PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์

เมื่อเอ่ยชื่อ "พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์" อดีตรองผู้กำกับการสันติบาล ในวงการสีกากี เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้ใจ เพราะบุคคลนี้มีประวัติโชกโชนและเกี่ยวข้องกับกิจการ สีเทาหลายเรื่อง
จากกรณีที่ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 400 นาย เข้าทำการตรวจค้นร้านค้า ภายในตลาดใหม่ดอนเมือง หลังได้เบาะแสะ ว่ามีการลักลอบขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ทำให้วันนี้ (3 พ.ค.) พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับการสันติบาล ในฐานะ ประธานกรรมการบริษัทพัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง ได้ปรากฎตัว ทวงถามถึงการปฎิบัติหน้าที่ในการเข้าตรวจค้นร้านค้า พร้อมกับไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตั้งศูนย์ปฎิบัติการในพื้นที่
ซึ่งการปรากฎตัวของ พ.ต.ท. สันธนะ อาจทำให้ใครหลายคนสงสัย ว่า บุคคลนี้เป็นใครกัน ถึงมักปรากฎตัวตามหน้าสื่อบ่อยครั้งในการเรียกร้อง ร้องเรียน หรือเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นโด่งดัง และหากย้อนดูประวัติ ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความโชกโชน ในวงการสีเทาพอสมควร
พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2502 เป็นบุตรคนที่ 3 ของ พล.ต.ต.สมชาย และนางนิตยา ประยูรรัตน์ และแต่งงานกับ างพรรณี ประยูรรัตน์ มีบุตร-ธิดา 2 คน

สำเร็จการศึกษา

มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก กรุงเทพมหานคร, มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 17), โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 33 เมื่อปี 2523, วิทยาลัยตำรวจ เอฟ.บี.ไอ ประเทศสหรัฐอเมริกา, ปริญญาตรี รัฐศาสนศาสตร์บัณฑิต, ปริญญาโท นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขากฎหมายธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ก้าวเข้าสู่วงการสีกากี

เริ่มรับตำแหน่งสำคัญในสายงานตำรวจเมื่อปี 2535 ในตำแหน่ง สารวัตรงาน 5 กองกำกับการ 3 กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจสันติบาล ก่อนโยกไปเป็น สารวัตรงาน 4 ฝ่าย 4 กองตรวจคนเข้าเมือง 2 เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2538 ก่อนขึ้นเป็น รองผู้กำกับการชุดตรวจงานป้องกันปราบปราม ส่วนตรวจราชการ 5 สำนักงานจเรตำรวจ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2539 และรองผู้กำกับการ 1 กองตำรวจสันติบาล 2 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2543

เส้นทางที่เริ่มพลิกผัน

กระทั่งปี 2545 พ.ต.ท.สันธนะ “ถูกให้ออกจากราชการ ข้อหา ขัดขวางการเข้าจับกุมบ่อนการพนันของ สน.บางกอกน้อย” หลังจากนั้น พ.ต.ท.สันธนะ ได้ผันตัวเข้าสู่วงการการเมือง ในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชากรไทย และได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ในปี 2549 แต่ก็ต้องพับกระเป๋ากลับ เนื่องจากสอบตก และในปีเดียวกันนี้เอง พ.ต.ท.สันธนะ ถูกลอบสังหาร แต่เจ้าตัวกลับรอดหวุดหวิด โดยลูกน้องคนสนิทรับเคราะห์แทน และในปี 2550 พ.ต.ท.สันธนะ ได้ลงสมัคร ส.ส. กทม. เขต 5 ในนามพรรคประชากรไทย แต่ก็ต้องสอบตกตามเคย
ต่อมาในปี 2552 พ.ต.ท.สันธนะ ถูกตำรวจ สภ.เชียงแสน จ.เชียงใหม่ จับกุม ในข้อหาพกพาอาวุธปืน โดยไม่มีเหตุอันควร ที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งตำรวจชุดจับกุม ระบุว่าการเข้าจับกุม พ.ต.ท.สันธนะ เนื่องมาจาก พบพฤติกรรม ที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะกลุ่มผู้ต้องหา เข้าข่ายไปข่มขู่คนที่อยู่ตามชายแดน หรือคนที่ข้ามไปเล่นกาสิโนในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ และอ้างว่าทำงานตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาระดับจังหวัดและภาค 5 ถือว่าอุกอาจมาก อีกทั้ง ที่ผ่านมาจะพาพรรคพวกมาปิดล้อม รีดไถเงินจากผู้ที่เดินทางไปเล่นการพนันบ่อยครั้ง และมีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งขณะเจ้าหน้าที่ขอตรวจค้นก็ขัดขืน
หลังจากนั้น พ.ต.ท.สันธนะ ได้ห่างหายไปจากหน้าสื่อ จนปี 2554 เจ้าตัวได้นำหนังสือเข้าร้อง กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เพื่อเอาผิด สนามม้าราชกรีฑาสโมสร ถึงความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการจัดแข่งม้าการกุศล
ปี 2555 เจ้าตัวก็ออกมาให้ข่าวเกี่ยวกับขบวนการไซฟ่อนเงิน จากการทุจริตในภาครัฐ ไปฮ่องกง
ปี 2556 พ.ต.ท.สันธนะ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และถูกดำเนินคดีก่อการร้ายบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 และปัจจุบัน ยังมีการออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เกี่ยวกับวงการพนันในสนามแข่งม้าด้วย
และจากข้อมูลพบว่า พ.ต.ท.สันธนะ ยังอาศัยช่องทาง ที่เป็นบุคคลกว้างขวางรับเป็นนายหน้า ดูแลผลประโยชน์ให้กับกลุ่มนายทุนต่างๆ ดังนั้นการที่ พ.ต.ท.สันธนะ ปรากฎตัวในฐานะ ประธานกรรมการบริษัทพัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…

ส่อง ‘ครรลอง’ ย้ายพรรค ดูด ส.ส.-ขอเข้ามาเอง?!

ส่อง ‘ครรลอง’ ย้ายพรรค ดูด ส.ส.-ขอเข้ามาเอง?!


หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกมาระบุถึงกระแสการดูด ส.ส.พรรคการเมืองว่ามีทุกพรรคมีมาอย่างยาวนานและอาจเป็นครรลองประชาธิปไตยของไทย โดยไม่ได้ไปทาบทามดูดใคร มีแต่คนเข้ามาเอง

นันทนา นันทวโรภาส
คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก

เราจะต้องเข้าใจความหมายของคำว่าการดูด ความหมายของคำว่า การดูด ส.ส. คือการไปล็อบบี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มาเข้าพรรคการเมือง ซึ่งการไปล็อบบี้ ส.ส.มาจากพรรคการเมืองอื่น ให้เข้ามาอยู่ในพรรคของตนเองนั้น ไม่ใช่ครรลองประชาธิปไตย เพราะว่าหลักการจัดตั้งพรรคการเมือง คือการรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกันมาคิดนโยบายและเสนอนโยบายให้ประชาชนเลือกในแนวทางของพรรคนั้นๆ แต่การที่บางพรรคการเมืองใช้ทางลัดโดยการไปล็อบบี้ ส.ส.ของพรรคอื่นให้มาอยู่กับพรรคตนเอง เพื่อให้พรรคมี ส.ส.จำนวนมาก เป็นการทำลายครรลองประชาธิปไตยมากกว่า เนื่องจากคนที่มารวมอยู่ในพรรคก็จะไม่มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ไม่ได้มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน แต่มารวมกันเพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น อันนี้จึงมิใช่เป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยอย่างแน่นอน
ทฤษฎีที่ว่าด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น คนที่จะมารวมกันก็คือ คนที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ตรงกัน และพยายามที่จะผลักดันนโยบายของพรรคตัวเองให้ไปสู่การปฏิบัติเป็นนโยบายสาธารณะ แต่การที่บางพรรคการเมืองพยายามไปล็อบบี้ ส.ส.ให้มาอยู่พรรคตนเองเพื่อให้มี ส.ส.จำนวนมาก มีเป้าหมายร่วมกันอย่างเดียวคือจำนวนของ ส.ส. และเป็นรัฐบาล จะต้องบอกว่าอันนี้ไม่ใช่ครรลองประชาธิปไตย แต่เป็นการทำลายครรลองประชาธิปไตย
ส่วนในกรณีที่ท่านนายกฯกล่าวว่า เราไม่ได้ไปดูดใคร เขาเดินเข้ามาหาเราเอง อันนี้เราคงไม่อาจรับรู้ความจริงได้ เพราะว่าเหมือนเป็นการสมยอมกันหรือไม่ เป็นการไปล็อบบี้มาหรือไม่ หรือเขาเสนอตัวเข้ามา อันนี้ถือว่าเป็นการตกลงกันภายใน เราคงไม่อาจทราบได้ว่าการกระทำอย่างนี้เป็นการเสนอตัวของคนที่เข้ามา หรือเป็นการที่พรรคไปล็อบบี้เขาเข้ามา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่าเรื่องที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
ณ นาทีนี้จะเห็นได้ว่า นายกฯได้เปิดตัวต่อสาธารณชนพอสมควรแล้วว่าท่านสนใจที่จะได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพียงแต่ว่าจะเป็นพรรคใดขอดูก่อนแต่ท่านไม่ได้ปฏิเสธที่จะสืบทอดอำนาจในการที่จะขึ้นเป็นนายกฯ ในสมัยต่อไปที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นการที่ทำไปก็แสดงให้เห็นว่าท่านเองก็มีความเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการ และกระบวนการที่จะได้มาซึ่งการเป็นรัฐบาล ได้มาซึ่งการเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีความจำเป็นที่มีเสียงสนับสนุนมากพอ หมายความว่าจะต้องมีพรรคการเมืองที่ใหญ่พอ มีจำนวนสมาชิกหรือ ส.ส.ที่มากพอที่จะสนับสนุนให้ท่านนายกฯ กลับมาเป็นนายกฯ เท่ากับว่าเข้าสู่กระบวนการในการที่จะเดินหน้าที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป เพราะฉะนั้นกระบวนการใดๆ ที่ท่านนายกฯทำ คาดจะสอดคล้องกับเป้าหมายข้างต้น

หากดูจากกติกามั่นใจได้ว่าเราจะมีนายกฯคนใหม่ ที่เป็นนายกฯคนเดิม เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมที่ท่านเปิดตัวแล้ว ว่าท่านยินดีที่จะเข้าสู่เวทีนี้ กติกาที่ ส.ว.นั้นสามารถโหวตเลือกนายกฯได้ กติกาอันนี้จะเอื้อประโยชน์อย่างยิ่ง
ให้สังเกต 2 ประโยคที่ขัดแย้งกัน ประโยคแรก การดูดมันมีทุกพรรคการเมือง และเป็นครรลองของประชาธิปไตย หมายความว่าท่านนายกฯมองว่าการดูด ส.ส.นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะฉะนั้นประโยคที่สองจะมีความขัดแย้งกันคือ ไม่ได้ไปดูดนะ เขาเข้ามาเอง ซึ่งเป็นความขัดแย้งกันในเชิงตรรกะ โดยผู้ฟังต้องวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับว่าคนฟังจะเลือกเชื่อประโยคแรก หรือประโยคหลัง
ในแง่ของการสื่อสารของท่านนายกฯเป็นการสื่อสารกับบรรดาอดีต ส.ส.ทั้งหลายมากกว่า ว่าถ้าสนใจร่วมกันมาทำงานทางการเมือง มาเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ที่มีโอกาสที่จะเป็นรัฐบาลก็ยินดีต้อนรับ เพราะฉะนั้นการสื่อสารลักษณะนี้เป็นเป้าหมายที่จะทำให้อดีต ส.ส.ที่มีความหวั่นไหวหรืออ่อนไหวต่อกระแสต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขยับขยายย้ายที่ทางสังกัดของตนเอง
ขณะเดียวกันอยากฝากถึงประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เราจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลานี้ มี ส.ส.ที่เคลื่อนขยับในการย้ายสังกัด ไปยังสังกัดพรรคต่างๆ จึงขอให้ประชาชนจับตาว่าเป็นการย้ายเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่สอดคล้องกันจริงๆ หรือเป็นการย้ายเพราะปัจจัยอย่างอื่น ฉะนั้นการจับตาดู ส.ส.ในช่วงเวลานี้ก็จะทำให้ได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จะมีการเคลื่อนขยับค่อนข้างรุนแรง เพราะหลังจากที่มีการจดแจ้งพรรคการเมืองเรียบร้อยแล้ว ทุกพรรคก็จะเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ฉะนั้นประชาชนจึงต้องจับตาดูผู้แทนต่างๆ ว่าย้ายเพราะอุดมการณ์ หรือเพราะปัจจัยใดๆ

เขี้ยวลากดิน

เขี้ยวลากดิน



ฤทธิ์เดชของคำสั่ง คสช.ที่ใช้อำนาจ ม.44 สั่งให้สมาชิกพรรคการเมืองทุกพรรค ทุกคน ต้องไปแจ้งยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคภายใน 1 เดือน
ต้องจ่ายเงินค่าสมาชิกพรรค คนละ 100 บาทต่อปี
ใครไม่ไปแจ้งยืนยันภายในวันที่ 30 เมษายน ต้องพ้นจากสมาชิกพรรค การเมืองนั้นทันที
นี่คือกลยุทธ์ที่ คสช.งัดออกมาใช้สกัดจุดคีมึ้งพรรคการเมืองประสบผลสำเร็จอย่างมโหฬาร
ทำให้สมาชิกพรรคการเมืองที่เคยมีหลักล้านหลักแสนลดฮวบเหลือแค่หลักหมื่นหลักพัน
ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ๆผอมเหี่ยวเห็นทันตา
โดยไม่ต้องกินยาลดความอ้วนให้ลำบากลำบน
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าคำสั่ง คสช.ฉบับนี้ สร้างความเสียหายให้แก่พรรคการเมืองทุกพรรคอย่างจั๋งหนับบุเรงนอง
โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์บาดเจ็บสาหัสหนักที่สุด
หนักยิ่งกว่าพรรคการเมืองอื่นทุกพรรครวมกัน
พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยมีสมาชิกพรรคทั่วประเทศ 2.5 ล้านคน
ปรากฏว่ามีสมาชิกพรรคไปแจ้งยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคเพียง 8 หมื่นคน
เท่ากับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หายวับไปถึง 2.42 ล้านคน
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยมีสมาชิก 1.3 แสนคน มีผู้ไปแจ้งยืนยันเป็นสมาชิกพรรคเพียง 1 หมื่นคน
เท่ากับสมาชิกพรรคเพื่อไทยหายสาบสูญไป 1.2 แสนคน
หรือกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่เดิม
ส่วนพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีจำนวนสมาชิกพรรค 1.2 แสนคน
ปรากฏว่ามีสมาชิกพรรคไปแสดงตนยืนยันขอเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยเพียง 1,700 คน
มากันหร็อมแหร็มไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์จากยอดสมาชิกที่มีอยู่เดิม
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า พรรคชาติไทยพัฒนา “ยุคลูกป๋าเติ้ง” เดิมมีสมาชิกพรรค 2.4 หมื่นคน
ล่าสุดมีผู้ไปแจ้งยืนยันต่อวีซ่าเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา 2,500 คน
เท่ากับยังมีสมาชิกพรรคเหลืออยู่เพียง 12 เปอร์เซ็นต์
พรรคที่เสียหายน้อยที่สุดคือพรรคชาติพัฒนา ซึ่งมีฐานสมาชิกพรรค 1.8 หมื่นคน
ปรากฏว่าไล่ตามกลับมาได้ถึง 5,583 คน
หรือคิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนสมาชิกพรรคที่มีอยู่เดิม
สรุปว่ายอดสมาชิกพรรคทั้ง 5 พรรครวมกันคือ 2.75 ล้านคน
ยังเหลือติดขอบกระด้งแค่ 9.9 หมื่นคนเท่านั้นเอง
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า ผลจากคำสั่ง คสช.ฉบับนี้ไม่ใช่ทำให้สมาชิกพรรคการเมืองหายไป 2.6 ล้านคน
แต่ปัญหาใหญ่คือพรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส.ครบ 350 เขต ต้องทำ “ไพรมารีโหวต” ซึ่งต้องมีจำนวนสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 7,000 คน
ผลคือพรรคที่มีสมาชิกไม่ถึง 7,000 คน จะทำไพรมารีโหวตไม่ได้ เพราะจำนวนสมาชิกไม่พอ
ต้องวิ่งหาสมาชิกพรรคเพิ่มกันไข่ดันบวม
กว่าจะได้เลือกตั้ง เลยต้องชักตาตั้งไปตามๆกัน.
“แม่ลูกจันทร์”

‘ลุงตู่’ ไม่ได้พูดเกินจริง

‘ลุงตู่’ ไม่ได้พูดเกินจริง



“หนูเปล่านา เขามาเอง หนูเปล่าชวนนา เขามาเอง”
เนื้อเพลงที่น่าจะเข้ากับอารมณ์มั่นอกมั่นใจของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ที่ออกลีลาตีกรรเชียงเบี่ยงตัว เล่นกับกระแสโจมตีเกมดูด ส.ส.ของพรรคทหาร
ไม่ปฏิเสธ แถมเบิ้ลกลับเป็นเชิงตอบรับ
ยืนยันพรรคที่มีข่าวจะสนับสนุนให้ตีตั๋วนายกฯต่อ ไม่ได้ไปเสนอผลประโยชน์ล่อใคร แต่งานนี้นั่งอยู่เฉยๆก็มีคนติดต่อขอพบหารือ ถือเป็นเรื่องธรรมดาในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
และ พล.อ.ประยุทธ์ก็กั๊กไว้แค่ ทุกอย่างยังไม่ไปสู่ขั้นตอนอะไรสักอย่าง ยังไม่ชัดเจน
“ผมยังไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง”
ท่วงทำนองเดียวกับ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่พูดกับนักข่าวสั้นๆถึงข่าวการเตรียมการตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
“ผมจำได้ว่า ผมยังไม่ได้พูดอะไรมากเลย พูดแค่ประโยคสองประโยค ว่า ผมสนับสนุนท่านประยุทธ์ แล้วผมก็คิดว่าท่านเหมาะสม ถ้าท่านจะทำต่อนะ พอพูดแค่นั้นเอง พวกคุณโอเวอร์รีแอ็กเกินไปหรือไม่ ผมยังงงอยู่เลย”
“สมคิด” ก็ยังไม่ขยับอะไรเกินกว่าเส้นที่ขีดไว้ แค่พูดว่าหนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อเท่านั้น
มันคือความ “ชัดเจน” ที่แฝงอยู่ในความไม่ชัดเจน
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์ยากๆแบบที่มวยเชิงสูงอย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ต้องออกลีลาพลิ้วกับคำถามการทำงานการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ถ้าตีตั๋วต่อ ไม่ขอตอบเรื่องนี้ดีกว่า ถ้าบอกว่าไม่สนับสนุนจะกลายเป็นปรปักษ์ แต่ถ้าบอกสนับสนุนก็ต้องเข้ามาช่วยทำงาน
“เรื่องนี้ผมมีวิธีดูแลตัวเองอยู่แล้ว”
เอาเป็นว่า ตามแนวโน้มสถานการณ์ ณ จุดนี้ก็ยังเป็นแค่จังหวะเปิดไฟเขียวให้ป้อมค่ายเก่าปรับฐานสมาชิก เคลียร์คนย้ายเข้า ย้ายออก แสดงตัวแสดงตนใครอยู่ใครไป
แต่ปรากฏทั้งเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ต้องผวาอาการ “เลือดไหล”
แค่โดนเขย่าเบาๆ “นอตหลวม” ไปตามๆกัน
นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงจังหวะสำคัญ ตามดีเดย์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แสดงความชัดเจนในการลงสนามการเมืองอย่างชัดเจนในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
การันตีพรรคที่จะเป็นฐานการเมือง โชว์สังกัดชัดๆ
คนการเมืองที่แทงกั๊กไม่รายงานตัวกับต้นสังกัด คงตัดสินใจขยับเขยื้อนกันอีกเยอะ
เพราะมีทางเลือกเพิ่มจากการเสี่ยงลุยสุดซอย ท้าเป็นท้าตายกับ “นายใหญ่” หรือรอตายซากอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของคนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
แทงหวย “ลุงตู่” น่าจะมีอนาคตกว่า
อย่างน้อยก็ได้ลุ้นเกมยาวๆ ไม่ใช่แค่เทอมสั้นๆ กลับไปตีกันแล้วโดนยึดสภา
และโดยสถานการณ์มาถึงวันนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ไฟต์บังคับตามสูตรอำนาจเปลี่ยนผ่านที่ล็อกไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์
แต่จุดสำคัญมันคือความเป็นตัวตนของ “ลุงตู่”
ธรรมชาติ พล.อ.ประยุทธ์ที่กลายเป็นจุดขาย ฉายความเป็นนักการเมืองอาชีพเต็มตัวมากขึ้นทุกวัน
เอาแค่ขายออปชั่นความต่อเนื่องในการบริหารต่อจากที่วางฐานมา 4 ปี
ยี่ห้อ “นายกฯลุงตู่” ที่ทำให้ประเทศสงบ เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เปรียบเทียบกับการเสี่ยงให้นักการเมืองพาประเทศย้อนกลับไปตกเหววิกฤติความขัดแย้ง
แค่นี้ยังทำให้ “ลุงตู่” ออกตัวได้แรง แซงขึ้นอันดับหนึ่งตัวเต็งนายกฯทุกโพล
นี่ขนาดยังไม่ได้ “ปล่อยของ” นโยบายลดแลกแจกแถมที่โดนใจ
ประชารัฐดัดแปลงล้อประชานิยม ดึงแต้มประชาชนฐานราก
แน่นอนมันไม่ใช่ของยาก จากประสบการณ์ในอดีต มันก็อยู่ในวิสัยที่ยี่ห้อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เคยทำสำเร็จอย่างงดงามมาแล้วในช่วงก่อกำเนิดพรรคไทยรักไทย
เห็นๆกันอยู่ สิ่งที่ “ลุงตู่” บอกไม่ได้ดูด แต่คนวิ่งเข้าหาเอง ไม่ได้เกินเลยความจริง
ตรงกันข้าม คนประชาธิปัตย์ คนเพื่อไทยที่ยังตั้งหน้าตั้งตาอยู่กับการผลิตวาทกรรมดูด ตีปี๊บตกเขียว
ลอยหน้าลอยตาด่า รถดูดฝุ่น รถดูดส้วม
วนอยู่กับการเมืองเน่าๆที่คุ้นชิน จมปลักเสียเอง.
ทีมข่าวการเมือง