PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

การบ้าน 5 ข้อ จาก ผบ.ทบ.

การบ้าน 5 ข้อ จาก ผบ.ทบ.
"ผบ.ทบ." มอบ แนวทาง 5 ข้อ นักศึกษา วทบ. เทิดทูนปกป้องสถาบันฯ ไว้สูงสุด -รักษาความสงบเรียบร้อยภายใน หนุนรัฐบาลและ คสช. เดินหน้าตามโรดแมพ ดูแลชายแดน

"บิ๊กเจี๊ยบ" พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. บรรยายพิเศษ ให้ นักศึกษาวิทยาลัยการทัพบก .มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงาน
โดยเฉพาะที่เน้นย้ำเป็นพิเศษ มีความสำคัญสูงสุด คือ 1 .การพิทักษ์รักษา ปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกล่าวถึงสิ่งที่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงเสียสละและทำให้แก่คนไทยตลอดมา และหากไร้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ชาติไทยคงไม่อาจดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
พลเอกเฉลิมชัย กล่าวว่า การพิทักษ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นภารกิจที่มีความสำคัญสูงสุด ของกองทัพบก รวมทั้ง การร่วมโครงการจิตอาสา ด้วยความเสียสละ สร้างความมีจิตสาธารณะ
2.การป้องกันประเทศ ซึ่งทบ.รับผิดชอบจัดกำลังป้องกันชายแดน เพื่อปกป้อง อธิปไตยและดินแดนโดยรอบประเทศตลอดความยาวทางบกกว่า 5,656 กม.
3.การรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งกองทัพบกเป็นหน่วยงานหลักในการจัดกำลังสนับสนุน กอ.รมน. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นวาระสำคัญของชาติ
4.การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศซึ่งกองทัพบกได้จัดกำลังสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลและ คสช. เพื่อให้เป็นไปตามโรดแมพ ที่ตั้งไว้
5.การปฏิบัติภารกิจอื่นๆทางทหารนอกเหนือจากสงคราม เช่น การต่อต้านการก่อการร้ายสากล การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง การสนับสนุนการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน รวมถึง การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ
พร้อมฝาก ให้น้องๆ ช่วยกันดูแลกองทัพและดำรงตน เป็นนายทหารที่ดี และเสียสละเพื่อประเทศชาติ

‘ป๋าเหนาะ’ชี้ถ้า ปท.ไม่มีทางออก ให้มี รบ.แห่งชาติ ใครอยากเป็นนายกฯค่อยว่ากัน แต่ขอคนคิดถึงบ้านเมือง

‘ป๋าเหนาะ’ชี้ถ้า ปท.ไม่มีทางออก ให้มี รบ.แห่งชาติ ใครอยากเป็นนายกฯค่อยว่ากัน แต่ขอคนคิดถึงบ้านเมือง


เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 4 เมษายน ที่พรรคเพื่อไทย นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรค พท. ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอกรณีรัฐบาลแห่งชาติว่า หากประเทศไม่มีทางออกใดที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความราบรื่น ถ้าเป็นไปได้ก็ให้มีรัฐบาลแห่งชาติเสีย แล้วถ้าเขาอยากจะเป็นนายกฯก็โอเค ขอให้เอาบ้านเอาเมืองไว้ก่อน ไม่ใช้ทำเพื่อพวกฉันเพื่อพวกพ้องแล้วบ้านเมืองเสียหาย
เมื่อถามว่า ควรจะมีพรรคไหนบ้างมาร่วมเป็นรัฐบาลแห่งชาติ นายเสนาะ กล่าวว่า ก็หลายพรรคนั่นแหละ ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลแห่งชาตินั้นยังพูดไม่ได้ ค่อยว่ากันทีหลัง เพราะยังไม่ใช่เวลาที่จะกำหนด

เมื่อถามว่า ข้อเสนอดังกล่าวได้มีการพูดคุยกับทางพรรค พท.แล้วหรือยัง นายเสนาะกล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกับใครทั้งนั้น เพราะเป็นแนวความคิดส่วนตัว ถ้าใครเห็นดีด้วยก็โอเค
เมื่อถามต่อว่า แล้วคุณสมบัติของผู้นำพรรค พท.ควรเป็นเช่นไร นายเสนาะกล่าวว่า ก็ยังพูดไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะพูดแล้วเดี๋ยวเป็นเรื่อง

‘สมชาย’ยัน’เจ๊แดง’วางมือการเมือง ชี้ทุกคนใน’เพื่อไทย’มีคุณสมบัติเป็น หน.พรรค

‘สมชาย’ยัน’เจ๊แดง’วางมือการเมือง ชี้ทุกคนใน’เพื่อไทย’มีคุณสมบัติเป็น หน.พรรค


‘สมชาย’ ชี้ ทุกคนใน ‘เพื่อไทย’ มีคุณสมบัติเป็น หน.พรรค ไม่ปิดช่องหากมีคนหนุนตัวเอง บอก ‘เจ๊แดง’ ไม่ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคเพราะเลิกเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเหตุผลเพราะอะไรให้ไปถามเจ้าตัวเอง
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 เมษายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคว่า วันนี้เดินทางมายืนยันความเป็นสมาชิกพรรคตามกฎหมายที่เปิดให้ดำเนินการ ทั้งนี้ วันนี้ตนมาคนเดียว เพราะนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยา ไม่ได้เดินทางมายืนยันความเป็นสมาชิกด้วยเพราะเลิกเล่นการเมืองแล้ว ส่วนเหตุผลว่าเลิกเล่นการเมืองเพราะอะไรนั้นให้ไปถามเจ้าตัวเอาเอง
เมื่อถามว่า สเปกผู้นำพรรค พท.คนต่อไปควรจะเป็นอย่างไร นายสมชาย กล่าวว่า ทุกคนก็มีคุณสมบัติ ทุกคนที่มายืนยันตนวันนี้ และคนที่จะสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคใหม่ก็มีคุณสมบัติหมด ก็อยู่ที่พรรคจะดำเนินการ แต่วันนี้ยังเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ทั้งนี้ วันนี้ที่เห็นกันมาเยอะอย่าคิดว่ามาเคลื่อนไหว แต่เรามาตามกฎหมายที่จะต้องยืนยันความเป็นสมาชิกในวันที่ 1-30 เมษายน เพราะเราเองก็ยังอยากเป็นสมาชิกพรรค พท.
เมื่อถามย้ำว่า อย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรค พท. คุณสมบัติได้หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า วันนี้ผู้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคเขามีอยู่คือ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคก็ยังอยู่ กระบวนการต่างๆ ผู้ที่รักษาการอยู่ในพรรคหลังมีการรัฐประหารก็ทำงานอยู่ เพราะฉะนั้น พรรคก็ดำเนินการไปตามกระบวนการที่สามารถทำได้ ต่อไปเมื่อสามารถทำงานได้ค่อยว่ากันไป จะโหวตเอาใคร ไม่เอาใคร ก็ว่ากัน
เมื่อถามว่า นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรค พท. ระบุว่า คนตระกูลชินวัตรควรเลิกเล่นการเมืองเพราะอาจจะเป็นเป้า นายสมชายหัวเราะ ก่อนจะตอบว่า ไม่มีใครเป็นเป้าใครหรอก ตระกูลไหนไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคุณมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทุกคนไม่ว่านามสกุลไหน ส่วนใครอยากเล่นไม่อยากเล่นก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้มองในภาพรวมว่าการทำงานทุกอย่างนั้นต้องเป็นไปเพื่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก ไม่ว่าตระกูลไหนจะเข้ามาก็ตามถ้ามีความปรารถนาดี และมีอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ตนก็สนับสนุน ดังนั้น เรื่องนี้ตนคิดว่าอย่าไปเจาะจงแบบนั้นเลย มันไม่ใช่หลักการที่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า หากมีเสียงสนับสนุนให้มาเป็นผู้นำพรรค พร้อมที่เข้ามาทำหน้าที่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ผู้นำพรรคต้องเป็นคนหนุ่ม ตนไม่ได้คิดอะไรเรื่องนี้ ทุกอย่างต้องว่าไปตามกระบวนการ หากสมาชิกต้องการสนับสนุนตนก็คงต้องรอให้พรรคสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ก่อน เพราะขณะนี้เองยังทำอะไรไม่ได้ ทั้งนี้ ถ้ามีเสียงสนับสนุนก็ดี รอถ้าตนสมัครเป็น ส.ส.ก็ช่วยเลือกตนก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ อย่าเพิ่งไปเลือก เอาให้ปลดล็อกก่อน
เมื่อถามว่า ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพรรค พท.แล้ว จะมีผลต่อทางจิตวิทยาต่อสมาชิกพรรคหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ไม่เกี่ยว คงไม่มีผล เพราะท่านไม่ใช่สมาชิกพรรค และกฎหมายใหม่ก็ไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่ง และท่านก็ปฏิบัติตามกฎหมาย
เมื่อถามว่า วันนี้พรรค พท.หนักใจในเรื่องใดบ้าง นายสมชายกล่าวว่า ตนพูดในฐานะพรรคไม่ได้ ตนพูดได้แต่เรื่องส่วนตัว เพราะตนไม่ใช่ผู้บริหารพรรค ตนไม่มีอะไรหนักใจเลย ใครมาเป็นหัวหน้าพรรคตนก็ถือแนวนโยบายตามนั้น ทำตามหน้าที่ที่ทำได้

เป้าหมาย การเมือง ของ อภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ คือ ต้องเป็น รัฐบาล

เป้าหมาย การเมือง ของ อภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ คือ ต้องเป็น รัฐบาล


ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์แม้จะประกาศท่าทีต้านนายกรัฐมนตรี “คนนอก” เหมือนกัน แต่ด้วยพื้นฐานในทาง “ความคิด”ที่ต่างกัน
พรรคเพื่อไทยนั้น “สุกงอม” เป็นอย่างสูง
สุกงอมในการดำรงสถานะแห่งความเป็น “ฝ่ายค้าน” ไม่มีโอกาสเหลืออยู่แม้แต่น้อยที่จะเบียดแทรกเข้าไปอยู่ในฐานะ “รัฐบาล”
แม้จะมั่นใจว่าได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับ 1
นั่นก็เพราะเข้าใจในเจตนารมณ์ของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อันสำแดงผ่าน “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560”
และการดำรงอยู่ของอำนาจรัฐ “เหนือรัฐ” ของระบบราชการ
กระนั้น กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์การต่อต้านนายกรัฐมนตรี “คนนอก” เสมอเป็นเพียงยุทธวิธี 1 เหมือนกับคำประกาศการต่อต้านต่อสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ”
นั่นก็คือ ต่อต้านเพื่อ “เบียดแทรก” เข้าไป
หากติดตาม “กระบวนท่า” ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างจำแนกแยกแยะก็จะประจักษ์ในขั้นตอนและจังหวะก้าวได้เป็นอย่างดี
ในเบื้องต้น ยังแบ่งรับ แบ่งสู้
นั่นก็คือ ยังไม่ยอมยืนหยัดในวาทกรรมที่ว่าจะต้านนายกรัฐมนตรี “คนนอก” นั่นก็คือ แบะท่าออกมาว่ายังตอบไม่ได้ในตอนนี้
ต้องรอผลการเลือกตั้งออกมาก่อน
นี่ย่อมเป็นท่าทีอย่างเดียวกันกับเมื่อพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังชล หรือแม้กระทั่งกลุ่มมัชฌิมาธิปไตย และแม้กระทั่งพรรคชาติไทยพัฒนาสำแดงออก
เหมือนกับจะเป็นท่าทีในแบบ “มังกร“ทางการเมือง

แต่จากประสบการณ์ทางการเมืองในยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” นี่คือท่าทีในแบบเหยียบเรือ 2 แคม พร้อมจะแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งจะมาชัดในเดือนเมษายน 2561 นี้เอง
ความแจ่มชัดของพรรคประชาธิปัตย์ในการไม่ยอมรับต่อนายกรัฐมนตรี “คนนอก” นั้นดำเนินไปในแบบขายพ่วง นั่นก็คือ
มีติ่งต่อต้านสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” อยู่ด้วย
เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ชูธง 2 ผืนในทางการเมือง ผืน 1 ต่อต้านนายกรัฐมนตรี “คนนอก” อีกผืน 1 ต่อต้านสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ”
ประการหลังย่อมหมายถึง “พรรคเพื่อไทย”
จึงไม่เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์จะพยายามรักษาฐานทางการเมืองเดิมอันต่อเนื่องจากสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 กับ สถานการณ์ก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
นั่นก็คือ “พันธมิตร” และ “กปปส.”
หากแต่ยังอาศัยพลังมวลมหาประชาชนจาก 2 สถานการณ์ใหญ่เป็นเครื่องต่อรองในฐานะเหมือนกับเป็นตัวเลือกใหม่
นอกเหนือไปจากที่ “คสช.” เคยยึดครองอยู่
ยุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์จึงมิได้เป็นเรื่องใหม่ หากแต่เท่ากับย้อนกลับไปยังสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
ย้อนกลับไปยัง “บันได 4 ขั้น” ของคมช.
เพียงแต่ยุทธวิธีใหม่ก็คือ การปัดปฏิเสธบทบาทและความหมายของคสช.และโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้นเอง
พรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดเป็น “ฝ่ายค้าน” หากคิดเป็น “รัฐบาล”

วิษณุ แจงแก้คำสั่ง53/60ให้ทำบางอย่างได้ ปัดตอบทำไมไม่เลิก บอกไปถามคสช.เอง

วิษณุ แจงแก้คำสั่ง53/60ให้ทำบางอย่างได้ ปัดตอบทำไมไม่เลิก บอกไปถามคสช.เอง


“วิษณุ” แจง แก้คำสั่ง 53/60 เพื่อให้สามารถดำเนินการบางอย่างได้ในเดือน มิ.ย. ปัดตอบ ทำไมไม่ยกเลิก บอก ไปถาม คสช.เอง ยัน ขอศาลรัฐธรรมนูญเร่งตีความ พ.ร.ป. ส.ส.ได้ หากเป็นเรื่องด่วน ไม่ถือว่าแทรกแซง-กดดัน เผย เคยทำมาหลายครั้งแล้ว

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 เมษายน ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าการแก้ไขคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 53/2560 ว่า ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่ได้ขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวบรวมสิ่งที่เป็นปัญหาและแก้ไขไม่ได้โดยวิธีทางบริหารแจ้งกลับมา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้แจ้งมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ครบถ้วน สำหรับข้อซักถามของพรรคการเมืองนั้น ระหว่างนี้อะไรที่ กกต. ทำได้ ตอบได้ ก็ให้ทำไป ส่วนที่ทำไม่ได้ติดขัดตรงไหนก็ให้คสช.ช่วยตอบแทน แต่ถ้า คสช.ตอบไม่ได้ เพราะกฎหมายล็อกไว้ อย่างนั้นก็จะได้แก้ไข ขณะนี้มีอยู่บ้างแล้ว 2–3 ข้อ อาจจะมีข้ออื่นเพิ่มเติม จนเมื่อตกผลึกแล้วว่าไม่มีปัญหาอื่นอีก ก็จะได้เสนอ คสช. ต่อไป ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวแทนที่จะแค่แก้ไข เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆได้นั้น นายวิษณุกล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องไปถามคสช. ไม่มีใครมีปัญญาแก้ได้ นอกจากคสช. ซึ่งเขาอาจจะให้แก้หรือไม่ให้แก้ก็ได้ เพื่อให้สามารถดำเนินการอะไรบางอย่างได้ในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป และคิดว่าระยะเวลาในการแก้ไขคงไม่ถึงขนาดเร็วมาก แต่ก็ไม่ช้าเกินไป”

ไม่รู้จักได้ไง

ไม่รู้จักได้ไง



โพลก็คือโพล ผลโพล ย่อมมีทั้งถูกใจ และไม่ถูกใจ

โพลบางโพลทำให้รัฐบาลได้คะแนน แต่โพล บางโพลก็ทำให้รัฐบาลเสียคะแนน

ตัวอย่างล่าสุดคือ “นิด้าโพล” สำรวจความ เห็นประชาชนว่ารู้จัก “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” ของรัฐบาลหรือไม่?

ปรากฏว่า ประชาชน 41 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่า “ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยิน” ชื่อโครงการไทยนิยมยั่งยืน

ประชาชน 32 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่ารู้จักชื่อโครงการไทยนิยมยั่งยืน

และประชาชนอีก 26 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่าเคยได้ยินชื่อโครงการไทยนิยมยั่งยืน

แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร??

“นิด้าโพล” ถามความเห็นประชาชนว่า “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” กับ “นโยบายประชานิยม” มีความแตกต่างกันอย่างไร??

ประชาชนส่วนใหญ่ 48 เปอร์เซ็นต์ตอบว่าไม่แตกต่างกัน

คือเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนระยะสั้นๆ ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนระยะยาวได้อย่างแท้จริง

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า ผลสำรวจความเห็นประเด็นหลังน่าจะสร้างความผิดหวังให้รัฐบาลพอสมควร

“ผิดหวัง” ที่ประชาชนยังมองว่า “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” กับ “นโยบายประชานิยม” เป็นสายพันธุ์เดียวกัน

แสดงว่าการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลบกพร่องอย่างแรง

โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ในฐานะแม่งานใหญ่รับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 7,000 ทีม ลงพื้นที่โฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการไทยนิยมยั่งยืนสุดลิ่มทิ่มประตู

แต่เหตุไฉนประชาชน 41 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อโครงการไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล??

เล่นเอาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ต้องออกตัวว่า โครงการไทยนิยมยั่งยืน มีพี่น้องประชาชนทั่วประเทศร่วมโครงการมากถึง 8.7 ล้านคน

ไม่ทราบว่าสำนักโพลไปสอบถามความเห็นประชาชนกลุ่มไหน จึงได้รับคำตอบว่าไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อโครงการไทยนิยมยั่งยืน??

“แม่ลูกจันทร์” มองว่า ความจริง “ไทยนิยม” เป็นชื่อที่ติดหูติดปากคนไทยมานมนานกาเล

“ไทยนิยม” เกิดก่อน “ประชานิยม” ด้วยซ้ำไป!!

“ตึกไทยนิยมผ่านฟ้า” นั่นไง เกิดมาแล้วกว่า 70 ปี

โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์หลักสี่ ก็เก่าเก๋ากึ้กดึกดำบรรพ์

ไทยนิยมโอสถก็มี, ไทยนิยมการแว่นก็มี, ไทยนิยมค้าไม้ก็ยังมี

ร้านไทยนิยม (เฉยๆ) ก็มีมากมายทั่วเมืองไทย

เพียงแต่ “ไทยนิยมยั่งยืน” ชื่อนี้เพิ่งโผล่มาให้ฮือฮา หวังกระชากเรตติ้งช่วงปีสุดท้ายรัฐบาล คสช.

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า เหตุที่เลือกชื่อ “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” เพื่อให้แตกต่างจาก “นโยบายประชานิยม” แบบเดิม

แต่สุดท้าย “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” ก็ยังสลัดไม่หลุดจาก “นโยบายประชานิยม”

เพราะ “ไทยนิยม” กับ “ประชานิยม” มีความหมายเหมือนกัน

ยิ่งกว่านั้น งบอัดฉีดโครงการไทยนิยมยั่งยืนบางส่วนยังไปต่อยอดโครงการประชานิยมของเดิม ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ยุค รัฐบาลไทยรักไทย เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการโอทอป โครงการเอสเอ็มอี ฯลฯ

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า ปัญหาท้าทายรัฐบาล คสช.คือ ทำอย่างไรที่จะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” กับ “นโยบายประชานิยม” ได้อย่างชัดเจน??

ทำอย่างไรให้ชาวบ้านเชื่อว่า “ไทยนิยมยั่งยืน” ดีกว่า “ประชานิยมไม่ยั่งยืน”??

โจทย์ข้อนี้...มันยากส์นะคุณโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

เลิกคิดยืมจมูก ปชป.!

เลิกคิดยืมจมูก ปชป.!



แค่คลายล็อก แง้มฝาโลงก็เห็นฤทธิ์เห็นเดชกันจะจะ

ธาตุแท้ “นักเลือกตั้งอาชีพ” โผล่กันสลอนเลย

ไล่ตั้งแต่เสือเฒ่าลายครามระดับ “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง แกนนำรุ่นเดอะพรรคเพื่อไทย ขู่ออกอากาศ เตือน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ให้เลิกคิดเล่นการเมือง เป็นนายกฯคนนอก

แค่เจอกระทู้จัดหนักในสภา อาจมีสภาพเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า

แต่นั่นก็ไม่ร้อนแรงเท่าลีลาออกตัวของสิงห์หนุ่มอย่าง “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชิงเตะตัดขา “นายกฯคนนอกพรรคประชาธิปัตย์”

ประกาศชัดใครหนุน “ลุงตู่” ไสหัวออกไป

โชว์จุดยืนประชาธิปัตย์ต่อต้านเผด็จการ

มุกเก่า ฟอร์มเดิม ยี่ห้อเก่าแก่ ทีมงาน “อภิสิทธิ์” ฉวยสถานการณ์ชิงเหลี่ยมเป็นพระเอกในฟากฝั่งประชาธิปไตย

ชูธงนำทัพต้านท็อปบูต

แกล้งลืมที่จะไม่พูดถึงอดีตที่เคยแตะมือตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร อุ้ม “อภิสิทธิ์” ขึ้นแท่นนายกฯ

บทพระเอกนักประชาธิปไตยในละครการเมืองน้ำเน่าของพรรคประชาธิปัตย์กลับมาฉายซ้ำ
และนั่นก็น่าจะทำให้ตัดสินใจง่าย

เลิกคิดได้ ถ้าหวังจะยืมจมูกทีมงาน “อภิสิทธิ์” หายใจ

ถึงตรงนี้แทบไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แนวโน้ม “นายกฯลุงตู่” ต้องลุยปั้นแบรนด์ “พลังประชารัฐ”
เป็นฐาน ส.ส.ต้นทุนหน้าตัก หลักประกันเกมเขี้ยวในสภาผู้แทนราษฎร

แต่งตัวเป็น “นายกฯคนใน” ยกระดับความชอบธรรมในการตีตั๋วต่อ คุมเกมอำนาจเปลี่ยนผ่าน ตามพิมพ์เขียวอำนาจในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

และต้องเริ่มออกตัวตั้งแต่ตอนนี้ ไม่เสียเวลารอถึงเดือน มิ.ย. โปรแกรมที่จะประกาศกำหนดเลือกตั้ง

อย่างที่เห็นล่าสุด “นายกฯลุงตู่” เปิดตัวโครงการ “สายตรงไทยนิยม” รับเรื่องร้องทุกข์ รับฟังความคิดเห็น พร้อมชี้แจงประเด็นสำคัญ ผ่านโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก

สื่อสารตรงถึงประชาชน

ในจังหวะที่รัฐบาลเดินหน้าจัดสรรงบประมาณกลางปี 2561 กว่า 1.5 แสนล้านบาท ผ่านโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย อัดฉีดสารพัดมาตรการแก้จนผ่านแบรนด์ประชารัฐ

บริหารปัญหาปากท้องชาวบ้าน แฝงการหาเสียงตุนคะแนนไปในที

แต่ก่อนอื่นใด ทีมยุทธศาสตร์ของ “นายกฯลุงตู่” ต้องเคลียร์ปมติดขัด เรื่องการนำนโยบายไปปฏิบัติที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของรัฐบาลในห้วงเข้าโหมดเลือกตั้ง

เจอเหลี่ยมเขี้ยวข้าราชการ ไม่ทำงาน กั๊กงบประมาณโครงการที่ไม่ได้หัวคิว

ใส่เกียร์ว่างรอรัฐบาลใหม่

นั่นไม่ร้ายแรงเท่ากระบวนการทุจริตที่ระบาดในหมู่ข้าราชการ ตามปรากฏการณ์กระแสที่แตะไปตรงไหน เจอตรงนั้น โกงเงินคนด้อยโอกาส โกงเงินทุนการศึกษาเด็กยากไร้ โกงวัคซีนหมาบ้า กินเงินทอนวัด ฯลฯ

พานให้รัฐบาล “ลุงตู่” โดนด่า

แต่ปัญหาหนักกว่าก็คือเจอด่านข้าราชการคอร์รัปชัน ทำให้เม็ดเงินงบประมาณโครงการรัฐบาลลงไม่ถึงมือชาวบ้านอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เศรษฐกิจฐานรากไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ ภาพเลยออกมาแบบที่เห็นเศรษฐกิจภาพรวมทั้ง จีดีพี การส่งออก โตสวนทางกับภาวะค่าครองชีพในประเทศที่ยังกระท่อนกระแท่น

ตามรูปการณ์ “ลุงตู่” คงต้องจ่ายยาแรง ผ่าตัดข้าราชการ โยกย้ายกันอีกครั้งใหญ่ เพื่อเดินหน้าปั่นเนื้องานตามยุทธศาสตร์ไทยนิยมยั่งยืน

โละทิ้งตัวถ่วงการปั่นแบรนด์ “พลังประชารัฐ”.

ทีมข่าวการเมือง

จี้ผู้ตรวจถามคสช.แก้คำสั่ง53

ประเด็นคือ – รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน เร่งสรุปคำสั่ง 53/2560 ขัดรัฐธรรมนูญ ให้ คสช. แก้ไขให้เป็นไปตามบทบัญญัติ รธน. เชื่อจะช่วยให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามโรดแมปเลือกตั้งด้วยความถูกต้องเหมาะ
วันที่ 31 มี.ค.2561 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำร้องให้พิจารณาคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมืองว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่า
แม้จะเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 เป็นการลิดรอนสิทธิ์ของสมาชิกพรรค และเพิ่มภาระให้กับสมาชิกกับเวลากระชั้นชิด เป็นการสร้างภาระให้แก่พรรคการเมืองเกินสมควร แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินก็สามารถส่งเรื่องให้ คสช. ผู้ออกคำสั่งนี้ให้ทราบถึงเนื้อหาของคำสั่งที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหลายประการ ซึ่งเมื่อ คสช. ทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว ก็อาจแก้ไขคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ได้ทันที เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินใช้ช่องทางส่งไปให้ คสช. แก้ไขด้วยก็จะช่วยทำให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายพรรคการเมืองอย่างถูกต้องต่อไป จึงขอฝากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินสรุปความเห็นส่งให้ คสช.ด้วย จะได้ไม่ต้องมีเรื่องไปให้รกศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ การพิจารณาคำร้องจากพรรคประชาธิปัตย์โดยผู้ตรวจการแผ่นดินครั้งนี้ มีเพียง สนช. และ กกต. ยื่นคำชี้แจงไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่หัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นผู้ออกคำสั่งที่ 53/2560 ที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 25, 26, 27 ประกอบมาตรา 45 กลับไม่ส่งคำชี้แจงไปให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น  หากผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งสรุปความเห็นคำสั่ง คสช. ที่ 53 / 2560 ขัดรัฐธรรมนูญไปให้หัวหน้า คสช. ก็ขอให้หัวหน้า คสช. ปรับปรุงแก้ไขคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย ก็จะช่วยให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามโรดแมปด้วยความถูกต้องเหมาะสมต่อไป