PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คำให้การลูกศิษย์มิตซูโอะนาทีต่อนาทีสึกสะท้านโลก

คำให้การลูกศิษย์มิตซูโอะนาทีต่อนาทีสึกสะท้านโลก



ผมเชื่อว่า ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่เนื้อคู่ ไม่ใช่คู่บุญบารมีอะไรหรอกครับท่าน..ด้วยเวลาปลายเมษายน ถึง 8 มิถุนายน 2556 สามารถสึกพระ 38 พรรษาได้ จริงหรือ ถ้าไม่มีตัวช่วย..เราได้คุยกับผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยา ว่าคนที่มีอาการแบบนี้ เป็นไปได้ที่จะโดนยากล่อมประสาท
 เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นรวดเร็วมาก โดยไม่มีใครคาดคิดว่า ผญ คนนี้จะสึกพระ จนกระทั่งเย็นวันที่ 8 พระที่วัดได้โทรฯ คุยกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ว่ามีคนในครอบครัวของ ผญ แจ้งไปที่วัดป่านานาชาติ ว่า ผญ คนนี้จะสึกพระ เช้าวันอาทิตย์ที่ 9 และครอบครัวได้ห้ามแล้ว แต่ด้วยนิสัยของ ผญ ที่จะเอาอะไร ต้องเอาให้ได้
วันนั้น เรายืนมองท่านเดินจากไป..เดินลากเท้า เหมือนคนอ่อนแรง เห็นท่ายืนรอ ผญ แลกเงิน อย่างเหม่อลอย..เป็นภาพที่เรารู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะช่วยท่าน …แต่จะด้วยอะไรก็ตาม วันนั้น เราทำเพียงยืนดูท่านจากไป..

ที่มา facebook คุณKittinun (อย่างไรก็ตามต่อมาผู้โพสต์ได้ลบข้อความออกจากหน้าfacebookแล้ว แต่มีผู้copyไปเผยแพร่ในหลายแหล่ง เช่น ที่ลิ้งค์นี้ )


หมายเหตุไทยอีนิวส์:เนื่องจากเป็นปากคำอีกด้านหนึ่งของฝ่ายลูกศิษย์อดีตพระมิตซูโอะ แม้ให้ข้อมูลละเอียดน่าสนใจ แต่ก็อาจเป็นการกล่าวหาที่อาจเจือแฝงด้วยอคติ โดยที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสชี้แจงในข้อเขียนนี้ ผู้อ่านพึงใช้วิจารณญาณ)
-----------------------------------------

พระเป็นเพียงภาชนะพระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้พระธรรม และทรงบวชพระสงฆ์ เพื่อมอบให้พระสงฆ์เป็นผู้นำส่งพระธรรม ให้กับพุทธศาสนิกชนพระจึงเป็นเพียงภาชนะ 

บางครั้งภาชนะก็เก่าผุพัง แตกร้าว รั่วซึม ใช้งานไม่ได้ แต่พระธรรมในภาชนะนั้น ก็ยังคงเป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าประสงค์เผยแผ่กับพุทธศาสนิกชนเช่มเดิม ไม่ว่าจะเปลี่ยนภาชนะไปกี่ครั้งกี่คราก็ตาม

ผมบวช และจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสุนันทวนาราม ในปี 2543 เป็นเวลา 2 เดือน ได้มีโอกาสติดตามพระอาจารย์มิตซูโอะ ทุกวัน ทุกสถานที่ ตลอดเวลาที่บวช ผมได้รับคำสอนจากท่านมากมาย ไม่ว่าจากการสอนปฏิบัติธรรม หรือจากการปฏิบัติตัวของพระอาจารย์ฯ ทำให้ผมศรัทธาและยินดีรับใช้ท่านมาถึงทุกวันนี้มาเข้าเรื่องกันเลยละกันเรื่องเดียวกัน รู้ลึกไม่เท่ากัน ความจริงก็จะไม่เหมือนกัน และนี่คือสิ่งที่ผมรู้ลึก

วันที่ 8 เวลา13:00 ผมนิมนต์ท่านไปเทศน์ที่วัดเบญจมบพิตร และได้นัดหมายเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันนั้น ผมโทรฯถามพี่ที่มูลนิธิฯ ว่าผมต้องไปรับท่านจากที่ไหน จึงได้ทราบว่ามี ผู้หญิงคนหนึ่งรับส่งท่านเช้าไปที่เมืองทองธานีแล้วจึงจะไปที่วัดเบญจมบพิตรช่วงบ่าย และจะต้องไปที่วัดยานนาวา และคืนนั้นต้องเดินทางไปสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่ผมจึงรู้ว่าไม่ต้องไปรับท่านเองแต่ต้องโทรฯประสานงานกับ ผู้หญิงคนนี้ที่ชื่อแอน ผมจึงโทรฯไปนัดเวลา สถานที่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อท่านไปถึงวัดเบญฯ ผมดันติดงานไปไม่ได้จึงฝากภรรยาของผมดูแลแทน

หลังจากเทศน์เสร็จเจ้าภาพรวบรวมเงินทำบุญได้ 30,000 บาทใส่ซองขาวมอบให้ผู้หญิงคนนี้ไปจากนั้นท่านก็เดินทางไปวัดยานนาวา ผมจึงไม่ได้พบท่านในวันนั้น จากนั้นเวลา 18:00 ผมได้รับโทรศัพท์จากมูลนิธิฯ ว่ามีข่าวว่าท่านจะสึกในวันอาทิตย์ ผมจึงเดินทางไปสนามบินเพื่อดักท่านไม่ให้ท่านสึก โดยพยายามติดต่อหล่อน แต่ก็ไม่รับสาย จึงโทรฯหาคนขับรถก็พบว่าไม่มีสัญญาณ ไม่สามารถติดต่อได้เลย จนกระทั่ง 20:30 ท่านไม่มาcheck in เราจึงมั่นใจว่าท่านหายตัวไปแน่นอน

จากการสืบถาม ผมได้ที่อยู่ของ clinic และ condo ผมจึงเดินทางไปทองหล่อ ซอย 4 ไปที่clinic ของผญ พบว่าปิด ไม่สามารถเข้าไปสำนักงานได้ จึงเดินทางไปที่ condo ของผญ ผมไปถึงเวลา22:30 พบว่าคนขับรถเป็นคนละคนกับคนเดิมจึงทราบว่ามีการสับเปลี่ยนคนขับรถ โดยไปจ้างคนขับรถ Taxi มาขับแทน เพื่อที่ผมจะได้ติดต่อคนขับรถไม่ได้ จึงรู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์นี้ ถูกวางแผนมาอย่างดี เราไม่ได้เจอกับคนธรรมดาแน่นอน
เมื่อถึง condo พบคนขับรถ เขาไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น เราจึงได้คุยกับคนขับรถซึ่งกำลังรอรับค่าจ้างอยู่ที่ lobby ได้ความว่าหลังจากออกจากวัดยานนาวา ท่านสั่งให้ไปวัดชนะสงคราม ท่านและผญ ลงที่วัดชนะสงคราม และกลับขึ้นมาโดยแต่งตัวเป็นเสื้อขาวกางเกงเล ใส่หมวกไหมพรม พร้อมพระอีกรูป จากนั้นก็สั่งให้ขับรถไปส่งพระอีกรูปที่ central แจ้งวัฒนะ และกลับมาถึงcondo

เวลาประมาณ 22:00 และทั้ง2 ได้ขึ้นcondo ไปแล้ว24:00 เราพยายามติดต่อขึ้นไปที่ห้อง แต่ไม่รับสาย และไม่ยอมลงมา แต่สั่งให้ยามมาไล่เราออกไปจากอาคาร ไม่งั้นจะเรียกตำรวจมาจับเรา เราจึงออกจากอาคารไป และขับรถตามคนขับรถไปจึงพบว่า ผญสั่งให้รถหลอกเราออกมา มาทราบทีหลังว่า ผญพาท่านออกจาก condo เวลา 1:00 เรากลับมาค้นข้อมูลทาง internetจึงพบประวัติการทำธุรกิจ หนี้มากมายมหาศาล เธอเปลี่ยนชื่อหลายครั้งมากแม้กระทั่งชื่อเล่นจาก อ้อย เป็นแอน และผมไม่เคยเห็น ผญคนนี้ที่วัดมาก่อนนี่คือวิถีของท่านและของวัด วัดไม่เคยมีกฏเข้มงวด วัดไม่เคยกีดกั้นคนที่จะเข้าพบท่าน ทุกคนสามารถเข้าถึงตัวท่านได้ง่ายๆทุกเวลา ท่านใจดีไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ใครจะถวายอะไรทานก็รับ ใครจะถวายยาอะไรท่านก็ทาน ใครถวายยาอะไรขอให้ท่านเดินทางไปไหน รักษาที่ไหนอย่างไรท่านก็ไป ไม่เคยขัด ใครจะมาขอรับส่งท่านท่านก็เมตตาอนุญาติโดยไม่มีเงื่อนไข

เช้าวันรุ่งขึ้น6:00 ผมไปวัดชนะสงคราม จับความได้ว่ามีพระท่านหนึ่งที่น่าจะรู้จักกับท่าน เคยเทศน์ด้วยกันที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ได้เดินทางออกจากวัดไป ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบแต่เช้านี้ไม่อยู่ที่วัดแน่ๆ เราจึงกลับไปที่ condo เพื่อไปดักรอเพื่อจะได้เห็นว่าท่านสึกหรือยัง ผมได้ทราบว่าผญ ทำการยักยอกเงินทำบุญจากวัดเบญฯไว้ โดยไม่ได้นำไปมอบให้มูลนิธิ จึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อขอเข้าดู CCTV เป็นการพิสูจน์ว่า ผญ คนนี้อาศัยอยู่ในcondo นี้จริง ทางตำรวจให้ความร่วมมือที่ดีมากทำให้เราสามารถดูกล้องใน lift และสิ่งที่ผมเห็นพิสูจน์ได้ว่าท่านสึกจริงแล้ว และไม่ได้อาศัยอยู่ใน condo นี้แล้ว

เราจึงกลับออกมาหลังจากนั้นผมกลับไปผมได้หาข้อมูลของ ผญ คนนี้เพิ่มได้อีกจากที่ผมสืบถามจากทุกคนในวัดและมูลนิธิฯ จึงพบว่า ผญเริ่มเข้ามาวัดเมื่อประมาณเดือนเมษายนปีนี้ โดยเข้ามาแล้วพยายามติดตามพระรูปหนึ่งในวัด ตามจนคนในวัดเห็นพฤติกรรม แต่ไม่มีใครคิดจะไล่ ผญ คนนี้ออกจากวัด ต่อมาก็มาติดตามโยมคนหนึ่งที่มาปฏิบัติธรรม โยมคนนั้นเล่าว่า เขาโทรฯ ตามให้มานั่งปฏิบัติธรรม ติดกัน โดยจองที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว และชวนเขาไปทำศัลยกรรมที่ clinic ที่ ผญ เป็นเจ้าของอยู่ 

แต่เนื่องจากโยมคนนี้ เห็นอาการของ ผญ แล้วตัดสินด้วยความรู้สึกของผู้ชาย ว่าแม้เพียงครั้งเดียว ถ้าไปกับ ผญ คนนี้ ก็มั่นใจว่า ไม่เป็นผลที่ดีแน่ๆ จึงไม่ไปจากการไล่จับ ผช 2 คนในวัด ไม่สำเร็จ สิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

มีโยมที่วัดบอกว่า ผญ คนนี้วันวันเอาแต่นั่งจ้องพระอาจารย์มิตซูโอะ เป็นชั่วโมงชั่วโมง ใครเข้าไปกราบท่าน หล่อนก็ไม่ถอยออกมา นั่งจ้องอยู่เช่นนั้น 

และต่อมา ผญ ก็เสนอให้การรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการทำ chelation โดยต้องไปทำที่ clinic ทองหล่อ ซอย 4 อาทิตย์ละ 1 ครั้ง

2ครั้งแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เดินทางไปด้วย แต่ตัว ผญ ไม่ได้ไป และหลังจากนั้นก็เพิ่มเป็นทุก 2 วัน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ติดตามไปด้วย และผญ เสนอว่า เนื่องจากต้องไป clinic บ่อยอยู่แล้ว จึงให้คนขับรถของหล่อน มารับไปกิจนิมนต์ด้วยเลยทุกวัน ซึ่งรถที่มารับ เป็นรถตู้ สีขาว ติดฟิล์มดำสนิท มีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับห้องโดยสาร ไม่สามารถมองเห็น และได้ยินห้องโดยสารได้

ในชั้นแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งท่านว่ารถคันนี้ไม่เหมาะสม จึงให้ ผช ในวัดติดตามไปด้วย 1 คน แล้วมารู้ทีหลังว่า โดน ผญ สั่งให้ไปนั่งกับคนขับรถ บางครั้งไปนั่งด้านหน้า 3 คน รวมคนขับเป็น 4 คน ตอนลงรถ เราคิดว่ามากันหลายคน มาทราบภายหลังว่าทุกคนโดน ผญ สั่งให้ไปด้านหน้าทั้งหมด

พระอาจารย์ฯ มีกิจนิมนต์ที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 2 – 17 พฤษภาคม (ผญ ไม่ได้ไป)

ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ผญ คนนี้ก็มารับพระอาจารย์ฯ ที่มูลนิธิฯ ไปทำ chelation ทุกวัน เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าทำไมต้องไปทุกวัน ผญ ตอบว่ามีการทำ stem cell ร่วมด้วยจึงต้องไปทุกวัน และโดยปกติพระอาจารย์ฯ จะต้องมีการตรวจสุขภาพที่ รพ วิชัยยุทธ แต่ท่านปฏิเสธการตรวจสุขภาพทั้งหมด

เจ้าหน้าที่มูลนิธิ เห็นสิ่งผิดปกติ ของ ผญ คนนี้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างไร พอมาคิดย้อนหลังจึงพบว่า พระอาจารย์ฯ ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั่งเหม่อ เก็บตัว มีอาการโมโห โกรธ บางครั้ง ซึ่งท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลย 

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นรวดเร็วมาก โดยไม่มีใครคาดคิดว่า ผญ คนนี้จะสึกพระ จนกระทั่งเย็นวันที่ 8 พระที่วัดได้โทรฯ คุยกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ว่ามีคนในครอบครัวของ ผญ แจ้งไปที่วัดป่านานาชาติ ว่า ผญ คนนี้จะสึกพระ เช้าวันอาทิตย์ที่ 9 และครอบครัวได้ห้ามแล้ว แต่ด้วยนิสัยของ ผญ ที่จะเอาอะไร ต้องเอาให้ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

เราก็สงสัยว่า ครอบครัว ผญ รู้ได้อย่างไร จึงสอบถามไปที่ครอบครัวของหล่อน และได้คำตอบว่าพวกเขากลุ้มใจกันมาก แต่ไม่กล้าแจ้งทางมูลนิธิฯ ว่าหล่อนมาขอร้องให้ช่วยดำเนินการเรื่องวีซ่า ไปประเทศญี่ปุ่น จึงได้รู้ความจริง

การติดตามของเราที่จะให้ได้พบตัวท่าน เพียงเพื่อจะได้เห็นกับตาว่าท่านสึกแล้ว จริงหรือไม่ และจากกล้อง CCTV เราจึงบอกกับทางมูลนิธิฯ ว่า สึกจริงแล้ว เรายืนยันได้ และเราก็ปรึกษากัน ตัดสินใจไปดักรอพบท่านที่สุวรรณภูมิ เพราะได้รับแจ้งจากวัดป่านานาชาติ จากแหล่งข้อมูลเดิม ว่าจะเดินทางออกนอกประเทศ ไปฮ่องกง เช้ามืดของวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน ซึ่งผมตรวจสอบแล้วว่ามี สายการบิน ฮ่องกงแอร์ไลน์ เช้าที่สุดคือเวลา ตี2:15 เราจึงไปถึงสนามบินในเวลาเที่ยงคืน และเราก็ได้พบกับท่าน

เราได้เข้าไปคุยกับท่าน ถามถึงเหตุผลที่สึก ท่านตอบว่า เป็นพระสอนได้แค่คนที่เคารพผ้าเหลือง ถ้าเป็นคนธรรมดาจะสอนคนได้ทุกชาติ ศาสนา และเราก็ขอให้ท่าน อยู่ที่มูลนิธิฯ ต่อซัก 2-3 วันแล้วค่อยตัดสินใจใหม่ ท่านปฏิเสธ และเราถามอีกว่า ท่านสึกแล้วทำไมถึงมากับผู้หญิง ท่านตอบว่า ด้วยเหตุและปัจจัย

สิ่งผิดปกติที่เราสังเกตุเห็นคือมือของท่านทั้งสองข้าง คล้ำแบบดำเขียว เหมือนกับช้ำมาก เฉพาะที่มือทั้งหน้ามือและหลังมือ เราจึงถามท่านว่า ทำไมมือของท่านดำมาก ท่านไม่สบายหรือเปล่า ท่านเก็บมือใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วบอกว่าสบายดี ไม่เป็นอะไร แต่เราไม่ยอม จึงขอให้ท่านเอามือออกมาเทียบกับมือของผม ก็พบว่ามือของท่านผิดปกติ แต่ท่านก็ยังยืนยันว่า สบายดี

ในระหว่างที่ถาม ท่านแสดงอาการไม่พอใจ ที่มาพบท่าน และพูดไล่เรากลับไป ซึ่งอาการเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ท่านไม่เคยปฏิเสธใคร ดูเหมือน เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

วันนั้น เรายืนมองท่านเดินจากไป

เห็นท่าเดินที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นท่าเดินที่ลากเท้า เหมือนคนอ่อนแรง โดยปกติท่านจะเป็นคนที่เดินแบบยกเท้าพ้นพื้น แล้วจรดเท้าลงแบบเดินจงกรม

เห็นท่ายืนรอ ผญ แลกเงิน อย่างเหม่อลอย

เป็นภาพที่เรารู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะช่วยท่าน …แต่จะด้วยอะไรก็ตาม วันนั้น เราทำเพียงยืนดูท่านจากไป

คืนนั้น เรากลับมาหาข้อมูล ผญ คนนี้ต่อ พบว่า ใน website เขียนถึงหล่อนว่า แต่งงานมาแล้ว และหย่ามาแล้วหลายครั้ง มีหนี้สินมากกว่าพันห้าร้อยล้าน มีคดีที่ต้องขึ้นศาลตลอดเวลา ค่าเช่าคลีนิคไม่จ่ายมาแล้ว 3 เดือน ใน web มีคนเขียนว่า ไม่จ่ายค่ายา ไม่จ่ายค่าหมอ และเรื่องเลวร้ายอีกมากมายที่ทำไว้ เปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายชื่อ เปลี่ยนแม้กระทั่งชื่อเล่น

และต่อมา เราได้คุยกับผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยา ว่าคนที่มีอาการแบบนี้ เป็นไปได้ที่จะโดนยากล่อมประสาท แต่เนื่องจากต้องเดินทางไกล จึงต้องสเน็ปยาเข้าไปที่ข้อมือมากกว่าปกติ มือจึงดำ ประกอบกับอาการเหม่อลอย และเดินลากขา เป็นเพราะยากล่อมประสาท เช่น dormicum

จากการปล่อยข่าวของ ผญ ทั้งรูป และวิดีโอ สร้างภาพให้เป็น สึกด้วยความรักหล่อน ทำให้ สงสัยว่าด้วยเวลา ปลายเมษายน ถึง 8 มิถุนายน 2556 สามารถสึกพระ 38 พรรษาได้ จริงหรือ ถ้าไม่มีตัวช่วย

ความรู้สึกของผมจากการหาข้อมูลด้วยตัวเอง และการติดตามใน 3 วันนั้น ทำให้ผมคิดตลอดเวลาว่าจะช่วยท่านได้อย่างไร

และ ผญ คนนี้ จงใจกระทำทุกอย่าง อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด และผมเชื่อว่า ไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่เนื้อคู่ ไม่ใช่คู่บุญบารมีอะไรหรอกครับท่าน

และผมตัดสินใจในวันนี้ว่า จะต้องเล่าสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ในฐานะลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ศรัทธาท่านและระลึกถึงบุญคุณที่ท่านทำไว้ให้กับชาวไทยอย่างล้นเหลือ

ผมมีคำถาม ใครช่วยตอบผมที

ผญ ที่สร้างภาพ ดี รวย สวย เก่ง และมีความรักที่สวยงาม คนนี้ ยักยอกเงินทำบุญ จากญาติโยม ที่นิมนต์เทศน์ที่วัดเบญจมบพิตร เพียง 30,000.- บาท เพราะเหตุผลอะไร

จบครับ
*******

Kittinan 

ผมขอลบข้อความที่โพสเมื่อเช้านี้ก่อนนะครับ ด้วยเหตุผลส่วนตัวครับ ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับผม ทุกอย่างเรียบร้อยดีจริงๆ ครับ ขอบพระคุณทุกคนครับ

จับตานายกปูนั่งควบกห.เพิ่มเสียงบอร์ดโยกย้ายทหารปลายปี

อดีตรองผบ.สส. พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ เชื่อการที่นายกนั่งควบกลาโหม ทั้งๆที่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องกลาโหมที่จะมาช่วยงาน และพ่วงตำแหน่งรมช.กห.มาอีกตำแหน่งทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น มองอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการเข้ามาแทรกแซงในการปรับย้ายทหารปลายปี ผ่านคณะกรรมการปรับย้ายเจ็ดคน ตามพรบ.จัดระเบียบกลาโหม 2551 เพิ่มรมช.มาหนึ่งทำให้โควต้าการเมืองเพิ่มจากหนึ่งเป็นสอง บวกรวมปลัดกห. พล.ร.อ.ทนงศักดิ์อภิรักษ์โยธิน อีกหนึ่งเป็นสาม ที่เหลืออีกหนึ่งหาไม่ยาก ผบ.ทร.คนปัจจุบัน พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ สนิทสนมกับ พล.ร.อ .กำธร พุ่มหิรัญ ที่แนบแน่นกับทุศิล ณดูไบ คะแนน4/3 เห็นๆหากมีการโวตเลือกผบ.เหล่าทัพปลายปีนี้...

พล.ร.อชัย ยังเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองปลายปีจะดุเดือดเข้มข้นมากขึ้น หลังเสนอกฏหมายปรองดองเข้าสภาหลังเปิดสภาเดือนสค. จำเป็นต้องเข้าควบคุมกองทัพให้ซ้ายหันขวาหันตามที่พรรคต้องการจะได้ไม่เป็นปัญหาต่อรัฐบาล...

สาวใหญ่แพร่คลิป ทวงหนี้ กล้านรงค์และภริยา


สาวใหญ่โผล่คลิป อ้างเป็นเจ้าหนี้ทวงเงิน "กล้าณรงค์ จันทิก"และภริยา ๑.๙ ล้าน ขณะที่เจ้าตัวปัดแต่พร้อมสู้คดีขู่เอาเรื่องหากเจตนาทำให้เสียหาย

นางยมนา สุธาสมิต อ้างเป็นเจ้าหนี้ เรียกร้องให้ นางพรรทิภา และนาย กล้าณรงค์ จันทิก เลขาธิการ ปปช. ออกมารับผิดชอบกรณี ยืมโฉนด เพื่อนำไปกู้เงินกับธนาคาร โดยตีเช็คไว้ ๑ฉบับ ของธนาคารทหารไทย เป็นเงิน ๑.๘ ล้านบาท ที่ส่งผลให้ตนเองภายหลังถูกธนาคารฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย โดยที่ผ่านมาได้ติดตามทวงถามกับ นางพรรทิภา ที่อ้างว่า ไม่โกงเพราะนายกล้าณรงค์เป็นถึงเลขา ปปช.และยืนยันว่าส่งเงินกับธนาคารทุกเดือน พร้อมอ้างว่าจะขายที่ดินโรงงานเพื่อเอาเงินมาใช้ แต่จนเวลา ๗ ปีที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการชำระ กระทั่งธนาคารมีการฟ้องร้องตน โดยระบุว่า นางพรรณทิภา มีการไปกู้เงิน ๑.๙ ล้านจริง แต่มีการไปทำ โอดีเพิ่มอีก ๓ แสน โดยมีการไปถ้ารูปที่ดินแปลงอื่นไปอ้างกับธนาคาร หลังจากนั้นธนาคารได้มีการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าว และอายัดเงินในบัญชีรวมถึง ฟ้องล้มละลายตน ตนจึงนำเงิน ๓ แสนไปให้ธนาคาร ซึ่งถอนฟ้องชั่วคราว เพื่อให้ นางพรรณทิภาและนายกล้าณรงค์เข้ามารับผิดชอบ แต่ในที่สุดตนก็ถูกศาลพิพากษาเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อปี ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ปัจจุบันธนาคารยังคงตามยึดทรัพย์สินของตน ตนจึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้อง ให้ นางพรรณทิภาและนายกล้าณรงค์เรื่องนี้ 

ด้าน นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าว(1ก.ค.56) ถึงกรณีที่มีคลิปทวงเงินจากคู่กรณีของนายกล้านรงค์ จากการยืมที่ดินไปค้ำประกันเงินกู้ว่า เรื่องนี้เกิดมาเป็นสิบปีที่และเคยมีการฟ้องร้องกันมานานแล้ว โดยการให้ยืมโฉนดที่ดินนั้น ตนยืนยันว่าไม่เคยไปยืมแต่ในส่วนที่มีปัญหาเป็นเรื่องการทำธุรกิจรร่วมกันระหว่างคู่กรณีที่ปรากฏในคลิปกับภรรยาของตน ทั้งนี้จากการตรวจสอบแล้วหากพบว่าไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือคู่กรณี หากใครผิดผิดก็จะดำเนินคดีเพราะทำให้ตนเสียชื่อเสียง ได้รับความเสียหาย แต่จะฟ้องร้องในคดีใดบ้างขอไปศึกษาข้อมูลก่อน

https://www.youtube.com/watch?v=NL7bJxDNCf4

"นักการเมืองเฮ! “หมิ่นผ่านเน็ต” ตัดต่อ – ล้อเลียน – วิจารณ์จับจำคุก 5 ปี!"...

อยู่ๆ ก็ถูกจุดกระแสขึ้น เมื่อ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ออกตัวแรงกับกรณี “หมิ่นผ่านเน็ต” หากผู้ใดกระทำเจ้าหน้าที่สามารถจับได้ทันที ไม่ต้องมีการฟ้องร้อง พร้อมโทษจำคุก 5 ปี

จุดชนวนถึงการปฏิบัติหน้าที่และนัยของการออกมาประกาศเน้นย้ำถึงการบังคับใช้พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ท่ามกลางกระแสร้อนแรงในการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองบนอินเทอร์เน็ต ไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่า การกระทำครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องคนบางกลุ่ม

ล่าสุดวรวีย์ มะกูดี ที่ปัจจุบันเป็นรักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยก็ออกมาขู่จะฟ้องร้องผู้ที่ติดต่อภาพตัวเองเพื่อล้อเลียนอีกด้วย

*ออกตัวแรง “หมิ่น - จับ - ขัง 5 ปี”

ทุกวันนี้บนอินเทอร์เน็ต สิ่งที่ถูกพูดถึงและเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุดสิ่งหนึ่งคือการเมือง เพราะการเมืองถือเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตของประชาชน ทำให้ทุกวันนี้เมื่อมีนักการเมืองปฏิบัติงานการเมืองที่ไม่ชอบมาพากล ส่อพิรุธ กระทั่งดำเนินนโยบายใดๆก็ตาม ไม่แปลกที่จะมีความเห็นต่างทางการเมืองดังมาจากฟากประชาชน

และหลายครั้งก็ปรากฏภาพตัดต่อล้อเลียน ซึ่งก็มาจากการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมืองเสียเอง กรณีของชัย ราชวัตร นักเขียนการ์ตูนล้อเลียนการเมืองชื่อดังที่ถูกฟ้องหมิ่นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นที่พูดถึงในแง่ของการแสดงความเห็นทางการเมืองต่อบุคคลสาธารณะอย่างนายกรัฐมนตรี

มาถึงตอนนี้ ภาพตัดต่อและข้อความล้อเลียนกับบุคคลสาธารณะนั้นแทบจะเป็นของคู่กัน ยิ่งกับนักการเมืองที่ทำงานโดยมีพื้นฐานที่ประโยชน์ของสาธารณะยิ่งจะมีแพร่หลายไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ทั้งคำพูดเชิงล้อเลียนที่แฝงนัยทางความคิดเห็นที่มีต่อหน้าที่ในฐานะนักการเมือง

ล่าสุด หลังจากพล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ออกมาพูดถึงกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นผ่านอินเทอร์เน็ตเพียงไม่กี่วัน ฟากฝั่งที่ทำงานด้านการเมืองอย่างวรวีร์ มะกูดี ที่กำลังมีปัญหาอยู่กับประเด็นการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลคนใหม่ก็ออกตัวจะฟ้องร้องผู้ที่ตัดต่อภาพตัวเองฐานหมิ่นประมาททันที โดยมีการเตรียมทีมกฎหมายฟ้องร้องกว่า 100 คดี

“คุณทำงานสาธารณะ ก็น่าจะต้องยอมรับให้สาธารณะวิจารณ์บ้าง...ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่หงุดหงิดง่าย อย่างคุณเฉลิมแกก็อารมณ์เสียง่าย นักข่าวถามอะไรก็ขู่ฟ้อง เอะอะอะไรก็ฟ้อง มันเด็กๆ เกินไปหรือเปล่า” อาทิตย์ วุริยรงค์กุล เครือข่ายพลเมืองเน็ต กลุ่มเครือข่ายที่เคลื่อนไหวด้านสิทธิของประชาชนในการใช้อินเทอร์เน็ต แสดงความเห็นถึงกรณีฟ้องร้องของนักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะที่เกิดขึ้น

“คือคุณทำงานการเมือง ทำงานสาธารณะ ดังนั้นก็ต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นธรรมดา มีเสียงบ่นว่าเมื่อคุณทำผลงานได้ไม่ดี เพราะมันเป็นเรื่องสาธารณะ มันเกี่ยวข้องกับพวกเขา แฟนบอลที่ไม่พอใจ บ่นว่าคุณวรวีร์มันก็เพราะการทำหน้าที่ของเขา ไม่ได้ด่าที่ตัวบุคคล”

กับกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาประกาศย้ำถึงการใช้กฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น เขามองใน 2 แง่มุมซึ่งขึ้นอยู่กับท่าทีของการพูด หากพูดในเชิงข่มขู่ เขาเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะจะเป็นการปกป้องคนบางกลุ่ม แต่หากไม่แล้ว มุมที่เป็นประโยชน์ก็คือ การให้ความรู้กับสาธารณชนว่า กฎหมายนี้มีอยู่ และหากเกิดการฟ้อง เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ

“ในทางหนึ่งก็ดีเป็นการให้ความรู้กับประชาชน มีกฎหมายนี้อยู่นะ ควรระวังตัวไว้ อาจจะมีคนอื่นที่เขาคิดว่าเขาเสียหายมาฟ้องคุณได้นะ ฟ้องมาเราก็ต้องดำเนินคดี ถ้าเกิดว่า พูดมาในลักษณะแบบนี้ก็โอเค แต่ถ้าน้ำเสียงปราม ข่มขู่ อันนี้ก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ เฮ่ย อย่าโพสต์นะ จับได้นะ อันนี้ไม่เหมาะ”

ทั้งนี้ กรณีที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยใช้กฎหมายดังกล่าวนั้น เขาเห็นว่ามีอยู่เรื่อยและมักจะเป็นเรื่องการเมืองระดับชาติหรือการกลั่นแกล้งกันระหว่างบุคคล โดยจะมีการไปฟ้องตำรวจ ซึ่งตำรวจก็จำเป็นต้องทำ อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า การเป็นบุคคลสาธารณะก็ควรจะมีความอดทนเพื่อให้การทำงานต่างๆ สามารถเป็นไปได้มากขึ้น

การออกโรงมาเตือนว่า หากพบการหมิ่นจะจับทันทีนั้น ในทางปฏิบัติแล้ว การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีความสามารถที่จำกัด อย่างไรก็ไม่มีทางดูแลได้ทั่วถึง จึงไม่แปลกหากจะมีหลายฝ่ายมองว่า สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อปกป้องบุคคลทางการเมือง

“ใช่ครับ มันจะกลายเป็นว่ามีแค่คนดัง คนมีอำนาจทางการเมืองเยอะหน่อยที่จะได้รับการคุ้มครองหรือเปล่า แบบนี้ ผมมองว่าบุคคลทางการเมืองมีการออกแอกชั่นมาก หงิดหงุดง่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายก็ต้องแสดงท่าที ซึ่งตรงนี้มันก็ทำให้การทำงานอะไรๆ มันลำบากขึ้น”

กับประเด็นเรื่องการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น เขาเห็นว่า จะต้องให้ความยุติธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย โดยมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการให้ลำดับความสำคัญมากกว่า

“จริงๆ ก็ต้องแฟร์กับตำรวจด้วยว่าเขามีกำลังแค่นี้ ฉะนั้น อาจจะต้องเลือกตามลำดับความสำคัญ คนนี้อาจจะมีประเด็นอ่อนไหวทางสังคมมาก และถ้าเขาไม่ทำอะไร เขาก็ถูกเด้งได้”

มาถึงปัจจุบันนี้ เขาเห็นว่า การตรวจสอบทางการเมืองควรจะมีอยู่ หากสื่อและประชาชนทำหน้าที่แล้วจะมีการฟ้องร้องทุกครั้ง การทำงานด้านการตรวจสอบก็เป็นไปได้ยาก

“ตอนนี้สังคมมันเปลี่ยนไป มันมีความคาดหวังมากขึ้นว่า บุคคลสาธารณะจะต้องมีความรับผิดชอบ จะต้องโปร่งใสมากขึ้น กฎหมายอย่างหมิ่นประมาท กฎหมายที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของบุคคลสาธารณะ มันก็อาจจะต้องปรับไปตามความคิดความอ่านของคนในสังคมที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าว่าอะไรไม่ได้เลย แตะอะไรไม่ได้เลย”

* ปัญหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเเละปรับไม่เกิน 1 เเสนบาท เป็นพ.ร.บ.แรกที่เกี่ยวกับการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ซึ่งประกาศใช้หลังจากการรัฐประหาร 2549 ท่ามกลางเหตุการณ์ทางการเมืองที่โลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยคิดเห็นที่แตกต่าง

แต่เดิมทีพ.ร.บ.ดังกล่าวก็มีการพูดถึงในแง่ของปัญหาจากการบังคับใช้อยู่แล้ว ในฐานะที่เคลื่อนไหวด้านสิทธิของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมาตลอด อาทิตย์ เผยถึงข้อกฎหมายเป็นที่ปัญหาซึ่งมีอยู่มาตราหลักนั่นคือ มาตรา 14 15 และ16
โดยมาตรา 14 นั้นจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับข้อมูลที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตแล้วจะผิดกฎหมาย อย่าง ข้อมูลอันเป็นเท็จ หมิ่นประมาท หรือความมั่นคง ทั้งนี้ผู้กระทำผิดจะเป็นลักษณะของผู้ใช้บริการ โดยจะเป็นคดีอาญา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีแล้วไม่สามารถยอมความได้ มีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี

ขณะที่มาตรา 15 นั้นจะเกี่ยวกับผู้ให้บริการ ตัวอย่างเช่น เว็บข่าวต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานโพสต์ความเห็น หากความเห็นเหล่านั้นผิดตามมาตรา 14 ก็จะผิดฐานเหมือนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด โดยระบุโทษเท่ากันคือจำคุก 5 ปี ขณะที่มาตรา 16 นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับภาพตัดต่อ แต่เป็นคดีที่ยอมความได้

“เดิมที เจตนาของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์คือการป้องกันความผิดที่จะกระทำผ่านคอมพิวเตอร์ เป็นการออกกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น การขโมยรถ รถหายไป เราไม่สามารถใช้รถได้ แต่การขโมยข้อมูลนั้นไม่เหมือนกัน เรายังมีข้อมูลนั้นอยู่ แต่คนขโมยก๊อบปี้ข้อมูลของเราไป ซึ่งถ้าเป็นกฎหมายเดิม ศาลฎีกาตีความออกมาแล้วว่า ไม่ผิด ดังนั้น มันจึงต้องมีการออกกฎหมายมาเพื่อทำอะไรสักอย่างกับกรณีแบบนี้”

ในส่วนของข้อมูลเท็จนั้น มีการออกแบบตามเจตนาเดิมให้ใช้กับกรณีอย่างการปลอมแปลงข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม หากมีใครปลอมแปลงบัตรแล้วนำไปกดเงิน ข้อมูลที่เข้าสู่ตู้เอทีเอ็มซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์นั้นถือว่าเป็นเท็จ ดังนั้นจึงผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทว่าการนำมาใช้ในปัจจุบันนั้นกลับผิดต่อเจตนาเดิมของตัวบทกฏหมาย

เขาเผยถึงหลายกรณีที่มีการให้พ.ร.บ.ดังกล่าวในทางที่ผิด นักต่อสู้ด้านสิทธิผู้ป่วยคนหนึ่งถูกกลุ่มแพทย์ฟ้อง จากที่การทำแคมเปญรณรงค์ว่า ปีหนึ่งมีผู้เสียหายจากความผิดพลาดในการรักษาพยาบาลเท่าไหร่ ซึ่งข้อมูลยังไม่มี แต่การรณรงค์นั้นได้นำตัวเลขจากอเมริกาแล้วเปรียบเทียบว่า หากคุณภาพการรักษาพยาบาลของประเทศไทยเท่ากับอเมริกา ประเทศไทยจะมีผู้เสียหายจากกรณีเหล่านี้เท่าไหร่ ซึ่งกลายเป็นช่องให้กลุ่มแพทย์ให้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ในการฟ้องร้อง

“ตัวแทนสหภาพแรงงานก็มีกรณีที่ถูกบริษัทแห่งหนึ่งฟ้องด้วยมาตรา 14 ของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แม้ว่าบริษัทจะมีการเจรจายอมความแล้ว แต่ตามพ.ร.บ.มันเป็นคดีอาญาเลยไม่สามารถยอมความได้”

เมื่อเทียบกับกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป หมิ่นผ่านสื่อจะเห็นว่ามีโทษไม่เกิน 2 ปี ยอมความได้ด้วย ทำให้เห็นว่าไม่ยุติธรรม

“จนถึงตอนนี้ มันก็ผ่านมา 6 ปีแล้วนับจากที่เริ่มใช้กฎหมายนี้ ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ที่เป็นคนออกแบบกฎหมายนี้ก็เห็นว่า มันถูกนำไปใช้ผิดเจตนา ตอนนี้ก็มีการดำเนินการยกร่าง ทำประชาพิจารณ์สำรวจความคิดเห็นประชาชนกันเพื่อแก้ไขกฎหมายนี้”

บอกได้ว่า หลายภาคส่วนเริ่มมีนโยบายที่เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวนั้นมีปัญหา และก่อให้เกิดความอยุติธรรมขึ้น แม้แต่ภาครัฐเองก็ยังขานรับ เขาจึงเห็นว่า หากเป็นภาครัฐเหมือนกันก็ควรจะคุยกันบ้างว่านโยบายควรดำเนินไปในทางใดกับกฎหมายที่ปัญหาอยู่นี้

ส่วนของการแก้กฎหมายนั้น เขาเห็นว่า โลกอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่ขยายตัวไป ทำให้ข้อมูลหลายอย่างเดินทางเร็วขึ้น ผู้อ่านก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้น การออกฎหมายจึงควรคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วย

“พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับที่ใช้อยู่มันคำนึงถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างเดียว แต่ไม่ได้คำนึงถึงพฤติกรรมของผู้คน การแสดงออกของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ในต่างประเทศอย่างอังกฤษมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้สื่อสามารถทำให้คนไม่พอใจได้ หากเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อสาธารณะต้องมาก่อน

“กับสังคมไทยมันมีความคาดหวังมากขึ้น เราเรียกร้องกันว่า นักการเมืองต้องไม่คอร์รัปชัน กระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาล หรือนักการเมือง มันต้องโปร่งใส แต่มันจะโปร่งใสได้ไงละ เมื่อประชาชนจะลุกขึ้นมาตรวจสอบ แล้วก็ฟ้องกันหมด มันไปกันไม่ได้ไง ผมคิดว่ากฎหมายมันต้องเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมตรงนี้ด้วย”

….

การตัดต่อ - ล้อเลียน - วิพากษ์วิจารณ์กับบุคคลสาธารณะ และยิ่งกับคนทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างนักการเมือง การตรวจสอบถือเป็นความดีงามหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย หากทว่ามาถึงตอนนี้ดูเหมือนนับวันความดีงามที่เป็นเสมือนแสงไฟอันริบหรี่กำลังจะถูกดับลงทุกที มีเพียงประชาชนเท่านั้นที่จะลุกขึ้นปกป้องสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ


ข่าวโดย ASTV ผุ้จัดการ LIVE

โฆษณาแฝงไม่ใช่โฆษณา

เวลาได้ยินคำว่าโฆษณาแฝง มักมีความรู้สึกอย่างที่ฟรั่งเรียกว่า Irony คือเป็นความรู้สึกขัดแย้งในความหมาย เพราะโดยธรรมชาติของโฆษณา มันหมายถึงการป่าวร้องให้สาธารณะชนรู้ ดังนั้นอะไรที่พยายามประกาศให้คนรู้แต่ไม่ทำแบบแฝงๆ หรือแอบๆ มันจึงให้ความรู้สึกพิกล

อะไรคือโฆษณาแฝง ?

หากตามไปถึงที่มาของคำว่าโฆษณาแฝง ก็จะเห็นคำว่า Covert Advertising และ Surreptitious Advertising คาดว่าคนริเริ่มใช้คำว่าโฆษณาแฝงก็คงไปเอามาจากคำฟรั่งคำใดคำหนึ่งในสองคำนี้ Covert Advertising หรือโฆษณาแฝง มักใช้กันอยู่ในหมู่ของคนที่ไม่ใช่นักโฆษณาหรือไม่ใช่นักการตลาด คำๆนี้ หลักๆก็ใช้กันในหมู่ของนักคุ้มครองผู้บริโภค นักรณรงค์ต่อต้านการค้าและนักกำกับการโฆษณา ความหมายของ Covert Advertising ที่พวกเขาใช้ก็คือ “is when a product or brand is embedded in entertainment and media.” (จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Advertising ) ความหมายคือ เมื่อสินค้าหรือตราสินค้าถูกผนึกหรือรวมเข้าไปในรายการหรือในสื่อ 

สำหรับนักโฆษณาอาชีพ โดยทั่วไปพวกนี้ถือว่าโฆษณาจะต้องระบุตัวตนคนโฆษณาและต้องจ่ายค่าสื่อ ส่วนสิ่งที่คนอื่นเรียกโฆษณาแฝงนั้น คนในวิชาชีพจะจัดอยู่ในกลุ่ม Marketing Communications หรือสื่อสารการตลาด แต่ละอย่างจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามลักษณะของวิธีที่ใช้ แต่ที่ถูกเรียกเป็นโฆษณาแฝงมากที่สุดก็คือ Product Placement การเอาสินค้าไปวางให้ปรากฏในฉาก Brand Contact, Prob Placing การจัดให้มีตราสินค้าปรากฏ หรือคำที่เหมารวมๆ กันก็ Below the Lines กิจกรรมอื่นๆที่ไม่ใช่โฆษณาแต่ก็มีวัตถุประสงค์สื่อสารเพื่อประโยชน์ทางการตลาด

สำหรับโทรทัศน์ โฆษณาแฝงที่กลายเป็นประเด็นถกเกียงหลักๆ ก็คือ การวางสินค้า (Product Placement) การแสดงให้เห็นตราสินค้า(Brand Placement/intergration) และการแสดงภาพจอที่มีโฆษณาหรือสินค้าเป็นฉากหลัง (Embedded)

โฆษณาแฝงมีปัญหาอะไรหรือ ?

ในหลักคิด โฆษณาแฝงมีปัญหาแน่นอน เพราะสินค้าหรือตราไปปรากฏในสื่อหรือเนื้อหาของสื่อด้วยเจตนาที่เป็นการค้า ในขณะที่ผู้รับชมหรือรับฟังรายการไม่ได้ล่วงรู้ถึงเจตนาดังกล่าว และไม่มีการบอกกล่าวใดๆ จะถือว่าทางฝ่ายเจ้าของสินค้าไม่ตรงไปตรงมาก็ได้ หรือจะอีกแง่มุมก็คือ ความไม่รู้ทำให้ผู้รับไม่ทันระวังตัว แต่ก็มีคำถาม กิจกรรมการสื่อสารหรือการเรียกร้องความสนใจเพื่อจะโน้มน้าวหรือสร้างความจดจำเป็นสิ่งนอกกฎหมายหรือ ประเด็นนี้เป็นเรื่องต้องใคร่ครวญให้ดี
ฝ่ายสนับสนุน มองต่างไปว่าการวางสินค้าในฉาก ถ้าทำให้ดีแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรกับใคร เพราะในฉากหนังฉากละคร ก็ต้องมีสิ่งประกอบฉากอยู่แล้ว สินค้าในฉากทำให้เนื้อหารายการดูสมจริง ช่วยสื่ออารมณ์และให้ความบันเทิงได้ดีขึ้น เจ้าของสินค้าและผู้ผลิตเอง ก็ต้องระวังไม่ให้การวางสินค้าขัดกับความเป็นจริงหรือขัดความเหมาะสมอยู่แล้ว ทางสื่อเองก็ยิ่งไม่ต้องการให้สินค้าไปขัดขวางความบันเทิงหรือการสื่อความหมายของรายการอยู่แล้วเป็นธรรมดา 

สิทธิเสรีภาพของโฆษณาแฝง

เรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในสังคมประชาธิปไตย ในอดีตประเทศคอมมิวนิสต์หรือประเทศเช่นเกาหลีเหนือในปัจจุบัน โฆษณาสินค้าและตราสินค้าเช่นที่เราเห็นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม หรือถูกควบคุมอย่างเข้มงวด การโฆษณาที่รัฐยินยอมให้จะเป็นเรื่องของการโฆษณาทางการเมือง หรือการปลุกเร้าอุดมการณ์ ปัจจุบันประเทศคอมมิวนิสต์บางประเทศ เช่นประเทศจีนเป็นตัวอย่าง มีการผ่อนคลายระบบควบคุมและยอมใช้กลไกการตลาด โฆษณาก็เป็นสิ่งปกติที่ทำได้

เมื่อพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ เป็นที่ยอมรับกันในรัฐธรรมนูญว่าสิทธิในการประกอบอาชีพของบุคคลย่อมมีอยู่ ทำได้ มาตรา ๔๓ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม ดังนั้นสิทธิในการประกอบอาชีพทางการค้าโดยการเอาสินค้าไปวางในฉากทีวีหรือภาพยนตร์ ก็ต้องถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทำได้ สิทธิเสรีภาพด้านการสื่อสารก็ได้รับการรับรองไว้เช่นกัน มาตรา ๔๕ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น จะเห็นว่าโดยเนื้อแท้แล้ว การทำโฆษณาไม่ว่าจะแฝงหรือไม่แฝงรวมถึงการวางสินค้าหรือตราสินค้าประกอบฉาก ก็เป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่สามารถทำได้

โฆษณาแฝง ไปละเมิดอะไรใครหรือ

เท่าที่เคยรับฟังกันมา เสียงจำนวนหนึ่งพูดถึงเรื่องความรำคาญ การมีเจตนาทางการค้าเพื่อแสวงประโยชน์ การแฝงไม่บอกอะไรตรงๆ ไม่จริงใจ ... ซึ่งก็รับฟังกันได้ แต่เรื่องไม่ถูกใจหรือรำคาญนี้ เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไปในอีกกรณี เป็นเรื่องการใช้สิทธิของฝ่ายหนึ่งที่ไปละเมิดสิทธิของอีกฝ่ายหนึ่ง บางคนรำคาญง่ายแค่เห็นอะไรไม่ถูกตาก็รำคาญแล้ว แต่บางคนก็อาจเฉยๆ

ความสำคัญก็คือการทำละเมิด คำว่าละเมิดเมื่อใช้ในทางกฎหมายก็ถือว่าเป็นคำเทคนิคที่มีความหมายเฉพาะ ประมวลกฎหมายแพ่งมาตรา 420 "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายถึงเเก่ชีวิตก็ดี ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น" ในกรณีที่เราพูดคุยกันอยู่นี้ ถ้าว่าในทางกฎหมาย ก็จะต้องไปดูว่าทำผิดกฎหมายอะไรหรือเปล่า และก็ต้องไปพิสูจน์เรื่องความเสียหาย ซึ่งก็คงไม่ง่าย

การกำกับดูแลโฆษณาแฝงในที่อื่นๆ

การกำกับดูแลเรื่องโฆษณาแฝงนี้ เป็นเรื่องที่เพิ่งตื่นตัวในระยะหลังนี้เอง ในอดีตเครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้เป็นที่นิยม เนื่องจากโฆษณาและประชาสัมพันธ์ตามปกติใช้ได้ผล มีประสิทธิภาพ แต่ในยุคหลอมรวมสื่อโฆษณาลดบทบาทลง โฆษณาแฝงกลับขยายตัวมากขึ้น ในยุโรปมีการกำกับเรื่องนี้กันมากขึ้น โดยเฉพาะ OFCOM ของอังกฤษเป็นแม่แบบที่ชอบยกกันเป็นตัวอย่าง OFCOM เป็นผู้กำกับกิจการวิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม ถือว่าโฆษณาแฝงไม่แฟร์ต่อผู้บริโภค และการเจือลงไปในเนื้อหา ทำให้คนขาดการระวัง จึงห้ามการใช้วิธีนี้ ยกเว้นในภาพยนตร์ที่เอามาฉายทางทีวี พวกรายการซีรี่ย์ รายการกีฬาที่ยอมให้ทำได้ แต่ก็ยังห้ามในรายการของเด็ก รวมถึงห้ามในสินค้าอีกหลายชนิด เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ เป็นต้น ในอเมริกา FCC ที่กำกับกิจการวิทยุโทรทัศฯ โทรคมนาคม ต้องทำงานภายใต้หลักสิทธิเสรีภาพ จึงเน้นไปที่ผู้จะทำกิจกรรมการตลาดชนิดนี้ ต้องบอกเตือนผู้บริโภคให้รู้ตัว ส่วน FTC ที่เป็นองค์กรกำกับการค้า มองว่าตนมีอำนาจแค่กำกับการค้าที่เป็นการเอาเปรียบ หลอกลวง ซึ่งการเอาสินค้าไปวางหรือเอาโลโก้ไปแขวน ไม่น่าจะเข้าข่ายหลอกลวงอะไร สำหรับอเมริกาประเด็นนี้ยังไม่ยุติเด็ดขาด ยังมีการถกเถียงโต้แย้งกันที่ดำเนินอยู่จนทุกวันนี้

การกำกับโฆษณาแฝงของไทย

ปัจจุบันยังไม่มีการกำกับโฆษณาแฝงเป็นการเฉพาะ แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้ กสทช. ทำหน้าที่ในการกำกับเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในดุลยพินิจของกรรมการ หากจะลงมากำกับก็ทำได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจไว้แล้ว ในทางเหตุและผล ก็พอมีเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้บริโภคไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นบนจอนั้นมุ่งเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า และเหตุผลในเรื่องรกรุงรังฉาก ก็เป็นเหตุเช่นกัน ซึ่งในเรื่องนี้ นักการตลาดเองก็ควรตระหนัก ว่าการแข่งขันกันโปรโมทจนหนักมือไป ก็จะนำมาซึ่งการกำกับที่ทำให้ทำงานยาก ในขณะที่องค์กรกำกับ ก็ต้องคำนึงว่าออกกฎเกณฑ์มาแล้ว จะกำกับได้จริงเพียงไร และจะคุ้มกับต้นทุนในการกำกับหรือไม่
เรื่องนี้คงต้องคิดกันอย่างจริงจังแล้ว



พนา ทองมีอาคม
1-7-56