PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

ยัน ไม่ลงเลือกตั้ง แต่แบะท่า บอก"ไม่รู้"จะเป็นนายกฯคนนอก มั้ย

ยัน ไม่ลงเลือกตั้ง แต่แบะท่า บอก"ไม่รู้"จะเป็นนายกฯคนนอก มั้ย
เปิดช่อง...."บิ๊กตู่"ยันไม่ลงเลือกตั้ง แต่พอถามว่ามาแบบคนนอกจะมามั้ย?บอกไม่รู้ปัดตอบจะอยู่อีก5ปีมั้ย ถามกลับจะอยู่ในฐานะอะไร อยู่ได้ยังไง
นักข่าวถามว่า อยู่อีก5 ปี ไหวมั้ย นายกฯบอกว่า อยู่ทำอะไร
นักข่าว กระแซะ บอก ก็เป็นนายกฯไง
บิ๊กตู่ ถามกลับ จะอยู่ได้ยังไง
เมื่อถามว่า ก็เป็นนายกฯ หลังเลือกตั้งไง
นายกฯบอกว่า จะเป็นได้ไง
นักข่าว หยอกว่า ก็ลงเลือกตั่งไง จะลงเลือกตั้งมั้ย
นายกฯบอกว่า ไม่ลง

นักข่าวถามว่า แล้วถ้าเป็นนายกฯคนนอกล่ะ จะเป็นมั้ย,
นายกฯบอก "ไม่รู้"

รู้แล้ว!! "ปู" อยู่ไหน!!

รู้แล้ว!! "ปู" อยู่ไหน!!
‪"บิ๊กตู่ "เผยรู้แล้วว่า"ยิ่งลักษณ์"อยู่ไหน แต่อุบยังไม่บอก รอหลัง27กย.ก่อน จะบอก ไม่มั่นใจประเทศ นี้จะส่งตัวให้มั้ย เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยส่งให้ อ้างมีหน่วยข่าวส่วนตัว เลยรู้ว่า อยู่ไหน เผยให้Interpol ตำรวจสากลช่วยด้วย. แต่ 129 ประเทศยังไม่ตอบมา ตอนนี้ การข่าวพอยืนยันได้ แต่ ยัน ขอลี้ภัยไท่ได้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นคดี
เปรยคนไป ไม่มีปัญหา แต่คนอยู่ซวยทุกที‬

"บิ๊กตู่" ซัด นักการเมืองเลอะเทอะ วิจารณ์ e-Payment" เพราะถังแตก

"บิ๊กตู่" ซัด นักการเมืองเลอะเทอะ วิจารณ์ e-Payment" เพราะถังแตก ไม่มีเงินใช้ ชี้เมืองนอก ใช้กันหมดแล้ว เผย ถูกต่อต้านตลอด
นายกฯบิ๊กตู่. เปิด โครงการ "National e-Payment" ที่ซิ้อสินค้า ไม่ต้องจ่ายเงินสด แต่ใช้การสแกน บาร์โค้ด ของธนาคาร หักจากบัญขีฯผู้ซื้อ
"ตอนนี้เมืองนอกใช้หมดแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา
แต่ วันนี้มีสิ่งที่ทุกคนไปพูดจากันเสียหายว่า "เออ อีกหน่อยแสดงว่า เงินไม่มีอยู่แล้ว เลยใช้ไอ้นี้แทน เพราะคนไม่มีตังค์ใช้
คิดได้อย่างไง พอใช้ตรงนี้ ก็ต้องไปตัดเงินที่มี เพียงแต่ ไม่ต้องไปเสียสตางค์ตอน
ซื้อเท่านั้นเอง คือ หาเรื่องจนได้ หลายคน นักการเมืองแหละ เลอะเทอะ
ขอให้นำไปสร้างความเข้าใจด้วย บางครั้งอะไรที่เปลี่ยนแปลงเร็วๆ คนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ใช่หรือไม่ใช่ คนพอใจก็ไม่มีปัญหา แต่หลายคน ก็ออกมาต่อต้านอยู่ตลอด"

"บิ๊กตู่" บินอเมริกา 2-4ตค.นี้ พบDonald Trump ตามคำเชิญ



"บิ๊กตู่" บินอเมริกา 2-4ตค.นี้ พบDonald Trump ตามคำเชิญ เหน็บ"สมคืด-บิ๊กป๊อก-บิ๊กโด่ง-ดอน"ร่วมทีมด้วย
พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 2 – 4 ตุลาคม 2560 ตามคำเชิญของนายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดยมีผู้บริหารระดับสูงของไทยร่วมเดินทาง เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นต้น

โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เป็นการตอบรับตามคำเชิญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีระหว่างการหารือทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา

ซึ่งผู้นำทั้งสองจะได้มีการหารือในประเด็นความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนแล้ว ยังจะได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ในระดับภูมิภาคด้วย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะปฏิบัติภารกิจสำคัญ ประกอบด้วย การพบหารือกับผู้แทนภาคเอกชนไทย การหารือข้อราชการกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา การประชุมเต็มคณะ และร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งคณะนักธุรกิจจากหอการค้าสหรัฐอเมริกาและสภาธุรกิจอาเซียน – สหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ

การพบปะของผู้นำทั้งสองประเทศครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้หารือเพื่อมุ่งผลักดันความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศอย่างเท่าเทียมและยั่งยืน
อนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2376 จากที่ทั้งสองฝ่ายมีสนธิสัญญาไมตรีและการพาณิชย์ (Treaty of Amity and Commerce) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ และประธานาธิบดี Andrew Jackson ของสหรัฐฯ และได้มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐ ฯ ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคงและการทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข ภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งความสัมพันธ์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งสหประชาชาติ เอเปค และอาเซียน เป็นต้น ซึ่งในปี 2561 ทั้งสองประเทศ จะได้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปี ของการติดต่อสัมพันธ์ในระดับประชาชนระหว่างไทย-สหรัฐ ฯ ด้วย

ยิ่งลักษณ์ร้าย 'ไม่เท่า' คนในคด

เอ้า...ไม่ต้องทะเลาะกันว่า "ยิ่งลักษณ์" อยู่ไหน?
เมื่อวาน เว็บไซต์ "ไทยรัฐ" ออนไลน์ ภาพ-ข่าว ว่า
"วันที่ ๒๕ ก.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นภาพถ่ายคู่กับนายทักษิณ
โดยสิ่งที่น่าสนใจ คือเงาสะท้อนที่แว่นกันแดด ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาหน้าตาเหมือนกับหญิงสาวคนหนึ่งที่หายตัวไป
พร้อมกับโพสต์ข้อความ ว่างเบอร์ไหน.. ถามใจเธอดูวววว รูปนี้ เพื่อนที่นั่งข้างหน้าถ่ายให้นะแจ๊ะ"
ภาพที่โพสต์ "เพื่อนที่นั่งข้างหน้าถ่ายให้นะแจ๊ะ" เป็นภาพ น.ส.แพทองธารนั่งศีรษะซบกับนายทักษิณทางเบาะหลัง
ทั้งคู่ อยู่ในกิริยาการ "ฉีกยิ้มหยัน" อารมณ์บานเบิก!
ด้วยความที่แว่นกันแดดโตล้นกรอบหน้า หรือหน้า น.ส.แพทองธารโตล้นกรอบแว่น ก็พิจารณากันเอง
ด้วยแว่นเป็นกระจกสะท้อนแสง จึงปรากฏ "เงา" ผู้หญิงคนหนึ่งด้านหน้าสะท้อนขึ้นที่แว่นชัดเจน
เว็บไซต์ไทยรัฐ บรรยายภาพว่า.......
"อุ๊งอิ๊ง" โผล่ โพสต์ภาพคู่ "ทักษิณ" ว่อนโซเชียลฯ เจอเงาสะท้อนผ่านแว่นกันแดดถึงผงะ! เจอเงาหญิงสาวหน้าคล้าย "ปู" นึกว่าเล่นมุก เงาสะท้อน คล้ายกรณี "สงกรานต์"
แหม...นี่ถ้าอุ๊งอิ๊งโพสต์ภาพนี้ก่อนมีข่าว ๓ ตำรวจพาปูหนี ก็ดีน่ะซี!
จะได้ไม่รำคาญที่คนแถ.........
"เปล่าพาปูหนี ตำรวจเขาแค่ขับรถไปปล่อยแถวๆ สระแก้วเท่านั้นเอง"!
เจ้าของ "เงาสะท้อน" นั้น ใช่ "ปู" หรือไม่ ก็ไปหาดูกันเอง ดูแล้ว ลงความเห็นว่าไง บอกด้วยละกัน แต่ถึงอย่างไร ใช้เป็นร่องรอยยืนยันข้อสันนิษฐานของ "พลเอกประวิตร" ที่ว่า ๒๗ กันยาปูไม่มาแน่
พอได้อยู่!
ประเด็น ตำรวจพาผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศ ผิดกฎหมายหรือไม่ผิด ถึงวันนี้ หมดประเด็นคุยสำหรับผม
เพราะตอนนี้ มีผู้รู้กฎหมายและผู้ (ทำเป็น) ไม่รู้กฎหมาย ออกมาแสดงความเห็นด้วยข้ออ้างอิงเยอะแยะแล้ว
อดใจรอซักพักเถอะน่า.......
เห็น ผบ.ตร. "พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" สั่งเปลี่ยนตัวประธานสอบ "พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์" ผู้รับคำสั่งให้พาปูหนีแล้ว
ดูจะเข้าท่า-เข้าทางกว่าเดิม ซึ่งเดิมลักษณะ "คนกันเอง-สอบกันเอง"
ประธานสอบคนใหม่ คือ "พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ" รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ลงมือกันวันนี้แหละ (๒๖ ก.ย.๖๐) ผมดูโหงวเฮ้งแล้ว นายตำรวจท่านนี้ "เข้าท่า" เอาการ
เรื่องกฎหมาย เป็นเรื่อง "สองคนยลตามช่อง"
ในเรื่องเดียวกัน กฎหมายฉบับเดียวกัน มาตราเดียวกัน บางที เรียนสำนักเดียวกัน อาจารย์เดียวกันแท้ๆ แต่ไปคนละทาง-สองทาง
พลเอกประวิตรน่ะ........
อย่าไปรุกเร้าท่านนักเลย ระยะหลังนี้ ดูท่านชราภาพไปมาก ใจน่ะคงสู้หรอก แต่สังขารชักจะไม่ให้
โชคดีอยู่หน่อย ที่ท่านกด-ข่มอารมณ์-สีหน้า แล้วว่าของท่านไปเรื่อยเปื่อย ในการตอบนักข่าวชนิด "สีทนได้"
จึงดำน้ำ "รอดตอ" ไปได้เรื่อยๆ!
ท่านคงตั้งใจบวช "ร่วมพรรษา" กับน้องตู่สุดเลิฟ เพียงพรรษาเดียว ถึงพรรษา ๒.......
ดูท่าคงขอปลีกวิเวกไปอยู่ในฐานะ "โยมอุปัฏฐาก" มากกว่าจะดันทุรังเป็นหลวงตาหลงกระโถนต่อ
ส่วน พล.ต.อ.ศรีวราห์ ในเรื่องนี้ คล้ายจิตดวงเดียว แต่สองสำนึกสู้กันเอง ดูท่านจะเครียด เริ่มเสียงดังด้วยอำนาจ
ความจริง รอง ผบ.ตร.และผู้ช่วย ผบ.ตร.มีเป็นโหล......
แต่ดูเหมือนทั้งกรุงลงกา ไม่ว่าเรื่องพระ-เรื่องโจร โยนให้แต่รอง ผบ.ตร.ศรีวราห์คนเดียว
เป็นใคร ใครก็เหนื่อย-หนัก และเครียดบ้าง เนอะ!
ท่าน ผบ.ตร.จักรทิพย์ก็...มีคดีเล็ก-ใหญ่ แบ่งให้รอง ผบ.ท่านอื่นรับหน้าเสื่อบ้างปะไร ตบะท่านรอง ผบ.ศรีวราห์จะได้มีเวลาซ่อม
คดีอื่นๆ น่ะ พอตะมุ-ตะมิกันไป.........
แต่เรื่องตำรวจพาปูหนีนี่ อย่าแค่ตั้งตาลปัตรบังหน้า แล้วยกกฎหมายเป็นมนต์สวดยันเต
เพราะมันเป็นประเด็น "จิตใจทางสังคม"
ซ้ำยังเป็นคดี "ตรวจปัสสาวะตำรวจ" ว่าสีขาวหรือสีแดง จากประชาชนที่กำลัง "ตั้งด่านตรวจ" ว่าด้วยเรื่องปฏิรูป!
นี่...วันนี้ก็ ๒๖ กันยาแล้ว.......
พรุ่งนี้ก็ ๒๗ กันยา เป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดให้ยิ่งลักษณ์มาฟังคำพิพากษา
มา-ไม่มา ศาลอ่านคำพิพากษาแน่!
ไม่ว่าผลออกมาแบบไหน ความแฉลบไฉลในเรื่องตำรวจพาปูหนีจะทำให้สังคมพุ่งเป้าไปที่สถาบันตำรวจหนักขึ้น
ว่าจะทำคดี ๓ ตำรวจ แบบตรงไป-ตรงมา หรือโก่งไป-โก่งมา?
สมมุตินะ พรุ่งนี้ ศาลตัดสินว่าผิด มีโทษคุก..........
ถ้าจะอุทธรณ์ ต้องยื่นภายใน ๓๐ วัน หรือจะขอเลื่อนไปมากกว่านั้นก็ตาม
ในการอุทธรณ์ ตัวยิ่งลักษณ์จะต้องมาอุทธรณ์เอง ใช้ทนายทำแทนไม่ได้แล้ว!
โทษตามมาตราที่ยิ่งลักษณ์ถูกฟ้อง อยู่ในเกณฑ์ ๕ ปีขึ้น ก็หมายความว่า ถ้าหนี ยิ่งลักษณ์ต้องหนีไป ๑๐ ปี จึงจะหมดอายุความ
ถือว่ามีโชคในเคราะห์อยู่หน่อย.........
ตัดสินวันที่ ๒๗ กันยา กฎหมายใหม่ในเรื่องอายุความคดีนักการเมืองยังไม่ประกาศใช้ จึงเป็นไปตามกฎหมายเดิม
ถึงประกาศใช้ในวันต่อๆ ไป ด้วยบทที่เป็นโทษ จะใช้ย้อนหลังไม่ได้
ฉะนั้น หนี ก็ต้องหนีไปให้ครบ ๑๐ ปี......
ไม่ต้องมาอุทธรณ์หรอก เพราะถ้าอุทธรณ์ เท่ากับคดียืดเยื้อออกไป ยังไม่สิ้นสุด
กว่าจะสิ้นสุด เผลอๆ พ.ร.บ.คดีอาญานักการเมืองประกาศใช้ก่อน ถ้าตัดสินตอนนั้นละก็ สมมุติมีโทษคุก
ทีนี้แหละ แม่พังแป้น "ถ้าจะหนี" ต้องหนีไปยันตายเลย ตามกฎหมายใหม่ ไม่นับอายุความให้แล้ว!
พูดกันตรงๆ การหนีของยิ่งลักษณ์ ไม่มีผลต่ออนาคตรัฐบาล คสช.
แต่ที่ตำรวจพาหนี.........
แล้วตำรวจก็ดี ผู้ควบคุมตำรวจอย่างบิ๊กป้อมก็ดีบอก "ไม่ผิด...ไม่มีข้อหา" แค่พาไปปล่อยริมแดน แล้วเธอไปไหนๆ ของเธอเองนั้น
ตรงนี้แหละ ต่อมลูกหมาก คสช. "อักเสบ" แน่!
ข้อบังคับ กฎหมาย ทั้งแพ่ง-อาญา มันมี ตำรวจก็ตั้งข้อหาสอบสวน-ทำสำนวนส่งอัยการพิจารณาไปตามขั้นตอนอำนาจ-หน้าที่ซี
เมื่อถึงศาลแล้ว.........
ศาลท่านจะตัดสินเองว่า ที่ ๓ ตำรวจ ทำนั้น ผิดหรือไม่ผิด?
ไม่ใช่ตำรวจที่เป็นฝ่ายจับ-ฝ่ายสอบ จะมาเป็นศาลตัดสินเสียเองแต่นาทีแรกอย่างนี้!
ยุคนี้ เป็นยุครัฏฐาธิปัตย์.........
ฉะนั้น ใครจะบอกว่าเรื่องนี้ "นายกฯ ไม่เกี่ยว" ไม่ได้
คือนายกฯ ต้องชำเลืองด้วย ว่าตำรวจเขาทำอะไรกัน
ยิ่งตอนนี้ เดิมพันงอกไปถึง พล.ต.อ.-พล.ต.ท.และอดีตนักการเมืองบางคน..........
ว่าเป็นระดับ "บัญชาการ" งานพาหนี ฉันใด
การวางท่าที "หันรี-หันขวาง" ในการทำคดีของตำรวจตอนนี้ รัฐบาล คสช.ก็อาจถูกมองว่า
เป็นระดับ "ยักคิ้ว-หลิ่วตา" ให้ ฉันนั้น!
คนเรา ถ้าต้องการล้างหน้าให้สะอาด การลูบหน้า-ปะจมูก เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น กรณีนี้ กฎหมายก็ว่าสำคัญ
กฎใจ คือ "กฎสังคม" ยิ่งสำคัญกว่า ซึ่งชาวบ้าน-ชาวพารา กำลังเพ่งเล็ง ว่ายึดอำนาจเข้ามาเพื่อ "ล้างชั่วให้ชาติ"
หรือ "เลี้ยงชั่วให้ชาติ" กันแน่?

ไม่สูญพันธุ์

ไม่สูญพันธุ์

เพราะข่าวทุจริตเริ่มบานเป็นดอกเห็ด ทำให้นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องสั่งให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าวทุจริต “โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ” เป็นการด่วน
นายกฯพล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า รัฐบาล คสช.จะไม่ยอมปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการนี้อย่างเด็ดขาด
ถ้าตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยว ข้อง จะต้องถูกลงโทษหนัก!!

หากพี่น้องประชาชนได้พบเงื่อนงำการทุจริต โปรดแจ้งข้อมูลผ่านศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ หรือสายด่วน 1299 หรือแจ้งผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทุจริตในพื้นที่กองทัพภาคได้ทุกแห่ง

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยที่ท่านนายกฯสั่งตรวจสอบทุจริตในโครงการนี้เป็นกรณีพิเศษ

เพราะโครงการนี้เริ่มมีข่าวไม่ชอบ มาพากลโผล่ขึ้นเรื่อยๆ และปูดกว้างออกไปหลายจังหวัด
ถ้าไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลมอาจบานไม่หุบไปกันใหญ่

แต่ก่อนจะเจาะลงในรายละเอียด ต้องกล่าวถึงที่ไปที่มาของโครงการนี้ให้เห็นภาพชัดเจนเสียก่อน
“โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนา การเกษตรอย่างยั่งยืน” เป็นโครงการใหม่ของรัฐบาล คสช. เพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกรร่วมกันทดลองปฏิบัติจริง เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนตามแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง

โครงการนี้ รัฐบาลทุ่มงบลงไปกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท

อัดฉีด (แจกฟรี) ให้กลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ 9,101 กลุ่ม ได้รับเงินไปลงทุนทดลองชุมชนละ 2.5 ล้านบาท

ครึ่งหนึ่งจ่ายเป็นค่าแรงงานเกษตรกรที่ร่วมโครงการ กลุ่มละ 1.25 ล้านบาท

อีกครึ่งหนึ่งจ่ายเป็นค่าจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกอบรมอีกกลุ่มละ 1.25 ล้านบาท

โดยกำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและมีความประพฤติดีกลุ่มละ 500 คน ให้ร่วม กันประชุมหารือจะฝึกอบรมพัฒนา การเกษตรด้านใด เช่น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง หรืออบรมการปรับปรุงคุณภาพดิน หรือทดลองทำฟาร์มเกษตรชุมชน ฯลฯ

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ปัญหาคือ กลุ่มเกษตรกรยังไม่ทันได้ประชุมปรึกษาหารือกันเอง

กลับมีข้าราชการรวบหัวรวบหางเอาพ่อค้ารับเหมาจัดโครงการ และจัดหาอุปกรณ์ต่างๆครบวงจร
โดยเกษตรกรไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย

แถมตั้งราคาขายแพงกว่าราคาตลาดบานตะไท

เช่น เครื่องพ่นยาตั้งราคาเครื่องละ 13,000 บาท แต่ราคาตลาดซื้อได้แค่ 3,000 บาทเท่านั้นเอง

แม้แต่ “ขี้ไก่” ที่ใช้ผลิตปุ๋ยหมัก ยังขายราคากิโล 4 บาทขาดตัว

บางพื้นที่มีเกษตรกรร่วมโครงการไม่ถึง 500 คน แต่กลับเบิกจ่ายค่าแรงเกษตรกรเต็มโควตา 500 คน??
ทำให้กลุ่มเกษตรกรบางแห่งไปร้องผ่านศูนย์ดำรงธรรม จนเรื่องไปเข้าหูท่านนายกรัฐมนตรี

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า โครงการต่างๆถึงแม้กำหนดหลักการและหลักเกณฑ์ไว้ดีอย่างไร แต่ถ้าขั้นตอนการปฏิบัติไม่รัดกุม

ย่อมเปิดช่องให้ทุจริตติดปลายนวม

ยุคก่อนด่านักการเมืองโกงกินวินาศสันตะโร

ยุคนี้ไม่มีนักการเมือง แต่ข่าวทุจริตก็ยังสะบึมส์

แล้วทีนี้จะด่าใครล่ะโยม??

ข้ามช็อตต้องถอยก่อน

ข้ามช็อตต้องถอยก่อน

ช็อตสำคัญของการเมืองโลกซีกประชาธิปไตย

ล่าสุดนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กแห่งเยอรมนี รั้งเก้าอี้ผู้นำหญิงเมืองเบียร์ไว้ได้เป็นสมัยที่ 4 หลังกลุ่มแนวร่วมอนุรักษนิยมของเธอคว้าชัยในศึกเลือกตั้งทั่วไป

พร้อมๆกับประเด็นที่น่าสนใจ เมื่อทีมของนางแมร์เคิลกวาดคะแนนโหวตมาได้แค่ 32.9 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าตกต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 1949 เป็นต้นมา ขณะที่คู่แข่งอย่างพรรคโซเชียลเดโมแครตตามมาเป็นที่ 2 ด้วยคะแนน 20.8 เปอร์เซ็นต์ นับว่าย่ำแย่ที่สุดในยุคหลังสงครามเช่นกัน

แต่พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี ที่มีนโยบายต่อต้านอิสลามและผู้อพยพสามารถช่วงชิงคะแนนโหวตไปได้ถึงร้อยละ 13 และกลายเป็นพรรคใหญ่อันดับ 3 ของเยอรมนีที่ได้คุมเสียงในสภา

โดยปรากฏการณ์มันก็ชัด สถานการณ์ล้อกับการลงประชามติของประเทศอังกฤษแยกตัวออกจากยูโรโซน และการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาที่พลิกผันได้ประธานาธิบดีชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์”

ฝรั่งตะวันตกหันกลับมายึดประโยชน์ของชนชาติตัวเองเป็นหลัก

และในห้วงจังหวะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์การเมืองไทย ประเมินสัญญาณ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. จะคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป
ในสถานะของ “นายกรัฐมนตรีคนนอก”

วัดได้จากการลงพื้นที่ต่างจังหวัดพบปะประชาชนในการจัดประชุม ครม.สัญจรหัวเมืองภาคต่างๆ การเชิญกลุ่มการเมืองเจ้าของพื้นที่ออกมาประสานเสียงสนับสนุน รวมถึงการเปิดช่องทางสื่อสารกับประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊กส่วนตัวใหม่ที่มีคนกดไลค์ติดตามกว่า 11,000ไลค์

อีกทั้งการทำโพลเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คนไทยกว่าร้อยละ 53 ต้องการให้นายกฯคนปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งต่ออีกวาระ และผลสำรวจหลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่าผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ยินดีและชื่นชมเสถียรภาพหลังการรัฐประหาร

สื่อระดับโลกมองจากภายนอก ฟันธงกันข้ามช็อตยาวๆเลย

แต่ก่อนอื่นใดโดยกระบวนท่าของทีม “นายกฯลุงตู่” ที่สะท้อนออกมาในห้วงสั้นๆ ช่วงโรดแม็ปที่เหลือ
ตามจังหวะการเดินหน้ายุทธศาสตร์ต่อเนื่อง ตามท้องเรื่องที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เปิดฉากกระตุ้นโมเมนตัมเศรษฐกิจ กระตุกแรงเหวี่ยงทางการเมือง

ไล่ตั้งแต่ลุยตีธงเมกะโปรเจกต์ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีซี) ต่อด้วยมหกรรมดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2017 เปลี่ยนผ่านประเทศสู่ยุค 4.0 ตีฆ้องรัวกลองเรียกนักลงทุนต่างชาติ

พร้อมๆกับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออกที่บวก สูงสุดในรอบ 55 เดือน การจัดอันดับของธนาคารโลกที่ได้ลุ้นขยับดีขึ้น การประกาศจีดีพีไตรมาส 3 ที่คาดว่าจะเฉียด 4 เปอร์เซ็นต์จากผลการลงทุนโครงการของรัฐ รวมถึงการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของผู้นำไทยจะทำให้ความกดดันลดลง
โชว์ปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่เริ่มส่งผลในภาพรวม โดยไม่ลืมปัญหาปากท้องคนยากคนจน แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินสายประชุม ครม.สัญจร อัดฉีดสวัสดิการประชารัฐ

“สมคิด” วางหมากให้ “นายกฯลุงตู่” ทรงตัวได้นิ่งๆบนกระดาน อำนาจสู้กับแรงเสียดทานจากนักการเมืองที่เริ่มเขย่าหนักขึ้น

และนั่นก็แปรผันตามแรงกระแทกที่พุ่งเข้าใส่กัปตันทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.

แบบที่ด้านหนึ่งพรรคเพื่อไทย ขาประจำอย่างนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ก็ปฏิบัติการเบิ้ลบลัฟนายสมคิดที่บอกว่าเศรษฐกิจขาขึ้นนั้น ขาชี้ฟ้า เอาหัวลงมากกว่า อารมณ์เดียวกับประชาธิปัตย์ที่ส่งมวยระดับนายประมวล เอมเปีย ออกมากระตุกนายสมคิดอย่าเพิ่งฝันเฟื่องประกาศว่าเศรษฐกิจดี

เป็นอะไรที่ปรองดองอัตโนมัติ ประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยช่วยกันเตะตัดขา “สมคิด”

ล็อกเป้าจุดแข็งแฝงความเปราะบาง

ตามเดิมพันเศรษฐกิจที่มาถึงจุดวัดดวง จะติดเครื่องเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังลงเหว

โดยเงื่อนไขที่ผูกโยงกับปมป่วนทางการเมือง ถ้า “สมคิด” เอาอยู่ รัฐบาล “ลุงตู่” ประคองตัวยืนระยะต่อได้ มันก็อย่างที่นายสมคิดพูดติดตลก กลัวรัฐบาลใหม่จะไม่มีอะไรทำ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันยังมีอีกปัจจัยแฝงที่ถ่วง “นายกฯลุงตู่” อยู่รอบตัว

ตามรูปการณ์ต้องจับตาหลังเดือนตุลาคมนี้ ถ้ามีการขยับถอยเรื่องเพื่อนพ้องน้องพี่

เปิดพื้นที่ ครม.ดึงคนนอกเข้าร่วมเป็นรัฐบาลเพื่อการปฏิรูป

หน่วยเจาะยาง “ลุงตู่” จะต้องออกแรงเหนื่อยขึ้นอีกเยอะ.

ทีมข่าวการเมือง

มติครม.แก้มติเดิมให้”พงศ์พร”กลับนั่ง ผอ.พศ.ตามเดิม

มติครม.แก้มติเดิมให้”พงศ์พร”กลับนั่ง ผอ.พศ.ตามเดิม
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้ง พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อีกครั้ง
วันนี้ (26 ก.ย.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ใหม่ เป็นคนเดิมคือ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ และให้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร กำกับ พศ.แทนนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
//
(ลองไปไล่ข่าวเก่าดูกัน)
รัฐบาลแจงกรณีโยกย้าย ผอ.สำนักพุทธ เพื่อความเหมาะสมและตอบสนองงานสำคัญของชาติให้สำเร็จ ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทางราชการ เชื่อมั่นยุติเรื่องได้เรียบร้อยในเร็ววันนี้
 (8 ก.ย.2560) พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่ พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทำหนังสือแย้งความเห็นของนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ที่อนุญาตให้ไปช่วยราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เป็นการชั่วคราว ตามที่ สปน.ร้องขอยืมตัวไปช่วยราชการ ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.60 เป็นต้นไป จนกว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ผอ.พศ. และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่ายังไม่มีคำสั่งที่เป็นทางการจากผู้บังคับบัญชา นั้น
ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 220/2560 ลงวันที่ 8 ก.ย.60 ให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปแล้ว จึงนับว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินอย่างถูกต้องแล้วทุกประการ
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อความเหมาะสม เพราะระหว่างนี้ พศ. มีภารกิจสำคัญ 4 เรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งต้องมีผู้นำหน่วยที่ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากคณะสงฆ์ หน่วยงานภายนอก และเจ้าหน้าที่ใน พศ.เอง รวมทั้งทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้อย่างใกล้ชิดและเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยภารกิจสำคัญประกอบด้วย 1) เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม (มส.) 2) ปราบปรามการทุจริต ที่ต้องตรวจสอบทั้งคนใน พศ.ไปจนถึงระดับวัดและชาวบ้าน 3) จัดศาสนพิธีในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 ร่วมกับกรมการศาสนา 4) แก้ไขปัญหาที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ พศ. มส. ตำรวจ และกรมที่ดิน ต้องทำงานร่วมกัน โดยช่วงนี้จะให้นาย กนก แสนประเสริฐ รอง ผอ.พศ.รักษาการแทนไปพลางก่อน
ส่วนกรณีที่ สปน.มอบหมายให้ พ.ต.ท.พงศ์พร รับผิดชอบดูแลเขตตรวจราชการที่ 8 ของสำนักนายกรัฐมนตรี 5 จังหวัด ได้แก่ จ.สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส นั้น เป็นการแบ่งงานภายใน สปน. โดยได้แบ่งงานจากของผู้ตรวจคนหนึ่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบถึง 2 เขตตรวจราชการ ซึ่งการปฏิบัติงานจริงนั้นจะอยู่ที่ กทม. เป็นหลัก เพราะต้องประสานงานกับผู้บังคับบัญชาและหน่วยงานในส่วนกลางที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบงานและปัญหาในแต่ละเรื่อง ส่วนการลงพื้นที่ตรวจราชการนั้นเป็นไปตามความเหมาะสมและจำเป็น
ท่านนายกฯ ระบุว่า พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี และมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน จึงเชื่อว่าจะมีความเข้าใจเหตุผลและขั้นตอนทุกอย่างเป็นอย่างดี ทั้งนี้ นายกฯ ได้รับรายงานจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องดังกล่าวจะยุติลงด้วยดีในเร็ววันนี้ และไม่กระทบต่อภารกิจสำคัญของ พศ. ที่ต้องดำเนินการให้ลุล่วงต่อไป
///
เปิดข้อโต้แย้ง คำสั่งย้าย "พ.ต.ท.พงศ์พร" พ้น ผอ.พศ.

ถ้าจำกันได้ในยุค คสช.มีข้าราชการไม่กี่คนที่ถูกโยกย้าย แล้วจะมีปฏิกิริยาตอบกลับหรือโต้แย้งข้อกฎหมายแบบนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.พงศ์พร มานั่ง ผอ.พศ.ด้วยอำนาจ มาตรา 44 มาแบบข้ามห้วยจาก ดีเอสไอ และเมื่อถูกย้ายกลับมีท่าทีที่ตีความได้ว่า ไม่เห็นด้วย
หากลำดับความเห็นกรณีการโยกยย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ไปเป็นผู้ตรวจราชการเขต 8 คือจังหวัด สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี โดยเริ่มจากวันที่ 29 สิงหาคม ครม.มีมติย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดนในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาแทบไม่มีความเคลื่อนไหวจาก ผอ.พงศ์พร
ทำให้หลายฝ่ายคิดว่าเรื่องดังกล่าวจบไปแล้ว รวมถึง ครม.ได้แต่งตั้ง ผอ.พศ.คนใหม่มาดำรงตำแหน่งแทน แต่เมื่อวานนี้ มีหนังสือราชการหลุดออกมา 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็นหนังสือของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุให้ พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการเขต 8 คือจังหวัด สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี หนังสือฉบับนี้คาดการณ์ว่าอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ พ.ต.ท.พงศ์พรเปิดหน้าชน และทำหนังสือโต้แย้ง นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
หนังสือฉบับดังกล่าว สรุปได้ 7 ข้อ คือ ข้อ 1. พ.ต.ท.พงศ์พร ไม่สมัครใจ ข้อ 2 คือ พ.ต.ท.พงศ์พร ยังอยู่ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธศาสนา เนื่องจากมติ ครม.ที่ให้ไปช่วยราชการ จะมีผลเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฐ ข้อ 3 คำสั่งย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการทั้งที่ยังไม่โปรดเกล้าฯ อาจจะขัด มติ ครม. และอาจจะกระทบพระราชอำนาจ ข้อ 4 สำนักพุทธฯอาจเสียหายเนื่องจากขณะนี้เหลือรอง ผอ.คนเดียวซึ่งจะเกษียณอายุราชการในเดือน ต.ค.นี้ด้วย ข้อ 5. พ.ต.ท.พงศ์พร ตีความว่า คำสั่งไม่มีผลทางกฎหมายจึงยังไม่พ้นจากตำแหน่ง นำมาสู่ข้อ 6 ว่า ถ้าคำสั่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายทำไปจะเกิดความเสียหายกับราชการ และข้อสุดท้าย นายออมสิน ในฐานะผู้บังคับบัญชา ยังไม่ได้สั่งเขาโดยตรง
นอกจากนี้ หนังสือที่ถูกมองว่าอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายลงนามโดยนายจิระชัย มูลทองโร่ย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการเขต 8 อาจจะมีคำถามว่า เป็นการกลั่นแกล้งหรือเปล่า และเหตุใดต้องเจาะจงที่ ผอ.สำนักพุทธฯ
โครงสร้างของสำนักพุทธ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี แต่ที่ผ่านอีดตนายกฯหลายคนมักที่จะมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายก ดูแลสำนักพุทธศาสนาเช่นเดียวกับยุคปัจจุบัน ที่รัฐมนตรีออมสิน ยืนยันว่า มีอำนาจย้าย ผอ.สำนักพุทธศาสนา
นอกจากนี้ยังมีความเห็นของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ยืนยันว่า พ.ต.ท.พงศ์พร มีสิทธิ์ในการอุทธรณ์คำสั่งโยกย้ายครั้งนี้ และจะจัดการปัญหานี้ให้เสร็จใน 24 ชม.
///
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ชี้แจงสาเหตุเลือกนายมานัส ทารัตน์ใจ เป็นผู้อำนวยการ พศ. คนใหม่ เพราะเชื่อว่าเป็นคนดี คนเก่ง และสามารถทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ได้ดี
วันนี้ (5 ก.ย.2560) พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติตามที่นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอ ซึ่งผ่านความเห็นชอบของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มาก่อนหน้านี้ เพื่อรับโอนนายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ให้มาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ พศ.คนใหม่
สำหรับนายมานัส ปัจจุบันอายุ 59 ปี จะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคม 2561 ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม จบการศึกษาพุทธศาสตรบัณฑิต มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยปูนา สาธารณรัฐอินเดีย
ขณะที่นายออมสิน ชี้แจงสาเหตุที่เสนอชื่อนายมานัส ว่า นายมานัสเป็นคนดี คนเก่ง และมีความประนีประนอม คาดว่าจะทำงานกับคณะสงฆ์ได้ดี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยระบุว่าผู้ที่จะมาเป็นผู้อำนวยการ พศ.คนใหม่ นอกจากเป็นคนดีเป็นคนเก่งแล้ว ยังต้องทำงานเป็นด้วย เบื้องต้นทราบว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากมหาเถรสมาคม
ทั้งนี้ ตำแหน่งผู้อำนวยการ พศ. ก่อนที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมเสน่ห์ จะถูกโยกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบปัญหาการทุจริตเงินอุดหนุนวัด จนเกิดกระแสกดดันให้ปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนจะมีการส่งเรื่องต่อให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ดูแลในภาพรวม ซึ่งพบความผิดปกติกว่า 300 เรื่อง