะ นิมิตรมงคล และนายต่อตระกูล ยมนาค ดูจะยั้งๆ เมื่อพูดถึงโครงการจัดซื้อดาวเทียมมูลค่า ๗ พันล้านบาท
                ประเทศไทยมาไกลถึงขนาดที่ว่ายอมเชียร์รัฐบาลรัฐประหารให้ช่วยปราบนักการเมืองขี้โกง
                ยอมให้หยุดพักประชาธิปไตยเพื่อปราบคนโกง
                ถ้าไม่สำเร็จมองไม่ออกจริงๆ ว่าอนาคตที่ประชาชนไม่เอาทั้งทหารและนักการเมืองจะเป็นอย่างไร.
                                                                                                                                        ผักกาดหอม

“สมศักดิ์ เทพสุทิน” มาเยือน กองทัพบก

เข้าใจ “บิ๊กเจี๊ยบ”
“สมศักดิ์ เทพสุทิน” มาเยือน กองทัพบก แม้จะไม่ได้เตะบอล แต่มาเกาะขอบสนาม ให้กำลังใจทีม
และเข้าใจ “บิ๊กเจี๊ยบ” พลเอกเฉลิมชัย ผบ.ทบ. และ เลขาฯคสช. ไม่ได้มาเตะฟุตบอล วันนี้.... แม้ เมื่อเกือบ 2 ปี ก่อน จะเคยเตะบอล ด้วยกัน ตอน เป็น ก่อน เป็นผบ.ทบ.
แต่วันนี้ นายสมศักดิ์ และ กลุ่มสามมิตร กำลังเป็นที่จับตามอง ถึง ความใกล้ชิด คสช. และจะร่วมพรรคทหาร และ เดืนสาย พบปะ โดย คสช.ไม่ว่าอะไร.... ถ้า มาเตะบอล กับ บิ๊กเจี๊ยบ อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้
แถมทั้ง วันนี้ นายสมศักดิ์ ประธานทีมฟุตบอล สุโขทัย ไม่ได้สวมชุดฟุตบอล แต่ สวมสูทมานั่ง ขอบสนาม บก.ทบ. ให้กำลังใจ “ทีม ฒ.” ไม่ได้ลงเตะด้วย เพราะ ผ่าตัดมา
ส่วน บิ๊กเจี๊ยบ ก็เพิ่งกลับจาก ร่วมคณะ พลเอกประวิตร ไปอุดรธานีฯ

“เสก” เลือกข้างแล้ว! ประกาศชัด หนุน “ประยุทธ์-เทือก-มาร์ค-เนวิน” บริหารประเทศ

“เสก” เลือกข้างแล้ว! ประกาศชัด หนุน “ประยุทธ์-เทือก-มาร์ค-เนวิน” บริหารประเทศ
จากกรณีที่ เสก โลโซ หรือ นายเสกสรรค์ ศุขพิมาย นักร้องชื่อดังไลฟ์สดผ่านมือถือมาราธอนติดต่อกันเป็นเวลากว่า 5 วัน โดยไม่หลับไม่นอน จนทำให้สังคมต่างตั้งคำถามว่าสาเหตุที่เสกไลฟ์สดแบบไม่มีหยุดแบบนี้เกิดจากอาการป่วยหรือไม่
ซึ่งเมื่อวานนี้ (16 ส.ค.) เสก โลโซ พร้อมกับ น.ส.อภิสร์ญา พัฒนวรทรัพย์ หรือ อีฟ แฟนสาว ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน หลังจากมีการประกาศยุติการไลฟ์สด พร้อมกับขี้แจงถึงสังคม ยืนยันว่าตนเองไม่ได้ติดยาเสพติด พร้อมกับให้สื่อมวลชนดูผลการตรวจปัสสวะ พบว่าขึ้นเป็น 2 ขีด ซึ่งหมายความว่าไม่พบสารเสพติดในร่างกาย และสุขภาพดี ไม่ได้ป่วยเป็นโรคแต่อย่างใด
โดยยืนยันว่า สิ่งที่ทำไปนั้นไม่ใช่ความมึนเมา ส่วนสาเหตุที่ตนไลฟ์ตลอดเวลาก็เพราะว่าอยากให้เห็นว่า ในแต่ล่ะวันตนทำอะไรบ้าง และการไลฟ์สดนี้ ตนได้นอนตามปกติ ซึ่งปกติแล้วตนนอนเพียง 2-3 ชั่วโมง ตนก็โอเคแล้ว ยืนยันไม่ได้บ้า และได้เสนอกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ยุติบทบาททางการเมืองเสีย เพราะบ้านเมืองต้องการความสงบสุข ซึ่งตนทราบมาว่า นายทักษิณมีภารกิจบางอย่างที่จะทำ ตนจึงขอให้ ยุติภารกิจที่กำลังจะทำ เพราะตนก็หยุดไลฟ์แล้วเช่นกัน
ล่าสุดวันนี้ (17 ส.ค.) “เสก โลโซ” โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก SEK LOSO แสดงความเห็นทางการเมือง โดยได้โพสต์ข่าวภาพนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร พร้อมระบุกับผู้ติดตามว่า หากรักตน ขอให้เลือกนายสมศักดิ์ เทพสุทิน สุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายเนวิน ชิดชอบ โดยต้องสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อดูแลบ้านเมือง จนกว่าจะสงบเรียบร้อย
“ถ้ารักเฮียให้สนับสนุนพี่สมศักดิ์ เทพสุทิน,พี่สุเทพ เทือก สุบรรณ,พี่มาร์ค อภิสิทธิ์,พี่เนวิน ชิดชอบฯลฯและแน่นอนที่สุด ต้องสนับสนุนให้นายกประยุทธ์ จันทร์โอชาดูแลบ้านเมืองไปก่อนจนกว่าจะสงบเรียบร้อยดีแล้ว เราค่อยมาเลือกตั้งกัน!!”

จริงทุกที

จริงทุกที



ไม่น่าแปลกใจ “ข่าวลือ” ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็น “ข่าวจริง”
มีข่าวลือกระพือแซ่ดว่ารัฐบาลคสช.จะทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท รับซื้อเรือประมงเก่าจากเอกชนเจ้าของเรือ จำนวน 680 ลำ
เพื่อแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย เพื่อปลดใบเหลืองอียู และเพื่อลดจำนวนเรือประมงให้เหมาะสมกับปริมาณปลาในทะเล
ปรากฏว่า ลือกันไม่กี่วัน...ข่าวลือก็กลายเป็นข่าวจริงร้อยเปอร์เซ็นต์
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาประมง ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้รับซื้อเรือประมงจากเอกชนรวมทั้งสิ้น 679 ลำ
(จำนวนเรือคลาดเคลื่อนจากข่าวลือไป 1 ลำ)
“แม่ลูกจันทร์” สรุปย่อๆว่ารัฐบาล คสช.จะรับซื้อเรือประมงเก่าจากเอกชน ผู้ประสงค์จะไม่ทำอาชีพประมงอีกต่อไป
โดยการรับซื้อเรือประมงจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้คือ...
ระยะที่ 1, รับซื้อเรือประมงขนาด 10 ถึง 60 ตันกรอส จำนวน 409 ลำ
ระยะที่ 2, รับซื้อเรือประมงขนาด 60 ถึง 150 ตันกรอส จำนวน 166 ลำ
ระยะที่ 3, รับซื้อเรือประมงขนาด 150 ตันกรอสขึ้นไป จำนวน 104 ลำ
หลังจากนี้จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการ ตรวจสอบสภาพเรือ ประเมินราคาเรือและจัดซื้อเรือ พร้อมโอนเงินให้ชาวประมงเจ้าของเรือผ่านบัญชีโดยตรง
ส่วนจะใช้วงเงินจัดซื้อเรือเท่าไหร่? และใช้งบประมาณส่วนใด? ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลชัดเจน
สำหรับหลักเกณฑ์เรือประมงที่จะขายให้รัฐบาลจะต้องเป็น “เรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมง” จอดไว้เฉยๆ ไม่ได้ออกทะเล ไม่มีคดีความผิดติดค้าง ไม่ได้ถูกยึดอายัดเรือ
รัฐบาลจะซื้อเรือตามสภาพจริงไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของราคากลาง
คาดว่าจะเร่งจัดซื้อเรือประมงลอตแรก 409 ลำ ภายในเดือนกันยายนนี้เลย
“แม่ลูกจันทร์” ชื่นชมรัฐบาล คสช.ที่มุ่งมั่นแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมายที่เละตุ้มเป๊ะมานานหลายสิบปี เพื่อจัดระเบียบเรือประมงไทยให้ถูกต้องตามมาตรฐานไอยูยู เพื่อแก้ปัญหาเรือผีเรือเถื่อนมากมาย ก่ายกอง เพื่อควบคุมจำนวนเรือประมงให้เหมาะสมกับจำนวนกุ้งหอยปูปลา
เพื่อให้ทรัพยากรทะเลไทยสมบูรณ์ยั่งยืน
แต่ “แม่ลูกจันทร์” มองไม่เห็นความจำเป็นที่รัฐบาลจะควักเงินภาษีประชาชน “สามพันล้านบาท” ไปรับซื้อเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมง 679 ลำ
เพราะเรือประมงที่ไม่มีใบอนุญาตทำประมง เป็นเรือที่ผิดกฎหมายไม่สามารถออกเรือไปจับปลาได้ทุกกรณี
พูดง่ายๆคือเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีราคา
ข้อสำคัญ เจ้าของเรือประมงส่วนใหญ่ ไม่ใช่ชาวประมงที่ยากจน
บางรายเป็นเจ้าของเรือประมง 5–6 ลำ
การใช้งบหลวงไปซื้อเรือประมงผิดกฎหมาย 679 ลำ อาจถูกครหาว่าช่วยนายทุนส่วนน้อย ไม่ได้ช่วยพี่น้องชาวประมงส่วนใหญ่ที่มีฐานะยากจน
“แม่ลูกจันทร์” มองว่าเงินภาษีประชาชน “สามพันล้านบาท” ซื้อเรือประมงผิดกฎหมายได้ 679 ลำ
ถ้าเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อรถเมล์เอ็นจีวีได้ตั้ง 400 กว่าคัน
มาถึงประเด็นสุดท้าย...เรือประมงเก่า 679 ลำ ที่รัฐบาลซื้อต่อจากเอกชนเจ้าของเรือ จะเอาไปใช้ทำอะไร? จะเอาจอดเก็บไว้ที่ไหน? ใครจะเป็นผู้รักษาดูแล?
หรือจะไปทำเป็นปะการังเทียมอย่างที่มีข่าวลือ??
หรือว่า...หรือว่าข่าวลือจะกลายเป็นข่าวจริง.
"แม่ลูกจันทร์"

โจทย์ร่วมขบวน ‘ไปต่อ’

โจทย์ร่วมขบวน ‘ไปต่อ’



“จะอยู่ยังไงยังไม่รู้ ต้องไปดูรัฐธรรมนูญ”
อันที่จริง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ก็ไม่ได้แทงกั๊ก หรืออุบไต๋แต่อย่างใด เพราะเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญก็เป็นไปอย่างที่บอกกับแฟนคลับที่เชียร์ให้ลงเลือกตั้ง
เลยเวลา 3 เดือน หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ต้องลาออกจาก คสช.-ครม. ถ้าจะลงสนาม ตอนนี้ก็ “ติดล็อก” แล้ว
นั่นก็เหลือช่องทางอื่น หากตัดสินใจตีตั๋วไปต่อ ถ้าไม่อยู่ใน “บัญชีนายกฯ” ของพรรคใดพรรคหนึ่ง แล้วรอ ส.ส.และกองหนุนชั้นดีอย่าง 200 ส.ว.โหวตเลือกคัมแบ็ก อีกทางก็ลอยตัวในฐานะ “คนนอก” รอช็อตที่ 2
2 ทางเลือกคัมแบ็กที่ “บิ๊กตู่” ต้องตัดสินใจเดินต่อ
แต่แนวโน้มก็อย่างที่เปิดไต๋ต่อเนื่อง รอเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายในเดือน ก.ย.นี้
สอดรับความเคลื่อนไหวของกำลังหนุน ค่ายหลักรองรับอย่างพรรคพลังประชารัฐ ดีเดย์เปิดตัวในห้วงเวลาใกล้เคียง ขณะที่อีกหลายป้อมค่ายตั้งนั่งร้านไว้ร่วมกองกำลังผสม 250 ส.ว.โหวตหนุน
แล้วสัญญาณเลือกตั้งก็ไม่น่าจะพลิก หากไม่มีเหตุฉุกเฉิน ทุกอย่างเริ่มเดินไปตามโปรแกรม ทั้งกฎกติกา กรรมการ ผู้เล่น พร้อมลงสนาม ล่าสุดที่เกรงว่าจะเป็นเหตุให้คิวเลือกตั้งต้องขยับ
กรณี สนช.เข้าชื่อกันเสนอแก้กฎหมาย กกต. ที่มองกันว่ามีวาระแฝงเพื่อโละรื้อบัญชีผู้ตรวจการเลือกตั้งทั่วประเทศ ชุดล่วงหน้า สนช.ที่เบิกทางไว้ ใส่เกียร์ถอยกรูด ถอนร่าง แก้ไขกฎหมาย กกต.กันเรียบร้อย
โยนเรื่องให้อรหันต์ กกต.ชุดเก่า-ใหม่ ไปเคลียร์ปม “ผู้ตรวจการเลือกตั้ง” กันเอง
รูปการณ์รูปเกมดูท่าจะเข้าล็อกเข้าเป้า ที่ยังต้องเร่งปั่นโค้งสุดท้ายในการแก้ปมเศรษฐกิจปากท้อง “ตัวช่วยวีไอพี” ระดับ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ผุดไอเดียไม่หยุด
มาตรการกระตุ้นฐานรากออกมาเป็นระลอก ช่วยเติมแต้ม “นายกฯลุงตู่” กันเป็นรายวัน
กระทั่งผู้นำอำนาจพิเศษเอง คิวงานออกมาถี่ยิบ เสร็จจากตรวจการแก้ปัญหาจราจรทั้งระบบในเมืองหลวง ทั้งล้อ–ราง–เรือ ก็เตรียมลงภาคใต้ ประชุม ครม.สัญจร จ.ชุมพร–ระนอง สัปดาห์หน้า
ปั้นแผนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือเอสอีซี บูมเศรษฐกิจตามรอยอีอีซีในภาคตะวันออก
ที่น่าสนใจ บรรดารัฐมนตรีอดีตท็อปบูต ถึงนาทีนี้มีสัญญาณต้องเร่งมือเป็นตัวช่วย ไม่ใช่ตัวถ่วง
แน่นอน “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ก็ยังเป็นกำลังหลัก ชนิดนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการต่างๆกว่า 50 คณะ
ล่าสุดปั่นผลงานเร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ยึดที่ดินติดจำนองนายทุนเงินกู้โหดคืน
เป็นคิวที่เรียกไลค์ตุนแต้มให้น้องรัก
ขณะที่ “พี่รอง” อย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่โดนกระแสจับจ้อง จนต้องเลิกเป็น “สิงห์ซุ่ม” ออกมาเคลียร์ปมร้อนว่าด้วยโปรเจกต์โรงไฟฟ้าขยะแสนล้าน ที่พาดพิงถึงคนในครอบครัว
อีกทางในฐานะคุมกลไกปกครองที่ลงลึกถึงพื้นที่ เร่งเครื่องงานโค้งสุดท้ายเช่นกัน
ล่าสุดขยับโปรเจกต์ “ไทยนิยม-ยั่งยืน” ต่อยอด “ประชารัฐ”
หลังจากส่งคณะทำงานลงพื้นที่กว่า 8 หมื่นหมู่บ้าน รับฟังความเห็น ยึดธีมภารกิจ “แก้จน” ในสารพัดโครงการอุ้มฐานราก ทั้งโครงการส่งเสริมอาชีพต่างๆ สนับสนุนการผลิตยาสมุนไพรเพื่อการส่งออก ปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ ฝึกอบรมอาชีพตามโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฯลฯ
กระตุกกลไกมหาดไทย สปีด “ไทยนิยม” โชว์
แม้กระทั่งเพื่อน ตท.12 ของผู้นำอย่าง “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ ที่เงียบไปพักใหญ่ ตอนนี้ต้องลงมาคุมโครงการระดับแสนล้าน วางระบบยาวแก้ปัญหาน้ำในพื้นที่ลุ่มภาคกลางครบวงจร
โค้งสุดท้ายก่อนปิดฉากอำนาจพิเศษภาคแรก เพื่อน–พ้อง–น้อง–พี่ เร่งมือพัลวัน สลัดภาพปมด้อย
เคลียร์ทางวิ่งสู้ ไม่ให้ตกขบวน “อำนาจพิเศษเฟส 2”.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน