PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

."ทวด 114 ปีศิษย์พ่อท่านคล้ายทาย “ปูไม่ได้นั่งเทียมเจ้า แม้วไม่ได้เข้าเมือง”

นครศรีธรรมราช - พบคุณทวดอายุ 114 ปี ยังแข็งแรงสุขภาพดี เผยพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์บอกว่าจะอายุยืนไปจนถึง 121 ปี ก่อนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทำนายการเมืองไทย “ยิ่งลักษณ์ไม่ได้นั่งเทียมเจ้า ทักษิณไม่ได้เข้าเมือง”

วันนี้ (27 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวประจำ จ.นครศรีธรรมราช รายงานว่า คุณทวดวัย 114 ปี เดินทางมาพร้อมกับภรรยาวัย 96 ปี ซึ่งยังแข็งแรงคล่องตัวไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองอย่างน่าชื่นชม โดยทวดทั้ง 2 ได้มาพบกับผู้สื่อข่าวที่หมู่บ้านเมืองทอง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช คือนายคง ชายงาม อายุ 114 ปี เดิมอยู่บ้านเลขที่ 17/32 ม.6 ต.ปากแตระ อ.ระโนด จ.สงขลา ส่วนภรรยาคือนางพิกุล อินทร์หิรัญ อายุ 96 ปี ซึ่งทั้งสองสามีภรรยานั้นยังมีสุขภาพดีมาก สามารถเดินเหินด้วยความสะดวก และยังสามารถพูดจาสื่อสารได้เป็นอย่างดี โดยได้เดินทางมาด้วยรถโดยสารจากบ้านไม้หลา ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อมาเที่ยว และพบกับผู้สื่อข่าว

คุณทวดคง ชายงาม ได้เล่าถึงความหลังอย่างอารมณ์ดี รวมทั้งสาเหตุที่ทำให้อายุยืนจนถึงปัจจุบันว่า ตนเองเกิดวันอังคาร เดือนอ้าย ปีชวด พ.ศ.2443 จนปีนี้อายุ 114 ปี มีพี่น้อง 4 คน เสียชีวิตหมดแล้ว แต่ละคนจะมีอายุเกินร้อยปีหมด เช่น 106 ปี และ 109 ปี ส่วนตนยาวนานมาถึง 114 ปี แล้ว สำหรับครอบครัวนั้น ตนมีภรรยาหลายคน (นับได้ 10 คน) มีลูก 4 คน กับภรรยา 2 คน โดยลูกๆ หลานๆ ไม่สามารถติดต่อกันได้ คงเข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากมาได้ภรรยาคนสุดท้ายคือ นางพิกุล
“ไม่ได้ติดต่อกับลูกๆ หลานๆ เลย คิดว่าลูกหลานอาจจะคิดว่าทวดเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ และไม่คิดว่าจะอยู่ได้จนถึงอายุกว่า 100 ปี ทั้งนี้ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ซึ่งทวดเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ได้กล่าววาจาไว้ว่า “อายุยืน และจะสิ้นบุญในวันอาทิตย์เมื่ออายุ 121 ปี” ซึ่งได้ใช้ชีวิตมาโดย ตลอดจนอายุ 114 ปี ยังแข็งแรง จะตายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตอนทวดยังเด็กๆ ตอนนั้นยังไม่สวมเสื้อผ้าเลย แม่ของทวดเล่าให้ฟังว่าปู่ของทวดตายไปมีอายุยืนถึง 150 ปี” ทวดคงกล่าว
สำหรับอาหารการกินนั้น กินแต่ข้าวโอ๊ต และผักปลอดสารพิษที่ปลูกเอง คือ ผักบุ้ง โดยกินเพียงมื้อเช้าวันละ 1 ครั้งเท่านั้น ช่วงเย็นถ้าหิวก็จะกินขนมหวานที่ทำเอง ไม่กินน้ำร้อนและน้ำเย็น เพราะเชื่อว่าจะทำให้เลือดตาย และอาบน้ำวันละ 3 ครั้ง ช่วงรุ่งสาง เที่ยงวัน และช่วงเย็น โดยอาบน้ำครั้งละประมาณ 2 ชม. เนื่องจากจะทำให้ร่างกายสดชื่น นอกจากนี้ ก็สวดมนต์ตอนย่ำรุ่ง 1 ครั้ง และตอนก่อนนอน 1 ครั้ง และจะออกกำลังกายตามประสาคนบ้านนอก ปฏิบัติอย่างนี้มาตลอดจึงทำให้อายุยืนถึง 114 ปี ตอนนี้อาศัยอยู่กับลูกของนางพิกุล ภรรยาคนปัจจุบัน และจะไปไหนมาไหนด้วยกัน 2 คน โดยไม่ต้องให้ใครพาไป

“ปกติทวดจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง รถโดยสารจะไม่เก็บเงินค่าโดยสาร แต่จะเก็บเพียงนางพิกุล ภรรยาเท่านั้น ก่อนจะมาที่นี่ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้อง 3-4 วัน ที่บ้านไม้หลา ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ หลังจากนี้ก็จะเดินทางกลับบ้านพักที่ อ.ระโนด จ.สงขลา ตอนนี้หลวงเลี้ยงจ่ายเงินให้ทุกเดือน เดือนละ 1,500 บาท” คุณทวดคงเล่าด้วยอารมณ์แจ่มใส

เมื่อผู้สื่อข่าวลองถามเย้าถึงเรื่องการเมืองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปให้ทวดทำนาย ทวดคงบอกว่า “ยิ่งลักษณ์ไม่ได้นั่งเทียมเจ้า เบี้ยไม่บริสุทธิ์ ทักษิณไม่ได้เข้าเมือง อภิสิทธิ์เป็นจุมพล” ก่อนที่จะหัวเราะแล้วบอกว่า “แหลงมากไปแล้ว” ซึ่งหมายถึงพูดมากไปแล้วนั่นเอง จากนั้นก็หัวเราะต่ออย่างอารมณ์ดี

http://astv.mobi/Ae4SWv0

อย.สหรัฐฯ สั่งกักนำเข้าข้าวไทย ตื่นตัวกลัวเปื้อนสารเคมีสูง-เน่า-มีเชื้อรา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
27 มิถุนายน 2556 15:41 น.

ASTVผู้จัดการออนไลน์-สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ ตื่นตัว สั่งกักข้าวไทยนำเข้าทุกท่าเรือ-ผู้นำเข้าทุกรายทั่วสหรัฐฯ หลังรับรู้ข่าวข้าวในโครงการรับจำนำของรัฐบาลไทยทั้งเน่า อัดสารเคมี มีมอด เชื้อรา เผยผู้นำเข้าในสหรัฐฯ ผวา เตรียมตีจากข้าวไทย
     
       รายงานข่าวจากสหรัฐอเมริกา แจ้งว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food&Drug Administration : FDA) ของสหรัฐอเมริกามีคำสั่งแจ้งให้ท่าเรือและผู้นำเข้าทุกรายทั่วสหรัฐฯ กักกันข้าวที่นำเข้าจากประเทศไทยทุกๆ ตู้คอนเทนเนอร์ที่นำเข้ามา เนื่องจากปรากฏเป็นข่าวในไทยว่า ข้าวในโครงการรับจำนำของรัฐบาลไทยที่ดำเนินการอยู่และเก็บไว้ในโกดังหรือสต๊อก พบว่า มีการใช้สารเคมีรมควันในปริมาณมาก สุ่มเสี่ยงต่อสุขภาพ บางแห่งมีมอด มีเชื้อรา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคสหรัฐฯ จึงให้กักกันเพื่อตรวจสอบไว้ก่อน
     
       แหล่งข่าวจากวงการผู้ส่งออกข้าวกล่าวว่า การตื่นตัวของ FDA สหรัฐครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะปกติแล้วตลอดเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา การนำเข้าข้าวจากไทยไม่เคยมีปัญหานี้ ไม่เคยต้องถูกตรวจสอบคุณภาพเช่นนี้ แต่ตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ก็มีคำสั่งแจ้งเตือนออกมาและตามมาด้วยให้ท่าเรือทุกท่าทั่วสหรัฐฯ เช่น นิวยอร์ก ชิคาโก ผู้นำเข้าทุกรายกักกันข้าวไทยทุกๆ ตู้ไว้เพื่อสุ่มตรวจ หากสุ่มตรวจแล้วพบว่า คุณภาพของข้าวมีปัญหาเรื่องสารเคมี มอด หรือ เชื้อรา ของบริษัทใดจำนวน 5 ครั้ง ทาง FDA ของสหรัฐฯ จะขอให้ผู้นำเข้ารายนั้นปฎิเสธการนำเข้าข้าวไทย
     
       “ตามระเบียบอาหารและยาของที่นี่เข้มงวดมาก พอมีข่าวว่า ข้าวไทยมีปัญหาเริ่อง ข้าวเน่า มีเชื้อรา มอดเจาะ รวมทั้งใช้สารเคมีรมควันมาก เขาก็ตื่นตัวกลัวคนของเขาจะได้รับอันตรายก็ต้องกักไว้ก่อน ทุกพอร์ต ทุกบริษัทโดนหมด ผู้นำเข้าตอนนี้ก็เริ่มหวั่น การตรวจของ FDA นอกจากจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายกว่าหนึ่งพันเหรียญต่อดู้คอนเทนเนอร์แล้วหากสุ่มเจอ 5 ครั้งว่าผิดปกติ ก็ต้องถูกห้ามนำเข้าข้าวไทยไปเลย” แหล่งข่าวกล่าว
     
       ผลจากคำสั่ง FDA สหรัฐฯ ดังกล่าวนี้กำลังทำให้ผู้นำเข้าข้าวไทยระส่ำระสายอย่างหนัก เกรงว่าจะได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง เพราะเพียงแค่การกักกันรอการตรวจสอบก็อาจทำให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าเกิดความไม่มั่นใจแล้ว และ กรณีที่เกิดขึ้นอาจทำให้ผู้นำเข้าหลายรายเปลี่ยนใจนำเข้าข้าวจากประเทศคู่แข่งของไทยเช่น เวียดนาม กัมพูชาแทน
     
       ทั้งนี้ สถานการณ์การส่งออกข้าวไทยจากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่า ในช่วง 5 เดือนของปี 2556 (ม.ค.-พ.ค.) ไทยส่งออกข้าว 2.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1,794 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 52,988 ล้านบาท ราคาส่งออกเฉลี่ยตันละ 715 เหรียญสหรัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง 14.7% และ 8.9% ตามลำดับ
     
       สำหรับเป้าหมายการส่งออกข้าวปี 2556 กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 8.5 ล้านตัน มูลค่า 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยลูกค้ารายใหญ่ ก็คือ สหรัฐฯ
     
       สถิติการส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐฯ ในช่วง 4 เดือนของปี 2556 (ม.ค.-เม.ย.) ส่งออกได้ปริมาณ 130,178 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2555 ที่ส่งออกได้ 106,427 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 22.32% โดยข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ เป็นข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมมะลิอินทรีย์ เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อ และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ
ที่มา : ข่าวจาก เวป ผู้จัดการ
 
/////////
ต้นทางข่าว(เดือน เม.ย.56)
http://www.establishmentpost.com/lead-contamination-a-blow-to-thailand-rice/

เปิดข้อมูลKWater

“K Water ไทย” ทุน 3 ล้าน ประมูลงาน 1.63 แสนล้าน!"..//

ASTVผู้จัดการ – เปิดข้อมูล “เค วอเตอร์ (ประเทศไทย)” จดทะเบียนก่อนเปิดซองประมูลโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เพียง 20 วัน ทุนจดทะเบียนจุ๋มจิ๋ม 3 ล้านบาท แต่คว้าเมกะโปรเจกต์น้ำด้วยเครดิตบริษัทแม่ไปสองโมดูล มูลค่ากว่า 1.63 แสนล้านบาท

จากกรณีที่ บริษัท เค วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งชนะการประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล โดยได้โมดูล 3 สร้างฟลัดเวย์และแก้มลิงในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ งบประมาณ 1.63 แสนล้านบาท อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกเครือข่ายสิ่งแวดล้อมจากเกาหลีและสื่อมวลชนเปิดเผยว่าเป็นบริษัทมีหนี้สินสะสมจำนวนมาก และอาจไม่มีความพร้อมในการดำเนินโครงการใหญ่ดังกล่าวในประเทศไทย

ล่าสุดทีมข่าว ASTVผู้จัดการ ได้ตรวจสอบข้อมูล พบว่า บ.เค วอเตอร์ ได้มีการจดทะเบียนในนาม บริษัท เค วอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยดำเนินการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ทุนจดทะเบียน 3,000,000 บาท และมีที่ตั้ง ณ เลขที่ 90 อาคารไซเบอร์ เวิลด์ ทาวเวอร์ ชั้น 26 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310

ในการจดทะเบียนระบุประเภทของการดำเนินธุรกิจว่า เป็นการประกอบกิจการบริหารโครงการเกี่ยวกับการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและการป้องกันปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีกรรมการผู้มีอำนาจลงนามเพื่อดำเนินการ 1 คน โดยบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นกรรมการในบริษัทดังกล่าว คือ นายยูน บียอนฮุน

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าการจดทะเบียน บริษัท เค วอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีดำเนินการก่อนการเปิดซองประมูลโครงการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 9 โมดูล 10 โครงการ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2556 เพียง 20 วันเท่านั้น โดยผลจากการเปิดซองพบว่า บ.ดังกล่าวได้โครงการไป 2 โมดูล คือ Module A3 การปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานในพื้นที่โครงการชลประทานเหนือ จ.นครสวรรค์ เพื่อเก็บกักน้ำหลากชั่วคราว โดยใช้งบประมาณไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 ปี และ Module A5 การจัดทำทางผันน้ำ (Flood diversion channel) ขนาดประมาณ 1,500 ลบ.ม./วินาที รวมทั้งการก่อสร้างถนนเพื่อรองรับการคมนาคม โดยใช้งบประมาณไม่เกิน 1.53 แสนล้านบาท โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 ปี

ทั้งนี้ บริษัทแม่ของ บ.เค วอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค วอเตอร์) จากประเทศเกาหลีใต้ ถูกนาย ยัม ฮยอง โชว ผู้อำนวยการสหพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ เอ็นจีโอซึ่งเกาะติดการดำเนินโครงการก่อสร้างต่างๆ ในเกาหลีใต้ ของบริษัท เค วอเตอร์ เปิดเผยว่า ในปี 2555 ทรัพย์สินของบริษัท เค วอเตอร์ ที่เกาหลี อยู่ที่ 6.76 แสนล้านบาท ทุนอยู่ที่ 3.04 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นหลักร้อยละ 99.9 มีรายได้ 2.27 แสนล้านบาท ขณะที่หนี้สินอยู่ที่ 3.72 แสนล้านบาท ภาษีที่ได้ 9.9 หมื่นล้านบาท รายได้สุทธิอยู่ที่เพียง 8,000 ล้านบาท

“สถานการณ์ทางการเงินของบริษัท เค วอเตอร์ ตั้งแต่ปี ค.ศ.2006-2012 (พ.ศ.2549-2555) เห็นได้ว่าทุนจะอยู่เท่าเดิม แต่หนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยในปี 2012 จะเห็นว่าหนี้สินสูงกว่าทุน ฉะนั้นเท่ากับว่าสถานการณ์ทางการเงินของเค วอเตอร์ ย่ำแย่ ภายในระยะเวลา 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2009-2012 การดำเนินงานใน 2 โครงการหลักของเค วอเตอร์ ได้แก่ หนึ่ง พัฒนาแหล่งน้ำหรือ 4 rivers project สอง พัฒนาคลองใช้เป็นฟลัดเวย์ พบว่าหนี้สินเพิ่มขึ้นถึง 758%” เอ็นจีโอด้านน้ำจากเกาหลีระบุ

อย่างไรก็ตาม วานนี้ (26 มิ.ย.) นายมณฑล ภาณุโภคิน ตัวแทนจาก บ.เค วอเตอร์ ก็ได้ออกมาตอบโต้ข้อมูลดังกล่าวโดยระบุว่า กลุ่มเค วอเตอร์ ซึ่งถือหุ้นโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ ย่อมมีความแข็งแกร่งทางการเงิน ส่วนเรื่องภาระหนี้สินเป็นเรื่องปกติของการลงทุน และโครงการต่างๆ ที่เค วอเตอร์ ดำเนินการล้วนเป็นโครงการบริการประชาชนที่ไม่ได้มุ่งหวังกำไร โดยขณะนี้ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลเกาหลีให้ส่งรายงานทางการเงินมาให้ทางเค วอเตอร์ไทย นำเสนอต่อสังคมไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนคนไทยให้เชื่อมั่นว่าเค วอเตอร์ จะไม่ทิ้งงาน

เค วอเตอร์ เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับงานในไทยแล้วจะทิ้งงาน อีกทั้งตั้งแต่เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ เค วอเตอร์ได้ผ่านการตรวจสอบสถานะทางการเงินแล้วว่ามีความพร้อม และยังได้วางเงินประกันซื้อซองเป็นมูลค่าสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท มีธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สาขาในไทยเป็นผู้ค้ำประกันวงเงิน ขณะที่การดำเนินการทำโครงการบริหารจัดการน้ำในไทยจะใช้แหล่งเงินกู้ของไทยบางส่วน ส่วนเงินหมุนเวียน รัฐบาลเกาหลีในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของเค วอเตอร์ จะต้องเป็นผู้เตรียมเงินหมุนเวียนที่ต้องครอบคลุมมูลค่าของโครงการที่ชนะประมูล คือไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ตัวแทนของ เค วอเตอร์ไทย ระบุ

http://astv.mobi/AEKcBWo

สรุปสาระสำคัญคำพิพากษาศาลปค.คดีโครงการบริหารจัดการน้ำ3.5แสนล้าน

สรุปสาระสำคัญคำพิพากษาศาลปกครอง (27 มิ.ย. 2556) กรณีการฟ้องร้องโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
สรุปสาระสำคัญคำพิพากษาศาลปกครอง (27 มิ.ย. 2556) กรณีการฟ้องร้องโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท

1. ให้ นายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) นำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ กลับไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง

2. ให้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ผลกระทบทางสุขภาพ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 วรรคสอง และ มาตรา 67 วรรคสอง ก่อนที่จะลงนามในสัญญาว่าจ้างกับบริษัทเอกชน

ศาลบอกว่าทุกโมดูลมีแนวโน้มว่าจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม จึงต้องไปทำ EIA และอื่นๆ ให้เรียบร้อยก่อน จึงจะเซ็นสัญญาออกแบบก่อสร้างได้ โดยไม่ได้กำหนดว่าการดำเนินการดังกล่าวต้องใช้เวลามากน้อยเท่าใด แม้ว่า TOR จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้รับเหมา แต่ศาลไม่เชื่อมั่นว่าเอกชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจะทำโดยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส จึงกำหนดให้หน่วยงานรัฐไปทำเรื่องดังกล่าว

"ชัชชาติ" ลองมั่ง! รอขึ้นรถเมล์สาย 509 นั่งไปดอนเมือง บ่นอุบรอนาน 30 นาที

"ชัชชาติ" ลองมั่ง! รอขึ้นรถเมล์สาย 509 นั่งไปดอนเมือง บ่นอุบรอนาน 30 นาที

Prev
1 of 1
Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 27 มิ.ย. 2556 เวลา 14:47:53 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมา มีการโพสรูปของผู้สื่อข่าวที่บังเอิญเจอ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำลังนั่งรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถเมล์บริเวณถนนราชดำเนินนอก โดยกำลังรอรถเมล์สาย 509 เพื่อเดินทางไปสนามบินดอนเมือง โดยบอกว่ารอรถเมล์มานาน 30 นาทีแล้ว
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมาระหว่างการประชุมของกระทรวงคมนาคม นายชัชชาติ ได้ขอความร่วมมือให้ข้าราชการ และผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่ระดับ 9 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมใช้บริการรถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชน กรุงเทพ (ขสมก.) หรือรถร่วมบริการขสมก. อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน เป็นระยะเวลา 2 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. - 30 ส.ค. 2556 เพื่อสำรวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ใช้รถโดยสารประจำทาง 

ยิ่งลักษณ์ งานเข้าศิษย์"เณรคำ"บุกเชิญร่วมพิธี

ฝ่ากระแสสังคม!! "ศิษย์เณรคำ" เชิญ "ยิ่งลักษณ์" ร่วมพิธีห่มผ้าฤดูฝน
ศิษย์เอก"เณรคำ" พร้อมลูกศิษย์ 10 คน ยื่นหนังสือต่อ "ยิ่งลักษณ์" เพื่อเชิญร่วมงานพิธีห่มผ้าฤดูฝน 
วันนี้ ( 27 มิ.ย.) ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุขุม วงประสิทธิ์ ผู้แทนที่พักสงฆ์ป่าขันติธรรม ในฐานะศิษย์เอกของหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม พร้อมลูกศิษย์ประมาณ 10 คน ได้มายื่นหนังสือถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเชิญร่วมงานพิธีห่มผ้าฤดูฝน ต้อนรับพระเถรานุเถระจากประเทศศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศฝรั่งเศส ตามที่สำนักสงฆ์ขันติธรรม จัดพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลอง(ใหญ่ที่สุดโลก) ระหว่างวันที่ 27-30 มิ.ย. นี้ โดยในวันที่ 30 มิ.ย. พระเถรานุเถระนานาชาติจะเข้าร่วมระกอบพิธีห่มผ้าฤดูฝนพระแก้วมรกตจำลอง โดยพระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณราม ประเทศฝรั่งเศส เป็นประธานร่วมฝ่ายสงฆ์ และอาราธนาพระเถรานุเถระจากประเทศศรีลังกา สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ร่วมเจริญพระพุทธมนต์และเชิญพุทธศาสนิกชนมาร่วมกันผ้าฤดูฝนขึ้นห่มถวายพระแก้วมรกตจำลอง เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

          นายสุขุม กล่าวว่า ประธานฝ่ายสงฆ์ วัดป่าขันติธรรม ได้เดินทางเป็นแขกของรัฐบาลฝรั่งเศส โดยได้อย่างสมเกียรติ เนื่องด้วยรมว.มหาดไทยของฝรั่งเศสให้การต้อนรับดูแลอย่างสมกียรติ แต่เมื่อพระนานานชาติเดินทางมาประเทศไทยด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ยังไม่มีผู้ใหญ่ของประเทศไทยให้การต้อนรับในการมาร่วมงานดังกล่าว ดังนั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติพระสงฆ์นานาชาติซึ่งรัฐบาลแต่ละประเทศกำลังจับตามองประเทศไทยอยู่ว่าจะมีผู้บริหารระดับสูงของไทยแสดงถึงความตั้งใจในการให้การต้อนรับคณะสงฆ์นานาชาติซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชนแต่ละประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรละโอกาสสำคัญ ทางวัดป่าขันติธรรมจึงจำเป็นที่จะขอกราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นแขกสำคัญในมหาพิธีดังกล่าวในวันที่ 30 มิ.ย. เวลา 09.59 น.ที่วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ

ศาลปค.ให้รัฐฟังปชช.ก่อนเซ็น"แผนน้ำ"3.5แสนล้าน

ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้รัฐนำ “แผนน้ำ" ใช้เงินกู้ 3.5 แสนล้าน กลับไปรับฟังความเห็นจาก ปชช.อย่างทั่วถึง ก่อนเซ็นสัญญากับเอกชน

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2556 ที่ศาลปกครอง องค์คณะของศาลปกครองกลาง นำโดยนายตรีทศ นิโครธางกูร ในฐานะตุลาการเจ้าของสำนวน อ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 940/2556 ที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวก รวม 45 คน ยื่นฟ้อง 1.นายกรัฐมนตรี 2.คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) 3.คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) และ 4.คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ขอให้เพิกถอนแผนบริหารจัดการน้ำที่ใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง ที่ให้ทำรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึงก่อน รวมถึงไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายฉบับ
ทั้งนี้ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาโดยสรุปว่า ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 นำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ กลับไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง พร้อมจัดรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 วรรคสอง และ มาตรา 67 วรรคสอง ก่อนที่จะลงนามในสัญญาว่าจ้างกับบริษัทเอกชน เนื่องจากมีโครงการบริหารจัดการน้ำที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง อาทิ โครงการแก้มลิง เพราะการที่ให้บริษัทเอกชนผู้รับจ้างไปรับฟังความคิดเห็นอาจได้ผลที่เบี่ยงเบนและไม่ตรงกับความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แม้ศาลปกครองกลางจะมีคำพิพากษา ห้ามไม่ให้ผู้ถูกฟ้องคดีเซ็นสัญญาก่อนทำประชาพิจารณ์ แต่เนื่องจากคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่สามารถบังคับตามคำพิพากษาได้ อีกทั้งหากรัฐบาลอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน และสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน เห็นว่า การให้รัฐบาลเซ็นสัญญาไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายนั้น ก็สามารถยื่นขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราว ไม่ให้รัฐบาลเซ็นสัญญา จนกว่าคดีถึงที่สุดไ