PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สดศรี หนุน ยิ่งลักษณ์ อย่าลาออกรักษาการนายก

"สดศรี"หนุน"ยิ่งลักษณ์"เป็นนายกฯ รักษาการต่อ อยากให้สู้มากกว่านี้ กลัวเป็นการปฏิวัติที่เบ็ดเสร็จ

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18:09:32 น.

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม นางสดศรี สัตยธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงข้อเสนอของกลุ่ม กปปส.ที่ให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากรัฐบาลรักษาการว่า หากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออก จะเกิดสูญญากาศทางการเมืองและมีปัญหาต่อการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ทันที จึงขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่าลาออก อยากให้สู้มากกว่านี้ เพราะเมื่อเกิดสูญญากาศ ก็จะนำไปสู่สิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง อีกทั้งขณะนี้ก็เหมือนการปฏิวัติแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากอดีตที่เคยใช้กำลังทหารมาเป็นประชาชน แต่ยังเป็นการปฏิวัติที่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถ้านายกฯ ลาออก ก็อาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ ทั้งนี้ มองว่าเงื่อนไขหนึ่งที่จะทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง คือกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรี จากคำร้องที่มีอยู่ เพราะ ป.ป.ช.เองก็ได้ออกมายืนยันแล้วว่า การยุบสภาไม่มีผลต่อการไต่สวนคำร้อง

เมื่อถามว่า ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ศาลจะยอมรับความเป็นรัฎฐาธิปัตย์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ก็เปรียบเหมือนการปฏิวัติอย่างที่ได้กล่าวไว้ ทำสำเร็จก็มีอำนาจ เช่นเดียวกันเมื่อยึดอำนาจเสร็จ ก็ประกาศนิรโทษกรรมให้ตัวเอง การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ มีอำนาจอะไรที่อยู่ข้างหลังอีกหรือเปล่า เราก็ไม่ทราบ รัฐบาลก็ต้องต่อสู้กันต่อไป

จากมติชน

ศาลชี้ ‘ถวิล คำมูล’ นปช.ตายจากกระสุนปืนฝั่งเจ้าหน้าที่ทหาร

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลอาญา ถ. รัชดา ศาลนัดฟังคำสั่งคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการเสียชีวิตของ นายถวิล คำมูล อายุ 38 ปี แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตบริเวณจุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะ ตรงข้ามตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ถ.ราชดำริ ในเหตุการณ์สลายชุมนุม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553


 ตามคำร้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-19 พ.ค. 53 มีการชุมนุมทางการเมืองของประชาชน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่นายกฯปฏิเสธและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ต่อมาวันที่ 7 เม.ย. 53 ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และแต่งตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น ผอ.ศอฉ.

 ต่อมาวันที่ 19 เม.ย. 53 ศอฉ.มีคำสั่งให้ทหารขอคืนพื้นที่ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ โดยให้กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์เข้าร่วมภารกิจที่สวนลุมพินี แยกศาลาแดง และวันที่ 19 พ.ค. 53 เจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งให้ขอคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยมีอาวุธประจำกายเป็นปืนเล็กยาวเอ็ม 16 ปืนลูกซอง กระสุนยาง โดยได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงและกระสุนซ้อมรบกับปืนลูกซอง เพื่อเคลียร์พื้นที่บริเวณแยกศาลาแดง

 นายถวิลถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดด 2 นัด ที่ศีรษะและเข่าขวา มีทิศทางมาจากแยกศาลาแดง และถูกนำส่งโรงพยาบาล พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ร่วมกับทีมชันสูตรพบว่า  นายถวิลตายจากบาดแผลกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูง ทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมาก

 ขณะที่ประจักษ์พยานคนหนึ่งเบิกความว่า วันเกิดเหตุได้ยินเสียงรถทหารมาทางสะพานข้ามแยกศาลาแดง จึงหลบหลังบังเกอร์ข้าง รพ.จุฬาฯ ก่อนถอยร่นออกมา ต่อมาเห็นนายถวิลนั่งยองกับพื้นที่จุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะ ถ.ราชดำริ ตรงข้ามตึก สก. รพ.จุฬาฯ หันหน้าไปทางแยกศาลาแดง ระหว่างนั้นมีเสียงปืนดังหลายนัด พยานเห็นพระภิกษุเดินผ่าน จากนั้นเห็นผู้ตายล้มลง และวัยรุ่น 4-5 คนจะนำผู้ตายออกมา แต่ก็ถูกยิง

 ประจักษ์พยานอีกปากเบิกความว่า วันที่ 19 พ.ค. 53 ได้ยินเสียงปืนหลายนัดมาจากแยกศาลาแดง และสวนลุมพินี ซึ่งมีทหารอยู่ พยานจะเข้าไปนำศพผู้ตายออกมาจึงถูกยิง ด้านพยานที่เป็นผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุระบุว่า พบรอยกระสุนปืนและเศษโลหะที่เสาโลหะบริเวณจุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะ ตรวจสอบพบว่า เศษโลหะเป็นเครื่องกระสุนปืน แต่ไม่สามารถยืนยันชนิดและขนาดได้ นอกจากนี้เมื่อจำลองแนววิถีกระสุน  พบว่ามีทิศทางจากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าแยกราชดำริ และแพทย์ผู้ชันสูตรศพพบว่า ผู้ตายมีบาดแผลที่ศีรษะ ทิศทางจากหน้าไปหลัง จากบนลงล่าง และมีแผลที่เข่าขวาทิศทางจากหน้าไปหลัง จากบนลงล่าง จึงลงความเห็นว่า ตายจากกระสุนปืนลูกโดดเข้าที่ศีรษะ ซึ่งทำให้เนื้อสมองฉีกขาด สันนิษฐานว่า เป็นกระสุนปืนความเร็วสูงที่ใช้ในราชการสงคราม

 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องมีประจักษ์พยานที่เห็นผู้ตายถูกยิงล้มลง สอดคล้องกับเหตุการณ์ตามภาพถ่ายและคำเบิกความของประจักษ์พยานอีก 2 คน ประกอบกับความเห็นของผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุและแพทย์ผู้ชันสูตร ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากท่านั่งผู้ตายที่หันหน้าไปทางแยกศาลาแดงจะพบว่า แผลทางเข้ามีทิศทางจากแยกศาลาแดง และแผลเกิดจากกระสุนความเร็วสูงที่ใช้ในราชการสงคราม ทั้งเป็นอาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่ทหาร จึงเชื่อได้ว่า อาวุธปืนที่ยิงผู้ตายจะยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเคลื่อนกำลังจากแยกศาลาแดงมาแยกราชดำริ โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าใครกระทำ

 จึงมีคำสั่งว่า นายถวิล คำมูล ตายที่จุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะ ถ.ราชดำริ ตรงข้าม รพ.จุฬาฯ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 เหตุพฤติการณ์แห่งการตาย เนื่องจากถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะ ทะลุเข้ากะโหลกศีรษะ ทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมาก โดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหารที่เคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดง มุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่า บุคคลใดเป็นผู้ลงมือกระทำ อันเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่

ที่มา ข่าวสด

บิ๊กตู่ปูด'ฮาร์ดคอร์'โผล่-ติงตร.ทุบรถ

'ประยุทธ์ 'ปูด'พวกฮาร์ดคอร์' โผล่สร้างรุนแรงซ้ำรอยคล้ายปี 53 จี้หาตัว 'มือมืด' บอก รบ.รับผิดชอบคนเจ็บ-ตาย ติงตร.ทุบรถปชช.ทำไม

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 ธ.ค.2556 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก แถลงภายหลังเป็นประธานในการประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก(ผบ.
นขต.) ประจำเดือนธ.ค.56 ว่า การประชุมนขต.ทบ.ในครั้งนี้เป็นไปตามวาระปกติ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทั้งนี้กองทัพถือเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ต้องยืนหยัดท่ามกลางมรสุมนี้ให้ได้

สถานการณ์น่าเป็นห่วง สำหรับคนไทยทุกคน ทุกฝ่าย ขออย่านำทหารไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะทหารเป็นของชาติและประชาชนพร้อมดูแลปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วันนี้มีความขัดแย้งกันอยู่ ขอร้องว่าอย่านำทหารเข้าไปสู่ความขัดแย้ง เพราะตนไม่อาจไปก้าวล่วงในส่วนหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ และอีกส่วนหนึ่งตนก็ไม่อาจจะทอดทิ้งประชาชน นอกจากนี้ยังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง และอีกพวกหนึ่งก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนออกมา

“เหมือนกับผมกำลังนำกองทัพเดินไปบนเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเส้นทางข้างหน้า คือ ประเทศชาติ ความสงบสุขยังต้องเดินไปอยู่ ประเทศชาติต้องการการยอมรับ และถนนนี้เป็นเส้นทางตรงที่ต้องก้าวไปข้างหน้า ผมพร้อมนำพาชาติและประชาชนไปข้างหน้าให้ได้ วันนี้เหมือนเดินไปเจอทางแยก และทางตรงนี้อาจจะไกลหรือไปได้ยาก แต่ผมจะไปซ้ายหรือขวาไม่ได้ ผมจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ซ้ายและขวาหยุดไว้ให้ได้ โดยต้องเปิดไฟแดงไว้ทั้ง 2 ทาง และเราไปทางตรงก่อน เพื่อให้สถานการณ์สงบลง และผ่านชั่วโมงเร่งด่วนนี้ไป อย่ามากล่าวหาว่า ผมไม่รักด้านซ้ายหรือด้านขวา เราไม่มีซ้ายและขวา มีแต่ข้างหน้าและคนตามข้างหลังอีกจำนวนมาก ดังนั้นเราต้องพยายามนำพาทั้งหมดไปให้ได้ด้วยความปลอดภัย นั่นคือหลักการของผม ที่ผ่านมาผมไม่เคยนิ่งนอนใจ ตั้งแต่มีความไม่เข้าใจกันก็ไม่ได้อยู่เฉย และพยายามทำทุกอย่าง ต้องเข้าใจว่า ผมพูดอะไรไม่ได้มาก หากไม่พูด ก็จะหาว่า ผมเป็นพวกทางนั้น พวกนี้ ผมเป็นห่วงประเทศชาติ” ผบ.ทบ.กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วิธีการแก้ปัญหาเป็นเรื่องของผู้ที่เกี่ยวข้องต้องแก้ปัญหากันให้ได้ วันนี้หากต่างฝ่ายต่างพูดก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่จะตนเสนออะไรก็คงทำไม่ได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่เห็นชอบร่วมกัน วันนี้เราจะต้องสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัย และทหารกำลังดำเนินการเพื่อสู่กระบวนการการแก้ปัญหาแบบสันติวิธี เพื่อให้ทุกคนมีความพึงพอใจทั้งหมด อย่างเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมที่สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ตนจะไม่ไปละเมิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือไปแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ตรงนี้หยุดได้ ทั้งในบางสถานการณ์ที่มีทหารเข้าไปเกี่ยวข้อง ตนสั่งให้บันทึกภาพไว้ทั้งหมดว่า ใครทำอะไร อย่างไร ทั้งนี้เราได้รับคลิปต่างๆมาให้ดู ซึ่งมองแล้วว่า เป็นสิ่งที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วง ตนยังไม่อาจจะใช้คำว่าใครผิดใครถูกได้ เพราะไม่สามารถชี้ได้ว่าเป็นอย่างไร

“ในความคิดของผมมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้น และคนกลุ่มนี้ทำให้คนกลุ่มใหญ่เสียหาย มองว่า คนกลุ่มใหญ่มีความปรารถนาดีที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบใช้ความรุนแรง เขาอาจจะคิดว่าหากไม่ทำแรงก็ไม่จบหรือไม่ชนะ ผมก็ไม่รู้ แต่วิธีการเหมือนปี2553 ไม่รู้ว่า คนกลุ่มนี้ทำในปี 2553 ด้วยหรือไม่ หรืออาจจะสนุกหรือเอามันส์ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจมีอารมณ์หรือบางคนทนไม่ไหวเลยมีภาพความรุนแรงเกิดขึ้น ทางทหารเราเรียนรู้เรื่องความอดทน ยอมแม้กระทั่งเราโดนก้อนหินขว้างใส่ เพราะมิฉะนั้นความขัดแย้งจะขยายไปเรื่อยๆ ผมอยากขอร้องคนส่วนนี้ซึ่งเป็นส่วนน้อยหรือเจ้าหน้าที่บางนายที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่ชอบไปทุบรถจนกลายเป็นการสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งกับประชาชนส่วนหนึ่ง ทำให้ส่วนใหญ่ของสองฝ่ายเสียหาย การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยวิธีการสงบน่าจะทำได้ จะโกรธจะเกลียดอย่างไรเราเป็นเจ้าหน้าที่ต้องมีความอดทนที่มากกว่าคนปกติ แต่ถ้าไม่มีการบุกรุกเข้าไปเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีโอกาสจะใช้ความรุนแรง จะคุยกันได้หรือไม่อยู่ข้างนอกก็พอ แค่นี้ก็กดดันพอสมควรแล้ว นี่คือกระบวนการในการต่อสู้แบบประชาธิปไตยคือ ต้องสงบไม่ทำให้เจ้าหน้าที่เสียหาย ซึ่งการพูดแบบนี้ผมไม่ได้ตำหนิหรือเข้าข้างใคร ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนจะให้มีการบันทึกเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด หากจบจากเหตุการณ์จะต้องมาสอบสวนกัน ที่ผ่านมาเมื่อปี 2553 ยังไม่มีใครสอบสวนให้กองทัพ และยังไม่มีการตั้งคดีสอบสวนคดีให้กองทัพ ทั้งนี้ตนไม่อยากให้ไปถึงจุดเหมือนเมื่อปี2553 ถ้าต่างคนต่างอยู่จะประท้วงอะไรก็ว่ากันไป อย่าคิดว่า การแก้ปัญหาจะทำได้เร็วมาก เพราะเมื่อมีการความรุนแรงจะลุกลามไปสู่การใช้อาวุธ ซึ่งขณะนี้ยังไม่รู้ว่าใครใช้ สิ่งเหล่านี้จะต้องพิสูจน์ให้ได้โดยเร็วว่าใครใช้ปืนพกไปยิงอยู่บนตึก แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ ม.รามคำแหง จะต้องมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าใครสั่งมาอย่างไร จะต้องสอบสวนให้ชัดเจน และจะต้องใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมให้โปร่งใสมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ขยายความขัดแย้ง ถ้ายังไม่เคลียร์ และยังมีคลิปโผล่เข้ามาอีก แทนที่กำลังจะดีก็จะทำให้สถานการณ์เกลียดกันมากกว่าเดิม ถามว่าจะจบกันอย่างไร ต้องฆ่ากันทั้งสองฝ่ายแล้วใครเหลืออยู่

“ผมจะเดินการทำงานของผม และจะไม่ขยายความขัดแย้ง ไม่ใช้ความรุนแรง แต่จะเสนอแนวทางที่สันติวิธีไม่สนับสนุนเรื่องการใช้กำลังในการเข้าไปราบปราม ถ้าประชาชนไม่ใช้อาวุธเหมือนปี 2553 ทั้งนี้ผมได้รับข่าวสารว่า มีคนบางคนบางจำพวกที่ชอบใช้บริการความรุนแรง เมื่อนำคนเหล่านี้มาใช้แล้วคุมไม่ได้ เพราะคนพวกนี้เป็นโนบอดี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นซัมบอดี้ขึ้นมาน่าเป็นห่วง

ส่วนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.2557 หรือไม่ ผมไม่มีความเห็นตรงนี้ เป็นเรื่องของกระบวนการเลือกตั้ง ทำได้ก็ทำไป เป็นเรื่องของ กกต. ถ้ามีเลือกตั้งผมก็ไปเลือกตั้ง ส่วนแนวทางการปฏิรูปประเทศกับแนวทางการเลือกตั้งจะเดินไปร่วมกันได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่ายว่าจะยินยอมกันหรือไม่ ถ้าข้อตกลงพอใจกันทั้งสองฝ่ายก็เลือกตั้งได้ ถ้าไม่พอใจก็เลือกตั้งกันลำบาก มันก็จะต้องตีกันแล้วใครจะไปเลือกตั้ง ทั้งนี้ผมคิดว่า ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปกันทุกเรื่องทุกด้าน ทั้งกระบวนการการเมือง เพื่อนำไปสู่ทันสมัยแบบสากล หากเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ คงไปกันลำบาก อยากให้ประชาชนไปพักผ่อน สวดมนต์ปีใหม่ ให้ใจเย็นๆ ลง และไปกราบพ่อแม่ ตอนนี้อย่าเพิ่งไปดำเนินการจับกุมดำเนินคดี ให้ไปกราบพ่อแม่เสียก่อน กฎหมายใช้มากก็อันตรายใช้น้อยก็อันตราย ทำให้คนไม่นับถือไม่เคารพกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ถ้านายกรัฐมนตรี ลาออกจะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐบาลถึงทางตันหรือไม่นั้น ตอนนี้รัฐบาลอยู่แยกขวา แต่มีอีกหลายแยกที่สามารถไปได้ ทั้งนี้ตนมองว่า สถานการณ์มีการพัฒนา โดยมีการเพิ่มกฎหมายไปตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดทหารไม่ได้รับผิดชอบ แต่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ หากใครเจ็บตาย เหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้วที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนกรณีที่มีคลิปทหารเข้าไปเกี่ยวข้องในการเก็บอาวุธจากรถของตำรวจนั้น ทางทหารเพียงเข้าไปกั้นประชาชนไม่ให้ขึ้นไปบนรถตำรวจเท่านั้น แต่ภาพออกมากลายเป็นว่า ประชาชนและทหารเข้าไปร่วมตรวจค้น แต่ถึงอย่างไรตำรวจก็ไปทุบรถประชาชนไม่ได้เพราะเป็นเจ้าหน้าที่

เมื่อถามว่า โอกาสที่ทหารจะออกมาปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าปฏิวัติแล้วเขาจะฟังหรือไม่ วันนี้ประเทศไทยไม่ว่าจะพวกไหนก็คนไทยทั้งไหน เมื่อถามย้ำว่า จะปิดประตูเรื่องปฏิวัติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีปิด ไม่มีเปิด สถานการณ์ทุกสถานการณ์เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น สถานการณ์เป็นตัวกำหนด แต่วันนี้ต้องให้กำลังใจกองทัพ เพราะทุกคนอยากอยู่ในบทบาทที่เหมาะสมพยายามที่ไม่ใช้อำนาจนอกระบบ ไม่ใช้กำลัง เวลาจะเป็นตัวกำหนด ตนได้พูดคุยกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และรัฐบาลไปแล้ว โดยรัฐบาลยืนยันด้วยกติกา ส่วน กปปส. ยืนยันเรื่องอำนาจของประชาชน ถ้ายืนยันแบบนี้ก็ต้องเดินกันไปแบบนี้ ส่วนปัญหาจะยุติอย่างไรจะต้องถามคนไทยทุกคนทุกฝ่าย รวมถึงคนไทยที่ไม่ได้ออกมา ส่วนการตั้งสภาปฏิรูปของรัฐบาลนั้น ทางรัฐบาลเพียงเสนอมาแบบแพ็กเกจเฉยๆ ว่าจะเป็นอย่างไร โดยยึดแนวคิดจากสภาสนามม้า เมื่อปี 2515 มาเป็นหลักการ ซึ่งเมื่อแบบนี้จึงกลายเป็นว่า ผบ.ทหารสูงสุด เป็นหัวหน้า ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพียงแต่เป็น 1 ใน 11 คณะกรรมการ แต่จะใช้หรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะขณะนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นมาแค่นี้ก็จะตีกันตายอยู่แล้ว ถ้าประท้วงกันรุนแรงท้ายที่สุดแล้วก็จะต้องใช้กำลังต่อกัน ใช้อาวุธต่อกัน แล้วแบบนี้ใครจะชนะ ก็ไม่มี ถ้าใช้กำลังต่อสู้กันมันจะไม่มีที่ยืน ดังนั้นจะต้องปราบทั้งสองฝ่าย

เมื่อถามว่า เห็นนายกรัฐมนตรีน้ำตาคลอรู้สึกอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามสื่อมวลชนว่า “จะให้ผมรู้สึกอย่างไร ผมมองท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำไป” เมื่อถามย้ำว่า เข้าใจนายกรัฐมนตรีหรือไม่ว่าทำไมไม่ลาออก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นตัวท่านจะรู้ได้อย่างไร และตนไม่ได้คุยในเรื่องพวกนี้อยู่แล้วว่าจะลาออกหรือไม่ เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีควรจะเข้มแข็งมากกว่านี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะเอาให้มากกว่านี้หรือ ขนาดนี้ยังรบกันแบบนี้ เมื่อถามว่าศอ.รส.มีการขอกำลังทหารเข้าไปดูแลสถานการณ์การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กฎหมายในส่วนนี้มีอยู่แล้ว ทหารคงเข้าไปยุ่งในหน่วยเลือกตั้งไม่ได้ ทำได้เพียงดูอยู่ด้านนอก เราจะไปยุ่งมากไม่ได้ ให้ไปถามศอ.รส.เพราะเขามีคณะทำงานดูอยู่แล้ว ทั้งนี้ในช่วงปีใหม่ขอให้ทุกคนมีความสุข ลืมเรื่องบาดหมางไปเสียก่อน เอาเวลาไปสวดมนต์ดีกว่า ส่วนใครที่จะฉลองอย่างสนุกสนานพอสมควร ก็ขออย่าให้มีอันตรายเกิดขึ้น อย่าให้มีการบาดเจ็บและสูญเสีย

"บิ๊กตู่" ย้ำหนักแน่น !!! ทหารต้องไม่ฝักใฝ่ข้างใดข้างหนึ่ง -จี้ เจ้าหน้าที่ต้องอดทนกว่าปชช.

"พล.อ.ประยุทธ์" เผยให้ทุกฝ่ายหยุดความรุนแรง ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องอดทนกว่าปชช. -ย้ำ ทหารไม่ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง และสิ่งที่กองทัพจะใช้คือ สันติวิธี เท่านั้น 

วันนี้ ( 27 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เปิดเผยถึง สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันว่า ได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอดและห่วงเรื่องการใช้ความรุนแรง ไม่ตำหนิใคร แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ต้องมีความอดทนมากกว่าประชาชน

จึงอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้(26 ธ.ค.) ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง จะเห็นว่ามีบุคคลอยู่กลุ่มหนึ่งที่นิยมใช้ความรุนแรง และจ้องก่อเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกับเมื่อปี 2553 ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่า ใครคือผู้กระทำผิดให้ถูกต้องตามกฎหมายและความเป็นธรรม

"ทหารจะอยู่ข้างหนึ่งข้างใดไม่ได้ ต้องยืนข้างประชาชน และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จะก้าวล่วงระบบนิติรัฐไม่ได้ กองทัพมีต้องทำหน้าที่ทำให้ประเทศชาติสงบสุข นำพาประเทศให้ไปได้ "พล.อ.ประยุทธ์กล่าว พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมาไม่ได้นิ่งนอนใจหรืออยู่เฉย แต่พูดอะไรมากไม่ได้ ทหารจะยืนหยัดในความเป็นธรรม ขออย่านำทหารไปอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง การแก้ปัญหาต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นคนแก้ ทหารเป็นเพียงผู้สร้างสภาวะให้ปลอดภัย ให้ทุกสถาบันทำงานได้

เมื่อถามถึง ความเป็นไปได้ที่จะมีการทำรัฐประหารในสถานการณ์เช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเวลาเป็นตัวกำหนด แต่ในจุดนี้คิดว่าการทำรัฐประหารไปก็ไม่มีใครฟัง ซึ่งทหารไม่ได้ปิดประตูหรือเปิดประตูว่าจะไม่มีรัฐประหาร ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่สิ่งที่กองทัพกำลังจะใช้อยู่คือสันติวิธี และพยายามจะวางตัวอยู่ในบทบาทที่เหมาะสม ไม่ยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง

“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์27 ธันวาคม 2556 02:23 น.
“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข
       “ฝันเด่น” เดินเท้าไปหา “พ่อหลวง” ที่วังไกลกังวล หดหู่ที่เห็นคนไทยทะเลาะกัน แถมยังมาฆ่ากันเอง บอกไม่เห็นจะมีทางออกอะไรเลย แจงไม่หวังว่าการเดินครั้งนี้จะทำให้อะไรดีขึ้นหรือไม่ แต่ตนมีความสุขที่ได้ทำ ดีกว่าไปร่วมชุมนุม ลั่นไม่ผิดที่ทุกคนจะมีความคิดของตัวเอง แต่ถามกลับแล้วทางออกมันคืออะไร หวังอยากให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
     
       หลังจากที่ “โบ สุนิตา จรรยาธนากร” ภรรยาของ “เล็ก ฝันเด่น จรรยาธนากร” โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า “คุณฝันเด่น กับภารกิจส่วนตัว (คนเดียว) “เดินตามรอยเท้าพ่อ” เริ่มต้นที่หน้าบ้าน ปลายทางคือวังไกลกังวล หัวหิน โบถามว่าทำไมต้องเดิน? คุณเล็กบอกว่า บ้านเมืองเป็นแบบนี้ รู้สึกไม่สบายใจ นึกถึงตอนเด็กๆ มีอะไรสบายใจก็วิ่งไปหาป๊า (คุณพ่อ) ตอนนี้ป๊าเสียไปนานแล้ว เลยนึกต้องเดินไปหาพ่อหลวง อยู่แค่ด้านหน้าก็ยังดี คุณฝันเด่นยังบอกอีกว่า “มันเป็นความฝันของเล็กนะโบ ถึงมันจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆ แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตเล็กมาก”
     
       ส่วนพี่ชายของ “ฝันเด่น” อย่าง “ใหญ่ ฝันดี จรรยาธนากร” ก็ได้โพสต์รูปแฝดผู้น้อง เดินเท้าไปหัวหิน พร้อมข้อความระบุว่า “วันนี้ฝันเด่น พลังมาก เดินมาราธอนจาก กทม. ถึง หัวหิน คนเดียว...ความฝันของเล็ก จะกี่วันไม่สำคัญ แต่ต้องทำให้ได้จุดหมายปลายทางคือ คนที่เรารักที่สุดในโลกอยู่ตรงนั้น” จึงเกิดเป็นกระแสขึ้นว่าหนุ่ม “เล็ก” มีจุดมุ่งหมายในการเดินครั้งนี้อย่างไร ทางผู้สื่อข่าวบันเทิง เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ ได้ต่อสายตรงถึงนักร้องชื่อดัง โดยเจ้าตัวบอกว่า…
     
       “จุดมุ่งหมายในการเดินในครั้งนี้คือต้องการหาความสุข ความสุขในตอนนี้คือความสงบ ความที่ไม่แตกแยกกัน อยากให้คนไทยกลับมารักกันเหมือนเดิม เหมือนว่าบางครั้งเราลืมไปหรือเปล่าว่าเราเคยรักกัน ตอนนี้มันกลายเป็นว่าทำไมเราต้องมาทะเลาะกันด้วย อะไรก็ไม่รู้ที่มันไม่เห็นจะมีทางออกอะไร แล้วมันก็สูญเสียอะไรไปหลายๆ อย่าง อย่างวันนี้มันก็มีการสูญเสียขึ้นมาอีก”
     
       “แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าจุดประสงค์ของผม ผมจะตอบยังไงให้ทุกคนรู้สึกพอใจกับคำตอบผม แต่คำตอบของผมก็คือผมทำแล้วผมสุขใจ ผมทำแล้วผมมีความสุข ผมเลยอยากบอกว่าความสุขบางทีมันไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลหรอก มันเริ่มที่ตัวเรานี่แหละ เรารู้อยู่แล้วว่าตรงไหนมันคือความสุขเราก็ทำนะ ผมยังตอบไม่ได้ว่าผมทำแล้วเพื่ออะไร แต่ผมทำตรงนี้แล้วพอเจอคนเขาบอกผมว่าสู้ๆ นะ อันนี้ผมไม่มีคำตอบหรอก แต่คำตอบของผมคือผมอยากมีความสุขแบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องพึ่งพาใครแล้ว ผมก็รู้ว่าความสุขอยู่ตรงไหน แต่ถ้าเกิดคนอื่นจะมองเป็นอย่างอื่นผมก็ห้ามไม่ได้”
     
       เผยเดินมา 2 วัน วันนี้(26ธ.ค.56)เดินทางถึงมหาชัยแล้ว
       “ตอนนี้ถึงมหาชัยแล้วครับ ค่ำไหนนอนนั่นครับ ระหว่างทางก็มีคนมาทักทายให้น้ำอะไรก็มีนะ เลี้ยงข้าวก็มีด้วย บางคนขับรถผ่านมาก็แวะทักทายพูดคุยเอาน้ำมาให้แล้ว ก็บอกว่าเราสู้ เพราะหลักๆ ตอนนี้คือเดินคนเดียว แต่ว่าวันนี้มีใหญ่(ฝันดี จรรยาธนากร)มาร่วมแจมด้วย และมีพี่ทนงศักดิ์(ทนงศักดิ์ ศุภการ) แล้วก็เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กของใหญ่เขาก็มาร่วมๆ แจมด้วย มูลนิธิที่เคยทำงานด้วยกันก็มาขับรถปิดท้ายให้กลัวรถชน”
     
       พร้อมเผยอุปสรรคระหว่างทางมีมากมาย ทั้งทางใจและกาย ตอนนี้เท้าพองมากจนต้องเจาะเอาน้ำออกจากเท้า
       “อุปสรรคระหว่างเดินทางมีมากมายเลยนะ อุปสรรคทั้งทางกายทั้งทางใจ เท้าพองมากต้องเจาะน้ำออกจากเท้า แต่จริงๆ มันพองมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ แต่พอเดินวันนี้อีกก็เลยเริ่มผองขึ้นอีก แต่ก็อดทนได้ แต่ปัญหาที่ตามมาคือกล้ามเนื้อเราเราไม่เคยออกเดินไกล”
     
       “มาตอนนี้มันปวดเมื่อยมาก ปวดจนแทบขาจะก้าวไม่ออก วันนี้ก็เลยพักเร็วหน่อย พักตั้งแต่บ่าย 3 กว่า เดินมาประมาณ 43 กิโลฯ ได้ แต่เมื่อวานเดินได้ถึง 50 กว่ากิโลฯ แต่เมื่อวานมั่นใจในตัวเองมากนะ 3 วันถึง แต่พอวันนี้ไม่ใช่แล้ว เลยเปลี่ยนกระบวนการความคิดว่าจะถึงเมื่อไหร่ก็ถึงอ่ะ(หัวเราะ) แต่อย่างอุปสรรคทางใจก็คือความคิดเรา ตอนแรกไง มันง่ายไง หัวหินในความคิดง่าย ในความคิดเคยไปแล้ว แต่ไปทางรถ แต่พอเดินนี่มันไม่ง่ายนะ กว่าจะผ่านแต่ละเมตรมันยากนะ”
     
       บอกถ้าเดินถึงหน้าวังไกลกังวล ตนคงมีความสุขเพราะได้ทำสมความตั้งใจ
       “วันที่ 3 ก็เดินต่อประมาณตอน 7 โมงเช้า ถ้าผมเดินวันละ 40 กว่ากิโลฯ ก็อีก 3 วันถึง เพราะตอนนี้เหลืออีก 150 กว่ากิโลฯ ถ้าไปถึงหน้าวัง ก็คือไปถึงสมกับที่เราตั้งใจไว้ มันก็คงไม่ต้องไปถึงแล้วมีอะไรต้องทำนู่นทำนี่ คงไม่ได้ถึงขนาดนั้นก็แค่ว่าเราทำสำเร็จ ได้มาทำในสิ่งที่ตั้งใจของเรา คนเราเวลาตั้งใจทำอะไรแล้ว พอมันทำได้มันก็จะมีความสุขไง”
     
       คาดหวังว่าการเดินของเราในครั้งนี้จะทำให้อะไรดีขึ้นไหม?
       “ผมไม่รู้นะ ผมอยากจะบอกว่าการเดินของผมครั้งนี้ ผมไม่ได้ต้องการที่จะชักชวนใคร ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมทำได้ทำเท่ากับแรงที่ทำได้ ทำแล้วผมไม่ลืม ผมก็คิดตามที่ผมเคยไปทำรายการตามภารกิจในหลวง หรือได้คุยได้สัมพันธ์กับคนที่ได้อิทธิพลจากในหลวงในการได้ใช้ชีวิตแบบพอเพียง ได้เรียนรู้ตัวตนของเราว่าเราเป็นคนแบบไหน สมมุติว่าเราเป็นคนรูปร่างเล็กเราเป็นคนที่เก๋เรื่องนี้ เราต้องรู้ตัวเราเองให้ได้ เราต้องอยู่ในความพอดี เราต้องรู้ตัว แล้วมันจะมีความสุขในโลกนี้มันมีความสุขได้ทุกอย่างถ้าเราทำอะไรที่ไม่เกินพอดี”
     
       เครียดกับสถานการณ์บ้านเมืองจนต้องมาเดินเพื่อหาความสุขทางใจ แล้วความเห็นส่วนตัวอยากให้บ้านเมืองมีทางออกยังไง?
       “ถ้าถามถึงทางออกทางการเมือง คือทั้งวันนี้มีแต่คนถามผม ว่าผมเดินเพื่ออะไรเดินแล้วได้อะไร ถ้าเกิดทุกคนถามผมแบบนี้ก็เท่ากับว่า ไม่ว่าจะทำอะไรมันต้องมีเหตุผลรองรับ แต่ถ้าเราคิดดีแล้ว เราทำดีแล้วไม่ได้เดือดร้อนใครนะ มันก็จะเป็นเรื่องดีๆ แทนที่เราจะไปร่วมชุมนุมไปทำอะไร จริงๆ มันไม่ผิดหรอกทุกคนมีสิ่งที่จะคิด ผมเองก็มีสิ่งที่จะคิด แล้วทางออกมันจะยังไง มันต้องรุนแรงแบบนี้ต่อไปเหรอ หรือว่ามันต้องไม่เข้าใจกันแบบนี้ต่อไปเหรอ คือผมผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ผมก็เป็นกู้ภัย ตอนที่เสื้อแดง ผมก็ช่วยนะ พูดตรงๆ”
     
       “ผมอยู่ร่วมกตัญญู ทหารถูกยิงผมก็ช่วย นักข่าวชาวบ้าน ผมทำทุกอย่าง ผมอยู่ท่ามกลางสมรภูมิความขัดแย้งมาในเกือบจะทุกๆ อัน แล้วผมมีความสงสัยว่าทำไมคนไทยต้องฆ่ากัน ทำไมต้องขัดแย้งกัน ถึงขั้นจะต้องลงมือกันเลยเหรอ แล้วมันก็ย้อนไปตอนที่ผมเป็นนักร้อง ตอนนั้นมันเป็นเมืองไทยที่สนุกมาก ไปไหนก็มีแต่คนทัก ไม่มีคนถามเลยว่าเจ้าเป็นใคร สีไหน ขนาดฝรั่งมาไม่เห็นมีใครไปถามเลยว่ามีวีซ่าหรือเปล่า แต่ทำไมวันนี้เราเจอหน้ากันทำไมเราถึงต้องถามว่าสีไหนชอบใครไม่ชอบใคร ทำไมล่ะ ไหนเราเคยบอกว่าเราเคยรักกัน”
“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข
      
“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข
      
“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข
      
“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข
      
“ฝันเด่น” เดินเท้าไปหัวหิน บอกมีความสุขที่ได้ทำดีกว่าไปชุมนุม หวังบ้านเมืองสงบสุข
       

จม. เปิดผนึก จากโลกออนไลน์ .. ประณามสือ ฟรีทีวี ไม่นำเสนอข่าวม็อบ

จม. เปิดผนึก จากโลกออนไลน์ .. เราขอประณามการการของของสือ ฟรีทีวี ทุกๆช่องที่ออกอากาศในเมืองไทย ! และ สมาคมวิชาชีพสื่อทั้งหลาย _ ข่าวการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ ที่มาชุมนุม ทางการเมืองโดยปราศจากอาวุธ สื่อฟรีทีวีทั้งหลายมิเคยนำเสนอต่อ สาธราณะชน เลยแม้แต่น้อย การทำสื่อ หรือ วิชาชีพสื่อ คือการเสนอข่าวอย่างตรงไป ตรงมา ทุกแง่มุม เพื่อให้ประชาชน หรือ ชาวโลกได้รู้ความจริง มิใช่เสนอแต่ความบันเทิง การปั้นข่าวเท็จ เพียงเพื่อให้ธุรกิจสื่อของตนเองอยู่รอด โดยมีคำนึงถึงสามัญสำนึกของคนทำสื่อ หรือแม้แต่การเคารพวิชาชีพของสื่อ ที่ท่านๆได้เล่าเรียนศึกษามา เป็นเวลานาน การเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ มันสะท้อนถึงความรุ่นแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชน โดยที่ประชาชนมิได้มีอาวุธอันใด ? ประเทสไทยเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย มิใช่เผด็จการ เสียงข้างมาก ที่สามารถจะทำอันใด กับใคร ได้ตามใจชอบ เพียงเพราะเค้าเหล่านั้นมีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐบาลที่กำลังบริหารประเทศ หรือเมืองไทย ปัจจุบัน เราใช้ระบอบเอื้ออำนวยรัฐกับธุรกิจ สื่อจึงมิสนใจจะรายงานข้อเท็จจริง เพียงเพราะกลัวธุรกิจหรือผลประโยชน์ตนเองลดน้อยลง ! ..... วิชาชีพสื่อ .. ณ ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นทางด้านทีวี หรือทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ แทบจะหาความจริงมิได้ ดาราแย่งสามีชาวบ้าน สัตว์หน้าขน ที่โชว์ตามสวนสัตว์ ยังเป็นข่าวโด่งดัง มากกว่า ผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้ายจนตายเสียอีก ! " เรา " มิได้ขอให้สื่อ หรือฟรีทีวีเลือกข้าง " เรา " แค่ของให้สื่อ รายงานตามข้อเท็จจริง และรายงานในทุกแง่มุม กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน แต่สื่อเองที่กระทำตนเลือกข้าง โดยการเลือกเสนอเพียงด้านใด ด้านหนึ่ง เพื่อรักษาอำนาจ และผลประโยชน์ของสื่อนั้นๆเอง ! ขอประณาม การทำงานของสื่อฟรีทีวี .. สื่อสิ่งพิมพ์ .. ที่กระทำตนเยี่ยงหมาเฝ้าบ้าน ให้ทรราชย์ขายชาติ โดยมิคำนึงถึงจรรยาบรรณ ที่สื่อควรจะมี ! บรรพษุรุษ ต่อสู้ เพื่อให้ได้แผ่นดิน ! แต่สื่อ ... กลับขายแผ่นดิน ด้วยปลายปากกา ?

"ไทยรัฐ" แจงแล้ว!! พร้อมขออภัย "ภาพชายถือปืน" ไม่เกี่ยวม็อบปะทะเดือดวานนี้

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ยันชัดภาพชายถือปืน ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ม็อบปะทะตำรวจบริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงวานนี้ พร้อมขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

วันนี้ (27 ธ.ค.56) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจากกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยวานนี้ ( 26 ธ.ค. ) ว่า ศอ.รส.ได้แถลงและนำภาพ คนเล็งปืนยกมากล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมคปท.ว่าใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ซึ่งนายสุเทพ กล่าวว่า การที่ศอ.รส.นำรูปภาพดังกล่าวออกมาเป็นการหลอกลวงประชาชน เนื่องจากภาพดังกล่าวนั้นเป็นภาพเก่าที่ถูกถ่ายไว้เมื่อปี 2551 ขณะที่วันนี้ ( 27 ธ.ค. ) ศอ.รส. ได้ออกมาแถลงถึงกรณีดังกล่าว ตอบโต้นายสุเทพ ว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพจริงไม่ใช่ภาพเก่าแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพคนเล็งปืนดังกล่าว ผ่านเว็บไซด์ Pantip.com ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่โพสต์ไว้ในวันที่ "18 ธันวาคม 2551" ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่คาดว่าจะยืนยันได้อย่างชัดเจน ว่าภาพนี้เป็นภาพเก่าไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ในวันที่ 26 ธ.ค. ไทย-ญี่ปุ่น ที่นายสุรพงษ์ และนายอนุดิษฐ์ กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ล่าสุด หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้ออกมาชี้แจงและขออภัยถึงภาพดังกล่าว ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวานนี้ (26 ธ.ค.) บริเวณสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงแต่อย่างใด โดยมีข้อความระบุว่า "ตามที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ได้เผยแพร่ภาพข่าว กรณีเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง โดยมีการนำภาพข่าวชายลึกลับถือปืน ประกอบข่าวดังกล่าวนั้น ภายหลังจากที่ได้มีการตรวจสอบแล้ว พบว่า ภาพชายลึกลับคนดังกล่าว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทางกองบรรณาธิการไทยรัฐจึงขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น มา ณ ที่นี้ด้วย"

‪#‎ทีนิวส์‬


ประมวลภาพบทบันทึกอำนาจ..เลือดและน้ำตาของหญ้าแพรก..