PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วิกฤติเศรษฐกิจ?พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ยังเห็นบางคนเขียนว่า ปัญหาศก.เลวร้ายลงถึงจุดที่ ปชช.ทนไม่ไหว แล้วคสช.ก็จะอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้ผมเคยโพสไปแล้วครั้งนึงเมื่อ 15 ก.ค. 2015 ขอนำกลับมาเผยแพร่อีกที

"คนที่เชื่อว่า ... เศรษฐกิจเลวร้ายถึงที่สุด แล้วผู้คนจะลุกฮือขึ้นมาขับไล่เผด็จการนั้น เป็นการเข้าใจผิด วิกฤตเศรษฐกิจโดยตัวมันเอง ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

แม้แต่ความยากแค้นสาหัสในระดับปัจเจกก็ไม่ทำให้แต่ละคน "ตื่นตัวตาสว่างทางการเมือง" ได้โดยอัตโนมัติ ... คนเราเมื่อประสบความอดอยากยากแค้น ก็จะหาทางออกแบบปัจเจกไปเรื่อย ๆ เช่น หาช่องทางทำมาหากินอื่น หาแหล่งเงินเพื่อกู้ยืมประทังชีวิต ถ้าหมดหนทางที่ถูกกฎหมาย ก็จะไปทางผิดกฎหมาย ค้ายาบ้า จี้ ปล้น ฆ่าคนอื่น หรือฆ่าตัวตาย

ถ้าคนเหล่านี้จะ "ดิ้นรน" มากกว่าระดับปัจเจก ก็แค่รวมกลุ่มกันเรียกร้องในประเด็นของตน ชาวสวนยางเรียกร้องเรื่องยาง ชาวนาเรียกร้องเรื่องข้าว ชาวไร่เรียกร้องเรื่องมันสำปะหลัง ชาวสวนเรียกร้องเรื่องราคาปาล์ม ชาวประมงเรียกร้องเรื่องประมง ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกร้องเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน ... ฯลฯ

แต่ชาวสวนยางจะไม่ยุ่งเรื่องปาล์มหรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน ชาวสวนปาล์มก็ไม่ยุ่งเรื่องราคายางหรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน คนต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินก็ไม่ยุ่งเรื่องสวนยางหรือสวนปาล์ม ชาวนาก็ไม่ยุ่งเรื่องสวนยางหรือราคามันสำปะหลัง ฯลฯ เพราะเพียงแค่สู้ให้กับตัวเองก็ "หืดขึ้นคอ" แล้ว จะเอาแรงที่ไหนไปสู่้เพื่อคนอื่นและเพื่ออะไร?

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ประเทศจีนในอดีตที่กดขี่ยากแค้นสาหัส คนจีนทำได้แค่กู้หนี้ ขายลูกขายเมียเป็นทาส ฆ่าตัวตาย อพยพย้ายถิ่น เร่ร่อนเป็นขอทาน ปล้นชิงคนรวยในหมู่บ้าน รวมกลุ่มกันเป็นกองโจรตระเวณปล้นฆ่าไปเรื่อย สูงสุดคือ เป็น"กบฏชาวนา" ซึ่งผลลัพธ์มักจะล้มเหลว

ปัญหาเศรษฐกิจเป็นได้เพียง "ปริบท" เป็น "ฉากหลัง" ที่บ่มเพาะความไม่พอใจเพื่อรอเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต้องมาจากการต่อสู้ทางการเมือง ในประเด็นการเมืองเท่านั้น"

โผพลิก-พลิกโผ

โผพลิก-พลิกโผ

ตำแหน่งประธานศาลฎีกาเป็นประมุขสถาบันยุติธรรม

ท่านผู้ใดได้ดำรงตำแหน่งประธาน ศาลฎีกาถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของตัวเองและวงศ์ตระกูล

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมา การเลือกประธานศาลฎีกาจะยึดระบบอาวุโสเป็นสำคัญ

อดีตประธานศาลฎีกา (ย้อนหลังไป 6 คน) ล้วนมาจากข้าราชการตุลาการอาวุโสสูงสุดเรียงตามลำดับคิว

เรียกว่า ขยับขึ้นตามคิว ไม่มีการแซงคิวเหมือนการแต่งตั้งข้าราช-การพลเรือน

เรื่องของเรื่องคือ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกาคนปัจจุบัน จะต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากอายุครบ 65 ปี ในวันที่ 30 กันยายนปีนี้

จึงต้องมีการแต่งตั้งประธานศาลฎีกาคนใหม่ทำหน้าที่แทน

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ถ้านับตามพรรษา “นายศิริชัย วัฒนโยธิน” ประธาน ศาลอุทธรณ์อาวุโสอันดับหนึ่ง ต้องจ่อคิวขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาคนที่ 44 ของประเทศไทยแบเบอร์

แต่ปรากฏว่า เบอร์ 44 ไม่แบเบอร์ อย่างที่คาดกัน

เพราะการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เพื่อพิจารณาแต่งตั้งประธานศาลฎีกาคนใหม่ ได้มีมติเอกฉันท์ “ไม่แต่งตั้ง นายศิริชัย” ผู้มีอาวุโสอันดับหนึ่งตามโผรายชื่อที่ คณะอนุ กก.ก.ต. เสนอให้พิจารณา

เมื่อผู้มีอาวุโสอันดับหนึ่งไม่ผ่านไฟเขียว ก็คาดว่าจะถึงคิว นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา ผู้มีอาวุโสอันดับ 2 ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขศาลสูงสุดคนที่ 44 ของประเทศไทย

หรือจะเป็น นายธนกฤษ นิติเศรณี รองประธานศาลฎีกาอาวุโสอันดับ 3 ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่า การที่คณะกรรมการ ก.ต.มีมติเอกฉันท์ไม่แต่งตั้ง นายศิริชัย ตุลาการอาวุโสอันดับหนึ่งขึ้นเป็นประธานศาลฎีกาคนใหม่ไม่ว่าเกิดจากเหตุผลใดก็ตาม

ย่อมเป็นเรื่องภายในของศาลยุติธรรม

คนนอกไม่ควรจุ้นจ้านวิพากษ์วิจารณ์ให้ฟุ้งกระจาย

เพราะเมื่อที่ประชุม ก.ต.มีมติเห็นชอบให้ผู้หนึ่งผู้ใด แม้ไม่ใช่ผู้มีอาวุโสอันดับ หนึ่งขึ้นเป็นประมุขศาลยุติธรรม ก็ถือเป็นการแต่งตั้งที่ครบถ้วนทุกขั้นตอน

แต่ถ้าไม่มีพลิกโผ หรือโผพลิกอีกต่อไป นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกาอาวุโสสูงสุดอันดับ 2 ซึ่งปัจจุบันอายุ 63 ปี จะดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนใหม่ต่อไปอีก 2 ปีเต็ม

สรุปย่อๆตามที่ฟังมา...ท่านว่าที่ประธานศาลฎีกาคนใหม่เป็นตุลาการชั้นผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาตัดสินอรรถคดีอย่างตรงไปตรงมา

ท่านได้ตัดสินคดีใหญ่ๆ คดีดังๆมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญาหรือคดีทางการเมือง

“แม่ลูกจันทร์” ยํ้าว่า ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือท่านผู้นี้เป็นเจ้าของสำนวนคดีโครงการรับจำนำข้าว และ 1 ใน 9 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ราชการเกิดความเสียหายร้ายแรง
แถมท่านยังเป็นหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา พิจารณาคดี อดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถูกฟ้องเป็นจำเลย ข้อหาสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรอีกหนึ่งคดี

เฉพาะแค่ 2 คดีก็มีอดีตนายกฯเป็นจำเลยตั้ง 3 คน

ธรรมดาซะที่ไหนล่ะคุณโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

ไม่น่าจะหนีจากสูตรนี้

ไม่น่าจะหนีจากสูตรนี้

อาการต่อมฉุนอักเสบกำเริบอีกคำรบตามอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัดของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ที่ดูจะหงุดหงิดไปหมดทุกเรื่อง

ฉะบ้าบอคอแตก ตัดบทไม่ให้นักข่าวซักไซ้เรื่องลงสมัครเลือกตั้ง

แขวะ “ไอ้พวกช่างฟ้อง” ในจังหวะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ มือกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แตะมือกันสกัดกั้น พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และ พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ

จ่อฟ้องศาลปกครอง ร้องศาลรัฐธรรมนูญ

พาลเซ็งไปถึงกรณีที่ศิลปินแห่งชาติทะเลาะกันเพราะปมชนวนมาจากกลอนที่ตัวเองแต่งขึ้น เปรยเป็นเชิงกลุ้มใจจริงๆอยากหยุดพูดสัก 1 เดือน

“นายกฯลุงตู่” เหมือนแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว

แต่เรื่องของเรื่อง มันก็น่าจะเป็นแค่ลีลาเอกลักษณ์ของเอกบุรุษ

มุกของผู้นำรัฐบาล คสช.ที่ใช้บทหงุดหงิดในการเบรกกระแส เบี่ยงตัวหลบปมร้อนๆที่ไม่อยากตอบคำถามยากๆของนักข่าว

เอาเป็นว่า ประเมินกันตามเงื่อนสถานการณ์ตรงหน้า มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องซีเรียสเครียดหนักแต่อย่างใด

ในเมื่อทุกอย่างมันกำลัง “เข้าทาง” ตามเหลี่ยมที่วางไว้

ถึงตรงนี้สังคมส่วนใหญ่รับรู้คำตอบสุดท้ายกันแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสถานะ นายกรัฐมนตรีคนในหรือนายกรัฐมนตรีคนนอก

“เลือกตั้ง” หรือ “ลากตั้ง”

“นายกฯลุงตู่” คือชื่อเดียวที่ล็อกไว้ในการเป็นผู้นำเปลี่ยนผ่านในระยะ 5 ปี

และเจ้าตัวเองก็คงตั้งใจจะโยนหินหยั่งกระแส เปิดทางไว้ แบบที่ตีกรรเชียง เลี่ยงพูดมัดคอตัวเอง โยนสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นตัวชี้วัดว่าจะตัดสินใจอย่างไรในอนาคต

แปลความตามภาษาทางการเมืองแค่นี้ก็ชัดเจน

ขณะเดียวกันก็เป็นสถานการณ์ของการเดินตามพิมพ์เขียวอำนาจที่ออกแบบกันไว้

หลังเลือกตั้งรอบหน้าต้องเป็นรัฐบาลผสม พรรคเล็ก พรรคน้อย แยกกันเดิน เบียดแย่งเสียงจากพรรคเพื่อไทย เก็บแต้มผสมเล็กผสมน้อย

อาศัยช่องจากกติกาเลือกตั้งสูตรจัดสรรปันส่วนผสม แล้วมาร่วมกันโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์

ตามจังหวะที่สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ทยอยลาออกรายวันเพื่อแต่งตัวลงสนามเลือกตั้ง ล่าสุดเหลือทำหน้าที่อยู่ในสภาแค่ 170 กว่าคน

“ขุนอาสา” กระจายกำลังออกตั้งป้อมค่ายรวบรวมไพร่พล

โดยสถานการณ์ล่าสุดก็เป็นจังหวะขยับของตัวละครดังอย่าง “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ในฐานะหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่แบะท่าพร้อมคุยกับ สปท.ที่มีแนวคิดจะรวมพรรคเล็กเพื่อลงสนามเลือกตั้ง

พรรคหนุน คสช.ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น

ตามความจำเป็นทางยุทธศาสตร์การเมือง “นายกฯลุงตู่” ต้องมีพรรคการเมืองประกบเป็นตัวช่วยประคองเกมในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหลักประกันความปลอดภัยในคิวอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการพิจารณาร่างกฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ

เพราะถึงตอนนั้นเสียงของ “250 ส.ว.สรรหา” เข้าไปอุ้มไม่ได้

และที่สำคัญเลย ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวนตัวเลขเท่านั้น แต่มันยังต้องมีเรื่องของการ “ล็อกเสียง” คุมเกมโหวตให้อยู่ด้วย

โดยรูปการณ์ มันก็โยงไปถึง “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ออกตัวว่า วันนี้ยังไม่คิดโดดลงสนามการเมือง แต่วันข้างหน้ายังตอบไม่ได้

แนวโน้มหนีไม่ออกเหมือนกัน

ด้วยคุณสมบัติของผู้มี “บารมี” เหมาะสุดกับผู้จัดการรัฐบาล

“พี่ใหญ่” คงหนีไม่พ้นโดนลากมาช่วย “น้องเล็ก” อยู่ดี.
ทีมข่าวการเมือง

"บิ๊กป้อม"มั่นใจ "พลเอกบุญสร้าง" ปฏิรูปตำรวจ

"บิ๊กป้อม"มั่นใจ "พลเอกบุญสร้าง" ปฏิรูปตำรวจ เป็น ด็อกเตอร์ จบ Westpoint และเป็น อาจารย์ของนายกฯ ด้วย
ชี้นายกฯคนเลิอกเอง. และเป็นเพิ่อนสนิท ตท.6 ของตนเอง ชี้ตำรวจ ชอบ ที่เอาทหาร มานำปฏิรูปตำรวจ เพราะตำรวจ ทหาร คล้ายๆกัน เชื่อไม่มีปัญหา เร่งทำให้เร็วที่สุด ระบุ ในช่วงที่ผ่านมา ตำรวจมีการปฏิรูป มาหลายเรื่องแล้ว ต่อไป ก็ตัองมาทำเรื่องใหญ่ๆ การประสานงาน ระหว่าง ตำรวจ อัยการ ศาล
ส่วนที่วิจารณ์กันว่า คณะกก.มีตำรวจ ถึงครึ่งหนึ่ง นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ตำรวจครึ่งหนึ่ง ประชาชนครึ่งหนึ่ง ไม่ได้มากเกินไป
"เอาเหอะน่า ผมเชื่อว่า ทำได้"
"บิ๊กป้อม" เชื่อมือ "พลเอกบุญสร้าง" เพื่อน ผ่าตัด "ตำรวจ"ได้ ลั่น ไม่มีปัญหา ให้"ทหาร"นำปฏิรูป เผย "ตำรวจ"ชอบด้วย/เร่งทำให้เสร็จ เร็วที่สุด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ 36 คน โดยมี พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ตัดสินใจเลือกแล้ว
"พล.อ.บุญสร้าง เป็นอาจารย์ ของนายกฯ จบจากโรงเรียนนายร้อย Westpoint และจบปริญญาเอก ด๊อกเตอร์"
ส่วนที่มีการตั้งข้อสั่งเกตุว่า พล.อ.บุญสร้าง เป็นเพื่อน ตท.6 ของตนเองนั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ใช่ และผมเชื่อมั่นพล.อ.บุญสร้าง จะสามารถทำงานได้ เพราะทหารและตำรวจมีความคล้ายกัน เพียงแต่ตำรวจมีงานมากกว่า
ทั้งนี้ พล.อ.บุญสร้าง จะนัดหมายคณะกรรมการอีกครั้ง เพื่อวางกรอบการทำงานว่าจะทำอะไรก่อนหลัง ส่วนสถานที่ทำงานยังไม่ได้กำหนด และยังไม่มีการหารือถึงเรื่องงบประมาณ ที่ต้องใช้
เมื่อถามว่า ทางตำรวจ ไม่มีปัญหากับการเอาทหารมาเป็นประธานปฏิรูปตำรวจใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ตำรวจชอบด้วย แล้วเรื่องนี้ต้องทำให้เร็ว ให้เสร็จ
ส่วนเรื่องเร่งด่วนเป็นหน้าที่ต้องคณะกรรมการที่จะพิจาณา โดยจะวางกรอบว่าจะทำอะไร โดยต้องถาม พล.อ.บุญสร้าง จะถามผมได้ยังไง”
เมื่อถามว่า มีการวิจารณ์ว่าคณะกรรมการชุดนี้มีตำรวจ มากถึง 15 คน นั้นพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้มีทั้งตำรวจและพลเรือน ประชาชน อย่างละครึ่ง ถือว่าไม่มากไป
เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลต้องการปฏิรูปตำรวจแต่ไม่สำเร็จ มั่นใจหรือไม่ว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ความจริงตำรวจ ได้มีการปฏิรูปไปมากแล้ว เช่น ปฏิรูปการทำงานของโรงพัก โดยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหลายอย่าง แต่ตำรวจ อัยการ ศาล และด้านนิติวิทยาศาสตร์ จะต้องทำงานร่วมกันอย่างไร นี่คือประเด็นของการปฏิรูป
เมื่อถามว่ามีการแนะในการทำงานคณะกรรมการชุดนี้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เดี๋ยวก็คุยกัน และต่างคนต่างได้ศึกษาเรื่องนี้มาเหมือนกัน เพื่อทำให้ดีขึ้น ไม่มีใครทำให้ไม่ดี แต่จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด”
เมื่อถามว่าหลังจากนี้ 9 เดือน ประชาชนจะเป็นเห็นตำรวจยุคใหม่ ภายใต้การปฏิรูปใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้อง 9 เดือนหรือกี่เดือน ไปคิดเอาเอง
เมื่อถามย้ำถามว่าจะเห็นผลก่อน 9 เดือนใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เอาหน่า เขาได้รับรองว่าต้องทำให้ดี"
ทั้งนี้ จุดแข็งของคณะกรรมการจุดนี้คือการทำงานร่วมกัน
เมื่อถามว่า ความเป็นทหารของ พล.อ.บุญสร้าง จะนำไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริงหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เอาหน่า ได้ ก็แล้วกัน”

ผมไม่ใข่ผู้นำ ที่มาเพื่อสืบทอดอำนาจ

"ผมไม่ใข่ผู้นำ ที่มาเพื่อสืบทอดอำนาจ"
ผมไม่ได้มาเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่ผมมาเพื่อสืบทอดให้ไทยประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ผมไม่ปฏิเสธ ประชาธิปไตย
: พลเอกประยุทธ์ 5กค.60

รมณ์เสีย !! ไม่ตอบ จะมาเป็นนายกฯ อีกมั้ย

"บิ๊กตู่" ทำ อารมณ์เสีย !! ไม่ตอบ จะมาเป็นนายกฯ อีกมั้ย หลัง สปท.ลาออก ไปตั้งพรรค ปูทาง นั้งนายกฯคนนอก โวย โอ้ย!!เกี่ยวอะไรกับผม?!!
นายกฯบิ๊กตู่ ย้อนสื่อ โอ๊ะ!! "เกี่ยวอะไรกับผม" หลังถาม สปท.ลาออก เพื่อตั้งพรรคทหารปูทาง ให้เป็นนายกฯ
"ผมไม่ยืนยัน ไม่นั่งยัน ไม่นอนยัน อะไรทั้งนั้น" บิ๊กตู่ ปัดตอบ คำถามที่ว่า ยืนยันได้หรือไม่ ว่าจะไม่กลับมายุ่งกับตรงนี้ อีกแล้ว
พร้อมขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไป