PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2560

'ทนายประเวศ'ประกาศไม่ยอมรับระบบยุติธรรมไทยคดี 112 โจทย์นัดสืบพยานฝ่ายเดียวปีหน้า

'ทนายประเวศ'ประกาศไม่ยอมรับระบบยุติธรรมไทยคดี 112 โจทย์นัดสืบพยานฝ่ายเดียวปีหน้า


หลังถูกคุมขังมา 5 เดือนโดยไม่ได้ประกันตัว ประเวศ ประภานุกูล ทนายความที่ตกเป็นจำเลยคดี 112 และ 116 รวม 13 กรรม แถลงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่ให้การต่อศาล ถอนทนายความ ไม่ลงชื่อในเอกสาร ประท้วงการพิจารณาคดีหมิ่นฯ ของศาลไทย โจทก์นัดสืบพยาน 11 ปาก พ.ค.ปีหน้า<--break- />

ประเวศ ประภานุกูล เดินทางจากเรือนจำมายังศาลอาญา
18 ก.ย.2560 ที่ศาลอาญา รัชดา มีนัดสอบให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีหมายเลขดำ อ.2368/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประเวศ ประภานุกูล ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนเป็นจำเลยข้อหาความผิดตามมาตรา 112, 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวม 13 กรรม โดยในวันนี้ประเวศถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เขากล่าวต่อศาลในห้องพิจารณาคดีว่า ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทย พร้อมทั้งยื่นคำร้องเป็นแถลงการณ์ 2 ฉบับ
แถลงการณ์ของเขาสรุปความได้ว่า จำเลยขอไม่เข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีนี้ โดยจะไม่ให้การต่อศาล ดำเนินการถอนทนายความ ไม่ถามค้านพยานโจทก์ ไม่นำสืบพยานจำเลย ไม่ลงชื่อในเอกสารใดๆ ของศาล เนื่องจากกังขาต่อความเป็นกลางของศาลไทยในคดีลักษณะนี้เนื่องจากศาลพิพากษาในพระปรมาภิไธย นอกจากนี้ในการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว (ประกันตัว) ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวโดยให้เหตุผลว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีเป็นการกระทำที่ร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักและเทิดทูนของประชาชนโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย อันอาจกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว จึงไม่อนุญาต ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ผู้ต้องหาและผู้ขอประกันทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว
“คำสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของศาลอาญาดังกล่าว จึงเป็นการพิจารณาคดีล่วงหน้าก่อนสืบพยาน เป็นการพิจารณาคดีว่า ข้าพเจ้ากระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายโดยที่ยังไม่มีการสืบพยาน เป็นการพิพากษาคดีล่วงหน้าว่าข้าพเจ้ากระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายก่อนฟ้องคดีอาญาด้วยซ้ำ” แถลงการณ์จำเลยระบุ
จากนั้นศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาคดีระบุว่า จำเลยยื่นคำร้องขอถอนทนายความจำนวน 3 คน ศาลอนุญาตให้จำเลยถอนทนายความ ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลไม่ได้ให้การโดยยืนยันข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำแถลงการณ์ 2 ฉบับของจำเลยที่ยื่นต่อศาล ศาลสอบถามคู่ความเกี่ยวกับพยานเอกสารที่จะให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจและอ้างส่งต่อศาลแล้ว โจทก์แถลงว่า มีพยานเอกสาร 20 ฉบับที่จะอ้างเป็นพยานให้จำเลยตรวจและส่งศาล จำเลยแถลงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของศาลและแถลงไม่ขอตรวจพยานหลักฐานดังกล่าว ส่วนพยานบุคคลนั้นโจทก์ประสงค์สืบพยานรวม 11 ปาก ศาลสอบถามจำเลยว่าจะยอมรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานโจทก์ดังกล่าวบ้างหรือไม่ จำเลยแถลงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของศาลไทย และยืนยันตามคำแถลงการณ์ 2 ฉบับข้างต้น และการสืบพยานจะใช้เวลา 2 วันครึ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานอัยการได้ทำการนัดหมายความสืบพยานที่ห้องคู่ความ ระบุวันนัดสืบพยานโจทก์ทั้ง 11 ปากในวันที่ 8,9,10 พ.ค.2561 หรืออีกราว 8 เดือน
“ผมเคยเขียนถึงวิธีต่อสู้คดี 112 แบบนี้ในเฟสบุ๊คมาก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับที่พูดไปนั้นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ผมไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อต้องอยู่แล้วก็ต้องใช้โอกาสนี้ให้ถึงที่สุด เพราะโทษที่เยอะขนาดนี้ อายุผมก็เท่านี้คงได้ตายในคุก....มันเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย”
“ที่คิดแบบนี้มันมาจากประสบการณ์ที่ทำคดีให้ดา (ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) และดูแนวทางของคดีอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมไม่มีความหวังเลยว่าจะสามารถต่อสู้คดีลักษณะนี้ได้เต็มที่และบนหลักการโดยแท้จริง”
ประเวศยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ช่วยให้จิตใจเขาคงสภาพอยู่ได้แม้สิ้นไร้หวังว่าจะได้ออกจากการคุมขังคือ การนั่งสมาธิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้มีตัวแทนจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน นักข่าว ญาติ เพื่อน รวมถึงอดีตลูกความของประเวศมาร่วมรับฟังการพิจารณาประมาณ 10 กว่าคน
บรรพต ไชยสา หนึ่งในผู้มาฟังการพิจารณาในวันนี้กล่าวว่า ที่มานั่งฟังเพราะรู้จักกับทนายประเวศมาตั้งแต่ปี 2537 เนื่องจากเขาประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำตกถนน กระดูกซี่โครงร้าวอาการสาหัส ในรถคันที่โดยสารมามีประกันอุบัติเหตุ พนักงานบริษัทประกันภัยพยายามที่จะให้เขายอมรับค่าชดเชยเพียงแค่ 2-3 หมื่นบาท
“ถึงขนาดที่จะให้ผมประทับลายนิ้วมือลงในหนังสือสัญญาเพื่อที่จะให้เป็นข้อยุติ ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นผมยังบาดเจ็บรักษาตัวต้องปิดตาทั้งสองข้างอยู่ เพื่อนของผมแนะนำให้ทนายประเวศเข้ามาช่วยฟ้องเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันภัยให้ สุดท้ายบริษัทประกันยอมที่จะจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้ประมาณสองแสนบาท ผมจึงได้เงินมารักษาตัว แต่สุดท้ายตาผมก็รักษาไว้ได้เพียงแค่ข้างเดียว อีกข้างต้องใส่ลูกตาเทียม” บรรพตกล่าว
เขากล่าวด้วยว่า ทนายประเวศช่วยคดีของเขาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงแค่จ่ายค่ารถและเลี้ยงอาหารทนายเท่านั้น เขากล่าวด้วยว่าตัวเองเป็นโรคไตวายเฉียบพลัน ในแต่ละวันต้องใช้น้ำยาล้างไตสี่ครั้ง การมาศาลครั้งนี้ทำให้ไม่สามารถล้างไตได้ตามกำหนดเวลาได้ อาจล้างได้เพียงแค่สองครั้ง
“แต่ผมอยากมาให้กำลังใจเพราะทนายประเวศมีบุญคุณกับผม” บรรพตกล่าว
ทั้งนี้ประเวศ ประภานุกูล อายุ 57 ปี มีอาชีพทนายความ เขาถูกควบคุมตัวตั้งแต่เช้าวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีหมายจับ ไม่มีหมายค้น และไม่แจ้งให้ผู้ถูกควบคุมตัวทราบว่าถูกควบคุมเพราะเหตุใด ก่อนจะพาตัวไปที่ มณฑลทหารบกที่ 11 เขาถูกสอบปากคำ และซักถามประวัติส่วนตัว ซึ่งประเวศให้ความร่วมมือ และยอมลงชื่อในเอกสาร เพราะคิดว่าจะได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน ระหว่างนั้นเขาขอโทรศัพท์ติดต่อบุคคลที่ไว้วางใจ แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัว จากนั้นจึงถูกดำเนินการแจ้งข้อหาและฝากขังจนครบ 7 ผัด โดยเคยยื่นประกันตัว 1 ครั้งแต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต

อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลไปเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ค.2560 คำฟ้องสรุปว่าในระหว่างวันที่ 25 ม.ค.-23 เม.ย.2560 ประเวศได้กระทำความผิดรวมทั้งหมด 13 กรรม โดยเป็นการกระทำความผิดในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวม 10กรรม และในข้อหากระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) รวม 3กรรม

"กบเลือกนาย"

"กบเลือกนาย"
"บิ๊กตู่" ชี้ 50 : 50 คนเบื่อหน้า และอยากให้อยู่ต่อ ยันไม่อยากกำหนดวันเลือกตั้ง. แต่ยึดตามโรดแมพ เดี๋ยวหาว่าสืบทอดอำนาจ ยกนิทานอีสปเตือนใจคนไทย อยากเป็น"กบเลือกนาย" เดี๋ยว เจอ นกกระสา
"วันนี้ต้องแก้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง หรือจะหารัฐบาลก็ไปหามา ไม่ใช่ผม ทุกอย่าง นายกฯหมด หัวหน้าคสช.หมด วันเลือกตั้ง ผมไปเลือกตั้งแทนท่านหรือไม่ ผมก็ไปลงคะแนนเลือกตั้งเหมือนพวกท่าน อย่าเลือกใครผิดอีก เข้าใจหรือยัง ระหว่างนี้ผมก็ไปตามโรดแมฟ กฎหมายลูกออกเมื่อไรก็เมื่อนั้น พอประกาศก็นับวันเลือกตั้งไปอีกกี่เดือน ต้องมีกระบวนการเลือกตั้ง กว่าจะเลือกตั้ง นับคะแนน และตั้งรัฐบาลเสร็จ ใช้เวลา 3-5 เดือน กฎหมายมีวิธีการอยู่แล้ว ไม่ใช่ประกาศเลือกตั้งวันนี้ พรุ่งนี้ได้รัฐบาล รัฐธรรมนูญเขียนไว้หมดแล้ว
"ทำไมต้องให้ผมมาบอกว่าเลือกตั้งวันที่เท่าไร พอผมบอกไปวันนี้วันนั้น แล้วทำไม่ได้ ก็ถูกมองว่าสืบทอดอำนาจ ยื้อ เอาไว้ ปัดโธ่ ! เชื่อเขาเหรอ ขอให้เชื่อผม ผมพูดขนาดนี้แล้ว พอได้แล้ว"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้มีใครไม่ทำผิดกฎหมายแล้วเดือดร้อน หลายคดีเข้าสู่กระบวนการจบแค่นั้น ศาลเขาทำงาน อย่าไปทำตัวแทนตำรวจ อัยการ ศาล ผู้พิพากษา วิพากษ์วิจารณ์กันจนเละไปหมด จนทำงานกันไม่ได้ นี่คือการปรองดองกันไม่ได้ ตนอยากจะฝากแค่นี้ เอาเวลามาคิดสิ่งดีๆ 
"เปิดมา 50 ด่าผมเหมือนหมู เหมือนหมา อีก 50 ให้กำลังใจ อยู่ไปนานๆผมก็ไม่รู้เหมือนกันจะเหลือเท่าไร อะไรจะมากน้อยกว่ากัน ผมยังไม่รู้ แต่ยิ่งอยู่นานคนไทยขี้เบื่อ เบื่อหน้าผม จำไว้นิทานอีสปมีอยู่ กบน้อยในสระ กบเลือกนายดูซิ เลือกให้ถูก หรือจะเลือกนกกระสามาอีก
เดี๋ยวสื่อก็พาดหัวอีกว่านายกฯด่า คนโน้นคนนี้ ใครไม่เกี่ยวก็อย่าเดือดร้อน ใครเป็นคนดีอย่าเดือดร้อน นักการเมืองและพรรคการเมืองดีๆก็มีเยอะ แต่มันเป็นเรื่องของนโยบายและหลักการคิด ทุกโครงการที่รัฐบาลทำมีความบริสุทธิ์ใจไม่ได้ต้องการเงินสักบาทเดียว กลไกข้างล่างต้องทำงานอย่าให้มีปัญหาอีก" พล.อ.ประยุทธ์

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่เศรษฐกิจตกทุกวันนี้จะต้องดูว่ามีปัญหาอย่างไร เกี่ยวข้องกับการที่บ้านเมืองสงบสุขหรือไม่ หรือจะให้บ้านเมืองวุ่นวาย มีปัญหามากๆเศรษฐกิจถึงจะดีขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงลำบาก อย่างไรก็ตามรัฐบาลยืนยันเดินหน้าตามโรดแมพการเลือกตั้ง เราจะต้องทำเพื่อลูกหลาน เพราะถึงตายก็เอาเงินไปไม่ได้สักบาท
และการเลือกตั้ง ขออย่าเลือกคนที่ไม่ดี คนที่คิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง แต่จะต้องเลือกคนที่มีจิตสาธารณะ คนที่คิดถึงคนสุพรรณบุรี และจังหวัดอื่น นั้นคือคนที่จะต้องเข้ามาบริหารบ้านเมือง

องคมนตรีย้ำไม่เคยเห็นใครโกงแล้วได้ดี ไม่ว่า รบ.ไหน พอหมดอำนาจ สิ่งไม่ดีจะออกมา

องคมนตรีย้ำไม่เคยเห็นใครโกงแล้วได้ดี ไม่ว่า รบ.ไหน พอหมดอำนาจ สิ่งไม่ดีจะออกมา


“ไพบูลย์” ชี้ไม่เคยเห็นใครโกงแล้วได้ดี ไม่ว่า รบ.ไหน ระบุโครงสร้างปราบทุจริต ปทท.ดี แต่ กม.บางอย่างไม่สอดคล้อง

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 18 กันยายน ที่โรงแรมริชมอนด์สไตลิช คอนเวนชั่น จังหวัดนนทบุรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ธรรมาภิบาลกับการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ” ว่า ทุกวันนี้ทุกคนรู้จักคำว่าธรรมาภิบาล ดังนั้น ให้ตนมานั่งพูดเรื่องทฤษฎีตนก็คงไม่พูดแล้ว ไม่มีใครไม่รู้ปัญหาว่าการทุจริตในบ้านเมืองเรานั้นรุนแรง และบั่นทอนการพัฒนาของบ้านเมืองเราขนาดไหน เรามียุทธศาสตร์ แต่เราไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง ถ้าท่านทำให้คนกล้าได้ ท่านจะทำให้คนทุจริตน้อยลงได้ ทั้งนี้ การทุจริตเกิดจากหน่วยงานของรัฐเป็นอันดับต้นๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้เกิด เพราะมีงบประมาณ มีผลประโยชน์โดยใช้ทรัพยากรของรัฐ หากรัฐบาลกล้าที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหา ปัญหาก็จะลดน้อยลง ซึ่งต้องใช้เวลา และกว่าจะไปถึงตรงนั้นทรัพยากรของชาติหมดไปแล้ว นอกจากนี้ คือเรื่องนโยบายพัฒนา คือ เราเสียเงินแสนล้านแต่การพัฒนาไม่ไปตามนั้น การปราบทุจริตจึงไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว ตนคิดว่าระบบการป้องกันนั้นดีที่สุด ป้องกันไม่ให้เกิด

พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ป.ป.ช.ได้มีการตั้งหน่วยงานอย่างศปท.ขึ้นมา ทั้งที่หน่วยงานรัฐเรามีหน่วยงานลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีรายงาน ซึ่งตนอยากฝากการบ้านไปถามว่า แล้วแบบนี้จะให้ศปท.เดินหน้าอย่างไร เพื่อช่วยเสริมโครงสร้างให้ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับหน่วยงานงานของรัฐได้ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจไปบอกศาล ไปบอกหน่วยงานราชการให้ดำเนินการเร็วๆ ได้ แต่เสียงก่นด่ามันไปยังรัฐบาลว่าคดีผ่านมานานแล้วทำไมไม่คืบหน้า อย่างไรก็ตาม ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ป.ป.ช.พยายามทำงานตรงนี้หนักมาก ทั้งนี้ ประเทศไทยใช้ระบบการปราบปรามนำทำให้ที่ผ่านมาเราสูญเสียงบประมาณเป็นจำนวนมาก และไม่ค่อยมีคนรับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้ตนดีใจที่การสร้างความรู้ให้แก่ประชาชนเรื่องการต่อต้านการทุจริตดีขึ้น สิ่งนี้ถือเป็นการป้องกันปัญหาระยะยาว

พล.อ.ไพบูลย์กล่าวอีกว่า บ้านเราพัฒนาโครงสร้างในด้านการปกครอง เรามีองค์กรอิสระ ฯลฯ แต่เราไม่ได้แก้กฎหมายให้สอดคล้องเลย กลุ่มที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือท้องถิ่นเวลามีเรื่องราวต่างๆ ซึ่งอ่านระเบียบแล้วน่าตกใจ เพราะเราเอาใครก็ได้มาเป็นผู้นำท้องถิ่นโดยการเลือกตั้ง ซึ่งบางคนไม่มีความเข้าใจในหลายๆ เรื่อง และกฎหมายบางข้อก็ไม่สอดคล้องกับท้องถิ่นเลย ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องการเอาเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า โดยผ่าน อปท. (โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท) ตนทำตรงนี้เห็นว่าติดที่ระเบียบ ส่วนใหญ่ไม่ผ่าน ทำให้เงินไม่ออกไปเสียที เพียงแค่นี้ก็กระทบระบบเศรษฐกิจแล้ว ตนจึงเสนอให้มีการแก้ระเบียบเพื่อให้เกิดการจ้างงานในระดับชุมชนอย่างแท้จริง เงินไม่ตกกับผู้รับเหมารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย

“ผมไม่เคยเห็นใครโกงแล้วได้ดี ไม่ว่ารัฐบาลไหน ย้ำนะ ไม่ว่ารัฐบาลไหน เราจำเป็นต้องใช้กระบวนการยุติธรรมในการจัดการ ซึ่งต้องใช้เวลา เวลาท่านอยู่ในอำนาจบารมีสิ่งไม่ดีเหล่านั้นจะไม่ออกมา แต่เมื่อใดที่อำนาจท่านหมด สิ่งเหล่านั้นจะค่อยๆ ออกมา” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

พรรคชาติไทยพัฒนา ยกทีม พบ "บิ๊กตู่"

ลู่ตามลม
พรรคชาติไทยพัฒนา ยกทีม พบ "บิ๊กตู่" /"ประภัตร"แบะท่า ยังไม่ต้องรีบเลือกตั้ง ชี้เลือกเร็วก็ไม่ได้ประโยชน์ หนุนบิ๊กตู่อยู่ต่อ/บิ๊กตู่ เรียกชื่อ"ท็อป" ลั่นพร้อมเล่นตามกติกา/นายกฯยันไม่เคยมองนักการเมืองเป็นศัตรู ยินดีพบพูดคุย แต่ต้องไม่ใช่บนความขัดแย้ง ยันตนเองเป็นกรรมการ ไม่ใช่ผู้เล่น

ความเคลื่อนไหวสำคัญทางการเมืองในการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอนเดินทาง มายังโรงเรียนเกษตรกรชาวนา สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง สุพรรณบุรี

มีแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เข่น นายวราวุธ ศิลปอาชา นายประภัตร โพธสุธน นายกรวีร์ และ นายภราดร ปริศนานันทกุล อดีตส.ส.อ่างทอง นายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ นายสรชัด สุจิตต์ อดีต ส.ส. สุพรรณบุรี นายเสมอกัน เที่ยงธรรม อดีต ส.ส. สุพรรณบุรี ให้การต้อนรับ
ซึ่งถือเป็นบิ๊กกลุ่มการเมืองกลุ่มแรกที่มาให้การต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์ ระหว่างลงพื้นที่ประชุมครม.สัญจร แตกต่างจากการประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดนครราชสีมาที่ไม่มีนักการเมืองมาปรากฎตัว

พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินเข้าไปทักทายนายวราวุธ พร้อมยิ้มอย่างเป็นกันเองก่อนถามว่า "สบายดีนะ" โดยนายวารุธ พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า "ขอบคุณครับท่าน"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ไม่กินข้าวก็ได้เพราะดีใจที่ได้พบกับประชาชน ได้พบนายประภัตรและนายวราวุธ
"ปลื้มใจที่จะได้เห็นประเทศเปลี่ยนแปลง รัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้เลือกข้าง โดยทุกคนต้องมาช่วยกันทำให้ประเทศเข้มแข็งและยั่งยืน
ดีใจที่พบนักการเมืองด้วย เพราะท่านทำมาเยอะ นักการเมืองก็ต้องสัญญาว่าจะทำให้ประเทศดีขึ้น และนักการเมืองต้องไม่ผิดสัญญา"

"ผมฝากกับพี่ประภัตร ฝากกับท็อป ฝากกับปริศนานนันทกุล ผมขอฝากความหวังไว้กับทุก เราจะต้องไม่ขัดแย้งกันอีก เราต้องเดินหน้าให้ได้
ส่วนคดีใครถูกผิด ถูกตัดสิน ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ และผมไม่ใช้มาตรา 44 ไปตัดสินใคร อยากให้พี่ประภัตรนึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย เป็นรัฐบาลคราวหน้าก็นึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เราต้องเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูป โดยเอาปัญหาต่างๆมาร้อยเรียง แล้วใช้เวลาแก้ไขปัญหา ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เขียนไว้กว้างๆ ไม่ได้บีบรัด ยอมรับว่าวันนี้เศรษฐกิจไม่ดีนัก แต่บ้านเมืองก็จะมีปัญหาอีกไม่ได้ จึงอย่าเอาเศรษฐกิจมาปนกับเรื่องการเมือง และโครงการของรัฐบาลก่อนหากทำไว้ดีตนก็ไม่ได้ล้มซะทั้งหมด
ในระหว่างที่พล.อ.ประยุทธ์พูดถึงการเลือกตั้ง นายประภัตร ได้แสดงความเห็นว่าถ้าประเทศยังไม่ปรองดอง ก็ไม่ต้องเลือกตั้ง
แต่มีข้อแม้ว่านายกฯต้องลงพื้นที่บ่อยๆ ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ชักชวนให้นายประภัตรไปด้วยกัน
จากนั้นนายกฯจะชวนให้นายประภัตรอภิปราย

โดยนายประภัตร กล่าวว่า "ขอบคุณที่นายกฯเปิดใจรับการเมือง เพราะนักการเมืองไม่ได้เลวทุกคน นักการเมืองดีก็มี การเลือกตั้งเร็วไม่ได้ประโยชน์ เพราะวันนี้ทะเลาะกัน ถ้าเลือกตั้งก็ต้องด่ากัน วันนี้ขอเพียงรัฐบาลแบ่งงบประมาณจากการโครงการรถไฟความเร็วสูงมาช่วยชาวนา เพราะเมื่อปากท้องของประชาชนอยู่ได้ นายกฯจะอยู่อีก 8 ปี 10 ปี ผมก็ไม่ว่า เพราะเวลานี้มีคนอยู่ได้ 2 ประเภทคือข้าราชการที่กินเงินเดือน และพระสงฆ์"

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า "นี่แหละบรรยากาศเลือกตั้งมาแล้ว แต่การเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องได้คนดี"
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้ขอความคิดเห็นจากนายวราวุธ ในฐานะคนรุ่นใหม่

โดยนายวราวุธ กล่าวว่า "เรายินดีที่คณะนายกฯให้เกียรติมาเยี่ยมจังหวัดสุพรรณบุรี คนสุพรรณบุรีอยู่กันเหมือนพี่น้องครอบครัวเดียวกัน และเราทำงานการเมืองโดยคิดถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนชาวสุพรรณ โดยเฉพาะชาวนา หากรัฐบาลมีนโยบายอย่างไร พวกเราพร้อมสนองนโยบาย และการเลือกตั้งก็ให้นายกฯเป็นคนตัดสิน โดยพวกเราจะรอเล่นอย่างเดียว ปีนี้ผมเป็นประธานสโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรี จึงต้องรอเล่นตามกติกาอย่างเดียว"

ต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ พูดติดตลกว่า "วันนี้เราใช้กติกาที่รัดกุม แต่ขอให้เล่นตามกติกา และขออย่าเอาผมไปเป็นผู้เล่นด้วยก็แล้วกัน วันนี้ผมทำหน้าที่เป็นกรรมการให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อย ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้จะกลายเป็นประเด็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์พรุ่งนี้ โดยจะพาดหัวว่ารัฐบาลจะต่อท่ออำนาจ

จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ได้สอบถามชื่อจริงของนักการเมืองที่มาร่วมงาน โดยไปสะดุดที่ชื่อนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ลูกชายของนายสมศักดิ์ ปริศนานนันทกุล แกนนำชทพ. พร้อมกล่าวแซวว่า "บอกคุณพ่อด้วยนะว่าบางทีคุณพ่อก็นะ"
ทำให้บรรดาแกนนำชทพ.และประชาชนส่งเสียงหัวเราะ
ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า "ส่วนตัวแล้วรักกัน รู้จักกันตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนตอนเป็นทหารทุกคนเมตตาผมหมด ไม่มีใครเป็นศัตรูผมเลย แต่เมื่อมาเป็นนายกฯทำไมศัตรูเยอะก็ไม่รู้"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.สุพรรณบุรี ว่า อนาคตของประเทศจะเปลี่ยนแปลงด้วยประชาชนทุกคน ไม่ได้เป็นเพราะตน หรือคนใดคนหนึ่ง ต้องเปลี่ยนด้วยมือคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งหนึ่งคะแนนเสียงมีความสำคัญในการเลือกตั้ง แต่เมื่อได้คะแนนเสียงมาแล้ว ทุกคนคือการรวมพลังของคนที่ได้รับเลือกเข้ามาไปสู่การขับเคลื่อนประเทศ วันนี้เราต้องช่วยกัน ลดปัญหาลงให้ได้ด้วยการทำงานร่วมกัน ถ้าไม่ขัดแย้งจะลดได้เยอะ ที่ทำไม่ได้เพราะยังขัดแย้ง ติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ

"วันนี้มีโอกาสได้พบนักการเมืองที่ดีๆ ที่มีความเห็นสอดคล้องกัน ผมยินดีต้อนรับทุกท่าน ผมไม่เคยว่านักการเมืองหรือพรรคการเมืองไม่ดี ผมพูดถึงว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไม่ดีกระบวนการยุติธรรมไปว่ากันมา ใครที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวที่ผมจะต้องมาเป็นศัตรูกับใคร และถ้าทุกคนเห็นด้วยนี่แหละคือประชารัฐอย่างแท้จริง รวมถึงนักการเมืองที่ดีทุกพรรค ผมยินดีจะพูดคุยพบปะ
แต่ขอให้พูดคุยในเรื่องที่เป็นประโยชน์ พูดคุยว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ใช่พูดแล้วขัดแย้ง จากนั้นก็ไป อย่างนี้ทำไม่ได้ เปิดการประชุมปรองดองหลายครั้งแล้ว เรียกมาก็พูดแต่ปัญหาแล้วก็ไป แล้วไม่ฟังที่รัฐบาลชี้แจง อย่างนี้ไม่จริงใจ ก็ไปคัดแยกให้ดีแล้วกันนะ" นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่า เมื่อมาเจอนักการเมืองแบบนี้ คิดว่าสิ่งที่ทำมาจะไม่เสียของใช่หรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ประชาชนเป็นคนตอบว่าเสียของหรือไม่เสียของ ไปถามประชาชนโน่น นักการเมืองคือผู้ที่มาบริหารราชการแผ่นดิน หลายอย่างท่านก็ทำดีไว้แล้ว ตนก็มาทำต่อให้ดีขึ้น หลายอย่างที่มีปัญหาตนก็มาแก้ไขให้ วันหน้าทุกคนก็ต้องทำแบบเดิม ไม่ใช่ว่าเสียของหรือไม่เสียของ แต่อยู่ที่พวกเรา ต่อให้ตนทำดีแทบตาย ต่อให้คิดมากมหาศาลเท่าไหร่ แต่ทำไม่ได้นั้นแหละคือเสียของเพราะติดความขัดแย้งไง

จากนั้นนายกฯได้หันมาถามผู้สื่อข่าวซึ่งนั่งยื่นเทปอัด ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวว่า "เหนื่อยไหม เห็นไหมว่าฉันยังเหนื่อยเลย ไม่ได้ขี่รถไถอย่างนี้มานานแล้ว รถแทรคเตอร์ขับเป็นหมด" รมว.มหาดไทยอยู่กับชาวนามากี่ปี เคยอยู่ที่นี้มาแล้ว รมว.มหาดไทยรู้ ดังนั้นจะกินข้าวให้นึกถึงคนปลูกว่าเขาเหนื่อย
และบางคนก็ใช้ควายทำนา ซึ่งอาจจะน้อยลง ถ้าเรายังทำให้ลดต้นทุนการผลิตไม่ได้ขายข้าวก็มีปัญหาหมด กลไกตลาดแทรกแซงไม่ได้ มีแต่ว่าต้องสร้างความแตกต่างให้ได้ เมื่อเช้าบอกให้ขึ้นค่าแรงงาน แต่วันนี้ต้องดูรอบบ้านเราด้วยว่าเท่าไหร่ แล้วจะเร่งให้รีบขึ้นค่าแรงทุกอย่างมันก็จบ ต้องช่วยตนแบบนี้สร้างความเข้าใจ

เมื่อถามว่า เห็นนายกฯพูดถึงกบเลือกนาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนพูดว่าก็เหมือนทุกคนนั้นแหละจะเลือกใครมาก็ตามจากการเลือกตั้งท้องถิ่น การเลือกตั้งข้างบน ตนก็เป็นกบนะ คนทั้งประเทศนั้นคือกบ
เมื่อถามย้ำว่า เคยเลือกนายผิด เลือกนกกระสามาหรือเปล่า นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่าเขาเป็นนกกระสาหรือเป็นอะไรมาก่อน แต่เมื่อเขาเปลี่ยนพฤติกรรมมันก็เรื่องของเขา ตนถึงได้บอกว่าตนผิดด้วย ตนเลือกมาไง

เมื่อถามต่อว่า ต่อไปมั่นใจหรือไม่จะไม่เลือกผิดอีก นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับตน เชื่อว่าตนไม่เลือกผิดอยู่แล้ว แล้วคุณเลือกผิดหรือเปล่า หรือคุณไม่เลือกใครเลย เลือกเอาความขัดแย้ง ให้คนเขามีหลักคิดว่าประเทศจะพัฒนาอย่างไร จะลดปัญหา ปรองดองกันอย่างไร การเมืองจะเดินหน้าอย่างไร นั้นคือส่ิงที่ตนต้องการ ที่พูดอยู่ทุกวัน

ไอ้หนุ่ม รถไถ (หยอด) ยุค4.0




ไอ้หนุ่ม รถไถ (หยอด) ยุค4.0!!.... ฟิน เลย

"นายกฯบิ๊กตู่" เยี่ยมชมผลการดำเนินงานของโรงเรียนเกษตรกรชาวนาจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมทดลอง รถหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวในแปลงสาธิต ด้วย พร้อมชื่นชม ที่นำเทคโนโลยี่ มาปรับใช้ ในการทำนา

คสช. สั่งทหาร ชี้แจง การขึ้นภาษี เหล้า-บุหรี่ให้ประชาชนเข้าใจ

คสช. สั่งทหาร ชี้แจง การขึ้นภาษี เหล้า-บุหรี่ให้ประชาชนเข้าใจ และตรวจตรา ป้องกันการกักตุนสินค้า/ จับตาความเคลื่อนไหวทางสังคม การตัดสินคดีความสำคัญ การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ดูแลความปลอดภัย/ "บิ๊กแกละ"นั่งหัวโต๊ะแทน "บิ๊กเจี๊ยบ" ที่ไปเกาหลี
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลเอก พิสิทธิ์ สิทธิสาร รองผบทบ.และรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ แทน พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท. ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการคสช. ที่ไปประชุมผบ.ทบ.ภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก ที่เกาหลีใต้
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคสช. กล่าวว่า พลเอก พิสิทธิ์ กล่าวถึงการทำงานในช่วงต่อไป ที่ยังคงต้องให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อย่างเข้มแข็ง
พร้อมชี้แจงข้อมูลความคืบหน้าในมาตรการและนโยบายของรัฐให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ในเรื่องการปรับโครงสร้างภาษี สุรา ยาสูบ ซึ่งสังคมให้ความสนใจ ขอให้ร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ
รวมถึงการตรวจสอบและเฝ้าระวังมิให้มีการกักตุนสินค้า ที่อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและผู้บริโภคด้วย
อย่างไรก็ตามในห้วงเวลาต่อจากนี้ ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทางสังคมในทุกมิติ การตัดสินคดีความสำคัญ การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง รวมทั้งการดูแลสร้างความปลอดภัย
ซึ่ง พลเอก พิสิทธิ์ กำชับให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ติดตามข้อมูลและพร้อมชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจในทิศทางที่ถูกต้อง
รวมทั้งการขอความร่วมมือภาคประชาชน ภาคสังคมในการเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ กำชับให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเป็นไปด้วยความรอบคอบโปร่งใสและตรวจสอบได้

สงสัยจะเป็นเพราะ "แว่นตา"

ไม่รู้จะโทษอะไรดี?....สงสัยจะเป็นเพราะ "แว่นตา" อันเนี๊ยะ ที่ทำให้ บิ๊กตู่ 'รมณ์เสีย แบบ ไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อวันศุกร์......เหอๆ55
ขนาด นักข่าว ที่นายกฯสนิท ถามแค่เรื่อง การออกกม.ให้ใช้ประโยชน์ 2ข้างทางริมทางรถไฟ ไม่ใช่เรื่องการเมือง สักหน่อย นายกฯยัง ปริ๊ดดดด!! อย่างแรง....
แต่ดูแวว แล้ว คงจะเพราะ "พี่รอง" พี่เลิฟ บิ๊กป๊อก พลเอกอนุพงษ์ รมว.มหาดไทย กำลังตกเป็นเป้า อย่างต่อเนื่อง. จาก "ยิ่งลักษณ์" หนี มา ป่ากระทิงแดง และ โดยเฉพาะเรือเหาะ
วันนี้ ลงพื้นที่ สุพรรณบุรี-และครม.อยุธยา พรุ่งนี้ เจอชาวบ้าน นายกฯคงจะอารมณ์ดีขึ้น
.......
ศุกร์15กย.2560
"บิ๊กตู่”อารมณ์เสีย โทษสื่อ เปิดโอกาสให้คนมีคดี พูดออกสื่อทุกวัน แล้วเอามาใส่ผมผมก็ต้องสวนกลับไป ทางโน้นก็สวนกลับมา สนุกกันนักหรือไง ลั่นวันนี้ปรองดองได้อย่างเดียว คือทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวอย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียวหลังตอบคำถามถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ว่า วันนี้เป็นเหมือนกันทุกเรื่อง สื่อเอาอีกข้างมาว่าข้างนี้ เอาข้างนี้ไปให้ข้างโน้น หาเหตุอยู่เช่นนี้ ไม่มีจบ
ไม่ต้องไปถามเรื่องใต้ เรื่องที่กรุงเทพฯ เรื่องการเมืองก็เหมือนกัน ตราบใดที่ยังปล่อยให้คนเหล่านี้คนที่มีคดีออกมาพูดออกสื่อทุกวันมันทำได้หรือไม่
“เคยมีมั้ย ที่ประเทศไหนทำ ก็มีแต่ประเทศไทยนี่แหละที่คนอยู่ในคดีออกมาพูดทุกวัน คดีกองเป็นหลายๆคดี แต่ก็ยังออกมาพูด สื่อเองก็นำเสนอข่าวแล้วก็เอามาใส่ผม แล้วผมก็ต้องสวนกลับไป ทางโน้นก็สวนกลับมา สนุกกันนักหรืออย่างไร
ผมไม่โต้ตอบอีกแล้ว พวกคุณอยากจะฟังไอ้พวกนั้นก็ฟังไปเถอะ เพราะถึงเวลาก็บอกว่าไม่เป็นธรรมอีก ดำเนินคดีข้างเดียว มันทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีจบ ไม่มีปรองดองกันได้
วันนี้จะปรองดองได้อย่างเดียวคือการใช้กฎหมาย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นคือกระบวนการปรองดอง แล้วว่าไปตามขั้นตอน ถ้าไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมผมยังนึกไม่ออกว่าจะปรองดองด้วยวิธีการอะไร”

'การเมืองเรื่องโม้ไปตามโพล'

"นาวาโทนายแพทย์เดชา สุขารมณ์" โทร.มาถาม
"๒๑ กันยา ว่างมั้ย..........
ถ้าว่าง ให้ไปร่วมถวายเพลพระด้วยกันที่ 'โรงพยาบาลสงฆ์?' "
จำได้ว่า ๒๑ กันยา เป็นวัน "ครบรอบวันเกิด" พี่หมอ แต่เป็นปีที่เท่าไหร่
เบื่อจะนับ!
เอาที่จำได้ เท่าที่สัมผัสกับพี่หมอมา ก็กว่า ๕๐ ปีแล้ว
ครั้งกระนั้น กะโผลกกะเผลกไปหาที่คลินิกถนนข้าวสารประจำ ซึ่งย่านนั้น เป็นมรดกตกทอดตระกูลพี่หมอเกือบครึ่งถนน
๕๐-๖๐ ปีก่อน หุ่นพี่หมอเป๊ะเวอร์อย่างไร ตอนนี้ก็อย่างนั้น เพียงแต่อั๋นขึ้นนิดหน่อย
นึกย้อนอดีต จากถนนข้าวสาร มาโรงพยาบาลเดชา จนไปเล่นการเมือง เป็น ส.ส.เป็นรัฐมนตรี
คำนวณแล้ว พี่หมอเดชาปีนี้ ไม่หนี ๘๐-๘๕ ขวบ!
คนทั่วไป จะรู้จักหมอเดชา ว่าเป็นหมอ เป็นนักการเมือง แต่ยังมีอีกด้านหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่รู้
ว่า "นาวาโทนายแพทย์เดชา" คือ.........
เครื่องบันทึกเบื้องหลังประวัติศาสตร์รอยต่อ ระหว่าง "จอมพลถนอม กิตติขจร" กับ "เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๑๖"
จนถึงวันนี้...........
"เทปบันทึก" เครื่องนี้ ที่ยังไม่เคยเปิด!
เพราะตอนนั้น พี่หมอเป็นแพทย์ส่วนตัวของจอมพลถนอม จะเรียกว่า "เงา" ก็ไม่ผิด
แทบทุกเรื่องที่เกิดกับจอมพลถนอม ก่อนไปสู่เหตุการณ์ ๑๔ ตุลา เท่าที่รู้-ที่ปรากฏต่อสาธารณะ
เป็นภาพจาก "ฉากหน้า" ของเรื่องราวเป็นส่วนใหญ่
ส่วน "เรื่องจริง-ของจริง" อันเป็นฉากหลัง..........
ในฐานะแพทย์ประจำตัว ทำให้หมอเดชาได้รับรู้-รับเห็นโดยตรงอยู่มากเรื่อง!
ผมพบพี่หมอเดชาทีไร นอกจากท่านจะเลี้ยงข้าว-เลี้ยงปลาแล้ว ยังต้องถามทำนอง "เคาะ" บางเรื่อง-บางประเด็นที่ "โลกยังไม่รู้" ให้ออกมาเสมอ
ซึ่งพี่หมอก็ยินดีเล่าให้ฟังแทบทุกเรื่อง!
นึกๆ ก็เสียดายความเป็น "หอจดหมายเหตุ" มีชีวิตในตัวพี่หมอ เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ควรรู้
ถ้าไม่มีใครไปขอจดบันทึกไว้ .....
ฉากเปลี่ยนประชาธิปไตยไทย "บางช่วง-บางตอน" รวมถึงความเป็นมาของบางที่-บางแห่ง อันเรียกว่าเบื้องหลัง
ก็คงเป็น "บรรทัดว่าง" ในหน้าประวัติศาสตร์ รุ่นต่อไป ถ้าอยากรู้ ก็คงต้องวิจัยเอาจากฝุ่นเท่านั้น!
คุยการบ้าน-การเมืองบ้างดีกว่า เพราะช่วงนี้ ปลุกกระแส "เลือกตั้ง-รัฐบาลแห่งชาติ" กันรายวัน
คุยตามความรู้สึกและความต้องการ จะเอาแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าต้องการคุยบนฐานที่เป็นไปได้
ต้อง "ยึดแกน" ในเรื่องที่จะคุย
อย่างเรื่องเลือกตั้ง ใครก็อยาก แต่จะเป็นตามอยากหรือไม่ แกนของมันที่ต้องยึด อยู่ที่ต้นเดือนธันวาคมนี้
คือ "เส้นตาย" ตามรัฐธรรมนูญ ที่กฎหมายลูก ๔ ฉบับ เกี่ยวกับเลือกตั้งต้องเสร็จ
เสร็จแล้ว ต้องผ่าน สนช.และนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้
ถ้าราบรื่นไปตามนี้ ที่โพลเป็นยาขับเลือดเร่ง ว่าประชาชนอยากให้เลือกตั้งภายในกันยา ๖๑ หรือภายในปีหน้า นั้น
ก็เป็นตามนั้น ตามโรดแมป
แต่จะเป็นตามนั้นหรือไม่ แน่ๆ ต้องอดใจรอดูต้นธันวา เห็น กรธ.ของอาจารย์มีชัย ส่งสัญญาณแล้วว่า
กฎหมายลูก ๔ ฉบับ เสร็จพร้อมส่ง สนช.ทันตามกำหนด!
เมื่อวาน (๑๗ ก.ย.) สวนดุสิตโพล ของ ม.สวนดุสิต ซูเปอร์โพล ของนพดล กรรณิกา ออกผลสำรวจด้านเลือกตั้งไปทางเดียวกัน
คือ เปอร์เซ็นต์ต้องการให้เลือกตั้งปีหน้า สูงมาก!
ที่มาแปลก-มาแหลมเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นซูเปอร์โพล ของ ดร.นพดล "เจ้าเก่า"
บอก...ผลโพลชี้ไปทางว่า
"พรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคกำลังขึ้นอยู่ในอันดับแรกของความตั้งใจประชาชน"
เหตุผล คือ........
"พรรคเพื่อไทย ยังไม่ชัดเจนว่า ใครเป็นหัวหน้าพรรค"!?
และทำให้.......
"พรรคเล็ก-พรรคน้อย-พรรคเกิดใหม่-พรรคขนาดกลาง รวมๆ กันขึ้นมา อยู่ในอันดับที่ ๒ ในความตั้งใจจะเลือกของประชาชน"
ส่วนเลือกตั้งแล้ว .............
พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง และพรรคที่ครองใจคนจนได้เป็นอันดับหนึ่ง
ประชาชนยังไม่รู้ ว่าจะเดินไปทางไหน อะไรจะเกิดขึ้น หลังการเลือกตั้ง?
ผมว่า คนที่ตอบแบบสอบถามซูเปอร์โพลนี้ ต้องเป็นซูเปอร์คอหวานระดับ ดร.นพดลแน่ๆ!
เพราะเท่าที่ดู เป็นการตอบแบบลูกกลิ้งการเมือง มากกว่าตอบแบบชาวบ้านทั่วๆ ไป
ที่ว่าจะเลือกประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค เป็นอันดับแรก
ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะยังไม่ชัดเจน ใครเป็นหัวหน้าพรรค นั้น
เป็นคำตอบตรรกะแสดงถึงชาวบ้านวันนี้ "บรรลุการเมือง" แล้วจริงๆ
เลือก "ประชาธิปัตย์-อภิสิทธิ์" เพราะมีความชัดเจน ในพรรค ที่มีหัวหน้าพรรค
ตรงนี้ ถูกในเชิงตอบตามเหตุและผล
แต่ถูกในเชิงปฏิบัติตอนเลือกตั้งหรือไม่...ไม่รู้!
และที่ไม่เลือกเพื่อไทย เพราะไม่ชัดเจน ว่าใครเป็นหัวหน้าพรรค
นี่ก็เหมือนกัน ถูกตามตรรกะ.........
แต่ในทางเป็นจริง จะเป็นทางที่ "สวนทาง" เพราะถึงอย่างไร เพื่อไทยก็ต้องมีหัวหน้าพรรคตอนเลือกตั้งแน่
นั่นหมายถึงว่า การจะเลือกเพื่อไทยหรือไม่เลือก ไม่ได้ขึ้นกับใครเป็นหัวหน้าพรรคโดยตรง
แต่ขึ้นอยู่กับว่า Who is Who?
และ Who ผู้นั้น...........
"พร้อมจ่าย" และแน่วแน่สืบสานปณิธานแดงแดกทั้งแผ่นดิน ด้วยนโยบาย "โกงไม่เป็นไร ได้เอามาแบ่งกัน" หรือไม่?
ยิ่งถ้า Who ที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้า มาจากนอกวงสายสิญจน์ "ชินวัตรตราสัง" ด้วยแล้ว
ไม่ต้องรอชาวบ้านเลือก-ไม่เลือกหรอก
อดีต ส.ส.ในสังกัด ที่รอค่าตัว เป็นเห็บกระโดดไปหาพรรคใหม่หมดแล้ว!
และผลโพลที่ว่า พรรคเล็ก-พรรคน้อย-พรรคเกิดใหม่-พรรคขนาดกลาง รวมๆ กันมาเป็นดับสอง รองจากประชาธิปัตย์ ที่คนจะเลือก
ถ้าชาวบ้านเป็นผู้ตอบจริงๆ ละก็.........
ผู้น้อยขอคารวะ
แสดงว่าประชาชนคนไทยหลัง ๒๒ พฤษภา ๕๗ เกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นอรหันต์การเมืองกันแล้ว!
แต่เมื่อนำคำตอบโพลเข้าสมการ โฉมหน้ารัฐบาลเลือกตั้งปี ๖๑ หรือต้น ๖๒ และคนเป็นนายกฯ
จะออกมาตามลักษณะคำตอบโพลข้อสุดท้ายที่ว่า.............
"เลือกตั้งแล้ว พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง และพรรคที่ครองใจคน จนได้เป็นอันดับหนึ่ง
ประชาชนยังไม่รู้ ว่าจะเดินไปทางไหน อะไรจะเกิดขึ้น หลังการเลือกตั้ง"
นั่นแหละ...ยิ่งกว่าหมอดูอีทีทำนายซะอีก!
ผลโพลนี้ "โคตรคลาสสิก".........
บอกพรรคครองใจประชาชน ชนะเลือกตั้ง เป็นอันดับหนึ่ง แต่ประชาชนไม่รู้ จะเดินไปทางไหน อะไรจะเกิดขึ้น?
ถ้าจะให้ผมถอดรหัส ก็จะถอดว่า..........
"ชนะเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน" หมายถึงประชาชนเกิด "เมืองลับแล" ขึ้นในหัวใจ ประมาณนั้น
"เมืองลับแล" นั้นคือ เลือกตั้งแล้ว รู้พรรคชนะ
แต่ไม่รู้............
ที่ชนะนั้น "ใครล่ะ..จะเป็นนายกฯ?"
เนี่ย อนาคตหลังเลือกตั้ง (ถ้ามี) ที่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน และอะไรจะเกิดขึ้น
ก็จาก.........
นายกฯ "ชื่ออภิสิทธื์" หรือ "ชื่อประยุทธ์" นั่นแหละ.

ดวงชะตานักการเมืองบนกำมือ“หมออีที” : แค่ฝันตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

ดวงชะตานักการเมืองบนกำมือ“หมออีที” : แค่ฝันตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

หมอดูพม่ากับการเมืองไทย หลังสิ้น “ส่วย ส่วย วิน” หรือ “หมอดูอีที” ชาวเมียนมา ซึ่งเกี่ยวโยงกับนักการเมืองไทยมาเป็นระยะ ทีมข่าวการเมือง ขอเริ่มต้นตั้งแต่สมัย “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก้าวขึ้นเป็นใหญ่ในกองทัพ ก็เดินทางไปเยือนเมียนมาพบผู้นำเบอร์หนึ่ง เจรจาถูกคอก็แนะนำให้ไปตรวจชะตาราศีหมอดูชื่อดังในเมืองย่างกุ้ง

ตรวจดวงแม่นเหมือนจับวาง ชะตาชีวิตพลิกผันจากนายทหารเป็นนักการเมืองเต็มตัว นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ แม่นถึงขนาดบอกถึงเส้นทางชีวิตว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากนั้นไม่นานเป็นที่ร่ำลือในกองทัพ นับจากนั้นถนนทุกสายก็วิ่งเข้าสู่ย่างกุ้ง เพื่อตรวจดวงชะตากับหมอดูชื่อดัง

ด้วยเพราะความแม่นและศรัทธา ในยุคพรรคไทยรักไทย ส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงสนามสู้ศึกเป็นครั้งแรก
ระดับแกนนำของพรรคบางคนขอให้ “หมออีที” ทำนายรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ แล้วทำเครื่องหมายหน้าชื่อบุคคลที่จะสอบได้และสอบตก

ผลที่ออกมาปรากฏได้ทะลุเกิน 240 คน ในจำนวนนี้มีผู้สมัคร ส.ส.ที่มีชื่อเสียงถูกกาให้ตก และคนที่โนเนมประเภท “นกแล” กลับสอบได้เป็นทิวแถว วันเลือกตั้งจริงมาถึง ผลคะแนนออกมาตามนั้นเกือบทั้งหมด กวาด ส.ส.มาได้ 247 คน จากจำนวน ส.ส. 500 คน เล่นเอาแกนนำคนดังกล่าวถึงกับอ้าปากค้าง

เช่นเดียวกันในปี 49 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็ไปเช็กดวงชะตาครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางไปร่วมประชุมสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดย “หมออีที” ระบุว่าจะไม่ได้กลับประเทศไทยอีก

สุดท้ายเป็นจริงตามคำทำนาย รัฐบาลทักษิณถูกกองทัพปฏิวัติ

แม้แต่บิ๊กเนมใน คสช.บางคนสมัยเป็นนายพลยังเคยไปดู และอดีต ผบ.ทบ.บางคนก็ไปดูก่อนได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ทบ. เป็นไปตามคำทำนายเหมือนหยั่งรู้อนาคตได้

ขณะที่ในยุคนี้มีทั้งบุคคลในวงการเมืองมีแง่มุมสะท้อนถึง “หมออีที” และความน่าจะเป็นของการตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ”

เริ่มจาก นายถวิล ไพรสณฑ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า “หมอดูอีที” กับนักการเมืองไทยมีมานานมากแล้ว ได้ยินเสียงร่ำลือว่าดูแม่นมาก เชื่อว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง แวดวงนักการเมืองและทหารไปดูที่พม่าหรือเชิญ “หมออีที” มาดูที่บ้าน

เมื่อเจอหน้าครั้งแรกเรายังไม่ได้พูดอะไรเลย ก็รู้สึกทึ่งตั้งแต่ทายหมายเลขแบงก์ในกระเป๋าสตางค์เรา รวมถึงคณะที่ไปด้วยกัน ปรากฏว่าตรงเป๊ะ จากนั้นหมอดูก็เขียนชื่อ นามสกุล จังหวัดภูมิลำเนาที่เกิด วัน เดือน ปีเกิด ทำนายถูกหมด ไม่ทราบว่ารู้ได้อย่างไร ทั้งที่ไม่ได้ถามเราเลย

การทำนายทางการเมืองก็บอกเพียงว่าอยู่ในวงการนี้มานาน เพราะเราไม่ได้ถามในเรื่องของตำแหน่ง แต่คณะที่ไปด้วยในช่วงเดือน ก.ค.59 ในจำนวนนี้ได้ถามถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “หมออีที” เขียนมาว่าจะได้เป็นนายกฯรอบสอง ดูสถานการณ์การเมืองวันนี้มันยากมาก แต่เวลากำลังรอพิสูจน์เรื่องนี้อยู่

ดูแล้วมีโอกาสแค่ไหนจะเกิดรัฐบาลแห่งชาติตามที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เสนอ เรื่องนี้ไม่ต้องให้หมอดูทำนาย แต่ขอให้นักการเมืองรุ่นใหญ่อย่าง นายถวิลทำนายว่า ส่วนตัวเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

แค่เป็นรัฐบาลพรรคเดียว หรือมีพรรคหลักแล้วทาบพรรคอื่นมาร่วมเป็นรัฐบาลก็ยังวุ่นวาย เพราะมีการต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีดูแลกระทรวงต่างๆ เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ค่อยมี

ยิ่งในยุคนี้ถ้าจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นนายกฯ อีกสมัย
พรรคประชาธิปัตย์คุยในสภากาแฟ ส่วนตัวเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เข้าไปร่วมด้วยแน่ หัวหน้าพรรคก็พูดชัดเจนว่า เป็นไปไม่ได้ ถ้าถูกเชิญเข้าร่วมรัฐบาล จะต้องดูนโยบายก่อนว่าสอดคล้องกันหรือไม่ มันยากพอสมควร

และ พล.อ.ประยุทธ์ควรจะถามตรงไปเลยว่าเลือกพรรคเพื่อไทยมาร่วมเป็นรัฐบาลด้วยหรือไม่

เชื่อว่าทุกพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ไม่มีทางเกิดขึ้นในประเทศไทย

ขณะที่ “เสธ.อู้” พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช รองประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน บอกว่า เริ่มสัมผัส “อาจารย์อีที” ปี49 มีวิถีชีวิตอยู่ในห้องสวดมนต์ตลอดวัน เป็นคนที่ทำบุญมากที่สุดคนหนึ่งในพม่า และมี 3 เรื่องห้ามถาม คือ การเมืองในพม่า การพนันและของหาย

ช่วงแรกๆไปบ่อย ช่วงหลังนัดยากมาก ไป 2 ปีครั้ง การทำนายใช้พลังญาณทิพย์เพ่ง สามารถมองเห็นจิตใจของเราได้ แล้วเขียนเป็นภาษาอังกฤษตัวโตๆ และมีพี่สาวช่วยอธิบายให้

เริ่มจากทายเลขแบงก์ในกระเป๋าสตางค์ ซึ่งจะทำกับทุกคน ถูกร้อยละ 99 ที่ผิดอาจจะเกิดจากแบงก์พับ
ผมพาคนไปดูครั้งละ 5-6 คน แต่ละวันดู 5 คน ประมาณ 3 ชั่วโมง เวลา 08.30-11.00 น. แค่นั้น จะเขียนลงในกระดาษหน้าละ 7-8 บรรทัด ประมาณ 4-5 หน้าต่อครั้ง ก่อนเปิดให้ถาม ถามปุ๊บท่านก็เขียนเลย แต่ส่วนใหญ่แค่เราอ้าปากจะถาม ท่านก็เขียนแล้ว นี่แหละที่เขาเรียกว่าญาณวิเศษ รู้หมดว่าใครชอบเรา เกลียดเรา ก็เตือนให้ระวัง

ในสมัยก่อนเป็น ส.ว. ท่านก็ทำนายว่าจะได้รับตำแหน่งทางการเมือง สุดท้ายก็เป็นไปตามนั้น

วันนี้เกิดคำถามว่าจะมีรัฐบาลแห่งชาติเกิดขึ้น มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้เกิดขึ้นได้บ้าง ในฐานะที่ยังอยู่วงในแม่น้ำ 5 สาย พล.อ.เลิศ-รัตน์ บอกว่า รัฐบาลแห่งชาติจะไม่มีฝ่ายค้าน ไม่ได้กำหนดว่ารัฐบาลจะมี ส.ส.กี่คน ถ้ามี 500 คนก็ร่วมกันเป็นรัฐบาลแห่งชาติ

ทั้งหมดจะเกิดขึ้นเมื่อเลือกตั้งใหญ่เสร็จ หัวหน้าพรรคต่างๆตกลงกันว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้จะมาร่วมกัน กำหนดตัวนายกรัฐมนตรี แบ่งโควตาว่าพรรคไหนคุมกระทรวงไหน ทำงานร่วมกัน 4 ปี นี่เป็นรัฐบาลแห่งชาติภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลแห่งชาตินอกรัฐธรรมนูญจะเป็นอีกแบบ โดยจะต้องฉีกรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายไม่เชื่อว่าจะเกิดรัฐบาลแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญ

แต่รายนี้ นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย ซึ่งเป็นพรรคเกิดใหม่ บอกว่า การดูดวงเป็นความเชื่อและศรัทธาของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักการ เมือง ทราบว่ามีบุคคลในแวดวงการเมืองไปพบดูดวงชะตากับ “หมออีที” ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง ทำนายแม่นเหมือนตาเห็น

หมอดูในประเทศไทยก็มี บังเอิญบางรายชอบเรื่องการเมือง ทำนายอ่านสถานการณ์การเมืองถูก ก็เลยกล่าวขานกันว่าทำนายแม่น

แต่ที่แม่นต้องเป็นหมอดูที่ศึกษาจากตำราโหราศาสตร์โบราณ ซึ่งเป็นโหราจารย์อยู่ที่สำนักพระราชวัง หรือโหรประจำสำนักพระราชวัง ดูดวงประเทศ วางเวลา วางฤกษ์ ดูฤกษ์แล้วก็ต้องดูยาม เรียกว่าจับยามสามตา

เราทุกคนก็เป็นหมอดูได้เหมือนกัน เพราะหมอดูมันคู่กับหมอเดา เป็นการคาดการณ์จากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว เปรียบปัจจุบันและเทียบไปข้างหน้า

รวมถึงกองทัพเวลาออกทัพจับศึก จะต้องดูฤกษ์ดูยามก่อน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและปลุกจิตปลุกใจ
ขอกลับไปดูมุมมองรัฐบาลแห่งชาติที่ถูกจุดพลุขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องนี้ นายอุเทน วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันคนไทยไร้ซึ่งความสามัคคีไม่ใช่เป็นคนที่กล้าหาญ ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่กล้าทำ แต่เราเก่งเอาตัวรอด

ส่วนใหญ่ช่างคิดช่างพูด แต่ไม่ปฏิบัติ การรับฟังต่ำ นี่คือปัญหาของคนไทย

ฉะนั้นพรรคการเมืองต่างจะรวมตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

ขอใช้คำว่าฝันกลางวัน.

แกะรอยทางลึกหมากการเมือง “ประยุทธ์” ตีตั๋วต่อ : เกมต่อรองอำนาจสมประโยชน์

แกะรอยทางลึกหมากการเมือง “ประยุทธ์” ตีตั๋วต่อ : เกมต่อรองอำนาจสมประโยชน์

ห้วงฤดูมรสุมกระหน่ำทั่วโลก

สหรัฐอเมริกา คิวบา โดนเฮอริเคน “เออร์มา” พัดถล่มเสียหายอย่างหนัก เมืองใหญ่จมบาดาล สร้างความเสียหายมหาศาลทั้งชีวิตและทรัพย์สินของคนอเมริกัน

ส่วนที่เมืองไทย กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนพายุโซนร้อน “ทกซูรี” ที่เข้าถล่มประเทศเวียดนามช่วงวันที่ 15-16 กันยายน โดยให้ประชาชนทางภาคเหนือ ภาคอีสาน ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนัก
จากสถานการณ์ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องในทั่วทุกภูมิภาค

โดยสภาวการณ์ของภัยธรรมชาติที่ต้องคอยจับตาอยู่เป็นระยะ เช่นเดียวกับภัยทางด้านความมั่นคงที่เผลอไม่ได้ ล่าสุดเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่จังหวัดยะลา ทำให้หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) เสียชีวิต 2 นาย และบาดเจ็บอีก 20 กว่าคน

โจรใต้เหิมเกริม กลับมาปฏิบัติการท้าทายอำนาจรัฐ

ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบสัปดาห์ โฟกัสอยู่ที่ฉากสำคัญที่นายฮิโรชิกเงะ เซโกะ รมว.เศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (เมติ) นำคณะภาครัฐและเอกชนเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล

ในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ 130 ปี ทางด้านเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างทั้งสองประเทศ พร้อมทั้งหารือลู่ทางการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย

โดยมีการนำคณะนักลงทุนทั้งหมดลงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจ และการพบปะกันระหว่างคณะใหญ่ของญี่ปุ่นกับฝ่ายไทยที่มีการระดมเจ้าสัวตระกูลใหญ่ที่คุมเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งกลุ่มซีพี เจ้าสัวเบียร์ช้าง ค่ายเบียร์สิงห์ สหพัฒนฯ กลุ่มเซ็นทรัล ฯลฯ

แน่นอน มันคือยุทธศาสตร์สำคัญในการกระตุกโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ

แบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ แสดงความมั่นใจว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทย เหนือคู่แข่งในภูมิภาคทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย

เป็นสัญญาณเชิงบวกในมิติที่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศ

ตามรูปการณ์ที่สะท้อนว่า เศรษฐกิจเริ่มเห็นผลในเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาล คสช.ที่เดินมาถูกทาง

ในขณะที่โรดแม็ปทางการเมืองก็คืบหน้าไปอีกขั้นตอนสำคัญ ภายหลังราชกิจจานุเบกษาประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560

โดยบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีอยู่ก่อนประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ พ้นตำแหน่ง แต่ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่จนกว่า กกต.ใหม่ ที่เพิ่มเป็น 7 คนเข้ารับหน้าที่ และภายใน 20 วันนับแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.นี้ ให้ตั้งคณะกรรมการสรรหาฯเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาฯ และที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็น กกต.ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.นี้

ว่ากันตามเงื่อนเวลาน่าจะเห็นโฉม 7 เสือ กกต.ใหม่ในเดือนธันวาคม 2560 และจะสิ้นสุดกระบวนการชัดเจนในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า 2561

และแน่นอน การกำเนิด กกต.ชุดใหม่ต้องผูกโยงกับกระแสการเลือกตั้ง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับที่สำคัญ นั่นคือร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง

ตามสถานการณ์ที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายกรัฐมนตรีเพิ่งนำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ขึ้นทูลเกล้าฯเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ขณะที่กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญยืนยันว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ประมาณเดือนธันวาคม 2560

ยังต้องรอลุ้นกฎหมายลูก องค์ประกอบเลือกตั้งกันอีกพักใหญ่

และในระหว่างนั้นก็ยังมีกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยองค์กรอิสระที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฯลฯ

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นเซ็ตซีโร่ เทียบมาตรฐานกับการล้างไพ่ กกต.

ซึ่งก็เป็นอะไรที่ชัดเจน การล้างไพ่องค์กรอิสระไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามรูปการณ์ที่หลายองค์กรก็ยังมีแนวโน้มได้รับการคงสภาพตามเดิมไว้ ไม่มีการล้างกระดาน

ตามสถานการณ์ที่อิงอยู่กับยุทธศาสตร์ของฝ่ายออกแบบกติกา

ต้องอาศัยเหลี่ยมอำนาจแฝงองค์กรอิสระในการคุมเกมทางการเมือง

เรื่องของเรื่อง คสช.ก็ต้องเลือกแนวทางเพื่อกุมสภาพความได้เปรียบไว้ให้ได้มากสุด

คุ้มกันเส้นทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จนสุดโรดแม็ป

ในจังหวะที่นักการเมืองอาชีพเริ่มขยับตัวแรงขึ้นตามเงื่อนไขสถานการณ์ห้วงท้ายเทอมรัฐบาล

ทุกป้อมค่ายช่วยกันตีปี๊บ กระตุกกระแสเร้าการเลือกตั้ง

อย่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตีกัน ดักทาง “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ กปปส.จะแหกค่ายออกไปตั้งพรรคใหม่

สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ คัมแบ็กนายกฯอีกรอบ

ประกอบกับความเคลื่อนไหวที่เซียนการเมืองตามแกะรอยจากกรณีแปร่งๆที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จัดฉากการแถลงขอโทษ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯกทม.ว่าด้วยความเข้าใจผิดในประเด็นการทุจริตโครงการตกแต่งไฟของ กทม.

ส่อแนวล้างคราบไคลให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พร้อมแต่งตัวลงสนามเลือกตั้ง เป็นอีกหนึ่งความหวังสำคัญตามสถานะ “ท่อน้ำเลี้ยง” ของทีมงาน“ลุงกำนัน”

อีกด้านหนึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ประกาศกลางงานวันเกิดครบรอบ 51 ปี พร้อมนำค่ายภูมิใจไทยลงสนามเลือกตั้งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีนายสรอรรถ กลิ่นประทุม แกนนำพรรค หนุนสุดตัว ให้หัวหน้าพรรคประกาศเป็นนายกรัฐมนตรี

ปั่นดีกรีขึ้นชั้นเทียบแคนดิเดตกับ “นายกฯลุงตู่”

ในจังหวะที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาจุดพลุ “รัฐบาลแห่งชาติ” เสนอสูตรอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่าน เปิดฟลอร์

ให้นักการเมืองอาชีพทุกป้อมค่ายตามแห่

โหนกระแส บอกปัด “องุ่นเปรี้ยว” กันคึกคัก

โดยสถานการณ์หักมุมกับเกมตีตั๋วลากยาว เพราะเอาเข้าจริงนักการเมืองก็ยังทางใครทางมัน

พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่มีฐานการเมืองสนับสนุนชัดเจน

อีกทั้งในห้วงจังหวะฐานกำลังคุ้มกันก็สั่นคลอน

ตามเงื่อนไขสถานการณ์แบบที่ “พี่รอง” อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กลายเป็นเป้าตำบลกระสุนตก โดนทั้งเรื่องยกป่าชุมชนให้กลุ่มทุน ซ้ำด้วยเรื่องเรือเหาะเรือเหี่ยว

ถึงขั้นเครียดหน้าดำหน้าเขียว

ขณะที่ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ก็หนีไม่พ้นภาวะหวาดระแวงเกมฮั้ว ยุทธการเกี้ยเซียะกับ “ทักษิณ”

และที่ได้ยินกันตลอดกับปมคนแวดล้อมใกล้ชิด “พี่ใหญ่” ไปขบเหลี่ยมกับสายตรง “น้องเล็ก”
มีปมกระตุกอาการ “ทางใจ” กันเป็นระยะ

แน่นอน โดยสถานการณ์ที่ดูเสมือนหนึ่งว่า ขุมอำนาจ คสช.กำลังแกว่งจากภาวะตำบลกระสุนตกที่เบี่ยงจาก “พี่ใหญ่” ไปหา “พี่รอง” ตอกย้ำด้วยการขบเหลี่ยมระหว่างคนในแวดวงใกล้ชิดศูนย์อำนาจ
สั่นสะเทือนฐานที่มั่นของ “นายกฯลุงตู่”

ขณะที่นักการเมืองอาชีพก็ฉวยสถานการณ์ห้วงท้ายเทอมรัฐบาลกระแทกรัฐบาล ตีปี๊บโหมเลือกตั้ง
จังหวะขุมอำนาจพิเศษสั่นคลอนจากแรงกระแทกภายนอกและภายใน

แต่ทั้งหมดทั้งปวง ประเมินจากยุทธศาสตร์ที่วางหมากลากยาวกันมาในห้วง 3 ปี จุดแข็งฝ่ายคุมกติกาอยู่ที่การสร้างระบบคุมผลการเลือกตั้ง ผ่านกลไกรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก และองค์อิสระ

ไม่ว่าจะออกสูตรไหน คสช.ก็กินรวบ

ทุกฝ่ายก็รู้คำตอบสุดท้าย โดยทางยาวๆเกมนี้ก็ยังเป็นของ พล.อ.ประยุทธ์

แรงกระเพื่อมจากภายนอกและอาการกระเพื่อมภายใน มันก็แค่การ “เขย่า” เกมอำนาจ

เพื่อให้เกิดการสมประโยชน์ทุกฝ่ายก็เท่านั้น.


“ทีมการเมือง”

ยังไว้เชิงหล่อๆ กันได้

ยังไว้เชิงหล่อๆ กันได้

ขีปนาวุธลูกล่าสุดถูกยิงขึ้นจากกรุงเปียงยาง ช่วงเช้าวันที่ 15 ก.ย. จากประเทศเกาหลีเหนือ ข้ามตอนเหนือเกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ระยะทางกว่า 3,700 กิโลเมตร ตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก

เป็นรอบที่ 6 ที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง และเป็นครั้งที่ 2 ที่ยิงผ่านน่านฟ้าญี่ปุ่น
เปิดฉากยั่วยุถี่ เย้ยคิวคว่ำบาตรจากสหประชาชาติ

และที่เพิ่มความตึงเครียดให้โลกใบนี้เข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากผู้นำญี่ปุ่นออกมาแถลงการณ์ฮึ่มๆกลับ แนวร่วมทั้ง “พญาอินทรี” และประเทศเกาหลีใต้ มีแถลงการณ์ตอบโต้ออกมา

อีกทางหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “พญาหมีขาว” รัสเซีย อีกมหาอำนาจ นอกจากประเทศจีนที่ถูกมองเป็นแนวร่วมสำคัญของ “โสมแดง” เพิ่งทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปโจมตีเป้าหมายไกลถึง 6 พันกิโลเมตร
โดยขีปนาวุธดังกล่าวมีพลังรุนแรงมากกว่าระเบิดที่ทิ้งในเมืองฮิโรชิมาถึง 20 เท่า

มหาอำนาจแบ่งขั้วประจันหน้า โลกอยู่ยากขึ้นทุกที

กลับมาที่ประเทศไทย ชาติเล็กๆแต่ด้วยพื้นที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ศูนย์กลางของภูมิภาค มหาอำนาจจ้องแผ่อิทธิพลเข้ามา และเป็นเรื่องที่รัฐบาลอำนาจพิเศษพยายามใช้ยุทธศาสตร์ “เลี้ยงดุล”

คงต้องประคองเกม “ทรงตัว” ระหว่างเขาแหลม 2 ข้างกันเหนื่อยขึ้น

แล้วถ้ายกมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์อำนาจและการเมืองในประเทศไทย ห้วงเปลี่ยนผ่าน ขั้วอำนาจ 3 ก๊ก ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน แยกเป็นปีกขั้วย่อยเป็นซับเซต เปิดเกมประลองกำลังกันเป็นระยะๆ

ที่กระเพื่อมหนัก ไม่พ้นคิวโยงต่อเนื่องกับโมเดล “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่จุดพลุกันสว่างไสว

มีทั้งสูตรตั้งรัฐบาลทุกขั้ว โดยมีท็อปบูตคุมเกมหลังเลือกตั้ง

กับสูตรที่ดึงขั้วการเมือง มือบริหารอาชีพเข้ามาเสริมทัพ ครม. เป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” ก่อนเลือกตั้ง
สูตรที่มีโอกาสสูง แต่คงต้องดึงจังหวะรองานสำคัญบ้านเมืองผ่านพ้น

และแน่นอน สูตรรัฐบาลแห่งชาติ นั่นก็น่าจะล้อไปกับสถานะของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ทั้งโมเดล “รัฐบาลแห่งชาติ” ก่อนเลือกตั้ง ที่พ่วงช่องได้เล่นเกมยาว

รวมทั้งโมเดล “นายกฯคนนอก” หลังเลือกตั้ง ที่ “บิ๊กตู่” เป็น “ตัวเต็ง” เวลานี้เริ่มขยับสูตร

เช็กเสียงตั้ง “นั่งร้าน” กันบ้างแล้ว

โฟกัสที่ค่ายขนาดกลางขนาดย่อม ถึงอยู่ในไฟต์บังคับ หนุน “บิ๊กตู่” ไม่ให้ตกขบวนรถไฟสายอำนาจ

แต่ก็ยังเล่นลูกกั๊กจังหวะ ในเกมยาวที่ยังพลิกได้

นอกจากนั้น จะมีก็แต่ขั้วลุงกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตบิ๊ก กปปส. ที่ออกตัวแรง เชียร์ “บิ๊กตู่” เป็นผู้นำคนนอกแต่หัววัน รวมทั้งตัวเองไม่ปิดโอกาสตั้งพรรคการเมือง

เลยขัดและสวนทางกับเหลี่ยม ปชป.เต็มๆ

แล้วก็เป็นคิวร้อนจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาป่าวประกาศ อ่านเกมแฉ “ลุงกำนัน” ทั้งแผนตั้งพรรคหนุนอำนาจพิเศษ ปั้นโมเดลรัฐบาลแห่งชาติ

ยอมรับกองเชียร์ ปชป.-กปปส.ฐานเสียงซ้อนทับกันอยู่ “กังวล และไม่สบายใจ”

เรื่องของเรื่องสไตล์เก๋าเกม นายอภิสิทธิ์และคนประชาธิปัตย์ อ่านทางแล้ว อยู่ในจุดได้เปรียบตามระบบเลือกตั้ง ส.ส. และฟอร์มตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ได้เปรียบ เพราะถือเป็น “ขั้วใหญ่”

ยังไงแผน “ผู้นำคนนอก” ต้องหวัง “พึ่งแต้ม ปชป.”

เลยอยู่ในจุดที่ “อภิสิทธิ์” ที่มีนายหัวใหญ่แบ็กอัพ ยังออกลีลาหล่อหลักการ

ดึงเกม-เล่นเชิงต่อไปได้

ไม่รีบร้อนเหมือนขั้ว “ลุงกำนัน” ที่มี “ทางบังคับ” ให้ต้องเร่ง ยอมเดินเข้าแผนอำนาจพิเศษ

เข้าอยู่ในบัญชี “ผู้เล่น” ของฝ่ายจัดแจงตั้ง “นั่งร้าน” รอไว้.

ทีมข่าวการเมือง