เดินหน้าชน : มาร์ค’นายกฯสมัย2
ผู้เขียน | พันธศักดิ์ รักพงษ์ |
---|
ผมจับท่าที “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศจุดยืนโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง เป็นท่าทีของพรรคที่เก่าแก่และเก๋าเกมที่สุดของประเทศนั้นย่อมไม่ธรรมดา
“มาร์ค” โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเพจเฟซบุ๊กแสดงจุดยืนจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะการสืบทอดอำนาจ เท่ากับสร้างความขัดแย้ง อีกทั้งขัดอุดมการณ์ของพรรค ที่สำคัญตลอด 5 ปีเศรษฐกิจไทยย่ำแย่และประเทศเสียหายมากพอแล้ว ในช่วงท้ายคลิประบุว่า หมดเวลาเกรงใจแล้ว
รุ่งขึ้นอีกวัน “อภิสิทธิ์” เปิดพรรคแถลงจุดยืน 5 ข้อ คือ 1.จุดยืนนี้ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว แต่เป็นการพูดในฐานะหัวหน้าพรรค มตินี้จะเกิดไม่ได้ถ้ายังไม่มีการเลือกตั้ง 2.ให้ผู้เลือกตั้งมีสิทธิได้รับทราบจุดยืนของแต่ละพรรคอย่างชัดเจนก่อนการเลือกตั้ง ไม่ใช่เข้าใจไปแบบหนึ่ง แต่พอได้รับเลือกตั้งแล้วกลับไม่ทำตามที่ประชาชนเข้าใจ 3.ต้องการแถลงให้ชัดเจน ไม่มีการบังคับให้ใครเลือกข้างหรือตัวบุคคล
โดยเฉพาะจุดยืนใน 2 ข้อหลังนี้นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง คือ 4.ประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล และต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานอุดมการณ์ของพรรค คือ ไม่เอาการทุจริตและการสืบทอดอำนาจ แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูผลการเลือกตั้งก่อน โดยมีเงื่อนไขคือตราบใดที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์ขัดกับผลประโยชน์ของคนในประเทศ พรรคจะไม่ยอมให้เข้าร่วมรัฐบาลด้วย และ 5.ความขัดแย้งในอนาคตจะเกิดขึ้นได้ คือถ้ามีการสืบทอดอำนาจ และ “บิ๊กตู่” ถือเป็นศูนย์กลางของเงื่อนไขความขัดแย้งที่ง่ายที่สุดหลังการเลือกตั้ง
เพราะนี้ คือเกมการเมือง คือสูตรในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
คำพูดที่เน้นย้ำว่า ประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาล ย่อมมีนัยสำคัญในสูตรคณิตศาสตร์การเมือง ที่ประชาธิปัตย์คงมีการประเมินตัวเลข ส.ส.คร่าวๆ แล้วว่า เพื่อไทยน่าจะมาอันดับ 1 ส่วนประชาธิปัตย์ อันดับ 2 สำหรับพลังประชารัฐยังลูกผีลูกคนต้องลุ้นว่าจะเข้ามาในอันดับ 3 หรือ 4 หรือ 5
ดังนั้นสูตรในการผสมพันธุ์จัดตั้งรัฐบาล การจับมือระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์แทบจะปิดตาย แม้จะยื่นเงื่อนไขคือตราบใดที่เพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์ขัดกับผลประโยชน์ของคนในประเทศ พรรคจะไม่ยอมให้เข้าร่วมรัฐบาลด้วย แต่แท้จริงแล้วหาก 2 พรรคจับมือกัน ด้านตัวเลขเพื่อไทย คือ พรรคแกนนำตั้งรัฐบาล ขณะที่ “มาร์ค” คงประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้ ย่อมหมายถึงโอกาสที่ “มาร์ค” จะหยิบชิ้นปลามันถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯย่อมเป็นไปได้อย่างยากยิ่ง
การตัดชื่อ “บิ๊กตู่” ย่อมตัดหนทางพลังประชารัฐในการเสนอชื่อตัวบุคคล เพราะพรรคนี้เสนอชื่อ “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
บวกกับเงื่อนไขทางคณิตศาสตร์หลังการเลือกตั้ง โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะมีจำนวน ส.ส.มาเป็นพรรคอันดับสอง การเลือกข้างโยกตัวเองไปจับมือกับฟากพลังประชารัฐ ย่อมส่งผลดีและมีแต้มต่อมากกว่า
เพราะหมายถึงประชาธิปัตย์คือแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
การปิดเกม “บิ๊กตู่” ด้วยเงื่อนไขสืบทอดอำนาจและสร้างความขัดแย้ง คือ การเตะตัดขาพลังประชารัฐว่าหากจะต้องการเข้าร่วมรัฐบาล สานต่ออำนาจ ต้องหนุนให้ “อภิสิทธิ์” กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวของ “อภิสิทธิ์” และ “ประชาธิปัตย์” ครั้งนี้ คิดการใหญ่จริงๆ
พันธศักดิ์ รักพงษ์