PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลับ ใน ลับ

ขณะที่พรรคการเมืองต่างๆ เร่งรณรงค์หาเสียงกันยกใหญ่

แต่พรรคการเมืองหนึ่ง

เงียบกริบ

นั่นก็คือ พรรควุฒิสมาชิก

หรือเห็นว่าตนเองมีแต้มต่อ ตุนเสียงไว้แล้ว 250 เสียง

เลยปิดตัวเงียบ แต่ก็เงียบเสียผิดปกติ

จึงนำไปสู่ข้อสงสัย ใน “ลับ” นั้น มี “ลับในลับ” อีกหรือเปล่า

ทําให้เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา

ไอลอว์ (iLaw) หรือโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน

ส่งเจ้าหน้าที่ไปยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกองบัญชาการกองทัพบก ในฐานะเลขาธิการ คสช.

เพื่อขอ “เปิดลับ” การสรรหารายชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่ง ส.ว. ให้สาธารณชนรับรู้

ดังนี้

1) รายชื่อคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง

2) รายชื่อบุคคลที่คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการจัดให้มีการเลือก จำนวน 200 คน เพื่อนำรายชื่อเสนอต่อ คสช.แต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา 269 (1) (ก)

3) วิธีการที่คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภากำหนดในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา 269 (1) (ข)

4) รายชื่อบุคคลซึ่งสมควรเป็นสมาชิกวุฒิสภา ที่ได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 400 คน ตามมาตรา 269 (1) (ข)

ปรากฏว่า นอกจากได้ความเงียบกริบเป็นคำตอบแล้ว

ยังแถมด้วยความมึนงง

เพราะเช้าวันที่ 12 มีนาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ที่มีกระแสข่าวอย่างไม่เป็นทางการ ระบุว่าเป็นประธานสรรหา ส.ว.

บอกว่าได้ 400 รายชื่อ และส่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คัดเลือกเป็น ส.ว. 194 คนแล้ว

ไม่รู้ไปซุ่มโป่งทำกันที่ไหน

และทำไมลึกลับเช่นนั้น

“ซ่อน” อะไรไว้หรือเปล่า

คําถามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี้เอง

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ต้องทำตัวเป็นลุงใจดีมาอธิบายว่า

อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ บนข้อจำกัดมากมาย

และพยายามลดกระแสต่อต้าน ส.ว.ลง

โดยขอสร้างความสมดุลไปก่อนในช่วงแรก 5 ปี

ระหว่างนั้นถ้ามีอะไรดีขึ้น เริ่มนิ่ง ก็ลดสัดส่วน เอาคัดสรรออกไป

เอาเลือกตั้งเข้ามาแทนเป็นระยะๆ

วันนี้ขอแบบนี้ไปก่อน

คือ เป็นกองหนุนรัฐบาล 100% ซึ่งตรงนี้ก็รู้ๆ กันอยู่

แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ทำไมถึงต้องทำอะไรให้มันลึกลับปานนี้

หรือว่าซ่อนอะไรอยู่จริง-จริง

หมัดเด็ด อภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ ไม่เอา ประยุทธ์ เอาพลังประชารัฐ

คำประกาศความชัดเจนว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จาก ปาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เฉียบขาดและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างสูง

ประเมินกันว่า น่าจะเป็น “ไม้เด็ด” ปลุกเร้าคะแนนและความนิยมต่อพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างทรงพลัง

แต่พลันที่เมื่อมีคำถามว่าพรรคประชาธิปัตย์มีท่าอย่างไรต่อ การร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ และคำตอบจาก นายอภิสิทธิ์ เวช ชาชีวะ ที่ว่า

สามารถร่วมกับพรรคพลังประชารัฐได้หากพรรคพลังประชารัฐไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ความแคลงคลาง กังขา ก็ปรากฎขึ้นโดยอัตโนมัติ

 

คำถามมิได้อยู่ที่ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่พรรคพลังประชารัฐจะปฏิเสธบทบาทและความหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ในเมื่อพรรคพลังประชารัฐคือผลผลิตของ”คสช.”

การยอมรับพรรคพลังประชารัฐโดยปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหมือนกับเป็นความคมเฉียบ

กลับกลายเป็นความคมเฉียบได้ทื่อและปรากฏสนิมเกาะเป็นคราบขึ้นโดยพลัน

เพราะเท่ากับไม่เข้าใจในลักษณะอันเป็น”ระบอบ”ของคสช.

แท้จริงแล้ว การดำรงอยู่ของคสช.นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือน พฤษภาคม 2557 เป็นการดำรงอยู่อย่างเป็น “ระบอบ” ภายใต้ระบบคิดอันสะท้อนผ่านกลไกและกติกา

ไม่ว่าจะเป็นประกาศและคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญรวมศูนย์ไปอยู่ที่พรรค

การปฏิเสธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่อ้าแขนโอบรับพรรคพลังประชารัฐก็เสมอเป็นเพียงข้อเสนอในเชิงยุทธวิธี

เป็นการเล่นเล่ห์เพทุบายอย่างหนึ่งทางการเมือง

 

การตัดสินใจของประชาชนในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคมไม่ว่าจะต่อ พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะต่อพรรคพลังประชารัฐ จึงทรงบทบาท และความหมาย

ความหวือหวาของพรรคประชาธิปัตย์ยังได้ผลหรือไม่ ความ ทื่อท่าของพรรคพลังประชารัฐยังได้ผลหรือไม่

      2 พรรคนี้จะกำชัยเหนือพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตอย่างไร

วิเคราะห์-อ่านจังหวะ “อภิสิทธิ์” พระเอกลิเก หนีตาย ประกาศไม่เอา “บิ๊กตู่” แต่พร้อมจับมือ พปชร.

วันนี้พรรคประชาธิปัตย์พยายามเรียกคะแนนจากประชาชนในช่วงโค้งสุดท้าย เพราะรู้แล้วว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากให้มีการต่อท่ออำนาจ จึงพยายามออกมาบอกว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แต่ไม่เคยบอกว่าไม่เอาพรรคพลังประชารัฐอย่างชัดเจน จึงเชื่อว่าวาทกรรมทั้งหมดเป็นเพียงการหวังคะแนนก่อนการเลือกตั้ง แต่ท้ายที่สุดเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์จะหาเหตุผลใหม่”

คือบทสรุปจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย

ต่อกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศจุดยืนทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 24 มีนาคม ว่า

จะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้ง

“ชัดๆ เลยนะครับ ผมไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน เพราะการสืบทอดอำนาจสร้างความขัดแย้ง และขัดกับอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ที่ว่าประชาชนเป็นใหญ่ 5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจย่ำแย่ ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว”

ในการเลือกตั้งซึ่งกำลังจะมีขึ้น พรรคการเมืองถูกแบ่งตามจุดยืนและอุดมการณ์ออกเป็น 2 ฝ่ายหลักๆ คือ ฝ่ายประชาธิปไตย กับฝ่ายสืบทอดอำนาจ คสช.

พรรคฝ่ายประชาธิปไตย อาทิ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น ขณะที่พรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจ คสช. นำโดยพรรคพลังประชารัฐ

ส่วนพรรคซึ่งไม่แสดงจุดยืนการเมืองชัดเจน หรือที่เรียกว่า “พรรคแทงกั๊ก” พรรคเหล่านี้พร้อมเข้าร่วมกับฝ่ายใดก็ได้ใน 2 ฝ่ายหลักที่ชนะการเลือกตั้ง

แรกเริ่มเดิมที พรรคประชาธิปัตย์ถูกสังคมจัดให้อยู่ในหมวดหมู่พรรคแทงกั๊กเช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนา

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคพยายามนำพาพรรคประชาธิปัตย์สลัดหลุดออกจากคำว่า “พรรคแทงกั๊ก” ด้วยการเสนอคำว่า การเมือง “สามก๊ก” ขึ้นมาแทน

พร้อมผลักดันพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นผู้นำ “ก๊กที่ 3” เป็นทางเลือกใหม่นอกเหนือจากทางเลือกฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายสืบทอดอำนาจ

แต่แล้วในขณะที่วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึงช่วงโค้งสุดท้าย

หลายอย่างบ่งชัด การเสนอตัวเป็นพรรคทางเลือกที่ 3 นั้น “ไม่เวิร์ก” กล่าวคือ ไม่มีผลต่อการฉุดกระชากคะแนนเสียงได้เท่าที่ควร

ด้วยเหตุที่ประชาชนส่วนใหญ่มีความเชื่อหนักแน่นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการต่อสู้ชี้ชะตาระหว่างพรรคฝ่ายประชาธิปไตย กับพรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจเท่านั้น

ไม่เหลือพื้นที่สอดแทรกให้พรรคฝ่ายที่ 3 ไม่ว่าพยายามแสดงจุดยืนแตกต่างอย่างไร สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังถูกมองว่าอิงแอบอยู่กับฝ่ายสืบทอดอำนาจอยู่นั่นเอง

ประกอบกับพรรคสืบทอดอำนาจ คสช. กระแสความนิยมเริ่มแผ่วปลาย

การชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลายแง่มุม ไม่เป็นไปอย่างที่คิด

สถานการณ์พรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจ สวนทางกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ พบว่า

พรรคที่ชาวภาคใต้อยากเลือกมากที่สุดได้แก่ อนาคตใหม่ ร้อยละ 26.98 ประชาธิปัตย์ ร้อยละ 24.19 เพื่อไทย ร้อยละ 19.30 พลังประชารัฐ ร้อยละ 11.86 ประชาชาติ ร้อยละ 7.67 ภูมิใจไทย ร้อยละ 3.72 และรวมพลังประชาชาติไทย ร้อยละ 2.56

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้น ยุคหนึ่งเคยมีการกล่าวว่า ในพื้นที่ภาคใต้ต่อให้ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ยังได้รับเลือกตั้ง ผลโพล มอ.หาดใหญ่ จึงสร้างความหวั่นไหวให้พรรคประชาธิปัตย์มากพอสมควร

สิ่งต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นเครื่องบีบรัดให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องประกาศจุดยืนไม่เอาประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป แบบ “ชัดๆ” และ “ไม่เกรงใจใคร”

พลิกตัวกระโดดเกาะกระแสฝ่ายประชาธิปไตยแบบเก้ๆ กังๆ เพราะไม่คุ้นชิน

จุดยืนหนีตายของนายอภิสิทธิ์ ทำให้ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยทวงบุญคุณ ขึ้นมึงขึ้นกู ว่าเป็นคนทำให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ ถ้าไม่ใช่เพราะตนเอง ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้เป็นหรือไม่

“วันนี้มาประกาศจุดยืนแล้วว่า เลือกตั้งคราวนี้ เขาไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์แน่นอน ผมก็ข้องใจ อยากจะถามว่าตกลงอภิสิทธิ์ยืนข้างเดียวกับทักษิณเต็มตัวแล้วใช่มั้ย นี่แสดงว่าถ้าฝ่ายทักษิณเทคะแนนให้เป็นนายกฯ เอาทันทีใช่มั้ย

นี่แสดงว่ามึงอยากจะเป็นนายกฯ จนลืมหัวกูแล้วใช่มั้ย”

ด้วยความที่สังคมต้องการความชัดเจนมากกว่าการระบุเพียงว่าจะไม่สนับบสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ แต่ไม่พูดถึงว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

เป็นเหตุให้นายอภิสิทธิ์ต้องเปิดแถลงขยายความจุดยืนของตนเองอีกครั้ง สรุปใจความได้ว่า

ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ตั้งเป้าแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคอื่นที่จะดึงมาร่วมรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ยืนยันชัด ไม่มีพรรคเพื่อไทยแน่นอน

ส่วนพรรคพลังประชารัฐ มีความเป็นไปได้

แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีการสืบทอดอำนาจตัวบุคคลคือ พล.อ.ประยุทธ์ และมรดกประกาศคำสั่งต่างๆ ของ คสช.

“ความขัดแย้งในอนาคตจะเกิดขึ้นได้ คือถ้ามีการสืบทอดอำนาจ และ พล.อ.ประยุทธ์ถือเป็นศูนย์กลางของเงื่อนไขความขัดแย้งที่ง่ายที่สุดหลังการเลือกตั้ง” นายอภิสิทธิ์ระบุ

ภายใต้การประกาศจุดยืนทางการเมือง

ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เอาพรรคเพื่อไทย แต่พร้อมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐแบบมีเงื่อนไข

แม้แต่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ยังมองออกแบบเห็นแจ้งแทงทะลุ “เชื่อว่ามีบางพรรคที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่จะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อชูตัวเองขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี”

พรรคอนาคตใหม่มองว่า การสืบทอดอำนาจที่แท้จริงไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะตัว พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังรวมถึงพรรคพลังประชารัฐที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจรัฐบาล คสช.โดยตรง

เป็นการมองในมุมเดียวกับพรรคเพื่อไทย ว่าการประกาศจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ ถ้าไม่ใช่เพราะความสับสน ก็อาจจะกำลังเล่นลิเกทางการเมือง

เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐตั้งขึ้นเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้สืบทอดอำนาจ หากนายอภิสิทธิ์ยึดมั่นกับ “ภาคประชาธิปไตยสุจริต” ก็ไม่มีเหตุผลที่จะร่วมสังฆกรรมกับพรรคพลังประชารัฐในทุกรูปแบบ

“ทางเลือกสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ มีอยู่เพียงจะสืบทอดอำนาจหรือไม่สืบทอดอำนาจเท่านั้น พรรคการเมืองต้องแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะเอาคนที่สืบทอดอำนาจหรือไม่สืบทอดอำนาจ

ขณะนี้มีบางพรรคหวังเพียงว่าเอาอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชนก่อนเลือกตั้ง จากนั้นหลังเลือกตั้งก็ออกมาชี้แจงเหตุผลใหม่” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ

ด้านนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า พรรคไม่สนใจการออกมาแสดงจุดยืนของบางพรรคที่ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

“แต่ขอให้จำไว้ว่าพูดอะไร”

เช่นเดียวกับนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค ที่ให้ความเห็นว่า การประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ โดยอ้างเรื่องการสืบทอดอำนาจ เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อหวังคะแนนจากประชาชน

“เป็นคำพูดที่ใจแคบ”

กรณีนายอภิสิทธิ์จึงนำมาสู่ข้อสรุปอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ ต่างรู้เท่าทันนายอภิสิทธิ์ และด้วยความรู้เท่าทันนี้เอง ที่ผลักดันให้พรรคประชาธิปัตย์กลับไปอยู่ในหมวดหมู่พรรคแทงกั๊ก

พรรคที่ไร้ซึ่งจุดยืนทางการเมืองชัดเจนดังเดิม

ทำต่อ5ปีหรือรื้อใหม่ 'บิ๊กตู่'ปลุกเต็มสูบ/อัยการล่า'ทักษิณ'คาวิวาห์อิ๊ง

    "บิ๊กตู่" ฟุ้งทำงานมา 5 ปี ต้องเป็นคนเก็บขยะกวาดสิ่งไม่ดีให้หมดไป ชี้มีปัญหาหมักหมมต้องทำต่ออีก ขอทุกคนจับมือเดินไปข้างหน้านำพาประเทศ-นายกฯ ผ่านสนามทุ่นระเบิด ลั่นเจอกันเมื่อชาติต้องการ "ป้อม" ย้ำไม่สั่งทหารล็อกโหวตเลือกตั้ง "พปชร." ตั้งวอร์รูมทีม กม.เอาคืนพวกใส่ร้าย "มาร์ค" ปลุก ปชช.ผ่าทางตันจาก 2 ขั้ว "เจ๊หน่อย" ชูเลือกพรรคท่วมท้นสู้ 250 เสียง ส.ว. "ภท." ปลื้มกระแสดีมั่นใจเป็นม้ามืด "สุวัจน์" เชื่อรักษาฐานที่มั่นโคราชได้
    เมื่อวันที่ 19 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างติดตามการก่อสร้างอาคารด่าน Border Control Facilities (BCF) ฝั่งไทย บริเวณเชิงสะพานฝั่งไทย อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า สิ่งที่ยังมีความกังวลคือรายได้ รัฐบาลจึงได้ดูแลทุกคน  แต่จะให้รวยขึ้นทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นอย่าไปเชื่อคำคน วันนี้อยากขอให้ทุกคนมีรอยยิ้ม ไม่ใช่ตื่นขึ้นมาก็จะทะเลาะกัน รัฐบาลทำทุกอย่างเพื่อให้คนไทยมีรอยยิ้มมา 5 ปี และจะไม่ยอมให้ใครมาทำเรื่องเก่าๆอีก พอได้แล้ว การเมืองคือการเมือง ประชาธิปไตยคือประชาธิปไตย การเลือกตั้งก็ทำกันไป 
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า บ้านเมืองต้องสงบ ขอคำสัญญาจากประชาชนทุกคน ขอให้เอาความสุขสงบคืนสู่ประเทศ จะให้ได้หรือไม่ ถึงใครไม่ให้ก็จะทำให้ทุกคนอยู่ดี แม้ไม่ชอบนายกฯ ก็จะทำ ใครด่าว่าอย่างไรก็จะทำให้ วันนี้ต้องลดความขัดแย้งให้ได้ โดยดูว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลายอย่างแล้วเสร็จในรัฐบาลนี้ ถ้ายังขัดแย้งกันอีกทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น ความสำเร็จต่างๆ ขึ้นอยู่กับผู้นำ ซึ่งต้องมีความเอาใจใส่ ส่วนใครจะเป็นต่อไปก็ไม่รู้ แต่ต้องเอาใจใส่แบบตน ที่แม้พูดไม่เพราะบ้างก็ขออภัย เสียงดัง หน้างอบ้าง ก็ต้องขอโทษ แต่พื้นฐานส่วนตัวเป็นคนใจดี
    “วันนี้ใครๆ ก็อยากเป็นนายกฯ รู้หรือไม่ว่า 5 ปีที่ผ่านมา ผมเป็นนายกฯ แบบไหน ซึ่งเป็นทุกหน้าที่ หนักสุดคือเป็นพนักงานเก็บขยะ เก็บสิ่งที่ทิ้งเรี่ยราดไว้ทั้งหมด ทั้งปัญหาหมักหมม ความเดือดร้อนต่างๆ ทุกอย่างต้องทำต่อ 5 ปีที่ผ่านมา แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมทั้งหมด กลับไปดูได้ ถ้าเป็นทหาร ต้องเรียกว่าถูกวางกับระเบิดไว้มาก ผมจึงต้องรื้อสร้างใหม่ ทำบ้านเมืองให้สะอาด ลดการคอร์รัปชันจนเหลือศูนย์ วันนี้ทุกคนจึงต้องร่วมมือกับผม แต่ก็เป็นเรื่องของท่านที่จะไปเลือกตั้ง เลือกตั้งก็ว่ากันมาผมไม่ว่าอะไร ดีบ้างไม่ดีบ้างก็ต้องหากันมา แต่เราต้องหารัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลที่จะทำให้ทุกจังหวัดเดินไปพร้อมกัน เพราะทุกคนคือคนไทย เลือดสีเดียวกัน ผมทำทุกอย่างให้เดินหน้าอย่างสงบมาแล้ว 5 ปี เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งที่ทุกคนต้องการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    นายกฯ กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีมหามงคลที่จะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 10 เราต้องอยู่กันแบบนี้ ใครจะมารื้อระบบนี้ไม่ได้ ทุกคนต้องยอมตายจะให้ใครมารื้อไม่ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ข้าราชการมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เจ้านาย ประชาชนเข้าหาไม่ต้องหมอบกราบ ขอให้ข้าราชการทำตัวติดดิน สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อลดความขัดแย้ง เราต้องพิจารณาให้ดีกับคำว่าประชาธิปไตยของบ้านเรา นายกฯ ไม่บังอาจแนะนำพวกท่าน แต่ทุกคนต้องเอาปัญหาในอดีตมาดู อะไรไม่ดี ก็อย่าทำ ประวัติศาสตร์ที่ดี คือความภาคภูมิใจ
บิ๊กตู่ลั่นเป็นคนเก็บขยะ
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใครที่บอกว่าจะรื้อทำใหม่ทั้งหมด นั่นหมายถึงเราต้องกลับมาเริ่มต้นทำใหม่ ดังนั้น ไม่ใช่ใครพูดจะให้ ก็ยิ้มหวานไปหมด อย่าไปฟังคนที่ออกมาพูดเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี คนพวกนี้ตกเลข เลอะเทอะ บัญญัติไตรยางศ์ผิด ขอให้ทุกคนจับมือกันเพื่อเดินไปข้างหน้า นำพาประเทศ นำนายกฯผ่านสนามทุ่นระเบิด กองขยะ วันนี้พูดในฐานะนายกฯยังขนาดนี้ ถ้าพูดในฐานะอื่นคงอันตรายไปอีก เพราะมีคนจ้องจะด่าทั้งวัน คนจะเกลียดก็เกลียดไป ไม่ว่าอะไร แต่อย่างไรก็จะทำงานให้ โดยพร้อมจะทำหน้าที่ เก็บขยะให้ทุกคนอยู่แล้ว วันนี้พร้อมนำพาทุกคนสู่ชีวิตที่ดีกว่า เหมือนเพลงวันใหม่ที่แต่งขึ้น เราทนมา 40-50 ปีแล้ว ขอให้ทนอีกหน่อย เชื่อว่าไม่นาน เพราะอีก 3-4 ปีทุกอย่างจะเกิดขึ้น เราได้ปลูกต้นไม้ต้นแรกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว วันนี้เริ่มผลิดอกออกผล เราจึงพร้อมปลูกต้นอื่นต่อไป
    “เราจะทำตัวเป็นคนหล่ออย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำงาน แม้จะมีคนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ก็ยังดี วันนี้เดินทางบ่อยมาก ไม่สบายเจ็บคอ ก็ต้องโด๊ปยา แต่ผมทนได้ ขอเพียงกำลังใจจากประชาชน ให้ผมได้หรือไม่ ขอแค่ความรัก ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องของทุกคน สำหรับผม 4 ห้องหัวใจมีให้กับ 68 ล้านคน หัวใจของผมต้องใหญ่มาก และจะใหญ่ได้ก็ด้วยความรักจากทุกคน ก็จะมีหัวใจดวงเดียวกัน เราต้องหาผู้นำที่เข้มแข็ง แต่ถ้าชอบเสียงหวาน ก็เลือกมา ซึ่งผมเองพูดหวานก็เป็นนะครับ แล้วเจอกันอีกเมื่อชาติต้องการ” 
    ต่อมาเวลา 14.30 น. พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งเป็นการประชุมครม.ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.62 โดยก่อนการประชุม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ นำคณะผู้บริหารเข้าพบนายกฯ เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมการดำเนินการยกระดับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ จากนั้นนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ และคณะผู้บริหาร เข้าพบนายกฯ เพื่อนำเสนอนิทรรศการผลการดำเนินการแปลงใหญ่ในโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ 
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างถ่ายรูปร่วมกับคณะว่า ประเทศชาติมาเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว แต่ทุกกิจกรรมต้องทำเป็นระยะๆ ซึ่งอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท วันนี้อยู่ในระยะที่ 2 และ 3 แล้ว กำลังจะไประยะที่ 4 จะมาเริ่มระยะที่ 1 ใหม่ทั้งหมด จะล้มล้างทุกอย่างเป็นไปได้หรือไม่ ต้องพิจารณากันเอาเอง พวกเราทุกคนทำประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่นายกฯ คนเดียว
    จากนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน และคณะผู้บริหาร เข้าพบนายกฯ เพื่อนำเสนอนิทรรศการเรื่องการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้ประกันตนในการประกอบการ โดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานประกันสังคมกับอีก 9 หน่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 
    "อย่าบอกว่าลุงไม่ทำอะไรเลย ทุกคนช่วยกันทำ แล้ววันนี้ไม่มีบัตรกี่บาทอะไรทั้งสิ้น เรียกว่าประกันสุขภาพถ้วนหน้า เข้าโรงพยาบาลเอกชนได้ 72 ชั่วโมง เบอร์สายด่วน 1169 มีใครทำถามหน่อยซิ โธ่พูดอย่างเดียวทำไม่ได้หรอก ทำมาตั้ง 5 ปี ทำได้ขนาดนี้ เข้าใจหรือยัง" นายกฯ กล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการประชุม ครม.กว่า 2 ชม. พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ โดยระหว่าง ลงจากห้องประชุม ครม. ตึกบัญชาการ ได้ทำท่าชี้ไปที่ลำคอ พร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ กับผู้สื่อข่าวว่า เจ็บคอ ก่อนจะชี้ไปที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง เพื่อส่งสัญญาณว่าเจ็บตาด้วย จากนั้นนายกฯ ขึ้นรถยนต์ส่วนตัว และเปิดกระจกหันมาพูดกับผู้สื่อข่าวว่า “มันร้อนนะ ใจเย็นๆก่อน เลือกตั้ง” และทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยูก่อนรถจะเคลื่อนออกไป 
    มีรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการ คสช.ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ให้พิจารณางดรายการเดินหน้าประเทศไทย ในวันที่ 24 มี.ค.62 ซึ่งตรงกับวันเลือกตั้งทั่วไป หลังทางสถานีโทรทัศน์และวิทยุได้ทำเรื่องขอนำเสนอบรรยากาศการเลือกตั้งทั่วไป รวมถึงการเกาะติดผลการลงคะแนน และการรายงานผลการเลือกตั้ง โดยทาง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ขัดข้อง จึงได้เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว โดยจะงดรายงานเดินหน้าประเทศไทย ในวันที่ 24 มี.ค.นี้ ส่วนรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในคืนวันที่ 22 มี.ค.นี้ ยังคงมีตามปกติ ซึ่งเนื้อหารายการจะเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับบทเพลงพระราชนิพนธ์ 
ไม่สั่งทหารล็อกโหวต
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในที่ 20 มี.ค. มีกำหนดลงพื้นที่ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร เวลา 06.30 น. นายกฯ เดินทางถึงสวนลุมพินี สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ก่อนชมกิจกรรมออกกำลังกาย พร้อมติดตามผลการปรับปรุงภูมิทัศน์สวนลุมฯ จากนั้นนายกฯ จะเดินทางไปยังสถานีกลางบางซื่อเพื่อตรวจติดตามโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และจะตรวจเยี่ยมชานชาลารถไฟความเร็วสูงและรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ช่วงบ่ายไปศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ที่ จ.ฉะเชิงเทรา และเดินทางต่อไปยังวัดโสธรวรารามวรวิหาร ก่อนเดินทางกลับ กทม.     
    ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยการเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 24 มี.ค.นี้ว่า ก็เรียบร้อยอยู่แล้ว 
    ถามว่า ในส่วนของกำลังพลจะเปิดให้ฟรีโหวตโดยไม่มีการสั่งการให้ไปเลือกใครใช่หรือไม่  พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มีๆ
    พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง 24 มี.ค.นี้ว่า ในภาพรวมเรียบร้อยดี วันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมาอาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ภาพรวมถือว่าเรียบร้อยดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากทาง กกต. เราก็ดำเนินการเรียบร้อยดีในทุกฟื้นที่
    ถามถึงการเก็บหีบเลือกตั้งไว้ที่ห้องของปลัดอำเภอในจังหวัดเลย รมว.มหาดไทยกล่าวว่า ไม่ทราบ ถ้าใครทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการ แต่ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวไม่มีอะไร ทุกคนทำไปตามกฎหมาย คงไม่มีเจตนาทุจริต อย่าเป็นโรควิตกจริตมาก 
    "เรากำชับนายอำเภอไม่ได้ เพราะเขาทำตามที่ กกต.ในพื้นที่เป็นผู้กำหนดว่าจะต้องทำอย่างไร กระทรวงมหาดไทยจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนนั้นก็ไม่ได้ แต่เราสามารถบอกประชาชนได้ว่าหน่วยเลือกตั้งมีมากมาย ควรจะบอกกับประชาชนว่าใครทำผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดี ประชาชนจะสบายใจกว่า" รมว.มหาดไทยกล่าว
    ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายธนกิจ จิตอารีย์รัตน์ คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค กล่าวว่า
ขณะนี้ทีมกฎหมายและทีมสารสนเทศของพรรค เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลที่มีบุคคลหรือพรรคการเมืองอื่นกระทำสิ่งที่เป็นผลกระทบต่อ พปชร. แกนนำพรรค รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคเสนอชื่อ โดยเฉพาะการใส่ร้าย ป้ายสี และจูงใจให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อพรรค เบื้องต้นทีมงานรวบรวมรายละเอียดไว้พอสมควร และคาดว่าจะนำพยานหลักฐาน ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลังการเลือกตั้ง วันที่ 24 มี.ค. และบางกรณีพบความผิดที่เข้าข่ายนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้ด้วย
    ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในตอนหนึ่งระหว่างการปราศรัยใหญ่กรุงเทพฯ โซนตะวันออก นอกศูนย์การค้า Crystal Design Center ว่าสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ประชาชนถูกบังคับให้คิดอยู่ในกรอบเลือกข้างของคน ฝ่ายหนึ่งอ้างเป็นกลุ่มประชาธิปไตย ต้องการปลุกเร้าอารมณ์อย่างเดียวว่าเมื่อ 5 ปีผ่านไปคนส่วนใหญ่ไม่พอใจในเรื่องภาวะเศรษฐกิจและการบริหารงานที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงปลุกเร้าให้เลือกพรรคตัวเองที่สถาปนาว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ความจริงไส้ในของแต่ละพรรคไม่เป็นประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เอาความกลัวมาใส่ประชาชนว่าถ้าไม่ต้องการให้ฝ่ายโน้นกลับมา ต้องเลือก พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น 
    "อยากให้ประชาชน ไตร่ตรองดูว่า 5 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้มีอำนาจพิเศษบริหารการเมืองง่ายกว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันรัฐบาลปัจจุบันเคยว่ารัฐบาลอื่นหลายอย่าง แต่ตอนนี้ทำเกือบทุกอย่างแล้วในวันที่ต้องการกลับมามีอำนาจ ผมไม่ใช่คนโลกสวย แต่ไม่เคยเชื่อทฤษฎีโจรจับโจร ที่ไม่เชื่อเพราะถ้าใช้ทฤษฎีโจรปราบโจร หมายความว่าเราจะอยู่กับโจรหรือจะได้มหาโจรในที่สุด อยากให้ตั้งหลักว่าอยากให้บ้านเมืองเดินไปทางไหน" นายอภิสิทธิ์กล่าว 
    ส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เดินตลาดประปา อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ช่วยผู้สมัครหาเสียง รวมทั้งขึ้นรถแห่แนะนำผู้สมัครและสื่อสารนโยบายภายในพื้นที่ อ.เมืองฯ 
หน่อยฟุ้งมีแผนสู้ 250 ส.ว.
    คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เพราะมีความได้เปรียบเสียเปรียบจากการร่างกติกาเพื่อกลับเข้าสู่อำนาจ เสมือนเป็นการยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ผ่านกติการ่างกฎหมาย ผ่านกลไกที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ เช่น ส.ว. 250 คน ซึ่งประชาชนขาดความเข้าใจและคิดว่าเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับหนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ ถ้าประชาชนไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐตรีต่อ ต้องเลือกเพื่อไทยเท่านั้น เลือกอย่างถล่มทลาย เพราะมีเพียงพรรคที่มีศักยภาพจะได้ ส.ส.มากพอที่จะสามารถต่อสู้กับ ส.ว. 250 คน
    "มั่นใจพรรคจะได้คะแนนเสียงมากที่สุดในประเทศ จึงเรียกร้องว่าอย่าดำเนินการใดๆ ที่ทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนเกิดความบิดเบี้ยว โดยใช้กลไกของ ส.ว. 250 คน ซึ่งส่วนตัวยอมรับว่าหนักใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะจะมีช่องทางให้เกิดการโกงเลือกตั้งในหลายขั้นตอน ทำให้การเลือกตั้งใหญ่น่ากังวล แล้วทำให้พรรคการเมืองต่างๆ เสียคะแนนไปจำนวนมาก ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน และประชาชนสามารถฟ้องได้ อาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะมีทฤษฎีสมคบคิด โดยเฉพาะพวกที่แพ้เลือกตั้ง แต่ยังอยากอยู่ในอำนาจต่อ ทั้งหมดเป็นความกังวล แต่ประชาชนต้องสู้" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
    ส่วน น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) สร้างวาทกรรม พล.อ.ประยุทธ์เป็นเผด็จการที่จะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ และล้มล้างระบอบทักษิณที่ไม่มีอยู่จริง ตนขอบอกว่าหยุดสร้างวาทะหลอกลวงประชาชนเสียที คนที่มีพื้นฐานแบบเผด็จการไม่มีทางสร้างประชาธิปไตยได้ ถ้าคนที่จะสร้างประชาธิปไตยได้ต้องมีจิตสำนึกที่ไม่แย่งอำนาจจากประชาชน
    สำหรับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรค พร้อมคณะ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงที่ใน กทม. บริเวณตลาดกิตติสาทร ตลาดเช้าสะพาน 2 ซอยเซนต์หลุยส์ ซอยเย็นจิต และศูนย์การค้าวรรัตน์ 
    พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์กล่าวว่า มาถึงเวลานี้ผลโพลต่างๆ ทำให้เห็นชัดว่าพรรคมีคะแนนเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ จนทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเป็นที่รู้จักมากขึ้น เราจึงมีความหวังที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วหากเราได้เป็นพรรคอับดับที่ 1 เราจะเชิญทุกพรรคมาร่วมกันทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ตามแนวทางการสร้างประชาธิปไตยที่แข็งแรง
    “พรรคภูมิใจไทยไม่ใช่ม้ารองบ่อน แต่เราจะเป็นม้ามืด ที่เร่งฝีเท้าปาดหน้าเข้าเส้นชัยเอาชนะม้าเต็งได้ เพราะการที่พรรคภูมิใจไทยเดินหน้าการเมืองอย่างเข้มข้น ทั้งการลงพื้นที่ทั่วประเทศ จะทำให้ประชาชนรู้ว่าพรรคมีความตั้งใจที่จะเข้ามาบริหารประเทศ เรายืนยันว่าเราจะยึดผลประโยชน์ชองชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งสิ่งเดียวที่เราจะไม่ทำคือทำลายประเทศและทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ยืนยันอีกครั้งเราต้องการเป็นพรรคลำดับที่ 1 เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่พรรครอร่วมรัฐบาล” โฆษกพรรค ภท.กล่าว
    ที่ จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า พรรคให้ความสำคัญกับฐานเสียงและการพัฒนาอีสานและพัฒนาประเทศ พัฒนาโคราช เราปราศรัยอย่างเป็นทางการครบทั้ง 14 เขตแล้ว กระแสตอบรับของประชาชนดีมาก เรามาปิดการปราศรัยแล้ว เรามีความเชื่อมั่นว่าเราจะรักษาฐานการเมืองที่โคราชไว้ได้
    วันเดียวกัน เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อของฮ่องกง รายงานเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ว่าทางการไทยกำลังขอให้ทางการฮ่องกงส่งตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ร้ายข้ามแดน โดยเชื่อว่าขณะนี้นายทักษิณและครอบครัวอยู่ที่ฮ่องกงเพื่อร่วมงานแต่งงานของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง กับนายปิฎก สุขสวัสดิ์ ที่จะจัดที่โรงแรมโรสวู้ดในฮ่องกงวันศุกร์นี้ โดยสื่อฮ่องกงกล่าวว่า อุ๊งอิ๊งและว่าที่สามีซึ่งเป็นนักบินเดินทางมาถึงฮ่องกงแล้ว เช่นเดียวกับนายทักษิณ
     เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์อ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายชัชชม อรรฆภิญญ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวสดฉบับภาษาอังกฤษ ว่าคำร้องขออย่างเป็นทางการเพื่อขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นจะส่งถึงทางการฮ่องกงทันทีที่เจ้าหน้าที่ทราบชัดเจนว่านายทักษิณพักอยู่ที่ใด คำขอนี้จะเป็นการขอให้ฮ่องกงส่งตัวนายทักษิณเป็นผู้ร้ายข้ามแดนอย่างเป็นทางการครั้งแรก
    ทั้งนี้ ไทยและฮ่องกง ซึ่งเป็นดินแดนของจีน ไม่ได้ทำสนธิสัญญาผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน สื่อของฮ่องกงได้สอบถามกระทรวงยุติธรรมของฮ่องกงว่าทางการไทยได้ส่งคำร้องขอมาแล้วหรือไม่ หรือฮ่องกงจะทำเช่นไรหากได้รับคำร้องขอ แต่กระทรวงแจงเพียงว่าจะไม่ให้ทัศนะเกี่ยวกับกรณีที่เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล.

ถึงไหนถึงกัน

นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.แถลงสรุปผลการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าว่า ประชาชนตื่นตัวออกไปใช้สิทธิทั่วประเทศสูงถึง 86.98 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ 2.6 ล้านคน

หลายจังหวัดมีประชาชนแห่ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งล่วงหน้าสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์

กรุงเทพฯ สะดือประเทศไทย มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าล้นหลามกว่า 87 เปอร์เซ็นต์

เขตบางกอกใหญ่ครองแชมป์มีผู้ใช้สิทธิสูงสุดถึง 92 เปอร์เซ็นต์

เขตบางคอแหลม สัมพันธวงศ์ ปทุมวัน พญาไท ก็ไม่เบามีผู้ใช้สิทธิทะลุเป้าเกิน 90 เปอร์เซ็นต์

แม้แต่เขตที่มีผู้ใช้สิทธิน้อยที่สุดใน กทม.ยังกดไปเบาะๆ 83 เปอร์เซ็นต์

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าวันเลือกตั้งใหญ่ 24 มีนาคม จะได้เห็นพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศแสดงพลังไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมืดฟ้ามัวดินทะลุเป้า 80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51 ล้านคน

นับถึงวันนี้ เหลือเวลาอีก 5 วัน ที่พรรคการเมืองทุกพรรค และผู้สมัครเลือกตั้งทุกคนต้องตะลุมบอนหาเสียงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

เวลาที่เหลืออีก 5 วัน สามารถพลิกผลเลือกตั้งจากแพ้เป็นชนะ หรือจากชนะกลายเป็นแพ้ได้ทุกเขต...ที่คะแนนสูสีคู่คี่กัน

จึงไม่น่าแปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกฯ (เต็งหนึ่ง) พรรคพลังประชารัฐ จัดคิวเดินสายตรวจราชการและเยี่ยมเยียนประชาชนแบบถึงไหนถึงกัน

ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาสะกิด กกต.ให้ตรวจสอบการขยันเดินสายของ “นายกฯลุงตู่” ให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี??

หรือมีเป้าหมายอื่นเจือปน??

เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ใส่หมวก 2 ใบ เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีพรรคการเมือง
การเดินทางลงพื้นที่ในเวลาราชการ ใช้ทรัพยากรของรัฐ มีคำสั่งเกณฑ์ประชาชนไปต้อนรับ มีการจัดเวทีให้นายกรัฐมนตรีปราศรัยกับพี่น้องประชาชน

อาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 78 พ.ร.บ. เลือกตั้ง ส.ส.ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการใดๆ เพื่อเป็นคุณหรือโทษ
แก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์สะกิดติ่ง กกต.ให้ตรวจสอบการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี? หรือในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมือง? หรือทั้งสองอย่างรวมกัน??

ถือว่าเหตุผลมีนํ้าหนักเพียงพอที่ กกต.จะรับพิจารณา

แต่ในแง่มุมกฎหมาย ยังฟันธงไม่ได้ชัดเจน

เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีแบบปกติ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีรักษาการ

พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีสิทธิเดินทางลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ หรือเยี่ยมเยียนประชาชนอย่างสะดวกโยธิน

การมีคำสั่งเกณฑ์ชาวบ้านไปต้อนรับ และการจัดเวทีให้ปราศรัยกับประชาชน ก็เป็นสูตรสำเร็จทุกครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการ

ดังนั้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่หลุดปากปราศรัยพาดพิงพรรคพลังประชารัฐ

และไม่มีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีผู้สมัครของพรรคไปโชว์ตัว หรือร่วมผสมเป็นยาดำ

ยังฟันธงไม่ได้ว่าเข้าข่ายใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้คุณให้โทษหรือเอื้อประโยชน์พรรคการเมือง

เหลืออีกไม่กี่วันจะได้แสดงพลังเลือกตั้งกันแล้ว อย่าไปจุกจิกกับ “นายกฯลุงตู่” นักเลย

เปิดโปรโมชันโค้งสุดท้ายให้ลุงตู่ เดินสายตรวจราชการให้เต็มเหนี่ยวเถอะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

เจาะยางไม่ทันแล้ว

หล่อไม่สุด

ตามปรากฏการณ์ที่ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตั้งใจโชว์มาตรฐานความโปร่งใส เปิดมิติใหม่ทางการเมืองด้วยการโอน “ขุมทรัพย์” ส่วนตัวกว่าครึ่งหมื่นล้านไปให้ Trust หรือกองทุน เป็นผู้ดูแล ลักษณะ “Blind Trust” สลัดภาพผลประโยชน์ทับซ้อน

แต่เจอกูรูการเงินระดับนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉหักหน้าเป็นเชิง “Blind Trust” ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ

เคยมีนักการเมืองอีกหลายคน รวมทั้งตัวนายกรณ์ด้วย เคยทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว โดยการโอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแลและบริหาร แต่ไม่ใช่ “Blind Trust”

นายกรณ์ยังสวนทางหักมุมมุกโชว์โปร่งใสของนายธนาธร

ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้

บลัฟกันเป็นนัย วิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนคือการขายขาดไปเลย

เจอลูกเขี้ยวยี่ห้อประชาธิปัตย์เตะสกัด น้องใหม่อย่าง “ธนาธร” เลยหน้าม้านไป

และตามจังหวะสถานการณ์วันนี้ การเลือกตั้งผ่านโค้งสุดท้ายเข้าทางตรง อารมณ์เดียวกับมวยยก 5 สังเกตอาการเร่งเครื่องแรงมากกว่าใครก็คือมวยของค่ายประชาธิปัตย์

ไล่เตะ “เจาะยาง” ดักเตะตัดขาเขาไปทั่ว

มุ่งเฉพาะพวกฐานเสียงทับซ้อน ยี่ห้อที่จะมาตัดคะแนน แย่งส่วนแบ่งตลาดประชาธิปัตย์ ชัดเจนที่สุดคือค่ายอนาคตใหม่ ที่สังเกตได้ “ธนาธร” โดนทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรุ่นใหญ่อย่างนายกรณ์ ดักสอนมวยไปแล้ว 2–3 ช็อต

ฟอร์มฮอตเลยสะดุด หล่อแบบไม่สุด

แต่เป้าใหญ่กว่านั้นก็คือ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และทีมพลังประชารัฐ

ตามสัญญาณแรงๆ “เดอะมาร์ค” ประกาศชัด “ไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป”

ไล่หลังจากยุทธการ “เท” ประกาศไม่หนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯสืบทอดอำนาจ “อภิสิทธิ์” นำทีมสลัดตัวออกจากการเกาะแข้งเกาะขา “ลุงตู่” อยู่ใต้เงาขั้ว คสช.

เพราะอ่านเกมแล้ว เจอทีมหนุน “ลุงตู่” ดูดแต้ม มีแต่รอหมดตูด

ตามยุทธการต้องรีบหันกลับมา “ล่อเป้า” ดูดคะแนนคืนจาก พล.อ.ประยุทธ์ โดยไม่รู้จะทันหรือไม่

ในจังหวะแบบที่ “นายกฯลุงตู่” บุกถ้ำเสือจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็เจอ “ลิ่วล้อ” ประชาธิปัตย์เปิดโพยแฉหนังสือราชการเกณฑ์ประชาชนมาต้อนรับนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการ ไล่จี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เฉ่งปี๋นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าฯนครศรีธรรมราช

ดักโรยตะปูเรือใบสกัด “ลุงตู่” บุกตีตลาดให้ยี่ห้อพลังประชารัฐ

แต่นั่นก็ไม่ง่าย กับภาพของผู้นำทหารที่กลายเป็นมวยเจนจัดสนามหาเสียงไปแล้ว

ในฉากแบบที่ “นายกฯลุงตู่” สวมบทโชเฟอร์รถสองแถว ขึ้นขับเองแบบเนียนๆ ขับวนโบกไม้โบกมือ ส่งสัญลักษณ์ไอเลิฟยู ท่ามกลางเสียงเชียร์ ชาวบ้านปรบมือชอบอกชอบใจ

ภาพ “ลุงตู่” ติดดิน อินกับบทนักการเมืองอาชีพ

ชิงพื้นที่ข่าว ชาร์จเรตติ้งกระแสการเมืองรายวัน

อีกด้านก็เป็นหน้าที่ของ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ไล่เคลียร์กระแส ไล่ซ่อมแซมความเสียหายจากพิษน้ำลายของนักเลือกตั้งอาชีพ

รุมดิสเครดิตปมเศรษฐกิจรัฐบาล คสช.

ส่อกระเทือนความมั่นใจของนักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติที่ไม่เข้าใจธรรมชาติการเลือกตั้งไทย ที่เน้นโจมตีคู่แข่งให้เสียหายไว้ก่อน จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง โดยไม่สนภาพรวมประเทศจะเสียหายอย่างไร

อารมณ์แบบที่ “สมคิด” บ่นคันหู เซ็งพวกเอาเท้าราน้ำ

แต่เรื่องของเรื่องว่ากันตามยุทธศาสตร์ที่เล่นกันเป็นทีม ตามเหลี่ยม “สมคิด” ออกมาเคลียร์กระแสแก้ลำที่รัฐบาลโดนถล่มปมด้อยเศรษฐกิจ สวนกลับพวกดิสเครดิต “ลุงตู่” แบบมวยมีเชิง

แยกกับบทที่ “นายกฯลุงตู่” ก็เดินแต้มเชียร์แขกให้พรรคพลังประชารัฐ

โฆษณากันด้วยเนื้องานรัฐบาล 4–5 ปี เมกะโปรเจกต์ที่เป็นรูปธรรม บัตรสวัสดิการประชารัฐ ผลงานการแก้ปัญหาธงแดงการบิน การปลดล็อกธงเหลืองด้านประมง

กับทีมงานที่พร้อมไปต่อเลยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ มันชัดเจนกว่าพรรคอื่นที่ฟุ้งภาพลอยๆในอากาศ

และกับผลเบื้องต้น ตามข้อมูลตัวเลขจากการสุ่มหยั่งเสียง

ผู้ออกเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 17 มีนาคม ที่มืดฟ้ามัวดินเกินร้อยละ 80 ปรากฏพรรคเพื่อไทยครองเสียงอันดับ 1 แต่พรรคที่มาแรงแซงโค้งคือพรรคพลังประชารัฐ เด้งขึ้นมาอันดับ 2 คะแนนเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์

แค่นี้ ทีมหนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ ก็ตีปีกกันได้แล้ว.

ทีมข่าวการเมือง