PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ภาระสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์2

ภาระสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์ 2
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2562

บัดนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีครบจำนวน 36 คน รวมทั้งนายกรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติแล้ว และเมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วก็ถือว่าได้เข้ารับตำแหน่ง ณ วันเวลานั้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเวลากลางเดือนกรกฎาคม ศกนี้ 

เมื่อคณะรัฐมนตรีใหม่ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ ณ บัดนั้น คณะรัฐมนตรีชุดประยุทธ์ 1 คสช. และมาตรา 44 เป็นอันสิ้นสุดลง และการบริหารราชการแผ่นดินย่อมเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติ 

ดังนั้นสามัญญผลใด ๆ หรือเหตุใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นอันเป็นผลจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงย่อมบังเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะเมื่อมีเหตุอย่างไรก็ย่อมให้ผลอย่างนั้น ออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาอย่างไรก็ต้องรับผลของรัฐธรรมนูญนี้อย่างนั้น ซึ่งต้องถือว่าเป็นชะตากรรมร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศไปจนกว่าจะสิ้นกรรมนั้น 

รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้มีลักษณะพิเศษสามประการ คือ เป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้ในพรรคแกนของรัฐบาลเองก็มีก๊กการเมืองต่าง ๆ หลายก๊กมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีเสียงปริ่มน้ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย คือเมื่อหักจำนวนประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มีมารยาทในการวางตัวต้องเป็นกลางออกแล้ว คะแนนเสียงของพรรครัฐบาลจะมีมากกว่าฝ่ายค้านแค่ 1 เสียงเท่านั้น 

ดังนั้นภารกิจหลักสำคัญประการหนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาลคือต้องทำให้สมาชิกฝ่ายรัฐบาลเข้าประชุมครบเป็นองค์ประชุมอยู่เสมอ และต้องสามารถฝ่ามติต่าง ๆ ได้โดยราบรื่น โดยเฉพาะมติสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

หากการประชุมสภาต้องล่มหรือรัฐบาลพ่ายแพ้มติสำคัญในวันใด รัฐบาลก็ต้องลาออกหรือต้องยุบสภา เว้นแต่จะตั้งท่าหน้าด้านไม่คำนึงถึงประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นจึงประมาทในกิจการฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้แม้แต่น้อย 

ส่วนในการบริหารราชการแผ่นดินนั้นขณะนี้มีหลายปัญหารุมเร้า ซึ่งในยุครัฐบาลที่ผ่านมามีพลังอำนาจที่สะกดไม่ให้ข่าวคราวความเดือดร้อนทั้งหลายแพร่หลายออกสู่สาธารณะ กระทั่งสามารถทำปฏิบัติการจิตวิทยาให้คนทั้งหลายพร้อมจะรอคอยว่าอีกไม่นานก็จะได้รับคืนความสุขแล้ว 

มีกรณียกิจสำคัญที่สมควรนำมาวางเพื่อให้ได้รับทราบและพิจารณาร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยามดังต่อไปนี้ 

เรื่องที่หนึ่ง คือการสร้างความเข้มแข็งในการประกอบสัมมาอาชีพให้กับราษฎรทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถยืนขึ้นประกอบสัมมาอาชีพได้บนลำแข้งลำขาของตนเอง แทนที่จะเอาแต่ลดแลกแจกแถมหรือให้ทานเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งผลแท้จริงก็คือการทำให้ประชาชาติไทยอ่อนแอ เปลี่ยนสภาพจากผู้ผลิตเป็นผู้รอคอยหรือขอทาน 

เรื่องที่สอง คือการเปลี่ยนแปลงการปิดกั้นประเทศไทยจากประเทศแลนด์ลิ้งค์และโอเชี่ยนลิ้งค์ ให้กลายเป็นประเทศแลนด์ล็อคคือติดต่อกับใครไม่ได้เพราะไม่เชื่อมต่อกับใคร นอกจากญี่ปุ่นและสหรัฐ ซึ่งเป็นวิเทโศบายที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง อันอาจนำประเทศชาติเข้าสู่ชะตากรรมเดียวกันกับอิรักและลิเบีย ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องทำการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มที่ รวมทั้งการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก ไม่ว่าทางลุ่มแม่น้ำโขง ทางด้านมหาสมุทรอินเดียและทางอ่าวไทยไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก 

คนไทยย่อมเข้าใจได้ว่าวาทกรรมที่ว่าประเทศไทยจะเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อนั้น แท้จริงแล้วคือการไม่เชื่อมต่อกับใคร นอกจากการติดต่อทางอากาศผ่านสนามบินต่าง ๆ หรือนัยหนึ่งก็คือการประกาศตนเป็นประเทศแลนด์ล็อคนั่นเอง 

เรื่องที่สาม คือการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของราษฎรทั่วประเทศอย่างน้อยที่สุดสามเรื่องให้ได้ผลโดยเร็ว นั่นคือ หนึ่ง การยกเลิกการใช้สารพิษที่ล้างผลาญชีวิตคนไทยให้เจ็บตายลงเป็นเบือในทันที สอง การปลดล็อคกัญชา ด้วยการแก้ไขกฎหมายยาเสพติด ให้การปลูก การใช้ และการจำหน่ายกัญชา กัญชง และกระท่อม เพื่อการรักษาความเจ็บป่วยไม่ว่าในรูปแบบใด ๆ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายยาเสพติดนั้น และสามคือลดราคาพลังงานลง ให้เท่ากับหรือใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ปิดฉากการขูดรีดคนไทยทั้งประเทศ 

เรื่องที่สี่ คือการแก้ไขปัญหาการโกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่ลุกลามไปทุกหย่อมหญ้า โดยการปรับปรุงมาตรการและใช้วิธีการในการแจ้งทรัพย์สิน โดยถือเอารายได้ในการเสียภาษีเป็นหลัก หากมีทรัพย์สินมากเกินรายได้ให้ถือว่าร่ำรวยผิดปกติ ต้องชี้แจงที่มาและต้องเสียภาษีให้ครบ มิฉะนั้นให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ให้พ้นจากตำแหน่งและดำเนินคดีอาญาด้วย 

เรื่องที่ห้า คือประเทศไทยไม่ได้มีแค่ EEC สามจังหวัดซึ่งเป็นจุดอับอยู่ในภาคตะวันออก แต่ยังมีพื้นที่ตามแนวชายแดนหลายจังหวัดทั่วประเทศที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและส่งเสริมให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือเขตการค้าชายแดน เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกพื้นที่ชายแดน ให้ประสานกับความเจริญของเมืองหลวงและเมืองใหญ่ และเพื่อสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศ 

เป็นความไร้เดียงสาอย่างยิ่งที่จะนำทรัพยากรส่วนใหญ่ของประเทศไปทุ่มเทลงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเพียงไม่กี่จังหวัด ซึ่งผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงคือเจ้าสัวนิคมอุตสาหกรรม 11 แห่งเท่านั้น ทรัพยากรของชาติจะต้องเผื่อแผ่ไปยังประชาชาติไทยทุกภูมิภาค โดยเฉพาะตามแนวชายแดนทั่วประเทศ เพราะถ้าเมื่อใดพื้นที่ชายแดนเจริญรุ่งเรือง เชื่อมโยงกับเมืองใหญ่และเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว นั่นก็คือความเจริญรุ่งเรืองของประเทศที่แท้จริง 

เรื่องที่หก คือการสร้างความสามัคคีภายในชาติ ซึ่งขณะนี้แตกแยกระส่ำระสาย คนไทยถูกปลุกปั่นโดยหน่วยปฏิบัติการทางจิตวิทยาหลายพวกหลายเหล่าปั่นหัวให้ทะเลาะ ถึงขนาดยินดีให้ฆ่าฟันกัน เป็นการทำให้คนไทยเหมือนจิ้งหรีดที่กัดกันจนตัวตาย เพียงเพื่อสนองความต้องการของนักปั่นเท่านั้น จะต้องน้อมนำเอาพระคาถาอันจารจารึกไว้ในตราแผ่นดินมาปฏิบัติให้เป็นผลจริงว่า สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา หรือความหมายว่าการใหญ่ของแผ่นดินจักสำเร็จได้ด้วยความสามัคคี เพราะถ้าสร้างความสามัคคีในชาติไม่ได้ อนาคตที่จะสิ้นชาติก็คงไม่ไกล 

เรื่องที่เจ็ด คือการทำให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลของต่างชาติบางประเทศหรือเจ้าสัวบางกลุ่ม โดยที่ไม่เห็นหัวประชาชน เพราะนั่นคือสาเหตุของความสิ้นชาติ 

บทเรียนการล่มสลายของประเทศจีนยุคพรรคก๊กมินตั๋ง ที่เป็นทั้งพรรคการเมืองและรัฐบาลของสี่ตระกูล ที่ยึดครองทั้งอำนาจทหารและเศรษฐกิจ คือตระกูลเจียง ซ่ง ค่ง เฉิน และทำให้ประเทศจีนอ่อนแอยากจน ทำให้คนจีนอดอยาก แร้นแค้น น้ำท่วมก็ตาย อากาศหนาวก็ตาย อาหารไม่พอกินก็ตาย และปล้นฆ่ากันตายจำนวนมาก จนกระทั่งสิ้นชาติ เป็นบทเรียนที่จะต้องตระหนักให้จงดี อย่าให้เหตุการณ์แบบนั้นบังเกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นอันขาด 

เรื่องที่แปด คือเรื่องยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ต้องยืนอยู่กับรูปธรรมที่เป็นมรรคผลที่แท้จริงแก่ประเทศชาติและประชาชน โดยสอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจุบันสมัย โดยเฉพาะคือการสร้างและฟื้นฟูชาติให้เป็นมหาอำนาจทางเกษตรอุตสาหกรรมตามพื้นฐานอันล้ำเลิศของประเทศไทย และการสร้างและฟื้นฟูชาติให้เป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งเป็นความล้ำเลิศอีกประการหนึ่งของประเทศไทยที่มีความเหนือกว่าประเทศใด ๆ ในโลก 

และนี่ก็คือยุทธศาสตร์พระราชทานในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้เห็นประจักษ์มาแล้วและยังมีความถูกต้อง มีความจำเป็นและเหมาะสมกับสภาพของประเทศไทยในปัจจุบันนี้อย่างยิ่ง 

ประเทศไทยจะยืนอยู่ได้ไม่ใช่ด้วยความแตกแยก แตกสามัคคี หรือการทะเลาะเบาะแว้ง แต่จะยืนอยู่ได้เพราะความสามัคคีในชาติ เพราะสันติภาพในประเทศ และการพัฒนาประเทศที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม 

เหล่านี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลประยุทธ์ 2 พึงพิจารณาโดยแยบคาย โดยยึดถือเอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้สมดังคำปฏิญาณที่ถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์นั้น

โจทย์หินรัฐบาลใหม่

หลังจาก “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นำคณะรัฐมนตรี รัฐบาล “ประยุทธ์ 2” เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ

ก็ถือว่า ครม.ได้เข้ารับหน้าที่โดยสมบูรณ์ สามารถเข้าไปนั่งประจำกระทรวงได้โดยมิต้องขัดเขินแต่ประการใด

ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 161 ที่ระบุว่า ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ด้วยถ้อยคำต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”

ที่สำคัญเมื่อรัฐมนตรีทั้ง 36 คน ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว ต้องจำให้ขึ้นใจ และนำไปปฏิบัติให้ได้อย่างที่กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณเอาไว้นะคุณโยม!!!

ส่วนการที่รัฐบาล “ลุงตู่ภาค 2” จะเข้าเกียร์เดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินได้เต็มสูบ ยังต้องผ่านพิธีกรรมทางสภาฯอีกหนึ่งสเต็ป นั่นก็คือการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาที่วางคิวกันไว้ 25–27 ก.ค.นี้

โดยนายกฯประยุทธ์จะนำทีม ครม.แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เดี่ยวไมโครโฟนนำร่องประมาณ 2 ชั่วโมง

ก่อนเปิดโอกาสให้ ส.ส.และ ส.ว.เรียงคิวอภิปราย งานนี้ ส.ส.ซีกรัฐบาล-ส.ว.ใคร่อภิปรายเชลียร์สรรเสริญเยินยอชื่นชม หรือ ส.ส.ฝ่ายค้านจะอภิปรายถล่มถลกหนังรัฐบาล เชิญบรรเลงกันได้เต็มที่

ขณะที่นายกฯและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แค่รอจังหวะชี้แจง แก้ต่างแก้ตัว อธิบายข้อสงสัย หรือหนักหน่อยก็งัดข้อมูลมาตอบโต้หักล้าง เพื่อไม่ให้ผู้ชม ทางบ้านหลงคล้อยตามฝ่ายค้าน

อย่างดีก่อนปิดฉาก นายกฯประยุทธ์ก็ลุกขึ้นขอบคุณสมาชิกที่อดทนอภิปรายหามรุ่งหามค่ำ โดยรัฐบาลจะรับข้อสังเกต ข้อเสนอแนะนำและความห่วงใยของสมาชิกไปพิจารณา ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

เพราะรายการนี้ไม่ต้องมีการลงมติ ไม่ต้องลุ้นเสียวเรื่องเสียงปริ่มน้ำแต่ประการใดนะทั่นผู้ชม!!!

แต่โจทย์ใหญ่ที่ ครม.ชุดใหม่ ต้องลุ้นกันตัวเกร็ง เมื่อเข้าบริหารประเทศเต็มตัว ก็คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง

ยิ่งเศรษฐกิจโลกผันผวนจากพิษภาวะสงครามการค้าระหว่างพี่เบิ้มอเมริกากับจีน ค่าเงินบาทแข็งโป๊กกดดันซ้ำ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกเต็มๆ แถมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเมืองไทยลดลงวูบวาบ

ทำให้กูรูเศรษฐกิจทุกสำนักต้องปรับลดหั่นตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกันอุตลุด ขณะที่พ่อค้าแม่ขายก็ร้องกันระงมค้าขายฝืดเคือง พืชผลเกษตรราคาตกต่ำ ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำมีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง

ช่วงรัฐบาล“ประยุทธ์ 1” บริหารมา 5 ปี มีทีมเศรษฐกิจแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกัน ภายใต้การนำของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ยังแก้ปัญหาได้กระท่อนกระแท่น

มาถึงรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญโดนหั่นให้พรรคร่วมรัฐบาลดูแล ถึงขั้นที่ ดร.สมคิดออกตัวล้อฟรี เที่ยวนี้เป็นรองนายกฯ แต่คงไม่ใช่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ตรงนี้แหละที่จะเป็นปัญหาใหญ่ ยิ่งถ้าเกิดรายการเหยียบตาปลา พรรคแกนนำกับพรรคร่วมฯประสานงานไม่ลงรอย กลายเป็นประสานงา โดยที่นายกฯประยุทธ์ตะล่อมไม่อยู่

จนเป็นปมให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องล้มเหลว ส่งผลให้ชาวประชาเดือดร้อนสาหัสหนักกว่าเดิม

ถึงตอนนั้นเสียงโห่ไล่นอกสภาจะดังยิ่งกว่าเสียงฝ่ายค้านอภิปรายหลายเท่าเลยนะคุณโยม!!!

“พ่อลูกอิน”