PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บิ๊กตู่ สั่งเปิดเวทีดีเบตรธน. กำชับอย่าตีกัน เสียงแข็งไม่ผ่าน ไม่เกี่ยวคนไทยไม่เอาคสช.


“บิ๊กตู่” ไร้กังวล โค้งสุดท้ายประชามติ ซัด พวกเรียกร้อง อย่ากดดัน ปิดปากบอกทางออกหากประชามติคว่ำ อ้าง ไม่อยากผูกมัดคำพูด เผย สั่ง กกต. จัดเวทีแสดงความเห็นแล้ว แต่ต้องไม่ตีกันและเป็นที่ยอมรับ ไม่สนโหร ชี้ จะไม่มีเลือกตั้งเสียงแข็ง รัฐธรรมนูญถูกคว่ำ ไม่เกี่ยวคนไทยไม่เอา คสช.
เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 21 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เข้าพบในช่วงเช้าวันเดียวกันว่า ผบ.ทบ. ได้รายงานความก้าวหน้าในการทำงาน ซึ่งต้องมีการรายงานเป็นระยะอยู่แล้ว ในฐานะที่เป็นเลขา คสช. นอกจากนี้ยังรายงานความคืบหน้าการทำงานของกองอำนายการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รวมทั้งสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ เพราะตนต้องเตรียมการลงพื้นที่ภาคใต้ จ.นราธิวาส ในวันที่ 25 กรกฎาคม นี้ ซึ่งไม่มีประเด็นอื่น เพราะวันนี้สถานการณ์บ้านเมืองปกติ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงสถานการณ์โค้งสุดท้ายก่อนวันออกเสียงประชามติว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการและการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทุกคนต่างทำหน้าที่ เช่น คสช. ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ดูแลเรื่องความปลอดภัย รัฐบาลและ คสช.มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนในการเดินหน้าสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการ
เมื่อถามว่า มีมาตรการอย่างไรที่จะรับมือต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ นายกฯ กล่าวว่า ช่างเขา แล้วจะให้ไปทำอะไร กฎหมายก็มีอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องที่จะไปยุ่งอะไรกันมากนัก เพราะมีกฎหมายซึ่ง กกต.ดูแลอยู่ อย่าให้คนไม่กี่คนทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกลุ่มเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย ที่มีผู้ร่วมสนับสนุนทั้งนักวิชาการ นักการเมืองและจากภาคองค์กรต่างๆ เคลื่อนไหวเรียกร้องให้เปิดพื้นที่แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ต่อร่างรัฐธรรมนูญ ก่อนถึงวันลงประชามติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กำลังให้ กกต. พิจารณาอยู่ ถ้าเหมาะสมก็จะทำให้ การเปิดพื้นที่นั้นได้สั่งการไปแล้ว รอฟังก็แล้วกัน แต่ต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ไม่ใช่เปิดเวทีแล้วตีกันอีก ถ้าอย่างนั้นตนไม่ให้ การเปิดพื้นที่นั้นตนมีความตั้งใจอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเปิดแล้วก็ไม่ยอมรับกัน ถ้าตีกันอีกทุกคนต้องรับผิดชอบ เพราะตนได้ทำให้แล้ว ทำให้ทุกอย่างแต่ต้องมีลิมิต ตราบใดที่มีการพูดจาบิดเบือน ยุยง บ้านเมืองก็ไม่ปกติ ประเทศชาติเดินหน้าไม่ได้ จะเอาทุกอย่างโดยไม่แก้ไขอะไรเลยคงไม่ได้
เมื่อถามต่อว่า กลุ่มเครือข่ายฯดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลคสช. มีความชัดเจนถึงทางออกหากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามติ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ผ่านก็จะทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะทำอย่างไรก็ไม่รู้ ไปว่ากันมา ผมไม่อยากให้คำพูดของผมถูกเก็บไปพิจารณาว่าจะให้รัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน เป็นเรื่องของประชาชนแต่ถ้าไม่ผ่านก็ร่างใหม่”
เมื่อถามอีกว่า เป็นไปได้หรือไม่หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะเปิดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเหมือนปี 2540 เข้ามาทำหน้าที่ โดยประชาชนมีสิทธิ์ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “อย่ามาบังคับผม ผมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะบังคับผมทุกอย่าง ทั้งเลือกตั้ง และเรื่องอื่นๆ คือสรุปแล้วจะเข้าสู่อำนาจอย่างเดียว แต่ไม่ยอมแก้ไขอะไรสักเรื่อง ถ้าท่านไม่ให้ผม ผมก็ไม่ให้ท่าน ต่างคนต่างก็หาตรงกลางให้เจอแล้วกัน ใครอยากจะเข้ามาทำงานให้ประเทศก็เข้ามา แต่ต้องเข้ามาอย่างถูกต้อง”
เมื่อถามว่า ขณะนี้ประชาชนหวั่นไหวภายหลังนายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หรือโหรวารินทร์ ออกมาทำนายว่าจะไม่มีการเลือกตั้งในปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “แล้วพวกคุณไปเชื่อโหรหรือเปล่า ผมเป็นคนที่ทำให้มีการเลือกตั้งอยู่ในขณะนี้ แล้วถ้ามันจะไม่มีใครเป็นคนทำ ผมเป็นคนทำหรือ ผมเป็นคนทำให้มีการเลือกตั้ง ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ผมเป็นคนทำ ไม่ใช่โหรวารินทร์เป็นคนทำ ส่วนในเรื่องของการทำนายก็เป็นเรื่องของโหร เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ก็ว่ามา ผมไม่ได้ไปก้าวล่วงอะไรท่านอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า โหรวารินทร์ ดูดวงแม่นหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่าไม่รู้ ถ้าถูกต้องก็ฟังไปเรื่อยๆ
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่นักการเมืองต้องการให้มีการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็มีการขัดขวางเรื่องการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายของตัวเองทั้งนี้ ไม่รู้ว่าทุกคนจะยอมให้เป็นแบบเดิมหรือไม่ จะได้บอกได้ว่าเอาแบบเดิม ขอให้ตอบมาถ้าจะเอาแบบเดิมก็เอา กลับมาเหมือนเดิม สื่อก็มีงานทำเขียนข่าวได้มาก ๆ เอาอย่างไรก็เอา ขณะนี้โลกยิ่งกำลังมีปัญหาเปลี่ยนแปลง กำลังมีภัยก่อการร้าย แล้วจะยังทำให้มาเกิดความไม่สงบในประเทศของเรา มันใช่หรือไม่ แล้วจะไปเรียกร้องกับใครถ้าทุกคนไม่ช่วยอะไรเลย มีแต่เรียกร้องมันจะไหวหรือไม่ ใครจะทำให้ได้ ก็ทำให้ได้แค่บางกลุ่มบางพวก ปัญหาก็จะกลับไปที่เดิม
“ผมพยายามจะทำให้ทุกกลุ่มทุกพวกได้ในสิ่งที่ควรจะได้เป็นพื้นฐานก่อน ผมทำแค่นั้นเอง วันข้างหน้าก็ต้องไปดูกันเอาเอง กับพวกนักการเมืองที่จะเข้ามา ผมไม่ได้รังเกียจเขา มีใครไปกล่าวหาว่าผมไปว่านักการเมือง ผมไม่ได้ว่าเลย ผมพูดถึงคนที่ไม่ดี ส่วนจะดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของผม ผมและพวกท่านทุกคนก็วิเคราะห์กันได้ ผมไม่ได้ว่าใคร ท่านอาจจะเห็นว่าคนที่ผมบอกว่าไม่ดีเป็นคนดี ก็แล้วแต่ท่าน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ในการลงประชามติครั้งนี้จะเปรียบได้หรือไม่ว่าประชาชนตัดสินใจว่าจะเอาหรือไม่เอาคสช. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า “ไม่เกี่ยว จะเอาหรือไม่เอาผมก็อยู่ จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ จบหรือยังผมก็ทำรัฐธรรมนูญให้ได้ ไม่เช่นนั้นมันก็เลือกตั้งไม่ได้ ก็แค่นั้นเองแล้วจะทำไมถ้าประชามติไม่ผ่าน จะให้ผมรับผิดชอบ มันไม่ใช่เพราะผมไม่ได้เป็นคนร่าง แต่เป็นคนรับผิดชอบที่จะต้องทำใหม่ ส่วนในวันลงประชามติจะเรียบร้อยหรือไม่นั้น ก็ต้องถามไอ้คนทำ จะถามผมได้อย่างไร ผมไม่ได้ไปรักษาความปลอดภัยในทุกสถานที่ แล้วก็ต้องไปถามไอ้คนที่จะมาทำเรื่องวุ่นวาย สื่อไม่รู้หรือว่าใครจะมาทำอะไรบ้าง ไม่รู้กันเลยหรือ สื่อไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่หรือไม่ รอถามแต่ผมคนเดียว วิเคราะห์ไม่เป็นหรืออย่างไร และไม่ใช่ผมคนเดียวที่จะควบคุมสถานการณ์ แต่เป็นประเทศไทย ประชาชนคนไทยที่จะต้องช่วยกันดูแลประเทศของท่านเอง ผมทำได้แค่นี้ จบ”
counter

บางผลงานของ"บิ๊กตู่"ที่เริ่มมีเสียงเชียร์ให้อยู่ต่อเลยได้มั้ย?

นับเป็นอีกผลงานชิ้นโบแดงที่สะท้อนถึงความตรงไปตรงมาและวุฒิภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อมีรายงานข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้โทร.สายตรงถึง พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ยุติการตัดไม้สักบริเวณเหนือเขื่อนแม่กวง จ.เชียงใหม่ เพื่อนำไปใช้ก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ในทันที หลังจากที่เกิดกระแสต่อต้านในสังคมออนไลน์

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสั่งกำชับให้ฟื้นฟูป่าโดยร่วมมือกับชุมชนในการอนุรักษ์เพิ่มฟื้นที่ป่าสมบูรณ์เพื่อกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ส่วนการก่อสร้างรัฐสภาที่จำเป็นต้องใช้ไม้สักนั้นเป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาที่จะต้องสั่งซื้อไม้สักจากต่างประเทศเอง หรือซื้อกับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้(อ.อ.ป.)

มีรายงานข่าวว่าการสั่งตัดไม้สักในเขตเขื่อนแม่กวง ซึ่งส่อไปในทางไม่ชอบมาพากลเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ครั้งนี้เป็นคำสั่งของ “บิ๊ก” บางคน

ซึ่งเรื่องนี้ บิ๊กตู่ ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ แต่ควรสืบให้รู้ว่า “บิ๊ก” ที่สั่งตัดไม้สักเป็นใคร และควรดำเนินการลงโทษโดยไม่ไว้หน้าเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะความโปร่งใสคือจุดขายสำคัญที่ประชาชนฝากความหวังไว้กับมากสำหรับคสช.และรัฐบาล

สำหรับโครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยุคที่ผ่านมาตกเป็นข่าวอื้อฉาวส่อไปในทางทุจริตเอื้อประโยชน์แก่บริษัทผู้รับเหมา อาทิ การนำหน้าดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐไปขาย จนล่าสุดเกิดกรณีตัดไม้สักเพื่อนำไปสร้างรัฐสภาแห่งใหม่

นอกจากมีคำสั่งเฉียบขาดห้ามตัดไม้สักเพื่อนำมาสร้างรัฐสภาแห่งใหม่แล้ว ผลงานโบแดงอีกชิ้นหนึ่งของ บิ๊กตู่ ก็คือใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวสั่งยึดที่ดินสำนักงานการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)ทั่วประเทศที่ครอบครองโดยผิดกฎหมายพื้นที่รวม 430,000 ไร่ เพื่อนำมาจัดสรรให้เกษตรไรผู้ยากไร้ซึ่งไม่มีที่ดินทำกินอันเป็นงานยากและงานใหญ่ที่ไม่เคยมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งรัฐบาลไหนกล้าทำ เพราะผู้ครอบครองที่ดินส.ป.ก.โดยผิดกฎหมายรายใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นบรรดาระดับบิ๊กทั้งนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น บิ๊กคนมีสี หรือนายทุนผู้มีอิทธิพล แต่ บิ๊กตู่ กล้าทำงานยากและงานใหญ่ โดยไม่สนใจว่าผู้ที่ถูกยึดส.ป.ก.จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม

จากวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของ “บิ๊กตู่” และผลงานในภาพรวมของคสช.ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งแม้จะยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้างก็ตาม แต่ผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังฝากความหวังและศรัทธาใน “บิ๊กตู่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดที่ส.ป.ก.ทั่วประเทศแล้วนำมาจัดสรรให้คนจน การยกเลิกเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศ หลังทำลายสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนสั่งหยุดตัดไม้สักเพื่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ถือเป็นตัวอย่างผลงานชิ้นโบแดงที่โดนใจมหาชน

ทีมข่าวการเมือง
ที่มา : แนวหน้า

ประวิตรยันไม่เลื่อนประชามติ ขออย่ากังวลหากไม่ผ่านมีแผนรับไว้ สั่งเปิดเวทีถกทุกจังหวัด



20 ก.ค.2559 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด และ กกต.ทั่วประเทศ เปิดเวทีให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็นร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ กกต.เป็นผู้ควบคุมและผู้ว่าฯ เป็นผู้กำกับดูแล ยืนยันไม่เลื่อนการออกเสียงประชามติ หากไม่ผ่าน มีแผนรองรับไว้แล้ว
โดย พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า วันที่ 7 ส.ค. นี้ จะต้องมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนกรณีที่มีการส่งจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญให้กับประชาชน ขณะนี้ มีความก้าวหน้าในการตรวจสอบ  กระทรวงมหาดไทยทราบดีว่าต้องทำอย่างไร
“ผมได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ดูแล ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดจะควบคุมกำกับอีกชั้นหนึ่ง” พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะทำอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าว ไม่ต้องกังวล เพราะจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับอื่น แต่ยังไม่ทราบจะดำเนินการแบบใด เพราะรัฐบาลและ คสช. จะเป็นผู้ดำเนินการ

NDM เชิญ โฆษกกรธ.ร่วมเวทีถก เจ้าตัวพร้อมดีเบตร่างรธน.กับทุกฝ่าย

12.53 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement - NDM และสำนักข่าวไทย รายงานว่า ตัวแทนของ NDM  นำโดย ชนกนันท์ รวมทรัพย์ ได้ยื่นจดหมายต่อ อมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อเชิญ อมร ให้เข้าร่วมการอภิปรายเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญกับ NDM ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ ซึ่งจะแจ้งเวลาและสถานที่ให้ทราบในภายหลัง โดย อมร กล่าวว่า พร้อมดีเบตกับทุกฝ่าย เพียงแต่ต้องนำหนังสือเชิญนี้กลับไปหารือกับที่ประชุมกรธ.ในวันพรุ่งนี้ (22 ก.ค.) ก่อน เนื่องจากการร่วมดีเบตต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่การแลกหมัดต่อหมัด เพราะจะสร้างความขัดแย้งได้
"ส่วนที่ผมกล่าวในเวทีเสวนาว่าการประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติมีความอ่อนแอ เพราะตนเองยังไม่ได้รับเอกสารจากกกต. แต่การตีพิมพ์เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในหนังสือพิมพ์ น่าจะทำให้การรับรู้ของประชาชนกว้างขวางขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เอกสารส่งถึงบ้านเรือนประชาชนล่าช้า เพราะขั้นตอนการจัดพิมพ์ของโรงพิมพ์ล่าช้า และกกต.ต้องรอผลการลงทะเบียนใช้สิทธินอกเขตก่อน เพื่อจะได้จัดส่งได้ถูกต้องตามครัวเรือน ในกรธ.ได้พูดกันเล่น ๆ คลายเครียด โดยเปรียบเทียบการลงประชามติกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็สามารถเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้” โฆษกกรธ. กล่าว
 
ส่วนกรณีกลุ่มนักวิชาการร่วมลงชื่อผลักดันให้เปิดพื้นที่การแสดงความเห็นของประชาชนและให้ประชาชนรับรู้ทางเลือกกรณีร่างรัฐธรมนูญไม่ผ่านประชามติ นายอมร กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของกลุ่มนักวิชาการ  ยืนยันว่า คสช. ไม่ได้ปิดกั้นการแสดงออก โดยกรธ.กำลังรวบรวมเวทีเสวนาในรอบเดือนที่ผ่านมาว่ามีจำนวนเท่าใด เพื่อให้ทราบว่ามีการจัดเวทีการแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ซึ่งคสช.ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ที่กรธ. ไม่ได้ไปร่วมพูดคุยเนื่องจากมีประสบการณ์ว่ามีการบิดเบือนและไม่เป็นธรรม อีกทั้งช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อาจทำให้เสียเวลาพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ได้

ด่วน! บิ๊กตู่ ใช้ ม.44 แก้ปัญหารถไฟฟ้าสีน้ำเงิน – คุ้มครองกก.ดำเนินการไม่ต้องรับผิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 42/2559 เรื่อง การดําเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้้าเงิน ระบุว่า
โดยที่การจัดระบบการขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องสําคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและเป็นการอํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน แต่เนื่องจากการจัดระบบการขนส่งสาธารณะโดยรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้้ำเงิน ซึ่งประกอบด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน(สายเฉลิมรัชมงคล) ช่วงหัวลําโพง – บางซื่อ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแคและช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ในปัจจุบันยังมีปัญหาในการเชื่อมต่อและร่วมใช้ระบบรถไฟฟ้า การพิจารณาคัดเลือกเอกชน และการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้มีการเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน(Through Operation) และแม้คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เร่งรัดให้มี การดําเนินการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อและร่วมใช้ระบบรถไฟฟ้าเพื่อให้การเดินรถแล้วเสร็จโดยเร็ว แต่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่สามารถดําเนินการร่วมกันให้เป็นผลสําเร็จได้ ซึ่งจะทําให้การเริ่มเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ มีความล่าช้าออกไปมาก ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวก รวมทั้งอาจมีผลกระทบ
ไปถึงระบบความปลอดภัยในการใช้บริการ นอกเหนือไปจากนั้นรัฐยังต้องสูญเสียรายได้และมีภาระค่าใช้จ่าย ตลอดจนมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจอีกเป็นจํานวนมาก
ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินโครงการดังกล่าว สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิผลและรวดเร็ว อันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการจัดระบบการขนส่งสาธารณะของประเทศอาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้
“คณะกรรมการคัดเลือก” หมายความว่า คณะกรรมการคัดเลือกโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ดําเนินการอยู่ในวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
“คณะกรรมการกํากับดูแล” หมายความว่า คณะกรรมการกํากับดูแลโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน (สายเฉลิมรัชมงคล) ช่วงหัวลําโพง – บางซื่อ ตามมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ดําเนินการอยู่ในวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
“โครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล” หมายความว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน (สายเฉลิมรัชมงคล) ช่วงหัวลําโพง – บางซื่อ
“โครงการส่วนต่อขยาย” หมายความว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ
ข้อ ๒ ภายใต้บังคับข้อ ๔ ให้คณะกรรมการคัดเลือกยุติการดําเนินการใด ๆ ที่อยู่ระหว่างดําเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ดําเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินตามที่กําหนดในคําสั่งนี้
ข้อ ๓ ให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกําหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์จากค่าโดยสาร รวมถึงหลักเกณฑ์อื่นเพื่อประโยชน์ในการเชื่อมต่อหรือร่วมใช้
กิจการรถไฟฟ้าตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยพ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาของคณะกรรมการตามข้อ ๔ และข้อ ๗ สําหรับการดําเนินโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลและโครงการส่วนต่อขยาย โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวต้องคํานึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้บริการของประชาชน ทั้งนี้ ให้รับฟังความเห็นของกระทรวงคมนาคม สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริตตามข้อ ๙ประกอบด้วย โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ และให้เสนอหลักเกณฑ์พร้อมทั้งความเห็นของหน่วยงานดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับ
หลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่ง
ข้อ ๔ เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินให้สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) และการกําหนดระยะเวลาการดําเนิน
โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินให้มีระยะเวลาการดําเนินการโครงการสิ้นสุดลงพร้อมกันหรือสอดคล้องกันให้คณะกรรมการคัดเลือกและคณะกรรมการกํากับดูแลประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาการดําเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ในส่วนของงานระบบรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลและโครงการส่วนต่อขยาย โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ตามข้อ ๓
เมื่อคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งดําเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ให้เจรจาร่วมกันกับผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลให้ดําเนินการโครงการส่วนต่อขยาย และดําเนินการให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคลกับผู้รับสัมปทานดังกล่าว เพื่อให้สามารถเดินรถแบบต่อเนื่องเป็นโครงข่ายเดียวกัน (Through Operation) โดยให้ดําเนินการเจรจาและแก้ไขสัญญาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
ในการดําเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ต้องคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้ใช้บริการ และการแบ่งปันผลประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม และรับฟังความเห็นของคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริตตามข้อ ๙ ด้วย
ข้อ ๕ ในกรณีที่ไม่อาจดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามข้อ ๓ หรือข้อ ๔ให้กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดําเนินการ รวมทั้งสาเหตุของการดําเนินการไม่แล้วเสร็จไปยังนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปได้อีกตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ ๖ ในกรณีที่คณะกรรมการคัดเลือกและคณะกรรมการกํากับดูแลไม่อาจดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามข้อ ๔ และนายกรัฐมนตรีไม่อนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาออกไป
ตามข้อ ๕ หรือในกรณีที่คณะกรรมการคัดเลือกและคณะกรรมการกํากับดูแลไม่สามารถหาข้อยุติได้ตามข้อ ๔ให้ยุติการดําเนินการดังกล่าวและให้กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดําเนินการไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ข้อ ๗ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีพิจารณารายงานตามข้อ ๖ แล้วมีมติเห็นควรให้ดําเนินโครงการต่อไป ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการดําเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ อัยการสูงสุด และผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นกรรมการและผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อทําหน้าที่แทน คณะกรรมการตามข้อ ๔ โดยให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติและให้รับฟังความเห็นของคณะกรรมการความร่วมมืป้องกันการทุจริตตามข้อ ๙ ประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ หากยังดําเนินการไม่ได้ข้อยุติภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้เสนอแนวทางอื่นในการดําเนินการ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อ ๘ เมื่อมีการดําเนินการตามข้อ ๔ หรือข้อ ๗ แล้วแต่กรณี จนได้ผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนแล้ว ให้ถือว่าเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชน
ร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ในส่วนของการคัดเลือกเอกชนแล้ว และให้ดําเนินการตามขั้นตอนต่อไปตั้งแต่มาตรา ๔๐ หรือมาตรา ๔๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้วแต่กรณี โดยให้สํานักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาร่างสัญญาร่วมลงทุน ที่ผ่านการเจรจากับเอกชนหรือผู้รับสัมปทานให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างสัญญาดังกล่าว
ข้อ ๙ ให้นําหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางในการใช้ระบบข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact)ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ มาใช้กับการดําเนินการตามข้อ ๓ ข้อ ๔ และข้อ ๗ตามคําสั่งนี้
ข้อ ๑๐ ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งนี้ ที่ได้กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต และไม่เกินสมควรแก่เหตุ ย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทางแพ่งทางอาญา หรือทางวินัย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ข้อ ๑๑ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาต
counter

ไพศาล พืชมงคล ประกาศโหวตโน ชี้หากไม่ผ่านเป็นชัยชนะปชช. ต้องปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง


กรรมการผู้ช่วยรองนายกฯ ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ระบุคสช.ไม่ได้บังคับ ชี้ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็อ้างได้ว่าเป็นชัยชนะของประชาชน ที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ระบุเป็นโอกาส ที่จะให้ สนช. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 
21 ก.ค.2559 ไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) อดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
"ผมขอประกาศว่า ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญครับ ถามกันจริงถามกันจัง โทรถามทั้งที่บ้านทั้งที่ทำงาน เขียนมาถามสารพัด ว่าผมจะเอาอย่างไร ความจริงถ้าติดตามกันจริงๆ ก็คงจะอ่านได้ตั้งนานแล้ว ว่าผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มาวันนี้ ก็ต้องประกาศกันให้ชัดๆ ว่าผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อย่างน้อยจะได้เข้าใจร่วมกันว่า ข้อแรก รัฐบาลและคสช. ไม่ได้บังคับใครให้รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ คง ให้เป็นเอกสิทธิ์ของประชาชน ผมก็สามารถใช้เอกสิทธิ์นั้นได้ ข้อ 2 ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็เป็นไปตามโรดแมป ใครอย่ามาอ้างแพ้ชนะ และถ้าจะอ้างอย่างนั้น ก็ต้องอ้างว่า ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน เป็นชัยชนะของประชาชน ที่ต้องการให้ปฏิรูปประเทศให้เสร็จก่อน ให้สมกับที่ได้ต่อสู้กู้ชาติมาเป็น 10 ปีแล้ว"  ไพศาล ระบุ
ไพศาล กล่าวด้วยว่า ยังมีอีกมากกลุ่ม ที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศไปอีก 5 ปีถึง 20 ปี แม้จะยังคงโต้แย้งกันบ้างว่าจะเป็น 5 ปีหรือ 20 ปี ก็เป็นเรื่องปลีกย่อย หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ก็ต้องถือว่าเป็นชัยชนะของกลุ่มนี้ด้วยเหมือนกัน เราต่างก็เป็นคนไทยด้วยกัน ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็หวังแต่ให้บ้านเมืองสงบสุข ปวงประชาสามัคคีกัน ทำมาค้าขายได้ ก็พอใจแล้ว

ชี้ รธน.ไม่ผ่านปฏิรูปประเทศไทยง่ายกว่า

ก่อนหน้าที่ไพศาลจะโพสต์ประกาศนี้ ไพศาล ได้โพสต์ว่า ถ้าถามว่าระหว่างกรณี ร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านและไม่ผ่านประชามติ อย่างไหน นักหมากรุกจะเดินสนุกกว่ากัน  ก็ตอบได้ว่า กรณีไม่ผ่านประชามติ จะเดินสนุกและง่ายกว่า และจะทำให้ การปฏิรูปประเทศไทย ทำได้ง่ายกว่า เพราะว่า 
1. เป็นโอกาส ที่จะให้องค์กรในนิติบัญญัติคือ สนช. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่บัญญัติว่า จะต้องสร้างกลไกการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่สอดคล้องกับสังคมไทย 
2. ได้รู้ได้เห็น อะไรกันมา 2 ปีแล้วว่า อะไรเกื้อกูล ต่อการปฏิรูป อะไรที่เป็นอุปสรรคเสี้ยนหนามของการปฏิรูป ก็จะได้ ปรับปรุงแก้ไขเสีย เพื่อทำให้การปฏิรูปเดินหน้า สอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชน 
3. จะได้เริ่มต้น ความสามัคคีกับประชาชนทั่วประเทศที่เขาต่อสู้กู้ชาติกันมา 12 ปีแล้วเพื่อฟื้นฟูชาติ แทนที่จะถูกกีดกัน ออกไปเป็นพวกมีปัญหา เหมือนที่ผ่านมา
"ส่วนในกรณี ที่รัฐธรรมนูญผ่าน ก็ไปสู่การเลือกตั้งตามร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะต้อง ร่างกฎหมายลูก 4 ฉบับก่อน โดยคณะ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่ง จะมีความเข้มข้น อยู่ที่กฎหมาย พรรคการเมือง กฎหมายการเลือกตั้ง และกฎหมายปราบปรามการทุจริต เดินได้สนุกทั้งนั้นแหละครับ เพราะอย่างนี้ นักเลือกตั้งจึงผวา ไม่ว่าออกสูงออกต่ำ ก็เป็นไฮโลทั้งนั้น ดังนั้นนักเลือกตั้งและพวกอาจมจึงต้องสุมหัวร่วมกันป่วน เพื่อนำไปสู่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม จึงโผล่กันออกมา คึกคักไงละครับ" ไพศาล ระบุ

สหรัฐฯยื่นฟ้องศาลขอยึดทรัพย์กองทุน 1 เอ็มดีบีของมาเลเซีย

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สหรัฐฯยื่นฟ้องศาลขอยึดทรัพย์กองทุน 1 เอ็มดีบีของมาเลเซียที่นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคตกเป็นข่าวมานานว่าได้รับเงินเข้าบัญชีส่วนตัว
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวหาว่ากองทุนดำเนินการ “ไม่เหมาะสม” พร้อมร้องศาลขอยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และแม้ในคำร้องไม่ได้ระบุชื่อของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคของมาเลเซียตรงๆ แต่นายนาจิบก็มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้ที่ได้รับเงินจากกองทุนเข้าสู่บัญชีตัวเองเป็นจำนวนมาก ขณะที่ตัวนายนาจิบเองปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้ทำอะไรผิดในกรณีกองทุนดังกล่าว

คำร้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯระบุว่า กองทุน 1เอ็มดีบีได้ใช้เงินอย่างไม่เหมาะสมไปในการหล่อเลี้ยงการใช้ชีวิตแบบฟุ่มเฟือยของ “บุคคลหลายคนรวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐ” ในคำร้องไม่ปรากฏข้อกล่าวหาว่านายนาจิบเป็นผู้นำเงินกองทุนไปใช้ แต่คนที่ใกล้ชิดเขาหลายคนมีชื่อถูกกล่าวหาว่านำเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ไปซื้อเครื่องประดับ ซื้องานศิลปะและอสังหาริมทรัพย์ที่หรูหรา รวมทั้งนำเงินไปใช้จ่ายในการพนัน และว่าจ้างนักดนตรีและคนดังให้ไปร่วมงานเลี้ยง

ในเอกสารคำร้องต่อศาลที่ยื่นในลอสแองเจลิสระบุว่า มีการฟอกเงินผ่านบัญชีหลายบัญชีที่อยู่ในสหรัฐฯ หากการฟ้องร้องได้ผล กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯจะยึดทรัพย์จำนวนหนึ่งที่รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและสวิสเซอร์แลนด์

เงินจำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ถูกกล่าวหาว่าถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่มีทั้งสิ้นมากกว่า 3,500 ล้านดอลลาร์ คนใกล้ชิดนายนาจิบที่มีชื่ออยู่ปรากฏในเอกสารคำฟ้องคือนายริซา อาซิซ ลูกเขยที่เป็นผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง The Wolf of Wall Street หรือในชื่อไทย “The Wolf of Wall Street คนจะรวย ช่วยไม่ได้” ของลิโอนาโด ดิคาปริโอ นอกจากนี้ยังมีชื่อของนักการเงินอีกรายหนึ่งของมาเลเซีย กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอาบูดาบีอีก 2 คน

นสพ.วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่าได้เห็นเอกสารคำร้องที่สาวเรื่องการจ่ายเงินเกือบ 700 ล้านดอลลาร์ของกองทุนเข้าไปยังบัญชีส่วนตัวหลายบัญชีของนายนาจิบ

ด้านโฆษกของนายกรัฐมนตรีนาจิบบอกว่า รัฐบาลมาเลเซียจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสอบสวนที่ถูกต้องตามกฎหมายต่อการดำเนินการของบริษัทหรือพลเมืองของมาเลเซีย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติระหว่างประเทศ พร้อมระบุว่า “ดังเช่นที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตลอดมา หากมีข้อพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำความผิด จะมีการดำเนินการตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น”

นายกรัฐมนตรีนาจิบเป็นผู้จัดตั้งกองทุน 1 เอ็มดีบีนี้ขึ้นเมื่อ 2009 ด้วยจุดประสงค์จะทำให้กรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางด้านการเงิน แต่ว่ากองทุนตกเป็นข่าวเมื่อต้นปี 2558 เมื่อไม่ได้จ่ายคืนหนี้จำนวน 11,000 ล้านดอลลาร์ให้กับบรรดาธนาคารและผู้ถือครองพันธบัตรของกองทุน

ส่วนกองทุนเองออกแถลงการณ์เมื่อปีที่แล้วบอกว่าไม่เคยจ่ายเงินให้กับนายกรัฐมนตรี พร้อมกับบอกว่าข้อกล่าวหาเรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน และยังยืนยันเรื่อยมาว่ากองทุนมีทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวมแล้วมากกว่าหนี้สิน ด้านนายนาจิบเองก็ปฏิเสธเช่นกัน บอกว่าไม่เคยได้รับเงินจากกองทุน 1 เอ็มดีบีหรือกองทุนอื่นใด และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา อัยการสูงสุดของมาเลเซียได้ประกาศว่านายนาจิบไม่ได้ดำเนินการใดๆที่เป็นความผิดเกี่ยวกับกองทุน


ที่มา บีบีซีไทย

สื่อเลือกข้างชัดแต่ควบคุมไม่ได้! ‘แนวหน้า’ไขก๊อกภาคีสภาการ นสพ.

นสพ.แนวหน้า ยื่นหนังสือลาออกเป็นภาคีสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ชี้ 19 ปีที่ก่อตั้งมา สื่อเลือกข้างชัดเจน ไม่ปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมการเสนอข่าว ตกเป็นเครื่องมือผู้ไม่หวังดีต่อชาติ แต่สภาการฯไม่สามารถเข้าไปควบคุมหรือลงโทษได้ จ่อยื่นลาออกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ต่อ
PIC naewna 21 7 59 1
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2559 นายผรณเดช พูนศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเพื่อขอนำหนังสือพิมพ์แนวหน้าลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
ทั้งนี้ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้าออนไลน์ ได้เผยแพร่แถลงการณ์ระบุเหตุผลถึงการลาออกจากภาคีฯว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาไทย อังกฤษ 25 ฉบับ จากจำนวนทั้งสิ้น 32 ฉบับ รวมทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์ 10 องค์กร ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกเจตนารมณ์จัดตั้ง "สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ" เพื่อเป็นองค์กรควบคุมกันเอง และส่งเสริมเสรีภาพและความรับผิดชอบยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ให้ดียิ่งขึ้น
ตลอดระยะเวลา 19 ปีเต็มที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาตินั้น ได้ประพฤติปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมและธรรมนูญของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งยังให้ความร่วมมือกับการทำหน้าที่และกิจกรรมของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติด้วยดีตลอดมา
แถลงการณ์ดังกล่าว ระบุอีกว่า หากแต่เมื่อย้อนไปพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการจัดตั้งสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งต้องการให้องค์กรควบคุมกันเอง และยกระดับผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ให้ดียิ่งขึ้นนั้น ตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงได้ เพราะหนังสือพิมพ์แต่ละองค์กร มีการเลือกข้างอย่างชัดเจน ไม่ปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมในการนำเสนอข่าว เป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้สังคมแตกแยกจนถึงทุกวันนี้ และยังคงเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศชาติ ขณะที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ไม่สามารถจะเข้าไปควบคุม หรือให้คุณให้โทษได้
สำหรับหนังสือพิมพ์แนวหน้า ตลอดระยะเวลา 36 ปีเต็มในการประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน ได้พิสูจน์ให้สังคมเห็นถึงการเป็นองค์กรที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากประชาชน มีความเป็นมืออาชีพ นำเสนอข่าวอย่าง "ตรงไป ตรงมา" ตามปณิธานของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งยังไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียทั้งด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณ
“บัดนี้ หนังสือพิมพ์แนวหน้า ขอลาออกจากการเป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมนี้ 2559 เป็นต้นไป และขอยืนยันว่า แม้จะมิได้เป็นภาคีสมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติแล้ว แต่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ก็จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ที่สื่อมวลชนที่ดี ยึดมั่นในกรอบจริยธรรมและจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด” แถลงการณ์ดังกล่าว ระบุ
ขณะเดียวกันในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์แนวหน้าออนไลน์ ได้เผยแพร่ข่าวเรื่องนี้ และมีการระบุด้วยว่า หนังสือพิมพ์แนวหน้ากำลังพิจารณาที่จะลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ในลำดับถัดไปด้วย (อ่านประกอบ :http://www.naewna.com/politic/226585)
PIC แนวหนาออก 1
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท หนังสือพิมพ์แนวหน้า จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2525 ทุนจดทะเบียนปัจจุบัน 60 ล้านบาท ทำธุรกิจบริการโฆษณา ผลิตหนังสือพิมพ์ แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2557 มีรายได้ 114,159,028 บาท มีต้นทุนการขาย/บริการ 48,330,583 บาท มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 61,399,314 บาท กำไรสุทธิ 1,202,780 บาท