PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

เดินหน้าชน : มาร์ค’นายกฯสมัย2

เดินหน้าชน : มาร์ค’นายกฯสมัย2




ผมจับท่าที “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศจุดยืนโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง เป็นท่าทีของพรรคที่เก่าแก่และเก๋าเกมที่สุดของประเทศนั้นย่อมไม่ธรรมดา

“มาร์ค” โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเพจเฟซบุ๊กแสดงจุดยืนจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะการสืบทอดอำนาจ เท่ากับสร้างความขัดแย้ง อีกทั้งขัดอุดมการณ์ของพรรค ที่สำคัญตลอด 5 ปีเศรษฐกิจไทยย่ำแย่และประเทศเสียหายมากพอแล้ว ในช่วงท้ายคลิประบุว่า หมดเวลาเกรงใจแล้ว

รุ่งขึ้นอีกวัน “อภิสิทธิ์” เปิดพรรคแถลงจุดยืน 5 ข้อ คือ 1.จุดยืนนี้ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว แต่เป็นการพูดในฐานะหัวหน้าพรรค มตินี้จะเกิดไม่ได้ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้ง 2.ให้ผู้เลือกตั้งมีสิทธิได้รับทราบจุดยืนของแต่ละพรรคอย่างชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง ไม่ใช่เข้าใจไปแบบหนึ่ง แต่พอได้รับเลือกตั้งแล้วกลับไม่ทำตามที่ประชาชนเข้าใจ 3.ต้องการแถลงให้ชัดเจน ไม่มีการบังคับให้ใครเลือกข้างหรือตัวบุคคล

โดยเฉพาะจุดยืนใน 2 ข้อหลังนี้นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง คือ 4.ประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล และต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานอุดมการณ์ของพรรค คือ ไม่เอาการทุจริตและการสืบทอดอำนาจ แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูผลการเลือกตั้งก่อน โดยมีเงื่อนไขคือตราบใดที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์ขัดกับผลประโยชน์ของคนในประเทศ พรรคจะไม่ยอมให้เข้าร่วมรัฐบาลด้วย และ 5.ความขัดแย้งในอนาคตจะเกิดขึ้นได้ คือถ้ามีการสืบทอดอำนาจ และ “บิ๊กตู่” ถือเป็นศูนย์กลางของเงื่อนไขความขัดแย้งที่ง่ายที่สุดหลังการเลือกตั้ง

เพราะนี้ คือเกมการเมือง คือสูตรในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

คำพูดที่เน้นย้ำว่า ประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล ย่อมมีนัยสำคัญในสูตรคณิตศาสตร์การเมือง ที่ประชาธิปัตย์คงมีการประเมินตัวเลข ส.ส.คร่าวๆ แล้วว่า เพื่อไทยน่าจะมาอันดับ 1 ส่วนประชาธิปัตย์ อันดับ 2 สำหรับพลังประชารัฐยังลูกผีลูกคนต้องลุ้นว่าจะเข้ามาในอันดับ 3 หรือ 4 หรือ 5

ดังนั้นสูตรในการผสมพันธุ์จัดตั้งรัฐบาล การจับมือระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์แทบจะปิดตาย แม้จะยื่นเงื่อนไขคือตราบใดที่เพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์ขัดกับผลประโยชน์ของคนในประเทศ พรรคจะไม่ยอมให้เข้าร่วมรัฐบาลด้วย แต่แท้จริงแล้วหาก 2 พรรคจับมือกัน ด้านตัวเลขเพื่อไทย คือ พรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ขณะที่ “มาร์ค” คงประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้ ย่อมหมายถึงโอกาสที่ “มาร์ค” จะหยิบชิ้นปลามันถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯย่อมเป็นไปได้อย่างยากยิ่ง


ขณะที่การยื่นเงื่อนไขจับมือกับพรรคพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขต้องไม่มีการสืบทอดอำนาจทั้งตัวบุคคล คือ พล.อ.ประยุทธ์ และมรดกที่ขัดกับหลักประชาธิปไตยคือคำสั่งและประกาศของ คสช.
การตัดชื่อ “บิ๊กตู่” ย่อมตัดหนทางพลังประชารัฐในการเสนอชื่อตัวบุคคล เพราะพรรคนี้เสนอชื่อ “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯเพียงชื่อเดียวเท่านั้น

บวกกับเงื่อนไขทางคณิตศาสตร์หลังการเลือกตั้ง โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะมีจำนวน ส.ส.มาเป็นพรรคอันดับสอง การเลือกข้างโยกตัวเองไปจับมือกับฟากพลังประชารัฐ ย่อมส่งผลดีและมีแต้มต่อมากกว่า
เพราะหมายถึงประชาธิปัตย์คือแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

การปิดเกม “บิ๊กตู่” ด้วยเงื่อนไขสืบทอดอำนาจและสร้างความขัดแย้ง คือ การเตะตัดขาพลังประชารัฐว่าหากจะต้องการเข้าร่วมรัฐบาล สานต่ออำนาจ ต้องหนุนให้ “อภิสิทธิ์” กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง

การเคลื่อนไหวของ “อภิสิทธิ์” และ “ประชาธิปัตย์” ครั้งนี้ คิดการใหญ่จริงๆ

พันธศักดิ์ รักพงษ์

‘สุเทพ’แฉเบื้องหลัง ดันอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ต้องคุยศัตรู-นัดพบเนวินไปคุยที่อังกฤษ

‘สุเทพ’แฉเบื้องหลัง ดันอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ต้องคุยศัตรู-นัดพบเนวินไปคุยที่อังกฤษ



วันนี้ (14 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตแกนนำ กปปส. ปัจจุบันเป็นแกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย โพสต์คลิปปราศรัย เล่าเหตุการณ์เบื้องหลังการเป็นผู้จัดการตั้งรัฐบาล จนนายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ

โดยนายสุเทพเล่าช่วงหนึ่งในคลิปที่โพสต์ ระบุว่า “ผมเหนื่อยแทบตายในการทำให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ และไม่มีใครทำได้ ผมรู้ก่อนแล้ว ผมอ่านเกมออกว่าสมชายต้องไป พลังประชาชนต้องถูกยุบ ผมก็เตรียมการ และก็ไปพูดในพรรคว่าจะตั้งรัฐบาล และจะให้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ คนในพรรคก็หัวเราะ สุเทพมันคิดเรื่องเป็นไปไม่ได้ ตัวแทนในพรรคที่ออกมาพูดหน้าที่ประชุมคือนายชวน หลีกภัย บอกว่าคุณสุเทพเขาเป็นคนจริงจัง เขาเป็นคนคิดเรื่องใหญ่ๆ เราอย่าไปขัดใจ เขาจะทำยังไงให้เขาทำเถอะ เพราะเขาทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นายชวนก็ไม่เชื่อ ส่วนเนวิน ชิดชอบ ขณะนั้นอยู่กับทักษิณ เนวินไม่ยอมคุยกับผมที่ประเทศไทย เพราะกลัวว่าทักษิณจะรู้ ผมต้องนัดพบกับมันที่ประเทศอังกฤษ ผมไปเจรจาจนมันยอม พอได้เนวินใส่กระเป๋ามาคน ผมก็ไปหานายบรรหาร ซึ่งเป็นคนที่สั่งลูกหลานไว้เลยว่าสุเทพเป็นคนที่อย่าไปคบ เพราะผมอภิปรายเขาอย่างหนัก แต่ผมถือดอกไม้แดงไปช่อหนึ่ง กดกริ่งที่หน้าประตูบ้าน ครึ่งชั่วโมงจึงเปิดประตูให้ ผมเข้าไปเจรจา พูด ตกลง ก็ได้มาอยู่ในกระเป๋า จากนั้นผมก็ไปพูดกับสุวิทย์ คุณกิตติ สุชาติ ตันเจริญ ซึ่งเป็นศัตรูเก่าทั้งหมด แต่ผมมีวิธีการจนเจรจากันเสร็จเรียบร้อย จนคนพวกนั้นก็มาสนับสนุน จนนัดให้มาพบกับนายอภิสิทธิ์ ประชุมรวมกัน ให้แต่ละคนต้องคุมลูกพรรคตัวเอง ผมเป็นคนจัดการให้อภิสิทธิ์ได้เป็นรัฐบาล ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่เห็นโอกาสเลย ยอมรับว่าทำเหนื่อย เพราะผมต้องการให้ประเทศเดิน

โค้งท้ายเลือกตั้ง คำถามไฉน-อนค. คือตำบลกระสุนตก

โค้งท้ายเลือกตั้ง คำถามไฉน-อนค. คือตำบลกระสุนตก




ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

หากไม่นับพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกสั่งยุบไปโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

พรรคการเมืองและแกนนำของพรรคที่เผชิญ “วิบากกรรม” มากที่สุด

ไม่มีพรรคไหนเกินอนาคตใหม่

ประเด็นความผิดพลาดในการบันทึกประวัติของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นำไปสู่ข้อร้องเรียนเรื่องการยุบพรรค

คำให้สัมภาษณ์ของนายธนาธรกับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง ถูกเครือของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอีกค่ายหนึ่ง ตัดต่อไปแบบย่นย่อว่า ภารกิจของอนาคตใหม่คือ “พาทักษิณกลับบ้าน”

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ถูกขุดคุ้ยคำให้สัมภาษณ์ตั้งแต่สมัยยังเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ว่าไม่จงรักภักดี

พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรค เข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์

การปิดตัวของเพจเฟซบุ๊กเซฟธนาธร ชนิดที่พรรคอนาคตใหม่ต้องออกมาแถลงว่า นี่ไม่ใช่เพจของพรรค หนำซ้ำยังมีพฤติกรรมน่าสงสัย
ฯลฯ

หลายคนอาจจะกล่าวว่านี่เป็นเรื่อง “กรรม” ที่แปลว่าการกระทำ

ใครทำอะไรไว้ ก็ย่อมต้องได้รับผลเช่นนั้น

แต่จะให้อธิบายว่าเหตุใดกรรมทั้งหลายจึงวิ่งเข้ามาในเวลาพร้อมเพรียงกัน

ทำไมนายธนาธรและคณะอนาคตใหม่ จึงกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก”

มีคำอธิบายชุดหนึ่งว่า

เป็นเพราะการพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนของพรรคอนาคตใหม่ นับตั้งแต่พรรคไทยรักษาชาติเริ่มเผชิญวิบากกรรม

และมีแนวโน้มชัดเจนตั้งแต่ก่อนวันที่ 7 มีนาคม ว่าจะต้องถูก “ยุบ” โดยไม่มีทางเลี่ยง

ส่วนหนึ่ง ทำให้คะแนนที่เคยจะสนับสนุนไทยรักษาชาติ ในเขตที่ไม่มีพรรคเพื่อไทยลงแข่งขัน “เท” ไปที่อนาคตใหม่

ส่วนหนึ่ง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่ยืนกลางๆ หรือยังไม่แน่ใจว่าจะลงคะแนนเสียงให้พรรคไหน “เทใจ” มาให้อนาคตใหม่

ชนิดที่แม้กระทั่งผลสำรวจของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในภาคใต้

คะแนนของอนาคตใหม่นำหน้า “แชมป์เก่าตลอดกาล” อย่างประชาธิปัตย์ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น

ฉะนั้น เมื่อเป็นดาวรุ่ง เมื่ออาจจะกลายร่างจากพรรคเล็กพรรคตัวประกอบ ขึ้นมาเป็น “พรรคตัวแปร” ในสมการการเมืองที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนของการเลือกตั้งครั้งนี้

ก็ต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนาม ถูก “เตะสกัด”

เป็นเป้าหมายของการบ่อนเซาะทำลายล้าง

ถามว่าอนาคตใหม่ “แรง” ขนาดนั้นจริงหรือ


เพจเฟซบุ๊ก Koon Wisessombat เปิดข้อมูลหลังบ้านของ Google เสิร์ชเอนจิ้นใหญ่ที่สุดของโลกให้ดู
ระบุว่าถ้าในรอบ 90 วัน การค้นชื่อธนาธรในโลกโซเชียลนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 12-8

แต่ถ้าในช่วง 30 วันหลังสุด อัตราส่วนนี้จะเปลี่ยนเป็น 32-10

ในกรุงเทพมหานคร ธนาธรคนเดียวครองยอดเสิร์ชไป 60%

นครราชสีมา ธนาธร-พล.ประยุทธ์คือ 48/25, อุบลราชธานี 64/5, ขอนแก่น 49/24

เชียงใหม่ 66/15, สงขลา 41/32 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีสถิติผู้ค้นชื่อผ่าน Google จากพื้นที่นี้เพียง 9%

ที่น่าสนใจคือ นครศรีธรรมราช ธนาธร-92 พล.อ.ประยุทธ์ 8

แม้แต่จังหวัดชัยภูมิที่กระแส พล.อ.ประยุทธ์ ดีที่สุดก็ยังน้อยกว่าธนาธร
00ที่ 44/56

กลับไปดูสถิติย้อนหลังของ Google Trends ตามไทม์ไลน์ที่มีการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2550
จะพบว่า Google Trends ทำนายถูกทั้งหมด

โดยปี 2550 นายสมัคร สุนทรเวช ชนะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ปี 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะนายอภิสิทธิ์ขาดลอย

เลือกตั้ง 2557 แม้จะโมฆะ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ชนะนายอภิสิทธิ์

พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นเทรนด์พุ่งปรี๊ดช่วงรัฐประหาร

แต่มาปี 2562 ใน Google Trends จะเห็นการแข่งขันของคู่ใหม่คือนายธนาธร-พล.อ.ประยุทธ์

ถ้าแนวโน้มยังดำเนินตาม “แพตเทิร์นเลือกตั้ง” ตั้งแต่ปี 2550 จนปัจจุบัน

ก็จะเห็นแล้วว่าใครคือว่าที่นายกรัฐมนตรี “ที่มาจากการเลือกตั้ง”

ข้อมูลหลังบ้าน Google ไม่ใช่ความลับอะไร

ใครมีความสามารถก็ล้วงเข้าไปดูได้

ชาวบ้านเห็น พรรคการเมืองเห็น ผู้มีอำนาจก็เห็น

เห็นแล้วว่า ตำบลกระสุนตกมาได้อย่างไร


สถานีคิด : เดินเข้าล็อก : โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข

สถานีคิด : เดินเข้าล็อก : โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข




นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกฯต่ออีกสมัย


และประกาศไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทย โดยย้ำคำว่า ประชาธิปไตยสุจริต

ก่อนหน้านั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ประกาศสนับสนุนนายกฯจาก ส.ส.และไม่ให้ 250 ส.ว.มาเดินนำหน้าผู้แทนฯ

เท่ากับว่าพรรคการเมือง 2 พรรค ที่เคยเข้าใจว่าจะร่วมดัน พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อในตำแหน่งนายกฯ เป็นสมัยที่สอง ได้เปลี่ยนท่าทีไปอย่างค่อนข้างกะทันหัน

เกิดสภาพ 3 ก๊ก ที่ 2 ใน 3 ไม่เอาบิ๊กตู่

พรรคหลักที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในตอนนี้ ก็คือพลังประชารัฐ ที่ส่งชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในบัญชีรายชื่อนั่นเอง

ถ้าเป็นจริงตามนั้น ก็เริ่มเห็นเค้าลางว่า หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค. การเมืองจะพลิกไปยุ่งอีกแบบ

การตั้งนายกฯและรัฐบาลจะยุ่งยากมากขึ้น

เว้นแต่ 2 พรรค คือ ปชป.และภูมิใจไทยจะโชว์อภินิหาร พลิกท่าทีกลับมาหนุน พล.อ.ประยุทธ์อีกรอบ ทำให้การเมืองกลับมาเป็น 2 ก๊ก 2 ขั้วอีกรอบ

สูตรในการตั้งรัฐบาลตามหลักคณิตศาสตร์ จะต้องมีเสียง ส.ส.ในสภาผู้แทนฯเกินครึ่งสัก 250-251 เสียงขึ้นไป

เพื่อไปรวมกับ ส.ว. 250 คน ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธานสรรหา


จะกลายเป็นเสียงข้างมากที่ดูเหมือนท่วมท้น ในรัฐสภาที่มีสมาชิก 750 คน

สูตรนี้ตั้งรัฐบาลได้ แต่ในชีวิตจริง เสียงในสภาผู้แทนฯ มีความจำเป็นมาก

รัฐบาลจำเป็นต้องมีเสียงท่วมท้นในสภาผู้แทนฯ

เพราะจะต้องเสนอกฎหมายต่างๆ ในสภาผู้แทนฯ รวมถึง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย และกฎหมายการเงินต่างๆ ซึ่งถ้าแพ้โหวตในกฎหมายเหล่านี้ รัฐบาลต้องพิจารณาตนเอง

รัฐบาลต้องประชุมสภาผู้แทนที่มีการเสนอญัตติต่างๆ ที่มีการโหวต รวมถึงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จำเป็นจะต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ในระดับเด็ดขาด

รัฐบาลหลัง 24 มี.ค. ถ้าจะเอาเสถียรภาพแน่นๆ ควรมีเสียงในสภาผู้แทนฯ สัก 350 คน ถ้าไม่ถึงก็จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ยิ่งน้อยไปจากนี้มากเท่าไหร่ความเสี่ยงก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ

ในวันนี้และต่อๆ จากนี้ ต้องมาส่องกล้องดูกันว่า รัฐบาลที่จะมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ จะหา 350 เสียงในสภาผู้แทนฯมาจากไหน

ก็ต้องไม่ลืมว่า บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติถึงการนำ “คนนอก” ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีชื่อนายกฯ เข้ามาเป็นนายกฯได้ด้วย

การเมืองไทยจะเดินไปถึงจุดนั้นหรือไม่ ต้องติดตามสังเกตการณ์กันต่อไป

วรศักดิ์ ประยูรศุข

หมัดเด็ด! พปชร.ประกาศ ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท ป.ตรี 2 หมื่น อาชีวะ 1.8 หมื่น

หมัดเด็ด! พปชร.ประกาศ ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท ป.ตรี 2 หมื่น อาชีวะ 1.8 หมื่น



“พปชร.” ปล่อยหมัดเด็ด ค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท ป.ตรี 2 หมื่น อาชีวะหมื่น 8 “สนธิรัตน์” ลั่น ไม่นิรโทษกรรม
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แกนนำพรรค นำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค ร่วมแถลงเปิดนโยบายประชารัฐ “ประเทศไทยต้อง…รวย” ด้วยพลังประชารัฐ โดย นายอุตตมแถลงว่า ประเทศไทยต้องรวยความสงบ ความสุข ความหวัง อันจะนำไปสู่อนาคตที่มีความหวัง เมื่อมีความสงบ ความสุข ความหวัง ต่อไปคือเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สินค้าเกษตร ให้รวยอย่างมั่นคงและยั่งยืน เช่น เรามีนโยบายข้าวเจ้า 12,000 บาทขึ้นไปต่อตัน ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาทขึ้นไปต่อตัน อ้อย 1,000 บาทขึ้นไปต่อตัน ยางพารา 65 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม มันสำปะหลัง 3 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม และปาล์มต้องทำให้ได้ราคาเป้าหมายที่ 5 บาทขึ้นไปต่อกิโลกรัม ทั้งหมดต้องทำได้ เพราะเกษตรกรประสบปัญหามาเยอะ เราต้องยื่นมือไปช่วยฉุดเขาขึ้นมาก่อน ให้ทุกคนรวยอย่างมั่นคง ยั่งยืน รวมทั้งดูแลแรงงานขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวัน ค่าจ้างอาชีวะ 18,000 บาทต่อเดือน ค่าจ้างปริญญาตรี 20,000 บาท

นายอุตตมกล่าวว่า ส่วนพนักงานเงินเดือนจะได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% ในทุกขั้นบันได คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนั้น เราจะยกเว้นภาษีเด็กจบใหม่ 5 ปี ยกเว้นภาษีค้าขายออนไลน์ 2 ปี ส่วนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องได้รับการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ยกระดับขีดความสามารถร้านค้าโชห่วยใช้ดิจิทัลรวมกลุ่มผู้ค้าให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิต พร้อมรับสินเชื่อ 1 ล้านบาทต่อโชห่วยเพื่อปรับตัว

หัวหน้า พปชร.กล่าวว่า นอกจากนั้นต้องปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ เพิ่มรายได้ประเทศ เพิ่มรายได้ประชาชน โดยเพิ่มรายได้ประเทศเป็น 19 ล้านล้านบาท ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างการลงทุนเพื่อให้เกิดการสร้างงาน เพิ่มรายได้ประเทศ 2 ล้านล้านบาท ให้ได้ภายในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยว 4.5 ล้านล้านบาท รวมทั้งปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งจะทำให้เกิดรายได้ 3 แสนล้านบาทต่อปี ส่วนแหล่งที่มาของเงินที่จะนำไปใช้ดำเนินการในเรื่องต่าง มี 7 ด้าน ประกอบด้วย ปฏิรูปการจัดเก็บภาษีแบบบูรณาการ เก็บภาษีผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ การบริหารสินทรัพย์ของประเทศ ปฏิรูปกระบวนการบริหารหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการเอกชนร่วมทุนขนาดใหญ่ (พีพีพี) กองทุนรวมเพื่อสังคม (เอสไอเอฟ) โครงสร้างพื้นฐาน (ทีเอฟเอฟ) เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ ทั้งหมดนี้จะเป็นแหล่งรายได้ทำให้ประเทศมีเงินเพิ่มเพื่อนำไปใช้ในเรื่องอื่น ประมาณ 1.24 ล้านล้านบาทต่อปี อาทิ ทั้งนี้ยืนยันว่านโยบายของเราเมื่อจะใช้เงินก็หาเงินเป็นและทำได้จริง


ด้านนายสนธิรัตน์กล่าวว่า ส่วนการรวยความสงบ พรรคเรามีจุดยืนซึ่งเป็นทางออกของประเทศ ลดการเกิดเงื่อนไขที่จำกัด เป็นฝ่ายปรองดอง ลดความขัดแย้ง พรรคเราเคารพกติกาตามรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะกติกาเป็นพื้นฐานแรกที่จะนำพาความสงบ ซึ่งพรรคมีจุดยืนที่จะไม่ชักนำประชาชนไปสู่ความขัดแย้งหลังการเลือกตั้ง เพราะไม่มีประโยชน์ เราไม่เอาการแบ่งแยกประชาชนและประเทศ การแบ่งแยกสีเสื้อต้องไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น อำนาจที่ได้มาไม่ใช่อำนาจที่แท้จริงตราบใดที่ประชาชนยังเกลียดกัน ขอให้ทุกฝ่ายเห็นแก่อนาคต อย่านำประเทศกลับไปสู่ความขัดแย้ง อย่าให้ประชาชนรู้สึกว่า ต้องต่อสู้เป็นก๊กเป็นเหล่า หรือแบ่งแยกประชาชนเพราะจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ และที่สำคัญ พรรคจะไม่นิรโทษกรรมให้คนผิด และจะทำทุกทางให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์ และนี่คือสูตรสำเร็จของการพาคนไทยกลับมารวยความสงบ

ด้านนายสุวิทย์กล่าวว่า ส่วนการรวยความสุข นอกจากความขัดแย้ง เรื่องที่สำคัญที่ต้องแก้ คือเรื่องความเหลื่อมล้ำ ให้เกิดความเทียม จึงจะเกิดความสุข ซึ่งบัตรประชารัฐ เพิ่มจำนวนคนที่ได้รับและเพิ่มสิทธิจาก 14.5 ล้านคน นอกจากนั้นเราจะดำเนินนโยบายหมดหนี้มีเงินออม โดยเริ่มจากการพักหนี้พักดอกเบี้ยกองทุนหมู่บ้าน ฟื้นฟูเติมทุนสร้างโอกาสกับประชาชน รวมถึงนโยบายมารดาประชารัฐ ที่เป็นนโยบายที่ทำให้ทุกคนเกิดมาแล้วต้องมีคุณภาพ ดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ขณะเดียวกันเราพร้อมจะเดินหน้านโยบายประชารัฐสร้างคน คนสร้างชาติ โดยเน้นการทำนโยบายดูแลคนตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา

ลุงตู่ลุยขอนแก่น-โคราช เว้าอีสาน'คิดฮอดหลาย'


ชาวบ้านตั้งแต่ขอนแก่นถึงโคราชอย่างอารมณ์ดี พร้อมทั้งร้องเพลง “หยุดตรงนี้ที่เธอ” เว้าอีสานคิดฮอดหลายเด้อ สัญญาชายชาติทหารไม่ใช่สืบทอดอำนาจ แต่สืบทอดเจตนา  
    เมื่อวันพุธที่ 13 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมคณะ ได้เดินทางจากกรุงเทพมหานครไปตรวจราชการที่จังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา 
    โดยเมื่อเวลา 08.15 น. พล.อ.ประยุทธ์พร้อมคณะ เดินทางถึงท่าอากาศยานขอนแก่น และติดตามการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารอาคารใหม่ ก่อนเดินทางโดยรถโตโยต้า อัลพาร์ด ทะเบียน กข 6161 ขอนแก่นไปยังศาลหลักเมืองขอนแก่น ซึ่งนายกฯ ได้สวมแว่นตากันแดดที่แพทย์แนะนำให้ใส่เพื่อถนอมสายตาตลอดเวลาที่ลงพื้นที่ 
    โดยขณะที่อยู่ศาลหลักเมือง ประชาชนที่ใส่เสื้อเหลืองซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของจังหวัดตะโกนร้องว่า "ลุงตู่สู้ๆ" ตลอดเวลา ทั้งนี้ ก่อนทำพิธีเปิดการใช้งานอาคารสถานีรถไฟขอนแก่น นายกฯ กล่าวทักทายประชาชนที่มาต้อนรับกว่า 6,000 คน ด้วยกลอนที่แต่งระหว่างการเดินทางว่า "เพราะคิดถึงจึงมาหา ดูหน้าตาบอกให้รู้ดูสดใส ทั้งขอนแก่นและโคราชนั้นใช่ไกล ใจถึงใจ ส่งให้กัน บ้านฉันเอง" พร้อมกล่าวอีกว่า อีสานก็บ้านนายกฯ เหมือนกันนะ อยากให้รู้ว่าฮักหลายเด้อ คิดฮอดหลายเด้อ ภูมิใจที่ได้มาวันนี้เด้อ คักๆ ทุกอย่าง วันนี้เดินเข้ามาได้ยินเสียงเพลงตรงนี้ที่เธอ รถไฟขบวนนี้ก็หยุดอยู่ตรงนี้ ใจถึงใจ 
นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า โครงการนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 นี่คือเรื่องจริงไม่ใช่นิยาย ไม่ได้พูดเลอะเทอะ เพราะมันเสร็จแล้ว ทำได้ขนาดนี้จะไม่ทำต่ออีกหรืออย่างไร คนจะมาใหม่บอกว่าจะมารื้อ เป็นไปไม่ได้ ไม่ได้ว่าใคร ไม่ได้เกี่ยวกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นอยู่ตรงนี้ที่เธอ เธอก็คือประชาชนและคือศูนย์กลางของราชการแผ่นดิน และวันนี้ทำตามสัญญา คือทำตามแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ชาติ 
    "เราต้องเลือกผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริต และมีธรรมาภิบาล เห็นใจผมหรือไม่ เห็นใจรัฐมนตรี เห็นใจผู้ว่าฯหรือไม่ เราตัดเขาทิ้งไม่ได้ ขอความรักความสามัคคีให้ผม ให้ประเทศชาติได้หรือไม่ ขออย่าขัดแย้งกันได้ไหม ถือเป็นสัญญาของท่านที่ให้กับ
ผมและประเทศชาติ และผมสัญญากับท่านว่าจะนำพาประเทศชาติไปให้ได้" นายกฯ กล่าว
    ทั้งนี้ ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เริ่มจะเจ็บตาแล้ว เพิ่งไปผ่าตามา หมอก็บอกว่าอย่าให้โดนแดด แต่คิดถึงจึงมา ยอมตายเพื่ออีสานบ้านฉัน โดยในตอนท้ายนายกฯ กล่าวด้วยว่า คิดฮอดหลายเด้อ คิดฮอดหลายๆ ฮักหลายๆ ฮักกันนั้น นานๆ นะ พร้อมกล่าวเป็นบทกลอนว่า "ถึงเวลาต้องจำใจใช่ลาจาก รู้ลำบากแต่จะไม่ให้เสียขวัญ ทำวันนี้ต่อวันหน้าจะเร็วพลัน เกลียดชังกันอีกต่อไปใช่เวลา" 
    จากนั้น นายกฯ ตรวจเยี่ยมความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการทางคู่และทดลองการเดินรถ ในโครงการพัฒนาระบบโครงข่ายรถไฟทางคู่ (เส้นทางสายชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น) ก่อนนั่งรถไฟขบวนพิเศษคันที่ 2 ขบวนที่ พซข.35 จากสถานีรถไฟขอนแก่น ไปยังสถานีรถไฟท่าพระ ต.เมืองเก่า อ.เมืองขอนแก่น ระยะทาง 10 กม. ใช้เวลา 10 นาที โดยเมื่อถึงสถานีท่าพระ นายกฯ ได้เดินทักทายประชาชนที่มาต้อนรับ พร้อมกล่าวว่า “ดีใจ แต่ก็ต้องจำใจจำลา รักคักๆ รักทุกคน และขอให้ทุกคนรักนายกรัฐมนตรีคนนี้ ที่ต้องรักน้อยๆ แต่รักนานๆ พร้อมทั้งร้องเพลง หยุดตรงนี้ที่เธอ ท่อนสั้นๆ ว่า “หยุดตรงนี้ที่เธอ ไม่ไปใกล้แล้วใจ จะหยุดทั้งใจไว้ที่ได้เธอ หยุดตรงนี้ที่เธอ เพราะเธอที่ฉันเจอ คือคนที่รักฉันหมดใจ” ท่ามกลางเสียงหัวเราะรอยยิ้มและเสียงปรบมือจากประชาชนที่มารอต้อนรับอย่างมาก 
    ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางด้วยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ขฉ 9999 นครราชสีมา สักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดยมีผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐร่วมต้อนรับ ทั้งนี้ ระหว่างสักการะย่าโม ประชาชนตะโกนให้กำลังใจนายกฯ พร้อมบอกว่า ย่าโมบอกว่าให้ชนะ ชนะนะคะลุงตู่ ลุงตู่โชคดี จากนั้นได้มีชาวบ้านก้มลงกราบนายกฯ พร้อมบอกว่า ขอให้นายกฯ ช่วยนำพาบ้านเมืองให้ตลอดรอดฝั่งด้วยนะ ซึ่งนายกฯ ได้พยายามก้มไปประคองและบอกว่า "ไม่ต้องกราบ ผมทำให้อยู่แล้ว" 
    พร้อมกันนี้ มีกลุ่มศิลปินเพลงพื้นบ้าน เชน หัวรถไฟ ร้องกลอนเพลงโคราชต้อนรับ ซึ่งภายหลังจากฟังเพลงกลอน นายกฯ ระบุว่า ชัยยะ ไชโย ย่าโมออกศึก จากนั้นได้ปั่นรถสามล้อทะเบียน 08960 ของนายต่อม กิตติสกุล อายุ 67 ปี ซึ่งทำอาชีพปั่นสามล้อมา 25 ปี จากนั้นนายกฯ ได้เปลี่ยนมานั่งซ้อนรถสามล้อแทน เพื่อไปสักการะศาลหลักเมืองนครราชสีมา โดยช่วงที่ปิดทองและผูกผ้า 7 สี นายกฯ กล่าวว่า สร้างบ้านสร้างเมืองนะ ให้มั่นคง สร้างรากฐานประเทศให้มั่นคง บ้านเราเมืองเราจะได้มีหลัก จากนั้นจังหวัดได้มอบกระเบื้องหลังคาศาลหลักเมืองโคราช พ.ศ.2509 ใส่กรอบรูปให้นายกฯ ขณะที่มีคนนำหนังสือเบื้องหลังชีวิต พล.อ.ประยุทธ์มาขอลายเซ็น ก่อนที่นายกฯ จะเดินไปพบปะประชาชน ซึ่งต่างส่งเสียงเชียร์ให้ลุงตู่สู้ๆ ให้ลุงตู่ชนะ พร้อมมอบดอกกุหลาบให้กำลังใจ 
    ต่อมา 15.00 น. คณะ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมายังสถานีรถไฟนครราชสีมา เพื่อติดตามความก้าวหน้าแผนพัฒนาการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทางราง ก่อนเดินทางไปเป็นประธานในงาน “One Transportation for all : ระบบคมนาคมหนึ่งเดียวเพื่อประชาชนทุกคน” พร้อมเป็นสักขีพยานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์อ่านกลอนที่แต่งให้ชาวโคราชว่า “วันนี้แสนสุขใจ เติมหัวใจถึงถิ่นเยือน คิดถึงไม่ลืมเลือน ใจคอยเตือนให้กลับมา โคราชถิ่นบ้านเกิด จะชูเชิดให้สุขมา ทุกอย่างต้องก้าวไกล ทำด้วยใจขอสัญญา” 
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเองเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ก็อยู่ที่ประชาชนเช่นกันว่าจะเลือก วันนี้มาถึงโคราช ได้นั่งรถสามล้อ กราบย่าโม สักการะศาลหลักเมือง มีแต่คนตะโกนให้สู้ๆ ก็นึกว่าเชียร์มวยกัน ก็ไม่รู้ว่าจะให้ไปสู้กับใคร วันนี้นายกฯ สู้อยู่กับความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ ความแข็งแรงและการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เดินหน้าประเทศ
    “ถ้าพูดปากเปล่าว่าจะให้ๆ มันทำง่าย วันนี้ผมไม่ได้ให้สัญญาว่าจะให้ แต่สัญญาว่าจะทำให้ เป็นคำสัญญาจากลูกผู้ชายชาติทหาร ผมไม่เคยโกหก ที่ผ่านมา 5 ปีเจอปัญหาร้อยแปดพันเรื่อง อันไหนทำได้ก็ทำก่อน นี่คืออนาคต แล้วจะใครเป็นคนทำให้ท่าน 24 มีนาคมรู้กัน ส่วนผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวว่า เรามีโอกาสคือการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยไม่ใช่เลือกตั้งอย่างเดียว มันต้องเลือกตั้งให้ได้รัฐบาลที่มีความชอบธรรม มีหัวหน้ารัฐบาลที่มีความซื่อสัตย์ มีความเด็ดขาด บริหารราชการอย่างเข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นก็เอาผลประโยชน์ไปไว้โน่นไว้นี่หมด ซึ่งไม่ได้ว่าใคร ใครมาเป็นผู้แทนฯ ก็เหมือนเดิมทุกที 
"วันนี้ที่ผมพูดไม่ได้มาโม้ แต่เป็นเรื่องการพูดถึงอนาคต ที่ไม่อยากให้ทุกคนลำบากอีกต่อไป นั่นคือคำสัญญาของผม นั่นคือเจตนาของผม ที่ไม่ใช่เป็นการสืบทอดอำนาจ ผมต้องการจะสืบทอดเจตนาของผม ที่ทำไว้ก็สุดแล้วแต่ท่าน ผมบังคับท่านไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ร้องเพลง “สัญญา” ของวงอินโดจีน และเพลง "หยุดตรงนี้ที่เธอ" ของ ฟอร์ด สบชัย และกล่าวว่า หยุดตรงนี้ที่เธอ เพราะเธอนั้นแสนดี ทั้งนี้ ภายหลังนายกฯ ลงจากเวที ขณะเดินทักทายประชาชน ทางทีมงานได้ประสานเจ้าหน้าที่ให้เปิดเพลงคำสัญญา ขณะที่นายกฯ ร้องตามอย่างอารมณ์ดี
ต่อมาเวลา 18.00 น. ก่อนเดินทางกลับได้มีชาวบ้านมาตั้งแถวรอส่งและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยเมื่อมีชาวบ้านบอกว่า นายกฯ ตัวจริงหล่อมาก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบว่า "หล่อก็คือหล่อ แต่ทำงานดีหรือเปล่า ถ้าหล่อแต่ทำงานไม่ดีก็แค่นั้น ต้องทำงานดีด้วย". 

สอบ'ทษช.'เทเสียง กกต.ชี้ส่อขัดกม.เลือกตั้ง/'วรวัจน์'โต้ไม่ผิดม.73


    ทษช.ยังไม่พ้นวิบากกรรม! กกต.สั่งสอบปมชวน ปชช.โหวตโน-เทคะแนนให้พรรคอื่น "วรวัจน์" ร้อนตัวกาง กม.โต้กลับ ปัดทำผิด ม.73 พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. "จาตุรนต์" ฉะวางตัวไม่เป็นกลาง ชี้เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพ
    เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของอดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) หลังถูกยุบพรรค ที่มีการเดินสายจัดเวทีปราศรัยทั่วประเทศว่า ความจริงแล้วความเป็นพรรคการเมืองได้สิ้นสุดลงไปแล้ว การดำเนินการใดๆ ต้องดูกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเลือกตั้งคงไปบังคับใช้ไม่ได้มาก เพราะไม่ได้อยู่ฐานะที่เป็นผู้สมัครหรือพรรคการเมืองแล้ว แต่ยังมีกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องและต้องปฏิบัติตาม ส่วนในประเด็นอื่นๆ และประเด็นความมั่นคง มีหน่วยงานอื่นๆ ดูแลอยู่แล้ว      
    อย่างไรก็ตาม การที่อดีตผู้สมัคร ทษช.ประกาศเทคะแนนให้คนอื่นจะเป็นความผิดทางกฎหมายหรือไม่   ที่ประชุม กกต.ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเข้าลักษณะความปรากฏต่อ กกต. ที่ประชุมจะได้ขอให้เลขาธิการ กกต. หรือสำนักงาน กกต. แต่งตั้งคณะสืบสวนไต่สวนฯ เรียบร้อยแล้ว รวมถึงเรื่องการรณรงค์ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งโหวตโน ซึ่งอาจจะเข้าข่ายความผิด เพราะการรณรงค์โหวตโน ขอคะแนน เทคะแนน ทำไม่ได้  เพราะกฎหมายห้ามไว้ชัดว่าจะต้องให้ผู้ใช้สิทธิตัดสินใจเลือกเอง ห้ามชักจูงชี้นำ จะบอกให้ใครทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ส่วนจะเป็นความผิดของใครระหว่างผู้ขอและผู้สมัครที่ได้คะแนน ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน   
    “การกระทำใดครอบงำ ชี้นำ ชักจูง จูงใจ สิ่งที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย มีอยู่แน่ๆ ถือเป็นความผิด การทำที่ใดที่อาจเป็นความผิด เราต้องตรวจสอบและหากเข้าข่ายก็ต้องดำเนินการ” นายอิทธิพรระบุ
    เมื่อถามว่า หากเป็นการครอบงำ ชี้นำ เข้าข่ายความผิดนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ ประธาน กกต. กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและการกระทำ แต่เราไม่ได้ตั้งเป้าที่จะไปทำถึงขนาดนั้น โดยจะดูเนื้อหาเป็นหลัก ซึ่งในกรณีนี้ไม่ต้องมีการร้อง เพราะเป็นความปรากฏต่อ กกต.แล้ว และได้ให้สำนักงานตั้งคณะกรรมการสอบ หากในต่างจังหวัดพบว่ามีความผิดในลักษณะเป็นความปรากฏ กกต.ก็สามารถสั่งตั้งกรรมการสอบได้เป็นรายจังหวัด
    ทางด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตผู้สมัครส.ส.แพร่ พรรคไทยรักษาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า จากกรณีที่พี่น้องชาวจังหวัดแพร่ตื่นตัวเรื่องการจะใช้สิทธิ์ไม่เลือกผู้สมัครใด และได้มาพบตนที่บ้านเมื่อวันที่ 11 มี.ค.นั้น ก็ได้ทราบข่าวว่าประธาน กกต.ให้สัมภาษณ์ว่า การที่ตนชี้แจงเรื่องสิทธิการลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครใดของประชาชนที่มาพบที่บ้าน อาจจะผิดกฎหมายนั้น จึงค้นข้อกฎหมายทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่ามีมาตรา 73 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่าไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็น ส.ส.ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
    (1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด (2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด (3) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ (4) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด (5) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
    "เพราะฉะนั้น หากไม่ได้ทำผิดใน 5 ข้อนี้ ย่อมจะสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายใช่มั้ยครับ ซึ่งเมื่อพี่น้องประชาชนมาพบผมแล้วแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ประสงค์จะเลือกผู้ใดแล้ว ถ้าผมบอกกับพี่น้องประชาชนว่าทำไม่ได้ ห้ามทำ จะผิดกฎหมายหรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นแปลว่าผมจะกระทำผิดในมาตรา 73 (5) ข้อหลอกลวง ใช่มั้ยครับ เพราะเมื่อพิจารณาข้อกฎหมายแล้วสามารถทำได้ ตกลงผมควรต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง ตามที่ท่านกำหนดครับ ผมถูกยุบพรรคไปแล้ว หมดสิทธิ์เป็นผู้สมัคร ส.ส.ไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าผมอาจจะมีความผิด เพราะชี้แจงข้อกฎหมายอีก ผมคิดว่าพี่น้องชาวแพร่พิจารณาเองได้ครับ และคิดว่าการเมืองภาคประชาชนของคนแพร่จะตัดสินใจอย่างไรในเรื่องนี้" นายวรวัจน์ระบุ
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกกลุ่ม ‘ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย’ และอดีตแกนนำ ทษช. กล่าวว่า ยังไม่เห็นประเด็นว่าจะมาสอบเรื่องอะไร เพราะยังไม่มีอะไรที่เป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง กลุ่มก้าวต่อไปฯ ขออนุญาตใช้สถานที่ และขออนุญาตชุมนุมก่อนปราศรัยทุกครั้ง อีกทั้งอดีตผู้สมัคร ส.ส.ทษช.ไม่ได้ถูกเพิกถอนสิทธิอะไร เพียงแต่พ้นจากการเป็นผู้สมัคร ส.ส. และยังมีสิทธิเท่ากับประชาชนทุกอย่าง ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เช่น ไม่ได้จัดมหรสพ ไม่สัญญาว่าจะให้ หรือให้เงินใคร รวมทั้งไม่ได้ข่มขู่หลอกลวงหรือใส่ร้ายป้ายสีใคร 
    สำหรับกรณีที่ผู้สมัครจะเทคะแนนหรือโหวตโน ไม่เห็นประเด็นที่จะผิดกฎหมาย เพราะการเสนอให้โหวตโน เป็นข้อเสนอมาจากประชาชน อดีตผู้สมัครคงจะไม่ไปรณรงค์อะไร ส่วนการเทคะแนนไม่มีคำนิยามตามกฎหมายแปลว่าอะไร คนคนหนึ่งจะเทคะแนนเลือกตั้งก็คือเทคะแนนตัวเอง หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากัน แต่คะแนนของคนอื่นๆ มันเทไม่ได้ ไม่มีอยู่ในสารบบของภาษากฎหมาย และไม่เห็นว่าจะผิดกฎหมายอะไร นอกจากนี้ การที่อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งจะไปบอกประชาชนว่าอย่าเลือกหรือเลือกพรรคนั้นพรรคนี้ คนนั้นคนนี้ ก็เหมือนกับประชาชนคนอื่นๆ ทั่วไปที่นั่งคุยกันก็พูดกันได้ ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย และไม่เข้าใจว่าทำไม กกต.กระตือรือร้นผิดปกติกับอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ทษช. 
    “ปัญหาอยู่ที่ว่า ถึงแม้ชี้นำก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย คนเราจะไปพูดแนะนำใครก็เป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่มีกฎหมายห้ามชี้นำ แต่ว่าเราก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปชี้นำใคร เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็น ใครเห็นด้วยก็ทำตาม ใครไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่ทำตาม ก็เป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน การตั้งประเด็นว่าจะเป็นการชี้นำหรือไม่ การชี้นำผิดกฎหมายหรือไม่ แสดงถึงความล้าหลัง ล้าสมัยของกฎหมาย ของประเทศที่ยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ” นายจาตุรนต์กล่าว
    ทั้งนี้ เป็นเรื่องผิดสังเกตว่าทำไม กกต.ถึงสรุปประเด็นกรณีพรรคพลังประชารัฐจัดระดมทุนโต๊ะจีนไม่มีทุนจากต่างประเทศ ไม่เข้าข่ายถูกยุบพรรค และยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่สามารถสมัครเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ ก็ยังไม่เห็นทำอะไร ทำไมปล่อยให้ชักช้าแบบนี้ พวกตนเพิ่งปราศรัยวันเดียวต้องตั้งกรรมการสอบกันแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กกต.กำลังวางตัวไม่เป็นกลาง และการเลือกตั้งก็จะไม่เป็นธรรม และไม่ยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย
    วันเดียวกัน อดีตแกนนำ ทษช. นำโดยนายจาตุรนต์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง,  นายนิคม ไวยรัชพานิช ยังเดินหน้าเปิดเวทีปราศรัย "ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย" ในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด โดยเนื้อหาหลักๆ เน้นกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งพรรคฝั่งประชาธิปไตย เพื่อล้มการสืบทอดอำนาจของพรรคเผด็จการ.

พปชร.ต่ำ120ชวดตั้งรัฐบาล

    “สมคิด” เดือด! ดีดปาก "มาร์ค” พูดเร็วไปไหมไม่หนุน “บิ๊กตู่” ซัดจะบอยคอตอีกแล้วหรือ มีกี่คนอยากให้การเมืองถึงทางตัน เหน็บเอาแต่พูดไม่มีนโยบายระวังคนเทคะแนนให้พรรคอื่นจนตัวเองได้ต่ำร้อยจะเดือดร้อน "สมศักดิ์" ลั่น พปชร.ต้องได้เสียงอันดับ 1 หรือ 2 เพื่อจัดตั้งรัฐบาล หากได้ที่ 3 ก็โอละพ่อ "3 ขุนพล ปชป." ตั้งโต๊ะอ้อน ปชช. ขอให้ดูนโยบายมากกว่าจุดยืน ย้ำหมื่นครั้งเหม็นขี้หน้าเพื่อไทย "มาร์ค" ไม่ตอบโต้ "เทือก" ด้าน "หญิงหน่อย" ย้อน "บิ๊กตู่" ถ้าจะเข้ามาในกติกาเสมอภาคให้ประกาศไม่เอา 250 ส.ว.เลือกนายกฯ  
    เมื่อวันพุธ ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการสัมมนาผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ (SOE CEO Forum) ครั้งที่ 3 โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง และปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมงาน โดยนายสมคิดกล่าวตอนหนึ่งว่า ข้างหน้ามีภารกิจมากทีเดียว ยังไม่จบ ความเหลื่อมล้ำยังมีอีกมาก ทุกวันนี้เขาหาว่าเราสร้างความเหลื่อมล้ำ คนพูดมีสมองหรือเปล่า มีตาไหม คิดแต่ว่าพูดอย่างเดียวแล้วได้คะแนนเสียง มันน่าอับอายจริงๆ ความเหลื่อมล้ำเพิ่งจะมาเกิดขึ้นตอนนี้หรือ โจทย์แค่นี้ไปพูดจนกระทั่งเกิดความไขว้เขวว่าท่านนายกฯ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ 
    “มีหัวหน้าพรรคการเมืองบางพรรคบอกว่าไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ พูดเร็วไปไหม จะบอยคอตอะไรกันอีก เมื่อก่อนก็บอยคอตมาแล้ว 2 รอบ บอยคอตเสร็จอะไรตามมาล่ะ คนไทยลืมง่ายใช่ไหม นี่บอยคอตอีกละ แต่นี่ไม่ได้บอยคอตเลือกตั้ง แต่บอยคอตนายกฯ เลย ว่าไม่ควรเป็นนายกฯ”
    นายสมคิดกล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนมาเพื่อให้มีรัฐบาลผสม จะมีรัฐบาลผสมของพรรคแกนหลักอยู่ไม่กี่พรรค และคะแนนก็เดาๆ กันได้ว่าพรรคไหนจะได้เท่าไร แต่ถ้าบอกซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เอา ต้องมีผมคนเดียว ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน นักลงทุนทั้งหลายที่พอจะบวกเลขเป็น พอเห็นพูดแบบนี้ก็เกิดคำถามว่าแล้วจะตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ 
    "ดังนั้นพูดทำไม ไม่ต้องพูด คิดในใจก็พอ ยังไม่ใช่เวลา ไม่ต้องไปพูดอะไรมากมาย พูดเรื่องนโยบายดีกว่า หรือว่าไม่มีนโยบายให้พูด ผมว่าประการหลังมั้ง ไปคิดนโยบายมา ไม่มีใครเขามานั่งจองเป็นรัฐบาลตลอดชาติ เรื่องบางเรื่องในช่วงการเมืองยังไม่แน่นอน เอกชนก็ชะลอการลงทุน ต่างประเทศรอดูความแน่นอน อย่างนี้พูดน้อยประเทศชาติจะได้ประโยชน์ พูดมาก คนพูดอาจจะไม่ได้เป็นอีกก็ได้นะ พูดทำไม มีคนไทยเรากี่คนที่อยากจะให้การเมืองเราถึงทางตัน ดีไม่ดีจะไม่ได้ดั่งใจนะ ถ้าเขาเทไปให้อีกพรรค จะว่าไง ถึงตอนนั้นต่ำร้อยเมื่อไหร่ล่ะเดือดร้อน”
    รองนายกฯ กล่าวอีกว่า เขาบอกว่าไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เพราะจะสืบทอดอำนาจ การที่คนคน หนึ่งเป็นนายกฯ แล้วเป็นหัวหน้า คสช.ด้วย จะไม่ให้เลือกตั้งตอนนี้ก็ได้นะ แต่เขายังเดินตามโรดแมปไปสู่การเลือกตั้ง อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคการเมืองหนึ่ง ครม.ก็ยังไม่ได้ตั้ง มันสืบทอดอำนาจตรงไหน ท่านอาจคิดว่าตนเองต้องทำงานต่อ ทำการบ้านให้สำเร็จ ซึ่งจะทำได้ต้องมีอำนาจ นี่คือการสืบทอดอำนาจเพื่อให้บ้านเมืองมันดีขึ้น แล้วการที่มีพรรคการเมืองมา ต้องการเป็นแล้วเป็นอีก มีผลงานหรือเปล่าไม่รู้ แล้วประชาชนต้องการรัฐบาลที่ซ้ายไม่เอา ขวาไม่เอา ต้องเลือกผมเป็นนายกฯ นี่เขาเรียกสืบอะไร ดังนั้น อย่าพูดเยอะเลย พูดน้อยๆ
     "ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้ด่านะ ที่พูดเรื่องการเมืองก็เพราะเขามาว่าเราทำเสียหายเยอะ หวังว่าการเมืองบ้านเราหลังเลือกตั้ง การค่อนขอดจะเริ่มเบาบางลงไป หลัง 24 มี.ค. พอชัดเจนปุ๊บ เราก็จะเห็นหนทางสว่างข้างหน้า ต่างประเทศก็จะรู้สึกว่ามันชัดเจนแล้ว แต่หากหลังเลือกตั้งแล้วมันยังขมุกขมัวอยู่ อันนี้ก็ต้องช่วยกันประคับประคอง เพราะผมช่วยไม่ได้ ในเมื่อเราเดินมาถึงขนาดนี้แล้ว เราต้องเดินต่อไป” นายสมคิด กล่าว 
พปชร.ได้ที่ 3 ก็โอละพ่อ
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีหลายพรรคการเมืองประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อว่า ก็แล้วแต่เขา ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งไม่ลำบาก
    ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า มองลึกๆ แล้วพลังประชารัฐจะเชิญและเรียกคนมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่ยาก แต่ต้องทำให้พรรคตัวเองเป็นแกนนำจัดตั้งให้ได้ คือต้องเป็นที่ 1หรือที่ 2 วันนี้การเมืองแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว แต่พลังประชารัฐเป็นทางสายกลาง หากเราได้ที่ 1 เราจะชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน หากเป็นที่ 2 ก็ต้องยังต้องเร่งหาพรรคร่วม แต่หากเป็นที่ 3 จะไม่ค่อยชอบธรรม จะเกิดการโอละพ่อ ส่วนจำนวน ส.ส.ที่พลังประชารัฐควรจะมีถึงจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ดีที่สุดคือ 150 แต่ไม่ควรต่ำกว่า 120 คน หากต่ำกว่านี้เราจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
    เมื่อถามถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีจุดยืนว่าจะไม่จับขั้วกับพรรคเพื่อไทยและ พล.อ.ประยุทธ์ นายสมศักดิ์กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนรู้ว่าพรรคการเมืองไหนพูดจาคุยโม้โอ้อวด เอาแต่ผลงาน พูดเอาตัวรอดไปเรื่อย และเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่นายอภิสิทธิ์ออกมาพูด
    ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค ปชป. พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการนโยบายพรรค และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ปชป. ร่วมกันแถลงย้ำจุดยืนของพรรค โดยนายจุติกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ใช้เวลากว่า 200 สัปดาห์ในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อนำมาจัดทำเป็นนโยบายของพรรค ตอบโจทย์ในปัญหาต่างๆ คำถามว่าเราจะไปจับมือกับพรรคการเมืองใด ไม่สำคัญเท่าการมีกินมีใช้ มีเงินเก็บพอ และชำระหนี้ได้ ลูกหลานเรียนจบมีงานทำ
    "จึงอยากบอกว่าเราจะมาโฟกัสตรงนี้มากกว่าการเมือง เราจะไม่แก้เกมการเมือง แต่เราจะแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน สิ่งที่อยากให้ประชาชนมั่นใจประชาธิปัตย์เป็นครั้งที่ 100, 200 แล้ว ว่าไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน และเพื่อไทยก็ชัดเจนว่าไม่จับมือกับเราพูดง่ายๆ ต่างคนก็ต่างประกาศว่าเหม็นขี้หน้ากัน”
    นายจุติกล่าวว่า วันนี้เรามีของดี คือนโยบายในการแก้ไขปัญหา การเลือกตั้งครั้งนี้ขอให้ประชาชนเลือกว่าพรรคใดจะเข้ามาแก้ไขปัญหาของท่านได้ดีที่สุด และอยากจะบอกว่า ปชป.มีทีมเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ซึ่งพรรคอื่นไม่มี เราจะทำสิ่งที่ถูกต้อง จะไม่ทำให้ประเทศต้องเสียหาย อยากเตือนสติพี่น้องประชาชนว่าอย่าเลือกด้วยความสะใจ เหมือนอย่างกรณีที่ประเทศอังกฤษ ให้ประชาชนลงมติออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งตอนนั้นประชาชนของเขาไปลงมติด้วยความเบื่อ จนทำให้ขณะนี้เศรษฐกิจของอังกฤษย่ำแย่ลง
    นายกรณ์กล่าวเปรียบเทียบนโยบายหาเสียงของปชป.และ พปชร.ว่า นโยบายเราเน้นคนวัยทํางาน และผู้มีรายได้น้อย เช่น การปฏิรูปโครงสร้างภาษี เก็บภาษีเศรษฐี ดูแลคนรายได้ปานกลาง และให้สวัสดิการพื้นฐานแก่ผู้มีรายได้น้อย จนถึงวันนี้ยังไม่เห็นพรรคใด โดยเฉพาะ พปชร.ชี้แจงตัวเลขเงินงบประมาณที่จะนำมาใช้ในแต่ละนโยบาย ซึ่ง กกต.ก็มีการกำหนดไว้ว่าต้องเปิดเผยแค่ไหน อย่างไรบ้าง หากหาเสียงแล้วทำไม่ได้ หรือใช้งบประมาณจนเป็นปัญหาต่อประเทศ ก็อาจนำมาซึ่งต้นเหตุแห่งความขัดแย้งใหม่ได้อีก ด้วยเหตุผลทางนโยบายอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้
"มาร์ค"ไม่โต้"เทือก"
    ส่วนนายองอาจกล่าวว่า การประกาศจุดยืนของปชป.ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการแสดงจุดยืนรอบด้านที่ตรงไปตรงมา และไม่มีอะไรแอบแฝง แต่อยู่บนพื้นฐานและเหตุผลหลายด้าน คือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน 2.ใช้อำนาจแฝงโดยมิชอบเกินขอบเขตเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง 3.เข้ามาโดยการยึดอำนาจ และเป็นกระบวนการของการสืบทอดอำนาจชัดเจน จึงไม่ใช่วาทกรรมการเมือง  5 ปีที่ผ่านมาถือว่าได้พิสูจน์ตัวเองเพียงพอแล้ว ควรเปิดโอกาสให้นักการเมืองอาชีพตามปกติในระบอบประชาธิปไตยเสนอตัวทำงานรับใช้ประชาชน เพื่อที่จะนำพาประเทศนี้ให้เดินหน้าต่อไป
    ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)ปราศรัยโจมตีกรณีที่ ปชป.ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ว่า ไม่กังวล และไม่ตอบโต้ใดๆ การประกาศจุดยืนคือการยืนยันอุดมการณ์อย่างตรงไปตรงมา สร้างความชัดเจนให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบ เมื่อประกาศไปแล้ว จะต้องเดินหน้าว่าแต่ละทางเลือกจะแก้ไขปัญหาอย่างไร และได้ตอบอย่างชัดเจนแล้วเรื่องที่กล่าวหาว่าจะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทยว่าจะไม่จับมือ เงื่อนไขที่จะทำให้ประชาธิปไตยไม่ยั่งยืนคือการทุจริตคอร์รัปชันและการสืบทอดอำนาจ จึงเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดคือทางเลือกที่พรรคเสนอคือประชาธิปไตยสุจริต 
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า จุดยืนของเราคือคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องได้รับฉันทานุมัติจาก ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งหากเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ขอให้ ส.ว.ทำตามมติของ ส.ส.ที่มาจากเสียงของประชาชน เราไม่มีปัญหาที่จะทำงานกับพรรคใด ไม่ได้บอกว่านายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องมาจากกรอบของรัฐธรรมนูญ โดยคนที่เลือกนายกฯ จะต้องเป็น ส.ส. 
    น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า จุดยืนของพรรคยืนยันจะไม่สร้างปัญหา ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง พรรคเน้นเรื่องความปรองดองเพื่อพาประเทศไปสู่จุดที่เดินหน้าได้ ขณะที่การนำเสนอนโยบายมุ่งเน้นการปฏิบัติได้จริง
    คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่านักการเมืองต้องการต่อท่ออำนาจว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจเข้าใจผิด และต้องกลับไปเรียนรู้ประชาธิปไตยใหม่ เพราะการที่นักการเมืองจะขอโอกาสกลับเข้ามาทำงานด้วยเสียงของประชาชนบนกติกาประชาธิปไตยที่ตรงไปตรงมา ถ้าพล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาอย่างเสมอภาคและกติกาของประชาธิปไตยในสากล ก็ไม่มีใครว่าสืบทอดอำนาจ แต่กติกาที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามาไม่เท่ากันพรรคเพื่อไทยเริ่มต้นที่ศูนย์ แต่ คสช.ตั้ง ส.ว.ตุนไว้ 250 คน ถ้าจะเอาเท่ากัน ให้ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศให้ ส.ว. 250 คนไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่ให้เลือกตามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
ปลุกเลือกฝ่าย ปชต.
    นายภูมิธรรม เวชยชัย เลชาธิการพรรค พท. โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาว่า ประชาชนจะต้องตัดสินใจเลือกเพื่อให้ผลการเลือกตั้งมีลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ชัดเจน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและไม่ต้องทิ้งภาระใว้ให้สังคมไทย  24 มี.ค. ถ้าตัดสินใจเลือกคนเดิมๆ ทีมเดิมๆ ก็คงจะยังคงจมอยู่กับสภาพชีวิตแบบเดิมๆ ที่เคยเผชิญมาตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือจะตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่เบื้องหน้าประกาศชัดเจนแข็งกร้าวว่าไม่เกรงใจต่อการสืบทอดอำนาจ ทว่าเบื้องหลังที่ซ่อนเร้นคือการสร้างกระแสตามสไตล์ที่ถนัดด้วยความหวังลึกๆ ว่าจะได้คะแนนเสียงขึ้นมาเพื่อการต่อรองอำนาจเป็นทางเลือกให้หัวหน้าพรรคคนเดิมที่เคยจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารขึ้นเป็นนายกฯ ก็จะได้รัฐบาลที่มีแต่คำพูดสวยหรูดูดี หรือจะเลือกพรรคการเมืองที่มีความพร้อมทั้งศักยภาพในการบริหารจัดการ แก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนให้เห็นผลงานที่เป็นจริงมากกว่าที่พูด    
    ที่ห้องแถลงข่าว นปช. ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว พรรคเพื่อชาติ (พ.ช.) แถลงข่าวเปิดเผยกำหนดการหาเสียงและปราศรัยใหญ่ พร้อมท่าทีต่อสถานการณ์ทางการเมือง โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรค พ.ช. ในฐานะประธาน นปช. กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพปลุกให้ กปปส.สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ว่าวันนี้สถานการณ์ย้อนรอยประวัติศาสตร์ทฤษฎีสมคบคิดก่อนการยึดอำนาจ ทั้งนายสุเทพปลุก กปปส. หนุน พล.อ.ประยุทธ์ กำราบนายอภิสิทธิ์ วางบัญชีรายชื่ออันดับ 1 พรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำ กปปส. ถ้าฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เท่าทันเราจะแพ้ยาวนาน ทยอยร่วงทีละพรรค
     "วันที่ 24 มี.ค.นี้ ขอให้พี่น้องเสื้อแดงทั้งหลายออกมาจัดการเผด็จการ เพื่อลูกหลาน เพื่อหยุดวงจรเลวร้าย ออกมาที่คูหาเลือกตั้งฝ่ายประชาธิปไตย มองข้ามเรื่องของตัวเอง เพื่อชาติพรรคเดียวสู้ไม่ได้ ต้องสามัคคีทุกฝ่าย หลายครั้งตนพลิกกลับมาชนะทั้งเหตุการณ์พฤษภา 2535 ส่วนพฤษภา 2553 ก็พลิกฟื้นสู่การเลือกตั้ง 2554 ได้ วันนี้ยังไม่แพ้แต่ชนะยาก หากเราไม่ตั้งหลักตั้งแต่วันนี้ เผด็จการจะพ่ายแพ้ต่อประชาชนเท่านั้น ใหญ่กว่าพรรคคือประชาชน จูงมือพี่น้องออกมาเลือกตั้งเหมือนที่พม่าออกมาเลือกอองซาน ซูจี" นายจตุพรกล่าว
    วันเดียวกัน พรรคการเมืองลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างคึกคัก ที่ อ.งาว จ.ลำปาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ พปชร.พร้อมด้วย น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือมาดามเดียร์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลงพื้นที่ช่วยนายดาชัย เอกปฐพี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 4 จ.ลำปาง หาเสียง  โดย ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า 17 จังหวัดภาคเหนือมีผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ  64 เขต จากผลโพลต่างๆ ตนยังมั่นใจว่าทั้งภาคเหนือตอนบนและตอนล่าง พลังประชารัฐจะได้ที่นั่ง ส.ส. 38 ที่นั่งขึ้นไป เพราะประชาชนชื่นชมนโยบายของพรรคที่จับต้องได้ 
    ที่บริเวณเวทีภายในสวนเทิดพระเกียรติ (ท้ายเมือง) ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม พรรคเพื่อไทย จัดปราศรัยหาเสียงใหญ่ นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  แคนดิเดตนายกฯ และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีประชาชนร่วมฟัง 5,000 คน
    เวลาประมาณ 11.00 น. นายพานทองแท้เดินทางมาถึงเวที มีบอดี้การ์ดคอยดูแล และนำนายพานทองแท้เดินโชว์ตัวทักทายผู้มาฟังการปราศรัยรอบเต็นท์ มีผู้ไปขอถ่ายรูปเป็นระยะๆ ก่อนที่คุณหญิงสุดารัตน์จะเดินทางมาสมทบ พร้อมกับนายไพจิต ศรีวรขาน ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จากนั้นนายพานทองแท้ก็ขึ้นรถยนต์ออกจากบริเวณดังกล่าวไปพบกับประชาชน อ.นาแก พื้นที่เลือกตั้ง ส.ส.เขต 4 มีนายชวลิต วิชยสุทธิ์ เป็นผู้ลงสมัคร
ร้อง สตง.สอบ กกต.
    ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ผลจากการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าในต่างประเทศ พบว่าเกิดปัญหาขึ้นหลายประการ อาทิ การจัดการเลือกตั้งที่มาเลเซีย ซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิกว่า 5,000 คน แต่มีเจ้าหน้าที่เพียงน้อยนิด ขณะเดียวกันคูหาเลือกตั้งมีไม่เพียงพอ จนต้องเอากล่องกระดาษมาทำเป็นคูหาเลือกตั้งเพิ่ม ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิผลของการใช้จ่ายงบประมาณที่ผิดพลาดล้มเหลว ในขณะเดียวกัน กกต.ทั้ง 7 คนกลับมีเงินไปใช้จ่ายในการตรวจสอบการเลือกตั้งในต่างแดนอย่างฟุ่มเฟือยกว่า 12 ล้านบาท โดยเลือกไปแต่เฉพาะในประเทศที่ผู้คนนิยมไปท่องเที่ยว อาทิ อเมริกา อังกฤษ สวิส เยอรมนี ทั้งๆ ที่ประเทศเหล่านั้นมีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยกว่าอีกหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง เป็นต้น
    "พฤติการณ์การบริหารงบประมาณดังกล่าวมีความน่าเคลือบแคลงสงสัยมาก สมาคมจำต้องเดินทางไปร้องเรียนต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ 7 กกต. ว่าใช้จ่ายเงินแผ่นดินไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หากพบความผิดให้ดำเนินการเอาผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน 2561 ต่อไป โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อ สตง.ในวันที่ 14 มี.ค.2562 เวลา 10.00 น." นายศรีสุวรรณกล่าว
    ดร.รยุศด์ บุญทัน โฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง พรรคเพื่อชาติ กล่าวเช่นกันว่า ความผิดพลาดของการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้มากเหลือเกิน ส่งผลต่อผลประโยชน์ของพรรคการเมือง จากหลายๆ ปัญหาของการเลือกตั้งแค่เพียงเลือกตั้งล่วงหน้าในต่างประเทศ ก็ส่อเค้าความวุ่นวาย อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้โมฆะได้ รู้สึกเป็นห่วง กกต. อาจจะพบจุดจบเช่นอดีต กกต.หลายท่าน รวมถึงอาจจะถูกฟ้องทั้งแพ่งและอาญาอีกด้วย ท่าน กกต.แต่ละท่านก็ล้วนแล้วแต่อายุมาก มิอยากให้พวกท่านต้องใช้ชีวิตบั้นปลายในคุก จึงขอเตือนด้วยความเป็นห่วง เหลือเวลาอีก 11 วัน ขอให้เวลาที่เหลือนี้ กกต.ทำงานด้วยความสุจริต โปร่งใส เที่ยงธรรม 
     ด้านนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณี กกต.เดินทางไปดูงานเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรว่า จริงๆ แล้วเป็นการไปทำงานมากกว่า เพื่อไปดูว่าการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเป็นไปด้วยความเรียบร้อยหรือไม่ และเป็นการไปประชาสัมพันธ์ รับทราบข้อปัญหาต่างๆ เนื่องจากคนไทยในต่างประเทศมีจำนวนมาก ถ้า กกต.ไม่ไป ก็เหมือนไม่ปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการจะยื่นให้ สตง.
 ตรวจสอบ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อให้เกิดความกระจ่าง  ซึ่งการที่ตนไปสิงคโปร์แล้วพบว่าที่มาเลเซียมีปัญหา แต่ไม่ได้เดินทางไป เพราะการแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  
     ส่วนกรณีการยุติการสอบสวนการระดมทุนโต๊ะจีนของพรรค พปชร. นายอิทธิพรกล่าวว่า ได้รับทราบจากนายทะเบียนว่าตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีหน่วยงานของรัฐบุคคลต่างชาติให้เงินสนับสนุน จึงจะเสนอ กกต.ยุติเรื่อง ซึ่งตามกฎหมายแล้ว กกต.คงทำได้เพียงการรับทราบ ไม่สามารถที่จะให้นายทะเบียนตั้งกรรมการสอบใหม่ แต่ในคำร้องเรื่องดังกล่าวมีหลายประเด็น อาจจะมีบางประเด็นอยู่ในขั้นตอนพิจารณาของสำนักงาน ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าผู้บริจาคบางรายได้รับงานเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ อาจเป็นข้อเท็จจริงที่ยังไม่ปรากฏ ต้องไปถามเลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง.

อีสานโพลเจ๊หน่อยมา

13 มี.ค.62- ผศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล (E-Saan Poll) ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน (ECBER) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยผลสำรวจเรื่อง “คนอีสานกับโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง ส.ส. 2562” ว่า  การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นคนอีสานกับการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 เพื่อประเมินผลการเลือกตั้งในภาคอีสาน ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 8-10 มีนาคม 2562 จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,093 ราย กระจายตามสัดส่วนโครงสร้างประชากรในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด

เมื่อสอบถามว่าในการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ท่านมีแนวโน้มจะสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคการเมืองใดมากที่สุด พบว่า อันดับหนึ่งร้อยละ 43.6 มีแนวโน้มจะสนับสนุนผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย รองลงมาร้อยละ 23.2 สนับสนุนผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ ตามมาด้วย ร้อยละ 11.7 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 6.6 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 6.2 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 3.3 พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 2.2 พรรคอื่นๆ หรือกำลังตัดสินใจ ร้อยละ 1.3 พรรคชาติพัฒนา ร้อยละ 0.9 พรรคเพื่อชาติ และร้อยละ 0.9 พรรคชาติไทยพัฒนา

เมื่อสำรวจความคิดเห็นว่าต้องการให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด พบว่า อันดับหนึ่ง ร้อยละ 45.4 ต้องการเห็นแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด (คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 31.1 และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ร้อยละ 14.3) รองลงมานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร้อยละ 24.9 ตามมาด้วยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 11.9 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 7.0 นายอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 4.3 พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ร้อยละ 2.5 และ อื่นๆ ร้อยละ 4.2

สำรวจความคิดเห็นว่าพรรคใดมีนโยบายเศรษฐกิจที่โดนใจและมีโอกาสทำเป็นจริงได้มากที่สุด พบว่า อันดับหนึ่ง ร้อยละ 44.6 พรรคเพื่อไทย รองลงมาพรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 23.7 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 10.1 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 6.2 ไม่มีหรือไม่ทราบ ร้อยละ 4.4 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 4.1 พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 3.0 พรรคชาติพัฒนา พรรคเพื่อชาติ ร้อยละ 1.0 และพรรคอื่นๆ ร้อยละ 1.8 

สอบถามว่า หลังการเลือกตั้ง ต้องการให้พรรคใดคุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจและการเกษตรมากที่สุดพบว่า เกือบครึ่งหรือร้อยละ 49.6 ต้องการให้พรรคเพื่อไทยคุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจและการเกษตร รองลงมา ร้อยละ 24.4 พรรคอนาคตใหม่ ตามมาด้วย ร้อยละ 7.9 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 6.4 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 4.6 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 2.0 พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 1.5 พรรคชาติพัฒนา ร้อยละ 1.4 พรรคเพื่อชาติ และร้อยละ 1.9 พรรคอื่นๆ

สุดท้ายเมื่อสอบถามว่า หลังการเลือกตั้ง ว่าต้องการให้พรรคใดคุมกระทรวงด้านการศึกษาและเทคโนโลยี มากที่สุดพบว่า อันดับหนึ่ง ร้อยละ 39.2 ต้องการให้พรรคอนาคตใหม่คุมกระทรวงด้านการศึกษาและเทคโนโลยี รองลงมา รองลงมาร้อยละ 32.3 พรรคเพื่อไทย ตามมาด้วย ร้อยละ 8.8 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 7.0 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 4.5 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 2.2 พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 2.1 พรรคเพื่อชาติ ร้อยละ 1.4 พรรคชาติพัฒนา และร้อยละ 2.3 พรรคอื่นๆ

ชัดยิ่งกว่าชัด ปชป.เลือกแล้ว เงื่อนไขจับมือ "พปชร." เหมือน "ส้มหวาน"

       เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา เดิม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงที่โคราช ขณะที่อีกหลายพรรคต้องขึ้นเวทีของเดอะ สแตนดาร์ด ทว่า กำหนดการของ บิ๊กตู่ นั้นถูกพับ เพราะติดขัดในข้อกฎหมาย ดังนั้น หลายคนจึงจับตาไปยังเวทีดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองมีหมัดเด็ดด้วยกันทั้งนั้น อาจเพราะเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ จึงต้องรีบทำคะแนน

        ด้าน เดอะมาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ปล่อยคลิปวิดีโอ “ไม่เอาประยุทธ์” เปิดฉากกระพือกระแส ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาด จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่เลิกพูดถึง และเกิดคำถามจำนวนมาก โดยเฉพาะคำถามจากพรรคอนาคตใหม่ ว่า ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่จะร่วมมือกับ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ใช่หรือไม่

        วันนี้ชัดเสียยิ่งกว่าชัด อภิสิทธิ์ ตอบแบบไม่กั๊กว่า ไม่เอาประยุทธ์ แต่จะจับมือกับ พปชร. หากยอมไม่สืบทอดอำนาจ แต่ไม่วายที่อีก 2 ก๊ก ยังจะถามซ้ำย้ำไปย้ำมาราวกับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของระบอบทักษิณพร้อมด้วยเครือข่าย ออกมาพูดในทิศทางเดียวกัน ประมาณว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง บางคนก็โพสต์เฟซบุ๊กด่าลอยๆ ตามนิสัยคนจริง (?)

        หากฟังตั้งแต่ต้นจนจบที่ อภิสิทธิ์ แถลง จะพบว่า อนาคตใหม่ ก็เคยตอบคำถามทำนองเดียวกัน โดยหัวหน้า ปชป. ระบุไว้ตอนหนึ่งว่า "ผมรู้สึกแปลกใจที่ยังมีกองเชียร์บอกว่าผมตอบไม่ได้ ตอบไม่ชัด ดังนั้นผมขอเปรียบเทียบกับคำตอบของพรรคอนาคตใหม่ตอนขึ้นเวทีดีเบตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถูกถามว่าจะร่วมกับ พปชร.ได้ไหม พรรคอนาคตใหม่ตอบว่า ถ้า พปชร.จะบอกว่าโอเค เราไม่สืบทอดอำนาจ คสช. ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เรายังร่วมกับ พปชร.ได้เลย นี่คือสิ่งที่อนาคตใหม่พูด ถามว่าทำไมเวลาผมพูดบอกว่าผมกั๊ก ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็มีอนาคตใหม่เป็นเพื่อน เพราะเป็นคำตอบเดียวกันบนเวทีดีเบต"

         ส่วนก๊ก พปชร.และพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โดยเฉพาะ ลุงกำนัน-สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ภายหลัง เดอะมาร์ค ประกาศจุดยืนก็ปราศรัยเกรี้ยวกราด แถมยังทวงบุญคุณกันอีกว่า หากไม่มีตัวเองเป็นผู้จัดการรัฐบาล อภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้หลายคนใน ปชป.กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดอะไรไปเหมือนหยิกเล็บเจ็บเนื้อ สู้อยู่นิ่งๆ ปล่อยให้อดีตเลขาธิการพรรคโกรธาฝ่ายเดียวดีกว่า

        นอกจากนี้ก๊กดังกล่าวก็ยังเล่นการเมืองแบบเก่า สร้างวาทกรรมเลือกข้าง ไปปราศรัยที่ไหนก็ตั้งคำถามเรื่อยไปว่า เลือกตั้งรอบนี้ ประชาธิปัตย์จะจับมือกับเพื่อไทย!!!!

        ทางค่ายแม่พระธรณีฯ ตั้งแต่หัวหน้าพรรคยันลูกพรรค ชี้แจงปากจะฉีกถึงหู ที่สำคัญ หัวหน้าพรรคพูดตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว “ถ้าพรรคเพื่อไทยยังอยู่ภายใต้ของครอบครัวชินวัตร ไม่ดึงตัวเองให้พ้นจากร่มเงาของระบอบทักษิณ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกัน”

        อย่างไรก็ตาม หลายคนสงสัยว่า เหตุใด อภิสิทธิ์ จึงเลือกเวลานี้ในประกาศจุดยืนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากที่ได้แถลงว่าเป็นความยุติธรรมสำหรับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จะได้รับรู้นโยบายอย่างรอบด้านของแต่ละพรรคแล้ว จะต้องได้ทราบถึงจุดยืนของพรรคที่เขารักด้วยว่าเป็นอย่างไร

        ในทางยุทธศาสตร์ ถือว่าเป็นช่วง 1 สัปดาห์ก่อนที่ประชาชนขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าเข้าคูหาออกเสียง ซึ่งปี 62 มีผู้ใช้สิทธิ์ส่วนนี้ค่อนข้างมาก ฉะนั้นจึงต้องเก็บคะแนนจากทุกส่วน งานนี้ถือว่าทำได้ดี เพราะกลายเป็นกระแสข้ามวันข้ามคืนและทำให้คู่แข่งขันตั้งตัวไม่ทัน

        แต่ไม่วายที่จะมีความคิดเห็นแตกต่าง บางคนวิเคราะห์ว่าได้ไม่คุ้มเสีย ทำให้ ปชป.เสียคะแนนจากแฟนคลับ ในเวลาเดียวกัน มีความเห็นแย้งเช่นกันว่า อภิสิทธิ์ ทำถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการรักษาฐานเสียงหลักของพรรคทั้งในกรุงเทพมหานครและภาคใต้ เนื่องจากต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ของ 2 ส่วนนี้ไม่เอาทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ  

        ที่สำคัญ ยังมีพลังเงียบและกลุ่มคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจจะเลือกพรรคใดถึงร้อยละ 40 ฉะนั้น การแสดงจุดยืนครั้งนี้จึงถือว่ามีประโยชน์.

นิราศโคราชของลุงตู่

“บิ๊กตู่” นักกลอน ร่ายกลอน ทันทีที่ถึงโคราช... ไหว้”ย่าโม” ย้ำ โคราชถิ่นบ้านเกิด  สัญญา จะทำให้ก้าวไกล 

“วันนี้แสนสุขใจ 
เติมหัวใจ ถึงถิ่นเยือน 
คิดถึง ไม่ลืมเลือน 
ใจคอยเตือนให้กลับมา 
โคราชถิ่นบ้านเกิด 
จะชูเชิดให้สุขมา 
ทุกอย่าง ต้องก้าวไกล 
ทำด้วยใจ ขอสัญญา”

คำสัญญาชายชาติทหาร

คำสัญญาจากลูกผู้ชายชาติทหาร!

“บิ๊กตู่” ลั่นที่ โคราช “คำสัญญาจากลูกผู้ชายชาติทหาร  ผมจะทำให้ ผมไม่เคยโกหก และผมจะต้องทำให้ได้ แม้มันจะไม่เหมือนการปกครองทหาร ...เปรย 24 มีนาฯ รู้กัน ใครจะทำให้ท่าน... เหน็บ นักการเมือง หาเสียง ชี้ ไม้เป็นนก นกเป็นไม้ ฟังแล้วเวียนหัว พูดเรื่อยเปื่อย เพราะเป็นไปไม่ได้  ย้ำเป็นนายกฯลูกหลานอิสาน !

พลเอกประยุทธ์. กล่าวว่า ดีใจที่ได้กลับมาโคราช เพราะถือเป็นถิ่นเกิด 

“นายกฯถือเป็นลูกหลานของคนอีสาน เป็นหลานย่าโม” มีความผูกพัน 

วันนี้มาก็ได้รับการผูกเสี่ยว ที่แสดงถึงความผูกมิตร ความเป็นเพื่อน เมื่อผูกแล้วก็ไม่ทิ้งกัน 

การมาพูดในวันนี้ ไม่ใช่จะมาอวดอ้าง คุยโม้ถึงผลงาน แต่เหล่านี้ คืออนาคตของชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า  ผมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ก็อยู่ที่ประชาชน เช่นกันว่าจะเลือก 

วันนี้มาถึงโคราช ได้นั่งรถสามล้อ กราบย่าโม สักการะศาลหลักเมือง

“ มีแต่คนตะโกนให้สู้ๆ  ผมก็นึกว่าเชียร์มวยกัน ก็ไม่รู้ว่าจะให้ไปสู้กับใคร 

วันนี้นายกฯสู้อยู่กับความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ ความแข็งแรงและการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เดินหน้าประเทศ

ถ้าพูดปากเปล่าว่าจะให้ๆ มันทำง่าย วันนี้ผมไม่ได้ให้สัญญาว่าจะให้ แต่สัญญาว่าจะทำให้ 

เป็นคำสัญญาจากลูกผู้ชายชาติทหาร ผมไม่เคยโกหก และผมจะต้องทำให้ได้ แม้มันจะไม่เหมือนการปกครองทหาร ผมก็รู้ เพราะทหารถ้าสั่งให้ซ้ายก็ต้องซ้าย ให้ยก ก็ต้องยก 

แต่วันนี้พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม้เป็นนก นกเป็นไม้ ฟังแล้วเวียนหัว พูดเรื่อยเปื่อย เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้ทั้งหมด 

วันนี้รัฐบาลให้แค่นี้ก็ควบคุมเต็มที่แล้ว ที่ผ่านมา 5 ปีเจอปัญหาร้อยแปดพันเรื่อง อันไหนทำได้ก็ทำก่อน นี่คืออนาคต แล้วจะใครเป็นคนทำให้ท่าน 24 มีนาคมรู้กัน ส่วนผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

หยุดตรงนี้ที่เธอ

🎶 ขอสัญญา🎶
🎶 หยุดตรงนี้ ที่เธอ🎶

2เพลง ดังกระหึ่ม! ทริป ขอนแก่น-โคราช .....”นายกฯบิ๊กตู่” สะกิด คนไทยนิสัย ใจอ่อนจริงๆ สงสารคนแพ้. เผยหากผมได้ไปต่อ จะ ทำให้ดีกว่า “อิสานเขียว”

พลเอก ประยุทธ์  กล่าวกับชาวโคราช ว่า ใครเคยทำแผนงาน แบบรัฐบาลนี้มั้ย ดังนั้น เลือกเขามาทำให้ดี ถ้าเลือกเลอะเทอะ ก็ทำเลอะเทอะเหมือนเดิม 

และเลิกขัดแย้งได้แล้ว หากผมได้ไปต่อก็จะทำให้เรื่อยๆ จะดีกว่าอีสานเขียว ชอบหรือไม่ชอบ 

ผมมาวันนี้ขออย่างแรกคือ ขอความรักความสามัคคีคืนมา ขอเพียงความเข้าใจในการบริหารประเทศต่อไป 

ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ประชาชน ถ้าทำแบบนี้ก็จะมีคำตอบว่า 5 ปี และ10 ปี จะเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็จะเห็นแค่อากาศ 

และย้ำว่า ทุกอย่างต้องผ่านกลไกสภา กฎหมาย ส.ส.และส.ว. และต้องไม่ใช่เป็นส.ส.เฉพาะบางพื้นที่ แล้วทำอะไรไม่ได้เลย นี่คือการสืบทอดอำนาจของประชาชนไม่ใช่ของผม

 ทั้งนี้ คนไทยนิสัย ใจอ่อนจริงๆ สงสารคนแพ้ จนลืมตัวเอง ส่วนเรื่องคดีความทั้งหมดขึ้นอยู่กับกฎหมายและขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร้องเพลงสัญญา ของวงอินโดจีน และเพลง"หยุดตรงนี้ที่เธอ"ของ ฟอร์ด สบชัย 

และกล่าวว่า หยุดตรงนี้ที่เธอ เพราะเธอนั้นแสนดี 

ทั้งนี้ ภายหลัง นายกฯ ลงจากเวที และเดินทักทายประชาชน  ได้ใก้เปิดเพลง คำสัญญา โดย นายกฯ ร้องตามอย่างอารมณ์ดี

พร้อมเลือกตั้งวันหน้า

“บิ๊กตู่” แย้ม !วันหน้า ผมก็พร้อมที่จะเลือกตั้งเหมือนกัน แต่วันนี้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ...

โวย พูดอะไรมากก็ไม่ได้ ถูกจ้องจับผิด แต่ที นักการเมือง พูดกันทั้งวัน ด่าผมทั้งวัน....
ขอเลือก หัวหน้ารัฐบาลที่มีความซื่อสัตย์ เด็ดขาด บริหารราชการอย่างเข้มแข็ง...
วอนช่วยกันทำให้คนดีมากกว่า คนไม่ดี  เผย บางคน ให้อภัยตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่เข็ด ซะที ...
ชี้ คนโกงต้องติดคุก ผมไม่โกง อย่าเอาไปติดคุก ...
ลั่น ไม่สืบทอดอำนาจ แต่ต้องการสืบทอดเจตนาของผม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวที่โคราช ตอนหนึ่งว่า  คนดีก็มี คนไม่ดีก็มี คนเห็นแก่ตัวก็มี แต่เราต้องทำให้คนดี มากกว่าคนไม่ดี เพราะเราคือคนไทยด้วยกัน ทั้งสิ้น บางคนให้อภัยตั้งกี่ครั้งแล้ว ก็ยังไม่เข็ดเสียที 

เรามีโอกาสคือการเลือกตั้ง ประชาธิปไตย ไม่ใช่เลือกตั้งอย่างเดียว มันต้องเลือกตั้งให้ได้รัฐบาลที่มีความชอบธรรม มีหัวหน้ารัฐบาลที่มีความซื่อสัตย์ มีความเด็ดขาด บริหารราชการอย่างเข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นก็เอาผลประโยชน์ไปไว้โน้นไว้นี่หมด  ผมไม่ได้ว่าใคร ใครมาเป็นผู้แทนก็เหมือนเดิมทุกที 

วันนี้ผมคาดหวังที่จะได้ คนใหม่ที่ดีที่สุด และวันหน้า ผมก็พร้อมที่จะเลือกตั้งเหมือนกัน ผมพร้อมจะไปเลือกตั้ง แต่บังเอิญ เขาเสนอชื่อผมเป็นนายกฯ 

ผมพูดมาก ก็ไม่ได้อีก ห้ามพูด แต่นักการเมืองพูดกันทั้งวัน ด่าผมทั้งวัน แต่พอผมพูดหน่อย ไม่ได้ ผิดๆ 

สมัยก่อน เขาก็มาหาเสียงกัน พวกท่านก็มาใช่ไหม จำได้หรือไม่ เวลาเขายุบสภาฯ ก็มาหาเสียงกัน เขาพูดกันยิ่งกว่าผมพูด แต่ผมมาก็จ้องกัน ท่านก็หาเสียงของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปีนี้เราจะเป็นประธานการประชุมอาเซียน อย่าไปอีกนะ มีใครเคยชวนไปร่วมอะไรหรือเปล่า ไปพัทยา เสียชื่อ “ย่าโม”นะ อย่าไป 

วันนี้ต้องคิดเผื่ออนาคต ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่า จะทำไปจนแก่จนตาย แต่เราต้องมีหลักการ ไม่ใช่พูดไปเรื่อย ไม่สนใจว่าจะเอาเงินมาจากไหน ตนขอได้หรือไม่ เข้าใจหรือไม่ว่าจะทยอยให้ไปเรื่อยๆ ขอให้นำกลับไปคิดที่บ้าน โดยดูความสมเหตุสมผล หากเอาเงินหลวงไปให้โดยมิชอบ ผม ก็ติดคุก ไม่ห่วงผมหรือ คนโกงต้องติดคุก ผมไม่โกง อย่าเอาไปติดคุก 

"วันนี้ที่ผมพูด ไม่ได้มาโม้ แต่เป็นเรื่องการพูดถึงอนาคต ที่ไม่อยากให้ทุกคนลำบากอีกต่อไป นั่นคือคำสัญญาของผม นั่นคือเจตนาของผม ที่ไม่ใช่เป็นการสืบทอดอำนาจ ผมต้องการจะสืบทอดเจตนาของผม ที่ทำไว้ก็สุดแล้วแต่ท่าน ผมบังคับท่านไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว