PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

"วิษณุเผยความลับ ประยุทธ์โคตรฟิต บริหารราชการผ่านไลน์ ตีหนึ่งดึกๆ ยังส่งไลน์สั่งงานรัฐมนตรี"

ข่าวเรื่องนายกฯสั่งงานทางไลน์ ทำให้มีคนสอบถามกันนัวว่า มีการสั่งงาน/ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับนาฬิกาทางไลน์ด้วยไหม?
"วิษณุเผยความลับ ประยุทธ์โคตรฟิต บริหารราชการผ่านไลน์ ตีหนึ่งดึกๆ ยังส่งไลน์สั่งงานรัฐมนตรี"
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฏหมาย กล่าวระหว่างการสัมมนานักบริหารระดับสูงเพื่อการบูรณาการการพัฒนาประเทศไทย 4.0 ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
โดยเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ใช้วิธีการบริหารราชยุคใหม่ โดยมีการนำแอพพลิเคชันไลน์ ที่เป็นแอพยอดฮิตขอฃคนยุคนี้มาสั่งงานรัฐมนตรี แถมนายกฯ ยังเป็นคนทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะทำงานตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน ดึกๆก็ยังมีการส่งไลน์มาสั่งงานรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงไม่หยุดหย่อน

'บิ๊กตู่'คะแนนเสียงตกฮวบ โพลล์ชี้ชัด ปชช.ไม่เอานายกฯคนนอก

'บิ๊กตู่'คะแนนเสียงตกฮวบ โพลล์ชี้ชัด ปชช.ไม่เอานายกฯคนนอก

วันเสาร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561, 08.08 น.
 
20 ม.ค.61 กรุงเทพโพลล์โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "เส้นทางการเลือกตั้งสู่ประชาธิปไตยไทยนิยม" โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,114  คน โดยมีรายละเอียดดังนี้

"คิดอย่างไรกับ พรบ. ประกอบ รธน. ว่าด้วยการเลือกตั้งที่ต้องมีสมาชิกพรรคครบ 500 คน มีทุนประเดิมจำนวน 1 ล้านบาท" (เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)

ร้อยละ 43.9 สร้างระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ เน้นพรรคมากกว่าตัวคน
ร้อยละ 29.6 ขาดความหลากหลายของนโยบายการหาเสียง
ร้อยละ 29.1 จะนำไปสู่ระบบผูกขาดทางการเมือง
ร้อยละ 26.8 ทำให้มีพรรคใหญ่ให้เลือกได้ชัดเจน
ร้อยละ 22.3 มีจำนวนพรรคการเมือง นักการเมืองมีให้เลือกน้อย

"คิดอย่างไรกับการเลือกตั้งที่จะมาถึง ในเรื่องการสรรหานายกฯ คนนอก ตามบทเฉพาะกาล รธน."

ร้อยละ 70.6 คิดว่านายกฯ ควรมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
ร้อยละ 29.4 คิดว่านายกฯ มาจากคนนอกได้หากไม่สามารถเลือกกันเองได้

การจัดมหรสพ รื่นเริง ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง สส. (เลือกตอบได้มากกว่า 1 ข้อ)

ร้อยละ 41.5 อาจเปิดช่องโกง แสวงหากำไรและผลประโยชน์ 
ร้อยละ 40.5 พรรคใหญ่ๆ จะได้เปรียบเพราะมีทุนมากกว่า
ร้อยละ 37.3 จะทำให้ประชาชนสนใจการเมือง รับรู้ข่าวสารของผู้สมัครได้ทั่วถึง
ร้อยละ 26.3 เป็นการสร้างการตื่นตัว ทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งคึกคัก

"คิดอย่างไรกับแนวคิดประชาธิปไตยไทยนิยม"

ร้อยละ 29.1 เห็นว่าจะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆเลย
ร้อยละ 27.9 เห็นว่าจะทำให้กลายเป็นประชาธิปไตยกึ่งรัฐบาลทหาร
ร้อยละ 22.5 เห็นว่าทำให้คนปรองดองไม่ขัดแย้ง ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ร้อยละ 20.5 เห็นว่าทำให้ประเทศพัฒนาไปในทิศทางที่ชัดเจน

"หากวันนี้ ท่านมีสิทธิออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ท่านจะออกเสียงสนับสนุน  พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่"




 
 

24ม.ค.อัยการฟ้องเทพเทือก-บิ๊กกปปส.’กบฏ’ บางคนโดนสนับสนุน ลั่นถ้าเลื่อนไม่มีเหตุโดนหมายจับ

24ม.ค.อัยการฟ้องเทพเทือก-บิ๊กกปปส.’กบฏ’ บางคนโดนสนับสนุน ลั่นถ้าเลื่อนไม่มีเหตุโดนหมายจับ



ภาพประกอบข่าว
จากกรณีวันที่ 24 มกราคมนี้ เป็นวันที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เรียกผู้ต้องหาในสำนวนคดีพิเศษที่ 261/2556 หรือคดีร่วมกันเป็นกบฏในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกรวม 53 คน เป็นผู้ต้องหามาเพื่อรายงานตัวเเละฟังคำสั่งคดี โดยการนัดฟังคำสั่งดังกล่าว ทางอัยการมีคำสั่งว่าตัวผู้ต้องหาทุกคนจะต้องเดินทางมาฟังคำสั่งด้วยตนเอง เนื่องจากวันดังนั้นทางอัยการจะมีคำสั่งเลยว่าจะฟ้องผู้ต้องหารายใดเเละข้อหาใดบ้าง ซึ่งตัวผู้ต้องหาจะต้องมีการเตรียมหลักทรัพย์มาให้พร้อม เพราะหากมีคำสั่งฟ้อง ทางอัยการจะนำตัวผู้ต้องหาที่มีความเห็นสั่งฟ้องไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาตามที่อัยการได้มีคำสั่ง ซึ่งอัยการได้เเจ้งว่าหากมีการฟ้องคดีผู้ต้องหาต้องใช้หลักทรัพย์หากประสงค์ในการยื่นประกันตัวนั้น

เมื่อเวลา 16.00น.วันที่ 22 มกราคม เเหล่งข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด(อสส.)กล่าวว่าในวันที่24มกราคมที่เป็นวันนัดฟังคำสั่งคดีอัยการมีความพร้อมที่จะสั่งคดีเเละไม่มีการเลื่อน ถ้าผู้ต้องหาเดินทางมาตามที่อัยการนัดก็สามารถจะสั่งคดีได้ทุกคน ในวันนั้นจะรู้ได้ว่าสั่งฟ้องใครหรือไม่ฟ้องใครในข้อหาใดบ้าง เเละจะสามารถยื่นฟ้องต่อศาลอาญาได้เลยส่วนผู้ต้องหาที่มีการขอเลื่อนคดีในวันดังกล่าวก็จะมีการพิจารณาเป็นรายๆไปว่ามีเหตุสมควรเลื่อนหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าในวันดังกล่าวจะสามารถยื่นฟ้องผู้ต้องหาได้เพียง9คนนั้น เป็นเพียงคำร้องของผู้ต้องหาระดับแกนนำ 9 คน ที่ขอให้ยื่นฟ้องคดีไปก่อน ส่วนผู้ต้องหาคนอื่น ถ้าไม่มารายงานตัวเราก็จะพิจารณาว่าไม่มาเพราะอะไรหรือถ้าขอเลื่อนมีสาเหตุอะไร มีเหตุผลสมควรพอฟังได้มั้ย ถ้าไม่มีเหตุผล ทางอัยการก็อาจจะขอหมายจับ ดูเหตุผลเป็นรายๆไป เเต่ในวันดังกล่าวถ้ามากี่คนเราก็จะฟ้องไปตามจำนวนคนที่มาก่อน


“ทางอัยการมีความพร้อมส่วนผู้ต้องหาจะไปคุยยังไงนั้นอัยการไม่รู้ มีการกำชับไปว่าต้องมาทุกคนเเละมาด้วยตนเอง ถ้าไม่มาต้องเเสดงหลักฐานอะไรมั่ง “แหล่งข่าวจากอสส.กล่าว

เมื่อถามว่าระดับเเกนนำเช่นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ,นายถาวร เสนเนียม จะโดนฟ้องข้อหากบฏในวันนั้นหรือไม่ เเหล่งข่าวกล่าวว่า ใช่ ผู้ต้องหาเเต่ละคนย่อมรู้พฤติการณ์อยู่เเล้วว่าโดนข้อหาอะไรบ้างเเละ ได้ข่าวว่าเเกนนำที่กล่าวดังกล่าวได้ยื่นหนังสือเเจ้งว่าจะมาในวันรายงานตัว ในวันดังกล่าว ซึ่งมีรายงานว่าในข้อหากบฏนั้นผู้ต้องหาส่วนใหญ่จะโดนข้อหานี้เกือบทุกคน เเต่อาจจะมีบางคนที่ไม่โดนเป็นตัวการเเต่เป็นผู้สนับสนุน

แล้ว “กองหนุน” ก็เริ่ม “เผยแสดง” จาก “หม่อมอุ๋ย” ลามไปถึง “พี่ดี้”

แล้ว “กองหนุน” ก็เริ่ม “เผยแสดง” จาก “หม่อมอุ๋ย” ลามไปถึง “พี่ดี้”


ถามว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เคยเป็น “กองหนุน” ของคสช.หรือไม่

ตอบได้เลยว่า เป็น

ถามว่านักแต่งเพลงชื่อดังจากค่ายแกรมมี่ นิติพงษ์ ห่อนาค เป็น “กองหนุน” ของคสช.หรือไม่

ตอบได้เลยว่า เป็น

คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกับ น.ส.รสนา โตสิตระกูล เช่นเดียวกับ นายวีระ สมความคิด เช่นเดียวกับ นายศรีสุวรรณ จรรยา

นั่นก็คือ ล้วนเคยเป็น “กองหนุน”

เคยร่วมส่วนกับการเคลื่อนไหวของ”กปปส.”ไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง เคยเห็นชอบด้วยกับ”รัฐประหาร”

แต่ ณ วันนี้ล้วนตั้งข้อสงสัยต่อ “นาฬิกา”

ข้อเสนอของบรรดา“กองหนุน”เหล่านี้ในลักษณะที่เจ้าของนาฬิกาหรู 25 เรือนต้องพิจาณาตัวเองและแสดง”สปิริต”

ทำให้นึกถึงคำของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

คงจำกันได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในห้วงที่ดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ.ได้ออกรายการสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เมื่อปี 2551


อันเป็นปีที่มีการยึด”ทำเนียบรัฐบาล” ทำให้รัฐบาลกลายเป็นครม.”นอกทำเนียบฯ”

พิธีกรถามว่า “หากท่านเป็นรัฐบาลท่านจะตัดสินใจอย่างไร”

“ถ้าผมเป็นรัฐบาลผมลาออก” เป็นการตอบด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาดเยี่ยงชายชาติทหารจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็นผบ.ทบ.

วันนี้คำถามใกล้เคียงกันนี้จ่ออยู่ตรงหน้าเจ้าของ”นาฬิกา” 20 กว่าเรือน

การออกโรง “กดดัน” จาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ นายนิติพงษ์ ห่อนาค

เป็นเรื่องของ “กองหนุน” อย่างเด่นชัด

เป็นรูปธรรมซึ่งยืนยันสภาพความเป็นจริงตามบทสรุปของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2560 ทีว่า

“กองหนุน” เหลือน้อย แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว

เป็น”โจทย์”ทางการเมืองที่ “นายกรัฐมนตรี”และ”รองนายกรัฐ มนตรี”จะต้องตัดสินใจ

“สมชัย” ชี้ ‘ปลดล็อกพรรค’ ดีกว่า ‘เลื่อนเลือกตั้ง’ วอนนายกฯหยุดเดินสายหาเสียง

“สมชัย” ชี้ ‘ปลดล็อกพรรค’ ดีกว่า ‘เลื่อนเลือกตั้ง’ วอนนายกฯหยุดเดินสายหาเสียง


เมื่อวันที่22 ม.ค.นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวถึงข้อเสนอการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไปอีก 90 วัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง ให้พรรคการเมืองมีความพร้อมมากขึ้น มีเวลาในการเตรียมการมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการประชุมใหญ่ การทำไพรมารีโหวตซึ่งต้องมีเวลาเพียงพอ ว่า ตนเห็นว่าความจริงแล้วเป็นตรรกะที่แปลกมากว่าเพื่อประโยชน์พรรคการเมืองและเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม จึงต้องขยายเวลาอีก 90 วัน
หากเพื่อให้พรรคการเมืองมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการกิจกรรมต่างๆ สิ่งที่ง่ายกว่าการขยายเวลาบังคับใช้ในพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.คือ การปลดล็อกพรรคการเมือง ให้เขาสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่ว่าไปสัญญาลมๆแล้งๆว่าจะปลดล็อคในเดือนเม.ย.และกำหนดให้ทำกิจกรรมต่างๆอย่างเร่งรีบ

“ปลดล็อกเสียวันนี้ กว่าจะถึงเมษา ก็ได้เวลาคืนมาเกือบ 3เดือน และหากตรงไปตรงมาให้พรรคสามารถทำกิจกรรมได้ตั้งแต่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 8 ต.ค.ปีที่แล้ว ก็คงไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากขนาดนี้”นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวอีกว่า หากต้องการทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างยิ่งคือ ไม่เข้าไปแทรกแซงในกระบวนการสรรหา กกต.ใหม่ไม่ส่งคนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ใน กกต.ชุดใหม่ ไม่ออกกฎกติกาที่สร้างความได้เปรียบแก่คนของตนเองหรือพรรคที่ประกาศว่าจะสนับสนุนตน สิ่งที่ดีที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ประกาศว่าพร้อมจะกลับมาใหม่หากประชาชนสนับสนุน และเลิกทำตัวเป็นนักการเมือง เดินสายหาเสียง เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ สัญญาณที่บ่งบอกว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยากที่จะบริสุทธิ์ยุติธรรมเพราะฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐและกลไกราชการสนับสนุนทำให้เกิดความได้เปรียบในการเลือกตั้ง

"นายกฯ"เสียใจ "เหตุวางระเบิดตลาดสดเมืองยะลา

"นายกฯ"เสียใจ "เหตุวางระเบิดตลาดสดเมืองยะลา สั่งเยียวยาดูแล และขอให้เชื่อมั่น ในจนท.รัฐ/ โฆษก กอ.รมน.ประณามคนร้าย จิตใจไร้มนุษยธรรม ทำร้ายประชาชนประกอบอาชีพสุจริต

พล.ต.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. กล่าวถึงเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดตลาดสดเมืองยะลา เมื่อเช้าตรู่ของวันนี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ รวมไปถึงทรัพย์สินต่างๆได้รับความเสียหาย นั้น ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร( ผอ.รมน. ) ขอแสดงความเสียใจต่อญาติและครอบครัว ของผู้ที่ได้รับการสูญเสียและได้รับผลกระทบจากการกระทำของคนร้ายที่มีจิตใจไร้มนุษยธรรมและล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน
เป็นการทำร้ายต่อประชาชนที่ประกอบอาชีพสุจริตและใช้วิถีชีวิตตามปกติดั่งเช่นสังคมทั่วไป

โฆษก กอ.รมน.กล่าวว่า ผอ.รมน.ห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรีบดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาแก่ครอบครัวผู้ที่ได้รับการสูญเสียอย่างเร่งด่วน และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว

จากนโยบายต่างๆของรัฐบาลที่จะทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความมั่นคงเข้มแข็ง สังคมมีสันติสุข ประชาชนมีรายได้ ทุกครัวเรือนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาตามลำดับ การกระทำของกลุ่มคนร้ายในครั้งนี้เพื่อบั่นทอนสภาพของสังคมให้เกิดความหวาดระแวงและขาดความเชื่อมั่นต่ออำนาจรัฐ
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) จึงขอให้ประชาชนทุกคนจงเชื่อมั่นการทำงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐทุกหน่วยงานที่จะทำงานอยู่เคียงข้างประชาชน เพื่อให้จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเจริญรุ่งเรือง มีสันติสุขอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป
- - - -

"ถ้าชี้แจง ปปช.ได้ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็นำไปสู่กระบวน ผมไม่เคยไปสั่งเขาได้เลย"

"ถ้าชี้แจง ปปช.ได้ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็นำไปสู่กระบวน ผมไม่เคยไปสั่งเขาได้เลย"
"บิ๊กตู่" โต้ข่าว สั่งไม่ให้สอบทุจริต ยันพวกเดียวกันก็ต้องสอบ

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างปาฐกถากล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ"ผู้บริหารส่วนราชการกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ : One Country One Team"ให้กับผู้บริหารระดับสูงว่า ปี 61 ว่า ต้องเปลี่ยนแปลง แก้ทุจริตให้ได้ ต้องใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระตรวจสอบ แล้วทุกอันตอนนี้เราต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของเรา
"ไม่ใช่ไอ้นี้ ไอ้นั้นก็ไม่ได้ แล้วจะตัดสินด้วยอะไร สังคมเป็นแบบนี้หมดตอนนี้ แม้กระทั่งคดีความอยู่ในศาล ตัดสินออกมาแล้วยังบอกไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง แล้วอย่างนี้จะเชื่อใคร มีการบอกญาติคนนี้คนนั้น อีกหน่อยญาติไม่ต้องทำงานที่อื่นแล้ว
"รัฐบาลนี้ใครบอกว่าผม ไม่ตรวจสอบ ซึ่งสตง., ป.ป.ช.ก็ทำมาตลอด ชี้แจงไป ถ้าชี้แจงได้ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้ ก็นำไปสู่กระบวน ผมไม่เคยไปสั่งเขาได้เลย ไม่เคยพูดกับเขาว่าต้องหยุด หรือต้องทำอย่างไรไม่เคยพูด
แล้วบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ต้องรับการตรวจสอบได้อย่างไร มันจะพวกเดียวกันได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง มันไม่ได้ตัดสินใจด้วยคนๆเดียว แต่ตัดสินด้วยคณะทำงาน ก็ไปว่ามา ไม่ใช่ว่าผมปฏิเสธความรับผิดชอบ อย่างที่หลายคนพูดว่ารัฐบาลนี้ไม่รับการตรวจสอบ และข้าราชการถูกฟ้องระนาวอยู่แต่มีใครรู้ ขึ้นศาลอยู่ ผมเซ็นทุกอาทิตย์ ความรับผิดชอบมีเป็นระดับไป ถ้าแยกแยะไม่ออกก็จะมีความขัดแย้งตลอดไป อย่าให้ใครมาตีตรงนี้ให้วุ่นวาย" นายกฯกล่าว

คสช.พร้อมหนุน “ทีมขับเคลื่อนประเทศไทยแบบบูรณาการ” ของ"บิ๊กตู่" กว่า7,800 ชุด ลงพื้นที่

คสช.พร้อมหนุน “ทีมขับเคลื่อนประเทศไทยแบบบูรณาการ” ของ"บิ๊กตู่" กว่า7,800 ชุด ลงพื้นที่ รับฟังและแก้ไขปัญหาชาวบ้านทุกเรื่อง
บิ๊กต้อ พลเอก สสิน ทองภักดี รองผบ.ทบ./รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
โดยได้มอบหมายให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ในทุกพื้นที่เตรียมให้การสนับสนุน รวมถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานและลงพื้นที่ของ “ทีมขับเคลื่อนประเทศไทยแบบบูรณาการ” ซึ่งเป็นทีมงานของรัฐบาล โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน เพื่อเข้าพบปะประชาชนในทุกพื้นที่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้ารับฟังและแก้ไขปัญหาของประชาชน
รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ความสามัคคีปรองดอง มาตรการสร้างรายได้ให้กับประชาชน ดูแลความปลอดภัย และความเป็นระเบียบของสังคม
วิถีพอเพียง กฎหมายที่ควรรู้ ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลและเทคโนโลยีเป็นต้น
ซึ่งการทำงานร่วมกันตามนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จะช่วยให้การขับเคลื่อนประเทศสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12รวมถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติด้วย
สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับงานช่วยเหลือและบรรเทาภัยพิบัติ โดยเฉพาะภัยหนาว และการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในระยะต่อไปนั้น
รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ย้ำให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยดูแลประชาชนอย่างเต็มที่
ทั้งการแจกจ่ายเครื่องกันหนาว ควบคู่ไปกับการรณรงค์ ให้ตระหนักถึงพิษภัยของไฟป่าและหมอกควัน และขอความร่วมมือในการงดจุดไฟเผาป่า เพื่อป้องกันมิให้เกิดสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ การปฏิบัติงานของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ยังคงมีความรับผิดชอบในหลากหลายภารกิจ อาทิ ดูแลความสงบเรียบร้อย ช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ป้องปราบการกระทำผิดกฎหมาย
สนับสนุนงานบริหารจัดการน้ำด้วยการขุดลอกคูคลองใน 2โครงการใหญ่ พื้นที่ 37จังหวัด เป็นต้น
รองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีความห่วงใยกำลังพลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานในหลากหลายภารกิจข้างต้น กำชับให้ผู้บังคับหน่วย กำกับดูแลให้กำลังพลปฏิบัติงานภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันด้วย

มาร์ครับ รู้ล่วงหน้าปมขยับเวลาบังคับใช้ กม. สวนกลับปัญหาอยู่ที่ คสช.ไม่ยอมปลดล็อก

มาร์ครับ รู้ล่วงหน้าปมขยับเวลาบังคับใช้ กม. สวนกลับปัญหาอยู่ที่ คสช.ไม่ยอมปลดล็อก


“มาร์ค” เผยมีพรายกระซิบเรื่องมีคนอยากเลื่อนเลือกตั้งก่อน กมธ.ส.ส.เสนอ 2 สัปดาห์ แต่ไม่อยากพูดก่อน หวั่นกระทบการทำงาน โวยปัญหาไม่ได้อยู่ที่ กม.ส.ส.-พรรคการเมือง แต่อยู่ที่คสช.ไม่ยอมปลดล็อก ชี้ขยายเวลา 90 วัน พรรคใหม่ได้ประโยชน์ คสช.-สนช.อยู่นาน
เมื่อวันที่ 22 มกราคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมถาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วัน หลังจากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า ตนทราบเรื่องนี้มาล่วงหน้า 2 สัปดาห์แล้ว เพราะมีคนมากระซิบบอกว่า เขาอยากจะเลื่อนเลือกตั้งโดยวิธีดังกล่าว ตนจึงบอกคนที่มากระซิบข่าวนี้ว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญบังคับใช้ให้มีผลใน 150 วัน แต่พอมาเปิดรัฐธรรมนูญดูในภายหลังก็พบความจริงว่า มีการระบุว่าให้นับจากวันบังคับใช้ ไม่ได้นับจากวันประกาศราชกิจจานุเบกษา ตนจึงเชื่อคนที่มากระซิบบอกข่าวว่าเรื่องนี้คงจะจริง แต่ตนไม่กล้าจะพูดอะไรก่อน เพียงแต่เข้าใจว่าฝ่ายที่อยากเลื่อนการเลือกตั้งออกไปคงจะหาช่องทาง แล้วเขาก็พบช่องทางนี้
“ถ้ามีคนถามว่าผมรู้ล่วงหน้ามา 2 สัปดาห์แล้วทำไมถึงไม่พูด ก็เพราะว่าไม่ได้มีใครมาถาม ซึ่งผมจะไปพูดก่อนก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นการกล่าวหาการทำงานของเขาทั้งที่ยังไม่มีมูล แต่ผมยืนยันว่ามีพยานที่ฟังอยู่ด้วย และก็ไม่ทราบว่าคณะกรรมาธิการฯทราบมานานแค่ไหนว่ามีช่องทางนี้เพื่อเลื่อนเลือกตั้ง เพราะที่ผ่านมาหากมีการพูดถึงการเลื่อนเลือกตั้งก็จะมองว่าอาจจะมีกฎคว่ำกฎหมายหรือไม่ ไม่เคยมีใครพูดถึงช่องทางนี้ แต่พอมีคนมากระซิบข่าวบอกผม แล้วผมมาดูรัฐธรรมนูญก็พบว่ามีช่องทางนี้อยู่จริงๆ เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าขั้นตอนนี้ไม่น่าจะเป็นขั้นตอนตามปกติในการพิจารณากฎหมาย ซึ่งพอมีข่าวเรื่องนี้มาก็มีคนออกมาปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามข่าวที่ออกมา จึงมีขั้นตอนที่ผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติอยู่หลายอย่าง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเหตุผลที่คณะกรรมาธิการฯให้มาจะเห็นได้ว่า ไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส. แต่จะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในเรื่องของการไม่ปลดล็อกมากกว่าที่จะมาอ้างเรื่องการทำไพรมารีโหวตทันหรือไม่ทัน ซึ่งความจริงถ้าห่วงพรรคการเมืองว่าจะทำไม่ทันจริงๆ ก็รีบปลดล็อกตั้งแต่ตอนนี้ ปัญหาขณะนี้ก็เพราะว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจยังไม่ปลดล็อก ดังนั้นทั้งหมดจึงไม่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ส.ส. หรือ พ.ร.ป.พรรคการเมือง แต่มันพัวพันอยู่กับการไม่ปลดล็อก ทั้งหมดเป็นเรื่องการตัดสินใจของ คสช.ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของ สนช. แต่สำหรับ คสช.หากประสงค์อย่างใดก็สามารถแก้ไขและทำได้
เมื่อถามว่าการยืดเวลาออกไปอย่างน้อย 90 วัน ใครได้ประโยชน์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนมองว่าเสียงร้องว่ามีปัญหามาจากผู้ที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ส่วนตัว คสช.และ สนช.ก็อยู่นานขึ้นซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งการอยู่นานขึ้นจะดีขึ้นหรือเลวลงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารงาน อย่างไรก็ตาม มีการมองว่าขณะนี้มีฝ่ายที่อาจจะทำให้การเมืองยังไม่สงบ คสช.จึงไม่ยอมปลดล็อก แต่ คสช.ก็ไม่เคยพูดออกมาให้ชัดว่าเป็นคนกลุ่มไหนอย่างไร ซึ่งเท่าที่ตนมองนั้นไม่เห็นว่าการยืดเวลาออกไปจะเกิดประโยชน์หรือแก้ปัญหานี้ได้เลย ในทางตรงข้ามการเลื่อนออกไปแบบไม่มีความชัดเจนกลับกลายเป็นว่าจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้มีความขัดแย้งวุ่นวาย เพราะถ้าการเลื่อนเลือกตั้งครั้งนี้นำไปสู่ผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมือง จะอันตรายมาก เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามจะขจัดออกไปโดยการปฏิรูป ดังนั้น ถ้าไม่มีการให้ชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนว่าการเลื่อนเลือกตั้งจะมีผลประโยชน์กับส่วนรวมอย่างไรบ้าง ก็จะมีคำถามจากสังคมอีกเป็นร้อยคำถาม
ส่วนที่คณะกรรมาธิการฯมีการแก้ไขให้มีการหาเสียงโดยใช้มหรสพได้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนแปลกใจว่าทำไมถึงกลับมาแนวทางนี้อีก ทั้งที่อยากให้ประชาชนทราบแนวคิดและนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งอย่างสุจริต เที่ยงธรรม ทั้งนี้ การใช้มหรสพมีการห้ามมานานแล้ว เนื่องจากมีการจูงใจ อาจกลายเป็นช่องทางในการซื้อเสียงอีกรูปแบบหนึ่ง การทำแบบนี้จะเกิดปัญหาตามมาอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายที่ยุ่งยากในการตีมูลค่าพอสมควร ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าเรามีหลายแนวทางที่จะกระตุ้นให้คนมีความสนใจในการเลือกตั้งมากกว่าการใช้มหรสพ

เลื่อนได้ก็เลื่อนไป

เลื่อนได้ก็เลื่อนไป


สัพเพ สัตตา เป็นอันว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ตามโรดแม็ป คสช.ที่ประกาศยืนยันไปทั่วโลกว่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้อย่างแน่นอน

แต่ล่าสุด ต้องเลื่อนกำหนดเลือกตั้งใหญ่ออกไปอีก 90 วัน!!

คือเลื่อนจากเดือนพฤศจิกายนปีนี้ไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าโน่นเลย

เฮ้อ...โรคไส้เลื่อนเรื้อรังมันกำเริบปุบปับอย่างนี้แหละโยม

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า การเลื่อนกำหนดเลือกตั้งใหญ่ยืดออกไปอีก 90 วัน จะเกิดประโยชน์อย่างไร? และใครจะได้ประโยชน์? มองได้หลายแง่หลายมุม

แต่ตอนนี้ ต้องขอยกย่องเซียนกฎหมายหัวสว่านของรัฐบาล ที่สามารถเจาะทะลวงช่องโหว่เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอย่างสะดวกโยธิน

โดยไม่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญให้อึกทึกครึกโครม

คือแก้ไขมาตรา 2 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งกำหนดให้มีผลใช้บังคับหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาทันที

โดยแก้ไขเสียใหม่ให้มีผลใช้บังคับหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปอีก 90 วัน

ทำให้การเลือกตั้งใหม่ ซึ่งต้องเกิดขึ้นภายใน 150 วัน หลังจาก พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้ ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก 90 วัน รวมเป็น 240 วัน ด้วยประการฉะนี้แล

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าใบสั่งให้ยืดวันเลือกตั้งออกไปอีก 3 เดือน เพิ่งเกิดขึ้นปุบปับไม่กี่วันนี่เอง

เริ่มจากวันที่ 17 มกราคม มีข่าววงในว่า สนช.ลากตั้งนัดประชุมลับเตรียมแก้ไขมาตรา 2 ร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.เพื่อขยายเวลาบังคับใช้ออกไปอีก 90 วัน

วันที่ 18 มกราคม นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สมาชิก สนช.และโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ออกมาปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่มีการนัดประชุมลับวางแผนเลื่อนเลือกตั้งออกไปอย่างแน่นอน

วันที่ 19 ธันวาคม ถัดมาอีกวันเดียว นายทวีศักดิ์ คนเดิมเจ้าเก่าแถลงข่าวที่ประชุม กมธ.มีมติแก้ไขมาตรา 2 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. จากให้มีผลใช้บังคับทันที เปลี่ยนเป็นให้มีผลใช้บังคับหลังประกาศใช้ไปอีก 90 วัน

โอ้แม่เจ้า...ด้ามโผล่ออกมาเต็มเปา

คำถามคือ สนช.จะกล้าเลื่อนวันเลือกตั้งตามอำเภอใจหรือไม่??

ถ้าไม่มี “ใบสั่ง” จากใครบางคนใน คสช.??

เพราะการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปเท่ากับเลื่อนโรดแม็ป คสช.ที่ประกาศไว้เป็นสัญญาประชาคม

สรุปว่าใบสั่งมีแน่ แต่ใครสั่งยังไม่มีใบเสร็จยืนยัน??

ทีนี้มาถึงประเด็นสำคัญ การเลื่อนกำหนดเลือกตั้งไปอีก 90 วัน ใครจะได้ประโยชน์? และได้ประโยชน์อย่างไร?

“แม่ลูกจันทร์” ขอสงวนสิทธิไม่ตอบคำถามนี้เอง

แต่ขอมอบให้น้องชายสูงยาวเข่าดี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รอง หน.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ตอบคำถามนี้แทน

น้ององอาจ ชี้ว่าการเลื่อนเลือกตั้งไปอีก 90 วัน น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนบันได 4 ขั้น เพื่อสืบทอดอำนาจ คสช.ไปยาวๆ

บันไดขั้นที่ 1 ใช้ความได้เปรียบจากคำสั่งห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ทั้งๆที่ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับใหม่ได้ประกาศใช้มาแล้วหลายเดือน

ขั้นที่ 2, ใช้อำนาจ ม.44 รีเซตสมาชิกพรรคการเมืองเก่าเพื่อสลายฐานสนับสนุนของพรรคการเมืองให้ลดน้อยลง

ขั้นที่ 3, จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และดูดนักการเมืองจากพรรคเก่าๆเข้าไปเป็นฐานคํ้ายัน

ขั้นที่ 4, ยืดกำหนดเลือกตั้งไปอีก 90 วัน เนื่องจากการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ 100 เปอร์เซ็นต์

เอาน่า...เลื่อนไปอีก 3 เดือนแล้วจะได้เลือกตั้งจริงๆกันซะที??

"แม่ลูกจันทร์"

ปชต.ไทยนิยมตั้งรัฐบาลแห่งชาติ : คสช.ถอยฉากคุมมั่นคง

ปชต.ไทยนิยมตั้งรัฐบาลแห่งชาติ : คสช.ถอยฉากคุมมั่นคง


“ประชาธิปไตยแบบไทยนิยม” มีเจตนารมณ์กำหนดให้โฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่ อยู่ภายใต้ “พรรคทหาร” “พรรคการเมือง” หรือ “รัฐบาลแห่งชาติ” กันแน่

ตามมุมมองของ “ขั้วการเมือง” หรือ “ขั้วทหาร” ย่อมมีธงคำตอบที่แตกต่างกัน

แต่ “รัฐบาลชุดใหม่” มีโฉมหน้าแบบไหน ถึงจะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ สลายความขัดแย้งทางความคิด ติดตามแนวคิดของ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง โดยย้อนหลังถึงสมัยที่ลาออกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.และ ผบ.ทหารสูงสุด แล้วเดินเข้าสู่ถนนการเมือง ปักหมุดตั้งพรรคความหวังใหม่

ก่อนคว้าชัยชนะและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเคยพยายามทำหน้าที่ “โซ่ข้อกลาง” ให้สองขั้วการเมืองเกิดความสมานฉันท์ แม้ไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่ก็เป็นผู้จุดกระแสให้สังคมเห็นถึงความสำคัญของความสมานฉันท์ ถึงจะนำพาประเทศชาติเดินออกจากหล่มขัดแย้งได้

“อุตส่าห์เคยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ทั้งการเป็นนักการเมือง ตั้งพรรคการเมือง แก้ไขปัญหา การสร้างความสมานฉันท์ เหตุที่อยากเข้ามาทำงานการเมือง เพราะต้องการปรับปรุงการเมืองให้ดีขึ้น ก็ลาออก”

“พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 รับสั่งจะออกไปไหน

กราบพระบาทข้าพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งพระเจ้าอยู่หัวไปไหน

จะออกไปทำงานการเมือง อยากให้เป็นการเมืองที่ดีประเทศถึงจะรอด

พระองค์ท่านรับสั่งว่า เมื่อ 20 ปีก่อน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็เคยพูดอย่างนี้

พระองค์ท่านทรงเมตตา อยากจะเห็น เจตนาอยากทำให้เห็น”

พอถึงรัชสมัยรัชกาลที่ 10

“พระองค์ท่านทรงมีประสบการณ์สูง ตามเสด็จพระราชบิดามาเป็นเวลานาน

พระองค์ท่านเห็น ทราบปัญหาสูงสุดที่เกิดขึ้นกับประชาชน และหาวิธีทำอย่างไรให้บ้านเมืองไปได้ดี ประชาชนมีความสุข”

ไม่ว่าจะมีการปกครองแบบไหน บ้านเมืองเราใช้เวลามากว่า 85 ปี เพื่อให้เกิดการปกครองโดยประชาชน
แต่การเมืองยังปลูกฝังให้ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก พล.อ.ชวลิต บอกว่า ถ้าทุกผู้นำเห็นว่าในท้ายที่สุดไม่ว่าเป็นการปกครองแบบไหน จะเป็นการปกครองแบบเผด็จการ สังคมนิยม อนุรักษนิยม ประชาธิปไตย
ล้วนเป็นการปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน นั่นคือหัวใจสุดท้าย

ที่ผ่านมาและวันนี้เรายุ่งอยู่กับรัฐธรรมนูญ พยายามสร้างประชาธิปไตยโดยการสร้างรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ประชาธิปไตย เกิดปรากฏการณ์ร่ำรวยรัฐธรรมนูญ แต่ยากจนประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจรัฐจะต้องมุ่งหน้าทำให้ประชาชนมีความสุข ไม่ใช่มุ่งหน้าไปที่รัฐธรรมนูญ

อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญอาจจะมีฉบับที่ 21 ฉบับที่ 22 อีก เป็นวงจรอุบาทว์ ร่างรัฐธรรมนูญแล้วเลือกตั้ง ยึดอำนาจ แล้วร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง

ทั้งหมดเกิดจากรากเหง้าของปัญหา ซึ่งยังไม่ได้รับการสะสาง

แนวทางการปกครองต่อจากรัฐบาลชุดนี้ต้องมี “นายกรัฐมนตรีคนนอก” เพื่อป้องกันการยึดอำนาจ
พล.อ.ชวลิต บอกว่า ใช่

วิธีป้องกันเรื่องนี้ประเด็นหนึ่งที่เราพูดคือให้การศึกษาแก่ประชาชน เพื่อให้เกิดการปกครองโดยประชาชน แต่เราเสียเวลาถกเถียงเรื่องนี้มายาวนาน จนกลายเป็นประเทศเดียวในจักรวาลที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากที่สุด

ขอย้ำว่าจะต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็ง ลดความเหลื่อมล้ำ ให้การศึกษาสร้างความรู้และทำความเข้าใจแก่ประชาชนระดับรากฐาน เพื่อให้ประชาชนมีบทบาท ในที่สุดจะเกิดการปกครองโดยประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชัดเจน มีอำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ อำนาจทั้งสามเป็นของพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านทรงใช้อำนาจผ่าน

คณะรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการขอเวลาอีกหน่อย เราเสียเวลามา 85 ปีแล้ว เมืองไทยยังย่ำอยู่อย่างนี้ จะไม่มีความก้าวหน้า ไม่เหมือนสาธารณรัฐประชาชนจีนพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ท่ามกลางมีการเดินขบวนเคลื่อนไหวแสดงความคิดเห็น ทางการจีนบอกรอก่อน ขอใช้เวลาสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับประเทศก่อน ประชาชนของจีนยอมรับได้ เพราะกินอิ่มนอนอุ่น

ขอให้เรารู้จักอ่านปัญหาให้ออก เข้าใจปัญหา แสวงหาหนทางร่วมในการดำเนินงาน สร้างการเมืองให้เข้มแข็ง หากไม่ร่วมมือกัน แล้วย้อนกลับสู่ความขัดแย้งรูปแบบใหม่ จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองอีกรอบ

มันต้องสร้างการเมืองเข้มแข็ง รวมตัวกัน เราต้องเชื่อในพระบารมี พระองค์ท่านประสบการณ์สูง

ขอให้เรามาช่วยกัน คสช.มีอำนาจ คสช.ทำได้ มาร่วมสร้างปรองดอง ต้องสร้างสันติภาพก่อน

เราหวังในพระบารมีของพระองค์ท่าน ไม่ใช่ไปโยนภาระแก่พระองค์ท่าน พวกเราต้องทำถวาย

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า ในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ มีการเตรียมตั้งพรรคทหารต่อสู้กับสองพรรคการเมืองใหญ่ ท่ามกลางมีกระแสการตั้งรัฐบาลแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นวิกฤติขัดแย้งจะกลับมาเหมือนเดิม พล.อ.ชวลิต บอกว่า สรุปแล้วต้องการให้เกิดความสมานฉันท์

นักการเมืองหรือใครขอให้มีความเข้าใจว่า ถ้าไม่เกิดความสมานฉันท์ ไม่มีสันติภาพก่อนก็ไม่มีการพัฒนา

ดังนั้น จะต้องมีสันติภาพก่อนถึงมีการพัฒนา การสร้างสันติภาพอย่างไรที่ผ่านมาเคยสร้างให้ดูแล้ว สมัยก่อนเรารบกันยิ่งกว่านี้ ไม่ด่า ไม่ตี เอาปืนยิงกันเลย ยังสามารถสร้างสันติภาพได้

“ขออย่าหาเรื่อง ขอให้หัวใจแก่กัน คุณจะเป็นพรรคโน้นพรรคนี้หันหน้ามาจับมือร่วมกัน
คุณอยู่ตรงนี้เลือกตัวแทนเข้ามาร่วมกัน เพื่อจัดรูปแบบบริหารประเทศ ทดสอบสักปีสองปี”

มีแนวโน้มการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามโรดแม็ป จะเลื่อนออกไปปี 62 เป็นห่วงเรื่องนี้อย่างไร พล.อ.ชวลิต บอกว่า ไม่เป็นห่วง ถ้าอ่านสถานการณ์ไม่ออกหรืออ่านใจประชาชนไม่ออกก็ปกครองประเทศไม่ได้

“เดี๋ยวประชาชนก็ลุกขึ้นมา ขออย่าให้เหมือนคุกบาสตีย์แตกมันรุนแรงต้องระมัดระวังการปฏิวัติใหญ่มันจะสร้างความเสียหาย อย่าดูถูกประชาชน”

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า คสช.จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าต่อท่ออำนาจต่อไปอีก พล.อ.ชวลิต บอกว่า “เดินหน้าแก้ไขปัญหาความขัดแย้งสู่ความปรองดอง”

ถ้าเราแก้ไขปัญหาไม่ได้จะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ โดยมีการเปลี่ยนรูปแบบความขัดแย้งไปมา อันนี้น่ากลัว

ขอให้เราช่วยกัน อดทนหน่อย ผู้ปกครองจะต้องรู้ว่าประชาชนคิดอย่างไร ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มีเยอะแยะ ปล่อยให้เขาพูดเสนอแนะถึงทางออกจากปัญหานี้

มีกระแสข่าวว่าบางฝ่ายกำลังทาบทามนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี 2 สมัย พล.อ.ชวลิต หรือนักการเมืองรุ่นใหญ่ให้เข้ามาช่วยบ้านเมือง พล.อ.ชวลิต บอกว่า ดี ถ้าจะเข้ามาต้องเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี คล้ายๆ “โปลิตบูโร” ส่วนผมอายุมากแล้วจะไม่เข้าไป แต่ขอส่งความเห็นเสนอเข้าไปแทน
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า สองพรรคใหญ่มีความพยายามจับมือกันเพื่อสกัดพรรคทหาร พล.อ.ชวลิต บอกว่า ก็มีความพยายามทำในเรื่องนี้ ทำได้ตามกรอบกติกา แต่มีวิธีอื่นอีกหรือไม่ ทำไมต้องเป็นแค่สองพรรคการเมืองใหญ่

คนที่มีเจตนารมณ์ทำงานเพื่อแผ่นดิน และทุกพรรคการเมืองมาทำข้อตกลงกัน ส่งหัวหน้าพรรคไปร่วมแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ พรรคนั้นดูด้านนี้ พรรคนี้ดูด้านนั้น จะตั้งรัฐบาลอย่างไรก็ได้ เพื่อสร้าง “ยาเม็ดสำคัญคือความเชื่อมั่น” ส่วน คสช.ขอให้ดูความมั่นคงไป

ทีมข่าวการเมือง ถามย้ำว่า ระหว่างพรรคทหารกับการใช้มาตรา 44 ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ทางเลือกไหนเหมาะสมกว่า พล.อ.ชวลิต บอกว่า วันนี้พรรคทหารในประเทศต่างๆในโลกไม่มีประเทศไหนเขาทำ พอมีข่าวรวมตัวจะตั้งพรรคทหารกระแสความนิยมก็ตกเอาๆ

ในฐานะที่ คสช.มีอำนาจควรใช้ ม.44 ทำอย่างนั้นได้ก็ดี

คสช.คอยดูความมั่นคง ใช้อำนาจให้ถูกและได้รับการสนับสนุน

ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.

คงคิดได้สักวันหนึ่งว่า อำนาจก็แค่นั้น เดี๋ยวก็สลายทั้งหมดทุกสรรพสิ่ง

ฉะนั้นแทนที่จะผันตัวเองไปเป็นนักการเมือง ก็ควรวางตัวเป็นตัวกลาง

หากทำอย่างนี้ประชาชนจะปรบมือให้.

ทีมการเมือง

ผ่าเกมเลือกตั้งขั้วทหาร “ปะทะ” ขั้วการเมือง : ปากท้องชาวบ้าน พิสูจน์ไทยนิยม

ผ่าเกมเลือกตั้งขั้วทหาร “ปะทะ” ขั้วการเมือง : ปากท้องชาวบ้าน พิสูจน์ไทยนิยม


อากาศเริ่มอุ่น ฤดูหนาวสั้นๆกำลังจะผ่านพ้นไป

ท่ามกลางอุณหภูมิทางการเมืองที่คุกรุ่นต่อเนื่อง ตามท้องเรื่อง ภายหลัง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ประกาศตัวเป็นนักการเมืองที่มาจากทหาร

ส่งสัญญาณไปต่อบนเส้นทางยุทธศาสตร์ที่วางไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

“นายพลประยุทธ์” รีเทิร์นอีกรอบแน่

และนั่นก็กระตุกแรงเสียดทานจากนักการเมืองอาชีพ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะขาใหญ่เจ้าถิ่นแท็กทีมรับน้องกันทันทีทันควัน

ยกระดับการท้าทาย “ผู้ท้าชิงอำนาจ” โดยไม่เกรงใจรัฏฐาธิปัตย์กันอีกต่อไป

“นายกฯลุงตู่” เข้าสู่เกมตะลุมบอนตามเงื่อนไขสถานการณ์

แต่เบื้องต้นเลย คนที่โดนหนักกว่า พล.อ.ประยุทธ์ อ่วมกว่าใครในรัฐบาล กลับกลายเป็นแรงกระแทกชิ่งที่พุ่งเข้าใส่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม

“ขาค้ำยัน” ด้านความมั่นคง ที่แข็งแรงสุดของทีมอำนาจ คสช.

“พี่ใหญ่” กลายสภาพเป็น “บ่อน้ำมัน” หลังจากที่โดนถล่มปมนาฬิกาหรู ขบวนการไล่บี้ไล่ต้อน “เซ็ตฉาก” ลากกระแสถล่มแบบรายวันจนถึงเรือนที่ 25 และไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ

กระตุ้นแรงกดดันจากรอบทิศทาง บีบให้ “บิ๊กป้อม” เคลียร์ที่มาที่ไป

ถึงจุด “สุดอั้น” เจ้าตัวต้องเปิดปากชี้แจง นาฬิกายืมเพื่อนมาใส่ และคืนเพื่อนไปหมดแล้ว

พร้อมประกาศด้วยว่า ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตัดสินว่ามีความผิด ก็พร้อมลาออกจากตำแหน่งทันที

โยนเดิมพันวัดดวง ได้เสียสไตล์ทหารใจนักเลง

หวังเบรกกระแสรุกไล่ปมนาฬิกาให้ซาลงไป

แต่มันก็เป็นอะไรที่ยังไหลไม่หยุด ปมนาฬิกาหรูยังขยายผลต่อไป โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยเรื่องนาฬิกา “บิ๊กป้อม” ทั้งฝ่ายต่อต้าน คสช. รวมถึงพวกที่เคยสนับสนุนทหาร ดารา นักร้อง คนดังๆที่เคยร่วมเวที กปปส.ไล่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ก็กระโดดร่วมวงแห่กระแสกดดัน

ไม่นับรวมนักการเมืองอาชีพที่ฉวยสถานการณ์ตามน้ำ ทั้งคิวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยุแกมขู่ผู้นำรัฐบาล หากไม่จัดการเคลียร์ปม พล.อ.ประวิตร จะพานให้คนต่อต้านรัฐบาลด้วย

อารมณ์เดียวกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ผูกปมนาฬิกาของ “พี่ใหญ่” โยงกับประเด็นการเซ็ตซีโร่ ป.ป.ช.สายตรง “วงษ์สุวรรณ” ฟันธงเลยว่า ถ้า ป.ป.ช.อยู่ต่อได้ คสช.นั่นแหละที่จะไปเอง

ไปๆมาๆก็เหมารวมเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ป.ป.ช.กับนาฬิกาหรู

เกมแห่ “กฐินสามัคคี” ที่ไม่มีเจ้าภาพหลัก

แต่เป้าหมายร่วมโค่นกระดานขุมอำนาจ “บิ๊กบราเธอร์”

ซึ่งนั่นก็เหมือนสถานการณ์ที่นัวเนียเป็นปกติของยี่ห้อ “บิ๊กป้อม” ที่ตกอยู่ในวงล้อมตำบลกระสุนตกมาต่อเนื่องตลอด 3 ปี งอมแล้วงอมอีกก็ยังเด็ดไม่ร่วงสักที

รอบนี้ถือว่าช้ำเต็มที่แล้ว ถ้ายังเอา “พี่ใหญ่” ไม่อยู่ ก็คงอยู่ยาวจนกว่าจะแพ้สังขารเอง

แต่ที่เอาไม่อยู่แน่ๆก็คือ “นายกฯลุงตู่”

ตามแนวโน้มสถานการณ์มาถึงตรงนี้ดูแล้วยิ่งมั่นอกมั่นใจกับการเดินหมากข้ามช็อตไปไกลกว่า

เอาชนะแรงต้านแรงเสียดทานด้วยเนื้องานการปฏิบัติจริง

ตามภาพล่าสุดที่ พล.อ.ประยุทธ์ยกคณะชุดใหญ่

ประกอบด้วยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ตัวแทนหน่วยงานกว่าร้อยชีวิต ขึ้นเครื่องบินซี 130 ของกองทัพอากาศ บินตรงไปตรวจราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน


พื้นที่ไกลปืนเที่ยงที่คนจนมากสุดลำดับต้นๆของประเทศไทย

ตามภารกิจสำคัญในการเริ่มนับหนึ่ง “คณะกรรมการแก้จน” ลุยคิกออฟงานตามยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.)

ไม่ได้แค่พูดหรูๆอยู่บนหอคอยงาช้าง

แต่ “นายกฯลุงตู่” เดินสายคลุกวงใน สัมผัสใกล้ชิดปัญหาแบบถึงลูกถึงคน

ทั้งแจกที่ดินทำกินให้ชาวบ้าน อนุมัติโครงการสร้างระบบคมนาคม สาธารณูปโภค สาธารณสุข อัดฉีดงบประมาณช่วยเหลือจุนเจือรายจ่ายประจำวัน ส่งเสริมการสร้างงานสร้างอาชีพในระยะยาว

เร่งกู้สถานการณ์ปากท้องชาวบ้านฐานราก ต่อเนื่องจากการอัดฉีดมาตรการบัตรคนจนเฟส 2 เพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 300–500 บาท

เป้าหมายทำให้ประเทศไทยพ้นขีดความยากจนให้ได้ภายในปี 2561

ถึงตรงนี้ พล.อ.ประยุทธ์กับนายสมคิดแสดงให้เห็นเลยว่า เอาใจใส่คนยากคนจน ไม่ทอดทิ้งแม้คนป่าเขาห่างไกล เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับที่โดนโจมตีมาตลอดว่าอุ้มคนรวยมากกว่า

ข้อครหาก็คงซาลงไปตามภาพจริงที่ปรากฏต่อสายตาสังคม

แถมในอารมณ์แบบธรรมชาติ ไม่ขัด ไม่เขิน เนียนกว่า นักการเมืองอาชีพยังอาย มันยังพ่วงด้วยช็อตน่ารักสไตล์ “นายกฯลุงตู่” คุยได้หมดกับไก่ แพะ หมา

หยอดมุกเรียกเสียงฮาได้ตลอดเวลา

เผลอๆก็แถมด้วยบทออดอ้อน แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกกับชาวแม่ฮ่องสอน “ขอร้องว่าอย่าเกลียดผมเลย และขอบคุณที่ยังมีคนรักอยู่บ้าง รักผมก็ขอบคุณ”

ไม่มีสคริปต์ ไม่ต้องบอกบท คิดกันสดๆ หยอดกันซึ่งๆหน้า

ลีลาทหารผสมนักการเมือง

ไก่ หมา แพะ ยังเชื่อง ชาวบ้านไม่เคลิ้มให้รู้ไป

แน่นอน โดยยุทธศาสตร์ของ “นายกฯลุงตู่” มันก็คือ แจกแลกคะแนนนั่นเอง

แต่มันก็แฝงไปด้วยยุทธการแก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นระบบ

โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ “คณะกรรมการแก้จน” ที่จะใช้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐหลายพันคนลงไปเกาะติดการแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างทั่วถึง

ถือเป็นการแก้เหลี่ยมระบบหัวคะแนนของนักการเมืองแบบเนียนๆ

จุดได้เปรียบของนักเลือกตั้งอาชีพก็หายไป

“นายกฯลุงตู่” วางกลยุทธ์เผื่อเลือกตั้ง ตุนคะแนนไว้รองรับเกมอำนาจเปลี่ยนผ่านสบายๆ

และก็เป็นอะไรที่ว่ากันไม่ได้ เพราะใครมีอำนาจก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือทหาร คสช.

ต่างฝ่ายต่างก็รู้วิธี ใช้โอกาสในการกุมสภาพ สร้างความได้เปรียบในการเลือกตั้ง

ปูทางสะดวกกลับมาคุมอำนาจ

เรื่องของเรื่อง มันก็อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยทุ่นคำว่า “ประชาธิปไตยไทยนิยม” ออกมาให้ฮือฮา
นิยามสถานการณ์การเมืองไทยได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น

กระตุกนักการเมืองออกมาด่า โจมตีว่าทหารสร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชน

แต่ของจริงมันก็ปฏิเสธไม่ได้ คนไทยคุ้นกับเงื่อนสถานการณ์แบบนี้มานานแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนประชาธิปไตยเต็มใบแล้วนักการเมืองทำเสียของเอง แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันจนบ้านเมืองเกิดวิกฤติติดล็อก ต้องเปิดทางให้ทหารเข้ามาใช้อำนาจพิเศษ

ความชอบธรรมในการเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบ มันจึงพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ

แต่สำหรับชาวบ้านที่ถูกปล่อยให้อดอยากปากแห้งมานาน ไม่มีโอกาสพลิกเกมเข้าสู่อำนาจมาแย่งกันปากมันแบบนักการเมือง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครสามารถทำให้อิ่มท้องได้ก็พร้อมหนุนคนนั้น

ไม่สนประชาธิปไทยนิยมหรือประชาธิปไตยสากล.

“ทีมการเมือง”

เข้าเหลี่ยมได้ตีเนียน

ยังเกิดแรงกระเพื่อมไม่หยุด

คิวอีนุงตุงนังต่อเนื่องของร่างกฎหมายลูกหลายฉบับที่ยังวุ่นวายไม่ลงตัว

ตามซีนล่าสุด ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กลายเป็นเรื่องวุ่นๆถูกครหาแอบลักไก่ลงมติลับ แก้ไขสาระสำคัญให้กฎหมายมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน

ผิดแปลกจากกฎหมายทั่วไปที่มักให้มีผลบังคับใช้วันรุ่งขึ้นถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ถูกตั้งข้อสังเกตจงใจยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไป กระทบโรดแม็ปเลือกตั้งอาจต้องขยับจากเดือน พ.ย.นี้ ออกไปเป็นต้นปี 2562

เกมยื้อหย่อนบัตรคืนประชาธิปไตยกลับมากระหึ่มหนาหูอีกรอบ

จริงหรือไม่จริงยังไม่รู้ เพราะฝ่ายที่เกี่ยวข้องพากันดาหน้าปฏิเสธมติลับ ซ่อนเงื่อน

ยื้อเวลาเลือกตั้ง

แต่อย่างน้อยก็เริ่มเห็นสัญญาณความผิดปกติในคิวกฎหมายลูกที่มีปัญหาประดังขึ้นมาพร้อมๆกัน

ไม่ใช่แค่คิวร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฉบับเดียว ยังมี ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ก็ส่อเค้าวุ่นวายไม่แพ้กัน

เพราะตั้งท่าโละหลักการของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปลี่ยนโมเดลการเลือก ส.ว.ตามเสียงเชียร์ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หลายคนที่ขอแปรญัตติ จากการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มอาชีพเป็นเลือกกันเองในกลุ่มวิชาชีพ และลดกลุ่มอาชีพของผู้สมัคร ส.ว.จาก 20 กลุ่ม เหลือ 15 กลุ่ม

แง้มช่องให้เกิดการฮั้วเลือกสมาชิกสภาสูงมีโอกาสง่ายขึ้น ทลายกลไกเลือกไขว้ที่ กรธ.วางไว้แน่นหนา เพื่อสกัดการบล็อกโหวต

ในคิวที่ กรธ.ออกมาแสดงความเป็นห่วงการเลือกกันเองภายในกลุ่มอาชีพไม่สามารถป้องกันการฮั้วได้
พากันออกตัวล่วงหน้า หากเกิดปัญหาฮั้วเสียงโหวตกันขึ้นมา ห้ามมาโทษ กรธ.

2 กฎหมายลูกสำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้งถูกสร้างเงื่อนไขให้เกิดปัญหาขึ้นมาพร้อมกันช่วงปลายโรดแม็ปที่จะให้เลือกตั้งปลายปี

ต่อเนื่องจาก ร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ถูก 32 สมาชิก สนช.เข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความบทเฉพาะกาล การต่ออายุให้กรรมการ ป.ป.ช.ที่มีลักษณะต้องห้ามขัดรัฐธรรมนูญได้วีซ่านั่งทำงานต่อไป เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

แม้แต่กฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจาก สนช.ไปแล้ว ก็ยังไม่ราบรื่น มีเรื่องให้ติดๆขัดๆ

ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ฝ่ายอำนาจพิเศษจะถูกตั้งคำถามในทำนองมีเจตนายื้อการเลือกตั้ง โดยอาศัยเหลี่ยมข้อกฎหมายมาเป็นเครื่องมือเตะถ่วง

ตามที่มือกฎหมายระดับแนวหน้าของประเทศอย่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประสานเสียงรับลูกการขยายเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ออกไป 90 วัน สามารถดำเนินการได้ เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวคลี่คลายปัญหาที่ไม่คาดคิด

ปฏิทินเลือกตั้งปลายปี 2561 ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เคยการันตีความแน่นอน ไปๆมาๆกลับไม่ชัวร์ขึ้นมาดื้อๆ

ผูกโยงเข้ากับกรณีที่ “บิ๊กตู่” ร่ายจดหมายด้วยลายมือตัวเองส่งถึง ครม. เนื้อหาส่วนหนึ่งเล่าถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังมีกลุ่มนักการเมือง และสื่อจ้องโค่นล้มรัฐบาลในช่วงนี้

สอดรับข้อมูลของเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

ยอมรับพบการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักการเมืองและผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองพยายามล้มกระดานรัฐบาลในช่วงใกล้เลือกตั้ง

สบช่องได้โอกาสตีเนียนลากยาว จากเงื่อนไขทางข้อกฎหมายที่ยังคลุมเครือ และสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังไม่เรียบร้อย

แม้ คสช.ยังกุมแต้มต่อ แต่หากเด้งเชือกยื้อเงื่อนเวลาเลือกตั้ง ไม่เดินตามสัญญาที่รับปากไว้ ย่อมเจอแรงเสียดทานจากเวทีทั้งในและนอกประเทศหนักหน่วงขึ้นแน่ๆ

ในภาวะที่ยิ่งอยู่นาน ย่อมแบกรับแรงกดดันมากขึ้น โอกาสเจ็บตัวยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย

อย่างที่เห็นๆปมเรื่องนาฬิกาหรู โรดแม็ปเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปมา หรือเรื่องเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านล้วนมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น สั่นคลอนศรัทธาประชาชนที่มีต่อรัฐบาล

ยืดเวลาลากยาวไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ลำบากกว่าคือ จะประคองต้นทุนไม่ให้หดหายได้หรือไม่!!!