PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"บิ๊กป้อม"นำ แม่ทัพนายกอง บวงสรวง "ศาลหลักเมือง" เพื้อให้พระราชพิธีฯ ราบรื่น

"บิ๊กป้อม"นำ แม่ทัพนายกอง บวงสรวง "ศาลหลักเมือง" เพื้อให้พระราชพิธีฯ ราบรื่น....ก่อนพรุ่งนี้21ตค.ซ้อมใหญ่
"บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร พร้อมด้วย พลเอกอุดมเดช รมช.กห. ปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ ในนาม "กอร.พระราชพิธี" บวงสรวงศาลหลักเมือง เพื่อให้ งานพระราชพิธีฯ เป็นไปด้วยความราบรื่น ...โดยมีการ ทำพิธีพราหมณ์สวด หลังการบวงสรวง ด้วย
โดย 21-22 ตค. มีการซ้อมใหญ่

โรดแมป วิบาก จาก พฤศจิกายน 2561 สู่กุมภาพันธ์ 2562

โรดแมป วิบาก จาก พฤศจิกายน 2561 สู่กุมภาพันธ์ 2562


พลันที่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ “ครูหยุย” ออกมาตั้งข้อสังเกตต่อเส้นทางวิบากของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

อันอาจทำให้ “การเลือกตั้ง” มิได้เป็นไปตาม “โรดแมป”

พลันที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมายืนยันว่าหากมี “อุปสรรค” เกิดขึ้นก็มิได้มาจาก “รัฐบาล” หากเป็นเรื่องตาม “กระบวนการ”

เท่ากับ “ยิ้มเห็นแก้ม” ก็เท่ากับ “แย้มเห็นไรฟัน”

แนวโน้มที่การเลือกตั้งอาจไม่ใช่ภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 หากแต่อาจ “เลื่อน” ไปยังเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็มีความเป็นไปได้สูง

เข้าทำนอง คนหนึ่ง “ร้อง” อีกคน “รำ”

นั่นหมายความว่า ความคาดหมายจาก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มากด้วยความแม่นยำ ราวกับมี “ตาทิพย์” มองทะลุ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มีความเชื่อมายาวนานพอสมควรแล้วว่าจะยังไม่มีการเลือกตั้งภายในปี 2561 แต่จะเป็นในปี 2562

สมมุติฐานของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มาอย่างไร

1 เขามองและประเมินว่า กระบวนการทำงานของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในการจัดทำกฎหมายลูกยึดตามกรอบ 240 วัน

นั่นก็คือ กุมเวลาที่ “ช้า” ที่สุด

การนำเอาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาอยู่หลังสุดสะท้อนเจตนาอย่างเด่นชัด

1 เจตนานี้เป็นไปตามบทสรุป “เขาอยากอยู่ยาว”

คงจำกันได้ว่า หลังประสบวิกฤตศรัทธาจากการที่ร่างรัฐธรรมนูญถูก “คว่ำ” ในที่ประชุม สปช.เมื่อเดือนกันยายน 2558 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ สรุปออกมาได้เช่นนี้

เมื่อเข้าใจ “เจตนา” ก็อ่าน “พฤติกรรม” ทะลุ

ไม่ว่าบทสรุปอันมาจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ไม่ว่าบทสรุปอันมาจาก นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ มิได้มีรากฐานจากการไม่ยอมรับ คสช.

ตรงกันข้าม มากด้วยความเข้าใจและเห็นใจ

เห็นใจในความเสียสละของ คสช.ที่อาสาเข้ามาผ่านกระบวนการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
เข้าใจในความปรารถนา “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”

คสช.จึงต้องเข้ามารับงานเองด้วยการทำหน้าที่ “บริหาร” ด้วยการทำหน้าที่ “นิติบัญญัติ” เพื่อวางรากฐานทางการเมืองไม่ให้ “เสียของ” เหมือนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

จึงไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แล้วจัดการเลือกตั้งแล้วก็อำลาจากไปทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

หากไม่แน่ใจจริงๆ ก็คงไม่จัดการเลือกตั้ง เวลาอยู่ในอำนาจจึงมิใช่ 1 ปีเหมือนยุค คมช. หากจากเดือนพฤษภาคม 2557 กระทั่งผ่านเดือนพฤษภาคม 2561

เราจะทำตาม “สัญญา” ขอ “เวลา” อีกไม่นาน

การแปรเปลี่ยนจาก “ปฏิญญา ทำเนียบขาว” มาเป็น “ปฏิญญา ทำเนียบรัฐบาล” อาจสร้างความโล่งใจให้กับทางสากล แต่กล่าวสำหรับ คสช.ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

เห็นได้จากท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

และเมื่อ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เสนอแนะและแสดงให้เห็นแนวโน้มอันอาจจะเป็น “อุปสรรค” จึงทำให้ถอนหายใจได้ด้วยความโล่งอก

ยืดไปได้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2562

เผยรายพระนาม-รายนาม พระราชวงศ์-ผู้นำทั่วโลก ร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิง ร.9

เผยรายพระนาม-รายนาม พระราชวงศ์-ผู้นำทั่วโลก ร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิง ร.9



(แฟ้มภาพ) นางสาว บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงสถานะ ณ วันที่ 20 ตุลาคมว่า มีสมาชิกราชวงศ์ ผู้นำและผู้แทนประเทศ 32 ประเทศที่ยืนยันการเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ดังนี้
รายพระนามพระราชวงศ์ (รวม 14 ประเทศ)
1.สมเด็จพระราชาธิบดี เลทซี ที่ 3 และสมเด็จพระราชินี มาซีเนต โมฮาโต ซีโซ แห่งเลโซโท
2.สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และสมเด็จพระราชินี เจทซุน เพมา วังชุก แห่งภูฏาน
3.สมเด็จพระราชาธิบดี ตูโปอู ที่ 6 และสมเด็จพระราชินี นานาซีเปาอู แห่งตองกา
4.สมเด็จพระราชินี ซิลเวีย แห่งสวีเดน
5.สมเด็จพระราชินี แมกซิมา แห่งเนเธอร์แลนด์
6.สมเด็จพระราชินีมาทิลด์ แห่งเบลเยียม
7.สมเด็จพระราชินี โซเฟีย แห่งสเปน
8.เจ้าฟ้าชายเฟรเดริก มกุฏราชกุมารแห่งเดนมาร์ก
9.เจ้าฟ้าชายฮากอน แมกนุส มกุฏราชกุมารแห่งนอร์เวย์
10.แกรนด์ดุ๊ก กิโยม ฌอง โฌเซฟ มารี รัชทายาทแห่งลักเซมเบิร์ก
11. รองสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียและสุลต่านแห่งรัฐเประ สุลต่าน นาซริน มูซซุดดิน ชาห์ อิบนี อัลมาร์ฮุม สุลต่าน อัซลัน มูฮิบบุดดิน ชาห์ อัล-มักห์ฟูร์-เลาะ และ พระชายา
12.เจ้าชายแอนดรูว์ ดุ๊กแห่งยอร์ก สหราชอาณาจักร
13.เจ้าชายอะกิชิโนะ แห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น พร้อมด้วย พระชายา
14.เจ้าหญิงมาร์กาเรตา แห่งลิกเตนสไตน์
รายนามบุคคลสำคัญต่างประเทศ (รวม 18 ประเทศ)
15.ประธานาธิบดีติน จ่อ แห่งพม่า และภริยา นางซู ซู ลวิน
16.นายบุน วอลิจิด ประธานประเทศลาว
17.นายโมฮัมเหม็ด อับดุลเลาะห์ อัลฮับซี ประธานาธิบดีสิงคโปร์ และนางฮาลิมาห์ ยาค็อบ ภริยา
18.เซอร์ ปีเตอร์ คอสโกรฟ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ฯ จากออสเตรเลีย และเลดี้ คอสโกรฟ ภริยา
19.ฌูลี ปาแยตต์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากแคนาดา
20.นายโจเซฟ ไดส์ อดีตประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส
21.คริสเตียน วูล์ฟ อดีตประธานาธิบดีเยอรมนี
22. ดัง ติ งอก ตินห์ รองประธานาธิบดีเวียดนาม
23.สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
24.นายบาร์นาบาส สิบูสิโซ ดีลามินี นายกรัฐมนตรีสวาซิแลนด์
25.ฌอง-มาร์ค เอโรต์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางบริจิตต์ เอโรต์
26. พัค จู ซอน รองประธานรัฐสภาสาธารณรัฐเกาหลี
27.เจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกลาโหม สหรัฐอเมริกา
28.อลัน ปีเตอร์ เอส.กาเยตาโน รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์
29. นายติลัก มาราปานา รัฐมนตรีต่างประเทศศรีลังกา และนางสเตลลา มาราปานา ภริยา
30.นายคาวาจา มูฮัมเหม็ด อาซิฟ รัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน และนางมูซัตรัต อาซิฟ คาวาจา ภริยา
31.นายเอ็ม.เจงอัคบาร์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงต่างประเทศอินเดีย
32.อาร์คบิชอป เกียมบาตติสตา ดิควอตโตร เอกอัครสมณทูตนครรัฐวาติกันประจาสาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล
น.ส.บุษฎีกล่าวว่า รายพระนามและรายนามดังกล่าว เป็นสถานะ ณ วันที่ 20 ตุลาคม และคาดว่าจะมีเพิ่มเติมอีกในอนาคต

สูทั้งหลายจงดู "ที่อยู่คนโกง"

ผมว่าพิลึกนะ!?
ที่ "อุทยานราชภักดิ์" นี่ กระดิกทำอะไรเป็นไม่ได้ เป็นต้องมีคนจ้องจับผิด-จับถูก
"โกงมั้ง?" แทบทุกครั้งไป
นี่ก็อีก............
ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ ประจวบฯ สร้างห้องน้ำ สร้างอาคารร้านค้า ที่อุทยาน รองรับคนมาสักการะเฉลี่ยวันละเป็นหมื่น
ก็มีคนตั้งข้อสังเกต งบก่อสร้าง ๑๕ ล้าน แพงเว่อร์
ไม่โปร่งใสมั้ง...ประมาณนั้น!
ที่จริง การทำอะไรแล้วมีคนคอยจ้องจับผิด-จับถูก มันก็ดีไปอย่าง อย่างน้อย ใครที่คิดและเล็ม หรือคิดกะซวก จะได้แหยง
จะ "งบหลวง-งบราษฎร์" ก็ไม่ควรทั้งนั้น
กรณีก่อสร้างห้องน้ำ ๑๕ ล้านนี่ก็เหมือนกัน เงินนั้น เป็นเงินมูลนิธิราชภักดิ์ ที่ได้จากการบริจาคของประชาชน ไม่ใช่งบหลวง
ใครขืนและเล็ม ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก.............
ชาตินี้...เดี๋ยวนี้ เห็นผลชนิด อยัมภทันตาเลยเชียวแหละ!
เรื่องนี้ ยังไม่มีแนวส่อว่าทุจริตหรอก
มีเพียงคนช่างคุ้ย-ช่างสังเกต เขายกคำว่า "สร้างห้องน้ำ" กับคำว่า "ค่าก่อสร้าง ๑๕ ล้าน" ขึ้นมาเทียบกัน
ทำนองชี้ให้ดู...นี่ไง เห็นมั้ย...เห็นมั้ย ห้องน้ำ ๑๕ ล้าน!?
คนฟังปุ๊บ ก็ของขึ้นเลย
มันงาบกันอีกแล้ว ห้องน้ำทองคำหรือไงวะ ราคาตั้ง ๑๕ ล้าน ประมาณนั้น
ผมเข้าใจทัศนคติสังคมไทย "ห้องน้ำ-ห้องส้วม-ห้องครัว" คนไทยไม่ให้ราคา!
สมัยโบราณเห็นชัด ปัจจุบันก็ยังเห็น ตามต่างจังหวัด ปลูกบ้าน
ก็ปลูกแต่ "ส่วนบ้าน"
ส่วนห้องน้ำ-ห้องส้วมกับห้องครัว ไปปักๆ ล้อมๆ เอาตรงที่ว่างตรงไหนซักแห่งต่างหาก
คือคนในสังคมไทยบางส่วน ไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องใช้เงินไปกับการสร้างส้วม-สร้างครัว!
ด้วยคตินี้ พอสำนักข่าวอิศราออกข่าว อุทยานราชภักดิ์ใช้เงินกว่า ๑๕ ล้านทำส้วม
รู้ถึงไหน ด่ากันถึงนั่นเลย!
แต่ถ้าข่าวนั้นให้ข้อมูลอันเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับห้องน้ำ-ห้องส้วมที่สร้างซักนิด มากกว่าขยุ้มแค่คำว่า "ส้วม" ไปโยง "๑๕ ล้าน"
เรื่องราวจะไม่เอะอะ-มะเทิ่งอย่างที่เป็น เผลอๆ สิ้นประเด็น-สิ้นสงสัย ไม่เป็นข่าวเลยก็ได้
ผมเห็นข่าววันแรก ยังนึกในใจ............
เขาคงมีทีเด็ด อุบไว้ยก ๒ มั้ง เอาแค่ตัวเลขกับคำว่าส้วม เกี่ยวเบ็ดล่อ ให้กองทัพออกมาฮุบก่อน จะได้งัด "ข้อมูลเด็ด" แฉ
ทีเดียวให้หงายท้องไปเลย!
แต่ฟังโฆษกกองทัพบกแจงเมื่อวาน (๑๙ ต.ค.๖๐) ส่วนตัวผม ในฐานะคนค้าขาย รู้ทุน-รู้กำไร เคยต้องจ่ายในการก่อสร้างมาบ้าง
ก็พอเข้าใจเรื่องวัสดุ เรื่องแรงงาน เรื่องวิชาชีพ อะไรที่เราเห็นเกลื่อน เหมือนไม่มีราคา แต่พอไปแตะ-ไปจับ ยามซื้อหามาใช้
........แม่เจ้าโวย
แค่ถังแซทใบ กับค่าติดตั้ง ปาเข้าไป ๒ หมื่นกว่า อย่างอื่นไม่เกี่ยว!
แต่ที่กองทัพบกเขาแถลง ไม่ใช่แค่สร้างห้องน้ำ-ห้องส้วม แต่เขาสร้างอาคารมาตรฐาน เป็นร้านค้า ๕ ห้อง
เป็นห้องน้ำ ๕๒ ห้อง แบ่งเป็นห้องน้ำชาย ๒๑ ห้อง ห้องน้ำหญิง ๒๗ ห้อง และห้องน้ำคนพิการ ๔ ห้อง
แบบนี้ เฉพาะแค่ลงเสาเข็ม กับถมดิน-ปรับพื้น ก็เป็นล้านแล้ว และนี่ เงิน ๑๕ ล้าน กับห้องน้ำ ๕๒ ห้อง ร้านค้า ๕ ห้อง
หารเฉลี่ยด้วยคณิตศาสตร์ ป.๔ อาคาร ๑ หลัง แบ่งเป็นร้านค้า ๕ ห้อง ห้องน้ำ ๕๒ ห้อง รวม ๕๗ ห้อง ด้วยเงิน ๑๕ ล้าน
ตกห้องละประมาณ ๒ แสน ๗!
อยากรู้ถูกหรือแพง ไปสืบราคาที่ วัดท่าการ้อง อยุธยา วัดบางพลีใหญ่ สมุทรปราการ หรือวัดร่องขุ่น ของอาจารย์เฉลิมชัย ที่เชียงรายดู
อาจได้คำตอบที่ลงตัวว่า...........
๑๕ ล้าน กับ ๕ ร้านค้า ๕๒ ห้องน้ำ จะได้เงินทอนเป็นเป็นก้อนหรือเป็นฟ่อน?
นี่แค่ความเห็นบนฐานข้อมูลที่กองทัพบกแถลงนะ รายละเอียดในการก่อสร้าง ขนาด สเปก วัสดุ ต่างๆ นานา ไม่ทราบ
ผมก็เห็นว่า ร่วม ๑๖ ล้านนี่ ถ้าสร้างด้วยวัสดุคุณภาพ งานไม่ห่วย ก็โอเคนะ ในยุคโอเลี้ยงแก้วละ ๒๕ สตาร์บัคส์แก้วละ ๑๒๐
และคนฉาบปูน วันละ ๕๐๐-๘๐๐ บาท!
๕๐๐ นี่ เป็นราคาเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วนะ ...........
ผมจ้างมาฉาบผนังบ้าน เห็นแล้วอิจฉา...ทำไมกูไม่เป็นช่างฉาบมั่งว้า เพราะอะร้าอร่ามยิ่งกว่าราชาในหนังอินเดียซะอีก
นั่งฉาบ-คาบบุหรี่สบายใจเฉิบ อย่างอื่นไม่ต้องทำ มีลูกมือเป็นคนงานหญิง คอยหิ้วถังปูน ส่งกาแฟ ขึ้นมาประเคนถึงที่
ที่ท่าน ผบ.ทบ. "พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท" ถามว่า "ผิดตรงไหน?"
ผมตอบแทนก็ได้ครับ.........
ผิดตรงที่ ทำอะไรหน่วยงานให้แต่ตัวเลข ไม่ให้ข้อมูลอันเป็นรายละเอียดประกอบ ในยุคตรวจสอบ ก็เลยเป็นอย่างนี้แหละ!
ยิ่งช่วงต่อจากนี้ เป็นช่วง "เสาร์เช็กบิล" ชนิดเข้มข้น
ฉะนั้น ใครจะทำอะไรต้องเป็น "คุณนายละเอียด" ไม่งั้น จะเข้าทำนอง "มีลูกกวนตัว-มีผัวกวนใจ"
ตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ "คนข้างผัว" เข้าคุกเป็นระนาวไปก่อน แล้วเมื่อวาน "คนข้างเมีย" ก็ตามเป็นลูกครอก
"เบญจา หลุยเจริญ"..........
โคตรจะเจริญในยุคทักษิณ-พจมานเริงเมือง กรมไหนในกระทรวงคลังล่ะ ที่เบญจาไม่เคยเหวี่ยงก้นนั่งใหญ่
สรรพากร-สรรพสามิต-ศุลกากร แม่นั่งใหญ่หมด!
ใหญ่ยุคพี่ ยังโดดขึ้นไปใหญ่ต่อ บนเก้าอี้ "รัฐมนตรีช่วยคลัง" ยุคน้อง นามว่ายิ่งลักษณ์
แล้วเมื่อวาน (๑๙ ต.ค.๖๐) เบญจา หลุยเจริญ ก็บรรลุถึงจุดใหญ่สุด ด้วยผลงานรับใช้ตระกูลทักษิณ
ศาลอุทธรณ์ ตัดสิน ยืนตามศาลชั้นต้น คือ........
-นางเบญจา อดีต รมช.คลัง และอดีตรองอธิบดีสรรพากร
-น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย
-น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย
-นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร
มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ ๘๓
จำคุกคนละ ๓ ปี!
"น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์" คนใกล้ชิด "เลขานุการส่วนตัว" ของคุณหญิงพจมาน
มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และ ๘๖ จำคุก ๒ ปี
จำเลยทั้งหมด ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
เป็นอันว่า ทั้งหมด "เข้าคุก"!
เมื่อคืน เข้าไปนอนในคุกตามเส้นทางดาวเสาร์เป็นที่เรียบร้อย ศาลฎีกาจะอนุญาตให้ประกันหรือไม่?
วันนี้...เดี๋ยวคงรู้!
ความผิดนำทั้ง ๕ ไปสู่คุกนั้น ก็เมื่อ ๓ ธ.ค.๕๘ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อแผนกคดีทุจริตฯ ในศาลอาญา โดยสรุปว่า
จำเลยที่ ๑-๔ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากร ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย
จากการที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี ๒๕๔๙ คนละ ๑๖๔,๖๐๐,๐๐๐ หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ ๑ บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ ๔๙.๒๕ บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๓๙ และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ ๗,๙๔๑,๙๕๐,๐๐๐ บาท
การกระทำนั้น ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและราชการเสียหาย
ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกทั้ง ๕ ไปเมื่อ ๒๙ ก.ค.๕๙
ทั้ง ๕ ประกันตัวออกไปในชั้นศาลอุทธรณ์
ก็เมื่อวานนี้แหละ (๑๙ ต.ค.๖๐)...........
ที่ "ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง" ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ..............
"ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า ทุกประเด็นในคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้านั้นฟังไม่ขึ้น
ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าในอัตราโทษโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วย
โดยสภาพความผิดของจำเลยทั้งห้า เป็นการกระทำโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายและความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศชาติ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง
จำเลยจะอ้างว่า เรื่องนี้ในที่สุดแล้วก็มิได้เกิดความเสียหายแก่รัฐโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว และศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนการประเมินภาษีของกรมสรรพากรไปแล้ว มาเป็นข้ออ้าง เพื่อขอให้ศาลรอการลงโทษไม่ได้
จึงพิพากษายืน
ข้าราชการทั้งหลาย "สำเหนียก" ให้จงดี นี้คือคำตอบ "คนหลวง" รับใช้ "โจร"
ใครยังจะคอย "อำนาจเก่ากลับคืน" ก็ไม่ว่ากัน
แต่จำให้ขึ้นใจ..........
ต่อจากนี้ "คนกาลีเมือง" จะซุกชุด "สีดินแห่งสีกากี" ได้ แต่ปลายทางก็ที่
"คุก" เท่านั้น!.

ตีกันเอง

ตีกันเอง

อจ.มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. บ่นอู้อี้เป็นหมีกินผึ้งว่าร่าง ก.ม.ลูกที่ทุ่มเททำมาอย่างดี

โดน สนช.ลากตั้ง เอาไปผ่าตัดแปลงเพศจนผิดรูปผิดทรง

เป็นต้นเหตุให้การทำคลอด ก.ม.ลูก หลายฉบับเดินหน้าไม่สะดวกโยธิน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าปัญหาขัดแย้งระหว่าง กรธ.ของ อจ.มีชัย กับ สนช.ลากตั้งของ นายพรเพชร วิชิตชลชัย มีต้นเหตุจากร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

ซึ่งกำหนดให้ผู้ว่าการ สตง.มีอำนาจตรวจสอบทุจริตเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช.

เหตุผลเนื่องจาก ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบทุจริตทุกหน่วยงาน

แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.เกิดทุจริตเสียเอง จะตรวจสอบอย่างไร??

หากให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบกันเองก็อาจเปิดช่องให้ซูเอี๋ยกัน??

อจ.มีชัย จึงกำหนดให้ผู้ว่าการ สตง.สามารถตรวจสอบทุจริตคนใน ป.ป.ช.เพื่อให้เกิดความโปร่งใสไร้ข้อครหานินทา

แต่ปรากฏว่า สนช.มีมติให้ตัดประเด็นนี้ทิ้งไปทั้งยวง

โดยอ้างเหตุผล (กำปั้นทุบดิน) ว่าการให้อำนาจผู้ว่าการ สตง.ตรวจสอบทุจริตคนใน ป.ป.ช.จะเป็นการ “ก้าวล่วง” อำนาจ ป.ป.ช.

ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบทุจริตโดยตรง

เมื่อ กรธ.กับ สนช.มีความเห็นขัดแย้งกันจึงทำให้ร่าง ก.ม.ลูกฉบับนี้ ยังไม่คลอดออกมาเป็นตัว

(หมอตำแยดันทะเลาะกันเอง)

อย่างไรก็ดี “แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยกับ กรธ.ของ อจ.มีชัย ที่กำหนดให้ผู้ว่าการ สตง.สามารถตรวจสอบทุจริตคนใน ป.ป.ช.เป็นการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน

เพราะ เมื่อ ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบ ทุจริตหน่วยงานอื่นๆทั่วประเทศ

ป.ป.ช.ก็ควรยินยอมให้หน่วย งานอื่นตรวจสอบทุจริตตัวเองได้เช่นเดียวกัน

ถ้ามองมุมกลับ การที่ สนช.ตัดประเด็นนี้ทิ้งไปจะทำให้ ป.ป.ช. กลายเป็นองค์กรอิสระแห่งเดียวที่อยู่เหนือการตรวจสอบถ่วงดุล

“แม่ลูกจันทร์” ไม่ฟันธงว่าปัญหาขัดแย้งระหว่าง กรธ.กับ สนช.ลากตั้ง (เด็ก คสช.ทั้งคู่) จะลงเอยอย่างไร

ดูแนวโน้มน่าจะยืดเยื้อไปอีกยาว

ปัญหาขัดแย้งต่อมาคือ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ซึ่ง กรธ.ของ อจ.มีชัย ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่เนื้อหาที่ออกมาไม่ถูกใจ กรรมการ ป.ป.ช.

เรื่องง่ายจึงกลายเป็นเรื่องยาก เรื่องสั้นจึงกลายเป็นเรื่องยาว

ประเด็นสำคัญคือ ร่าง พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฉบับใหม่ กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบกรณีทุจริตแต่ละเรื่องให้เสร็จภายในเวลา 2 ปี

ฝ่าย ป.ป.ช.มองว่าการเขียน ก.ม.ประเด็นนี้ เป็นการกดดันให้ ป.ป.ช.ต้องเร่งสอบทุจริตให้เสร็จตามกรอบเวลา

อาจทำให้การตรวจสอบทุจริตไม่รอบคอบรัดกุม

อืมม์...เหตุผลของ ป.ป.ช.ก็มีน้ำหนักน่ารับฟัง

แต่ “แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยกับ อจ.มีชัย เพราะการกำหนดกรอบเวลาไต่สวนให้เสร็จภายใน 2 ปี แก้ปัญหาคดีคั่งค้างใน ป.ป.ช.สุมเป็นกองโต

ล่าสุด ป.ป.ช.มีคดีทุจริตค้างท่ออีกกว่า 2,000 คดี

ทำให้คดีทุจริตหลายคดีถูกปล่อยให้หมดอายุความ

ถ้าไม่คุมเข้มซะบ้าง...เดี๋ยวก็เละตุ้มเป๊ะเหมือนเดิม.

“แม่ลูกจันทร์”

‘เร่ง’ ที่บ่ายเบี่ยงไม่ได้

‘เร่ง’ ที่บ่ายเบี่ยงไม่ได้

เร่งจังหวะงาน ไปตามสเต็ป

ปรับสปีดรอบล่าสุด บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ชี้แจงถึงแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินระดับภาค

อยากให้ทุกอย่างเดินหน้าอย่างรวดเร็วกว่าเดิมจากที่วางแผนไว้

เพิ่มอัตราเร่งกลไกอำนาจรัฐ

อันนี้ก็มองได้จากท่าทีผู้นำ หลังประกาศโรดแม็ปชัด เดือน มิ.ย.2561 จะประกาศวันเลือกตั้งและดีเดย์หย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งราว พ.ย.2561 ฉะนั้นเวลานี้งานการที่คั่งค้างถึงเวลาต้องเร่งเครื่องสะสาง

ปั่นเต็มที่ในโค้งสุดท้ายอีกราว 1 ปี ก่อนคืนอำนาจ

ขณะที่แม่น้ำสายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำกฎหมาย ทั้ง สนช. และ กรธ. ทีแรกก็ประสานเสียงตอบรับ ไร้ปัญหาในการเร่งปั๊มกฎหมายลูกตามเป้าหมาย ตามสัญญาณผู้นำ

แต่ไม่นานก็ชักยึกยัก ปูทาง “ขยับเวลา” เอาไว้ล่วงหน้า

รวมทั้งหลังรับรู้ “สัญญาณดี” กันได้ไม่กี่วัน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม “อำนาจคู่ คสช.” ตอบคำถามถึงกรณีมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูก
“หากช้าก็ต้องช้า ก็ต้องทำตามนั้น”

โรดแม็ป “แกว่ง” อีกแล้ว

ในสถานการณ์ที่นักการเมืองส่วนใหญ่ก็ได้แค่เล่นไปตามจังหวะสัญญาณ โรดแม็ปชัดก็ต้องร้องขอให้ คสช.ปลดล็อกไฟเขียวให้ทำกิจกรรมการเมือง ทันเวลาตามเงื่อนกฎหมาย

ส่วนคิวยึกยักโรดแม็ป ด้วยสถานการณ์ห้วงงานสำคัญในบ้านเมือง นักการเมืองส่วนใหญ่รู้ทิศรู้ทาง
สะกดคำว่า “กาละ-เทศะ” เป็น

เอาเป็นว่า คิวโรดแม็ปคงต้องติดตามตอนต่อไป โดยแต่ละฝ่ายน่าจะจับจ้องไปที่ กรธ. และ สนช. ในกระบวนการปั๊มกฎหมายลูกเป็นช็อตแรก

รอดูไต๋อ่านทาง เลื่อน–ไม่เลื่อน

แต่ที่ดูจะขับเคลื่อนไปตามสเต็ปอีกคิว ก็น่าจะเป็นโปรแกรมงานตามรัฐธรรมนูญ

ทั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน รวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ปฏิรูปตำรวจ) และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา

เวลานี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ มีเงื่อน เวลาต้องส่งแผนปฏิรูปต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ

ปลายปี 2560 ทยอยเปิดหน้างาน โชว์พิมพ์เขียวแผนปฏิรูปเบื้องต้นกันแล้ว

โดยหลายคณะก็เห็นทิศทางการยกเครื่องไปสู่ความเปลี่ยนแปลง แต่หลายคณะก็ยังอืด และบางคณะก็ยังกั๊กๆ ไม่เห็นทิศทางของการปรับไปสู่สิ่งใหม่

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ย.ป.ด้านต่างๆ ก็ถึงโปรแกรมท้ายๆสรุปงาน โดยเฉพาะงานสร้างความปรองดอง

รวมทั้งเร่งเครื่องคณะกรรมการชุดใหม่อีก 3 คณะ ทั้งคณะขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 คณะว่าด้วยปรัชญาศาสตร์พระราชาไปสู่ความยั่งยืน และคณะสานพลังประชารัฐ

หลายคณะนายกฯจะกำกับเอง รวมทั้งคิวใหญ่ปฏิรูประบบราชการ

เรียกได้ว่า ถึงแม้โปรแกรมเลือกตั้งอาจขยับปรับเปลี่ยนกัน ได้ตามเงื่อนไขกฎหมายและสัญญาณ
สถานการณ์บ้านเมือง แต่สำหรับปฏิทินสำคัญ งานแก้โจทย์ใหญ่ของประเทศสารพัดเรื่อง

“บิ๊กตู่” ถือเป็นภารกิจภาคบังคับ เร่งมือเพื่อไม่ให้ถูกตราหน้าว่ารัฐประหารแล้วทำ “เสียของ”

หากถึงเวลา “ปล่อยมือ” และคิดคัมแบ็กอีกคำรบ.

ทีมข่าวการเมือง

โปรดเกล้าเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต นั่งราชรถอ่านพระคัมภีร์นำพระบรมศพ



สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานถวาย เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร รับหน้าที่พระสงฆ์นั่งราชรถอ่านพระคัมภีร์นำพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐
ประวัติสมเด็จพระวันรัต สมเด็จพระวันรัต มีนามเดิมว่า จุนท์ พราหมณ์พิทักษ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน ๒๔๗๙ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ณ บ้านเกาะเกตุ ต.ชำราก อ.เมือง จังหวัดตราด โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายจันทร์และนางเหล็ย พราหมณ์พิทักษ์ ท่านสำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดคิรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด
จากนั้นได้เข้าพิธีบรรพชาเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๙๑ ณ วัดคิรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด โดยมีพระวินัยบัณฑิตเป็นพระอุปัชฌาย์ กระทั่งอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยบัณฑิต (ถาวร ฐานุตตโร) วัดคิรีวิหาร จ.ตราด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูวิสุทธิธรรมภาณ (แจ่ม ธัมมสาโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังอุปสมบทได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค จากสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ สมเด็จพระวันรัต ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระพรหมมุนี ได้ปฏิบัติหน้าที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ นั่งพระเสลี่ยงกลีบบัว (พระยานมาศพระนำ) และราชรถน้อย (รถพระนำ) อ่านพระอภิธรรมนำขบวนพระอิสริยยศ ในการเคลื่อนพระศพ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สู่พระเมรุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
รวมทั้งในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๕ สมเด็จพระวันรัต ได้ปฏิบัติหน้าที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ นั่งพระเสลี่ยงกลีบบัว (พระยานมาศพระนำ) และราชรถน้อย (รถพระนำ) อ่านพระอภิธรรมนำขบวนพระอิสริยยศ ในการเคลื่อนพระศพจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สู่พระเมรุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงอีกวาระหนึ่ง
ส่วนภาระหน้าที่พิเศษ ยากที่จะหาผู้ใดทำหน้าที่นี้ได้ในยุคปัจจุบัน คือ การที่ได้รับมอบหมายจากเถรสมาคมเป็นผู้ตรวจสอบการคำนวณปฏิทินหลวง (ปฏิทินจันทรคติไทย)

ขอบพระคุณข้อมูลและภาพจาก
IG: @noeyapirat
cr: www.wikipedia.com

'วีระ สมความคิด' ถามทำไม ปภ.ถึงซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแพงกว่า 8 เท่า

'วีระ สมความคิด' ถามทำไม ปภ.ถึงซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแพงกว่า 8 เท่า
หลังจากมีการเผยแพร่รายงานรัฐบาลตั้งท่าว่าจะจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วมาใช้งานช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559ราคาแพงกว่า 8 เท่า วีระ สมความคิดจึงออกมาดักคอ
เมื่อการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ครม.ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่กำกับกระทรวงมหาดไทย อนุมัติโครงการจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา โดยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทบเป็นคนชงเรื่อง
รายละเอียดของการเสนอจัดซื้อ จำนวน 1,064 เครื่อง ราคาเครื่องละ 9 แสนบาท เป็นเงิน 957,600,000 บาท ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นผู้นำไปใช้ ประเด็นนี้ นายวีระ สมความคิดออกมาแฉว่าทำไมถึงจัดซื้อแพงกว่าที่มีขายในท้องตลาดราคาเพียง 130,000 บาท และยังตำหนิพล.อ.ประวิตรว่าอย่าใช้โอกาสในช่วงที่คนไทยกำลังให้ความสำคัญกับพระราชพิธีในการผลักดันเรื่องนี้ให้ผ่านการอนุมัติ
@ขอบคุณเจ้าของภาพ