PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2562

ใครไม่พร้อมกันแน่?

เพชรพระอุมา

เพชรพระอุมา เป็น นวนิยายแนวผจญภัยที่มีขนาดความยาวมากที่สุดในประเทศไทยและนับว่าเป็น นวนิยายที่มีความยาวมากที่สุดในโลก?
ใช้ระยะเวลาในการประพันธ์ยาวนานกว่า 25 ปี โดยพนมเทียนเริ่มต้นการประพันธ์เพชรพระอุมาในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2507 และสิ้นสุดเนื้อเรื่องทั้งหมดในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2535 รวมระยะเวลาในการประพันธ์ทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน กับ 2 วัน
เพชรพระอุมา นวนิยายในตำนานที่มีความยาวมากที่สุดในโลก
เพชรพระอุมา นวนิยายในตำนานที่มีความยาวมากที่สุดในโลก
บทประพันธ์โดย พนมเทียน ซึ่งเป็นนามปากกาของ นายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ และตีพิมพ์ต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน?
เพชรพระอุมา ถูกนำมาตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มซ้ำใหม่หลาย ๆ ครั้งในรูปแบบของพ็อกเก็ตบุ๊ค จำนวน 48 เล่ม โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน (เดิมเป็นชนิดปกแข็งจำนวน 53 เล่ม แต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 33 ยก หรือ 16 หน้ายก และเมื่อนำมารวมกันทั้งหมดจะมีความหนาประมาณ 1,749 ยก แบ่งเป็นสามภาคได้แก่ ภาคแรก จำนวน 24 เล่ม ภาคสอง จำนวน 15 เล่ม และ ภาคสาม จำนวน 14 เล่ม แต่ปัจจุบันได้รวบรวมเนื้อหาในแต่ละภาคและลดลงคงเหลือเพียงแค่ 48 เล่ม)
แบ่งเป็นสองภาคคือภาคแรก จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน
ภาคสมบูรณ์ จำนวน 24 เล่ม 6 ตอน
ตีพิมพ์ฉบับรวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ.2538
ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2541
ทำการปรับปรุงต้นฉบับเดิมพร้อมกับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ในปีพ.ศ.2544
ตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นครั้งล่าสุดในปี พ.ศ.2547
โดยเนื้อเรื่องต่าง ๆ ของเพชรพระอุมานั้น พนมเทียนได้นำเค้าโครงเรื่องมาจาก คิง โซโลมอน’ส มายน์ส (King Solomon’s Mines) หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์แฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา
จุดเริ่มต้นของ เพชรพระอุมา นวนิยายในตำนานที่มีความยาวมากที่สุดในโลก?
พนมเทียนเริ่มต้นการเขียนเพชรพระอุมาในปี พ.ศ.2507 โดยตกลงทำข้อสัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา (ซึ่งปัจจุบันสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยา ได้ยุติกิจการไปแล้ว) ในการเขียนนวนิยายแนวผจญภัยในป่าจำนวนหนึ่งเรื่อง โดยมีข้อกำหนดความยาวของนวนิยายเพียงแค่ 8 เล่มจบเท่านั้น แต่กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทำให้ต้องเขียนเพชรพระอุมาเพิ่มเติมต่อจน ครบ 10 เล่ม และขอยุติการเขียนตามข้อสัญญาแต่ทางสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าพิทยายังไม่อนุญาตให้พนมเทียนยุติการเขียน และได้ขอร้องให้เขียนเพิ่มเติมต่ออีก 5 เล่ม แต่หลังจากเขียนเพิ่มได้ไม่นานก็ได้มีการตอบรับจากผู้อ่านมากมายจนต้องเขียนเพิ่ม จนเขียนมาหลายตอนแต่หาตอนลงจบเรื่องไม่ได้ ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดจึงสามารถจบลงได้ในปี พ.ศ.2533
ต้นแบบของโครงเรื่อง
พนมเทียนนำเอาความรู้ความชำนาญในการเดินป่า การดำรงชีวิตและการล่าสัตว์จากประสบการณ์จริงของตนเอง มาเป็นพื้นฐานในการเขียนนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา โดยเค้าโครงเรื่องและส่วนประกอบต่าง ๆ ได้นำมาจากเรื่องเล่าขานและสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากนักท่องไพรรุ่น อาวุโส หรือเรื่องเล่ารอบกองไฟของพรานพื้นเมืองต่าง ๆ
เพชรพระอุมาถูกนำมาตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งโดยสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ปัจจุบันตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน แบ่งการตีพิมพ์เป็นสองครั้งด้วยกัน โดยตีพิมพ์ครั้งแรก 48 เล่ม ภาคแรกจำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ 24 เล่ม 5 ตอน ดังนี้
ภาคแรก
ตอน ไพรมหากาฬ จำนวน 4 เล่ม
ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม
ตอน จอมผีดิบมันตรัย จำนวน 4 เล่ม
ตอน อาถรรพณ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม
ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 4 เล่ม
ตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม
ภาคสมบูรณ์
ตอน จอมพราน จำนวน 4 เล่ม
ตอน ไอ้งาดำ จำนวน 5 เล่ม
ตอน นาคเทวี จำนวน 5 เล่ม
ตอน แต่ปางบรรพ์ จำนวน 5 เล่ม
ตอน มงกุฎไพร จำนวน 5 เล่ม
และตีพิมพ์ครั้งปัจจุบัน 48 เล่ม ภาคแรกจำนวน 24 เล่ม 6 ตอน และภาคสมบูรณ์ 24 เล่ม 6 ตอน ดังนี้
ภาคแรก
ตอน ไพรมหากาฬ จำนวน 4 เล่ม
ตอน ดงมรณะ จำนวน 4 เล่ม
ตอน จอมผีดิบมันตรัย จำนวน 4 เล่ม
ตอน อาถรรพ์นิทรานคร จำนวน 4 เล่ม
ตอน ป่าโลกล้านปี จำนวน 4 เล่ม
ตอน แงซายจอมจักรา จำนวน 4 เล่ม
ภาคสมบูรณ์
ตอน จอมพราน จำนวน 4 เล่ม
ตอน ไอ้งาดำ จำนวน 4 เล่ม
ตอน จิตรางคนางค์ จำนวน 4 เล่ม
ตอน นาคเทวี จำนวน 4 เล่ม
ตอน แต่ปางบรรพ์ จำนวน 4 เล่ม
ตอน มงกุฎไพร จำนวน 4 เล่ม
รพินทร์ ไพรวัลย์ มีตัวตนจริงหรือเปล่า ไปฟังจากปาก " พนมเทียน "
บ้านของ 'พนมเทียน' อยู่ที่พัฒนาการ คลองตัน ไม่ได้อยู่กลางไพร 'หนองน้ำแห้ง' อาณาจักรชายแดนอย่างที่แฟนๆ 'เพชรพระอุมา'วาดจินตนาการ
อาณาจักรไพรแห่งนั้น เป็น 'เรือน' ของ รพินทร์ ไพรวัลย์ เขาต่างหาก
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อโลกนวนิยาย (ฉบับที่ 7) ลงบทสัมภาษณ์ 'พนมเทียน' ในส่วนของชีวิต และงานเขียนต่างๆ เว้นแต่เพชรพระอุมา ไปนั้น อาจกล่าวได้ว่านั่นคือ 'ภาค 1' ของนิยายชีวิตโลดโผน และสิ่งซึ่ง กำลังจะนำเสนอในโลกนวนิยาย ฉบับนี้คือ 'ภาคสมบูรณ์' ของความเป็น 'พนมเทียน' นั่นเอง
ในปี พ.ศ. 2539 พนมเทียน ย่างวัย 65 ปี, นิ้วของเขาแข็งพอที่จะจับปากกาเขียนหนังสือและลั่นไกปืนมาร่วม 50 ปีแล้ว
พนมเทียน เริ่มเขียน 'เพชรพระอุมา' ภาคแรก เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2507 และจบบรรทัดสุดท้ายของภาคสมบูรณ์ ในเวลา 02.45 น. ของวันที่ 21 มิถุนายน 2533 รวมเวลาทั้งสิ้น 25 ปี 7 เดือน 2 วัน!!
เป็นเวลาเกินกว่าครึ่งอายุการเขียน ของ 'พนมเทียน' ความผูกพันที่นักอ่านมีต่อนักเขียนท่านนี้มากมหาศาล โดยเฉพาะกับ 'เพชรพระอุมา' พนมเทียนมักจะถูกถามอยู่บ่อยๆว่า
-รพินทร์ ไพรวัลย์ มีตัวตนจริงหรือเปล่า
-มรว.ดาริน วราฤทธิ จริงๆแล้วเป็นใคร
-อะไรบ้างที่เป็น 'ของจริง' ใน 'เพชรพระอุมา'
ฯลฯ
และบ่ายวันนั้น ที่บ้านพัฒนาการ เมื่อเทปสัมภาษณ์ถูกวางลงตรงหน้า คำถามแรกของ 'โลกนวนิยาย' ก็เริ่มขึ้น
"หนองน้ำแห้งมีจริงไหมครับ"
พนมเทียนมองหน้าผู้ถาม แล้วยิ้ม
"คุณอยากไปที่นั่นไหมล่ะ"
รถโฟร์วีลล์คันหนึ่งจอดสงบในโรงรถหน้าบ้าน พร้อมอยู่แล้วหากจะต้องบุกป่าฝ่าดง ทะเบียนรถคันดังกล่าว' – 458 กทม. '
สามตัวท้ายคือเลขเดียวกับคาลิเบอร์ปืนไรเฟิล ที่ 'รพินทร์ ไพรวัลย์' ใช้เป็นประจำกาย
'พนมเทียน' พยักหน้าน้อย ๆ
"คุณอยากไปที่นั่นใช่ไหม"
เทปสัมภาษณ์ หมุนช้ากว่าจังหวะเต้นของหัวใจ

หนองน้ำแห้งมีจริงไหมครับ
มีจริงครับ แต่ของจริงเขาชื่อหนองแห้ง ฉากหลายๆ ฉากในเพชรพระอุมามีอยู่จริง แต่อยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ผมนำมาเรียงต่อกันโดยจินตนาการ
จริงไหมที่ว่า เดิมทีพนมเทียนตั้งใจจะเขียนเพชรพระอุมา เป็นนิยายสั้นๆ เท่านั้น
จริงครับ ผมไม่เคยคิดเขียนยาวขนาดนี้ คิดว่าจะเป็นพ็อกเก็ตบุ้คแบบเล่มละ 3 บาท สัก 7-8 เล่มจบ ตามที่ให้สัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้าในตอนนั้น ทีนี้พอเขียนไปเขียนมา มันแตกลูกหลานเยอะ ชนิดที่จะเขียนซักประมาณ 2-3 พารากร๊าฟ มันก็กลายเป็นเขียนทั้งเล่มอย่างตอนที่ดารินนั่งห้างกับรพินทร์ครั้งแรก เขียนเข้าไป.. โอ้โฮ เล่มกว่าแล้ว(หัวเราะ) รายละเอียดมันมีมากครับว่าการนั่งห้างจะต้องทำอย่างไรบ้าง ผมก็บรรยายไปเรื่อย
อย่างตอนที่ผึ้งมันไต่เข้าไปในเสื้อดาริน
นั่นล่ะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ก็จริง ทั้งหมดตอนต้นๆ เรื่องนี่จริงทั้งนั้น แล้วก็ประสบมากับตัวเองด้วย อย่างผึ้งนี่ ไม่ได้นะ เวลามันเข้าปั๊บ คุณต้องทำอย่างนี้เลย (แสดงท่าทางห่อไหล่) แล้วก็ค่อยๆ เขี่ยมันออก ถ้าไปตีมันปั๊บ มันต่อยพลั๊วะเลย
ประสบการณ์ในชีวิตจริงของพนมเทียน ไม่ทราบว่าการจับมือเข้าป่าครั้งแรกเป็นอย่างไร
ผมมีบ้านอยู่สายบุรี ปัตตานีนะครับ ตระกูลผมก็เคยทำเหมืองทองเหมืองโต๊ะโมะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่นราธิวาส ที่นั่นน่ะป่าทั้งนั้น ผมก็ขลุกอยู่กับพราน พวกพรานพื้นเมืองล่ะ อย่างตาบุญคำในเพชรพระอุมาก็มีตัวจริงนะ แกเป็นมุสลิม อยู่กับคุณตาผม ทะลึ่งที่หนึ่งเลย (หัวเราะ)
ผมจับปืนครั้งแรก อายุราว 14-15 ปี
กว่าจะยิงปืนแม่นใช้เวลานานไหม
ผมเป็นคนทำบาปขึ้นฮะ ยิงอะไรจะถูกเสมอ เขาเรียกว่าคนทำบาปขึ้นคือมีเคราะห์มากนะฮะ อย่างบางทีผมก็ยิงไม่ตั้งใจนะ ยิงสกัดหน้าสกัดหลัง ก็ยังไปถูกมัน เริ่มตั้งแต่สัตว์เล็กก่อน กระรอก กระแต นก ไล่ขึ้นไปเรื่อย มีสัตว์ชนิดเดียวที่ผมไม่ล่าคือช้าง เพราะเราตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ในใจว่า เขาเป็นสัตว์ใหญ่เหลือเกิน ถ้าหากว่าไม่ใช่ป้องกันชีวิตตัวเองหรือผู้อื่นที่ไปด้วยกันแล้ว จะไม่ยิงเป็นอันขาด
เข้าป่านี่มีความสุขมากไหม เข้าไปเพื่อพักผ่อนหรือล่าสัตว์มากกว่ากัน
เข้าป่าแต่ละครั้งผมถือว่า หนึ่ง ไปพักผ่อน สอง มันมีความรู้สึกว่า...ยังไงล่ะ...สนุกสนานในการจะฆ่า Enjoy Killing น่ะ คือ หมายความว่า กระทิงก็ดีหรือไอ้กวางก็ดี อะไรเงี๊ยะ มันผ่านเข้าทางปืนเราแล้วเรายิง เวลามันม้วนกลิ้งลงไปมันเป็นภาพซึ่ง...ซึ่งอธิบายไม่ถูก เวลามันวิ่งเอาหัวชนพื้นก่อนที่ตีลังกาสามสี่ทอด
แต่นี่คือความคิดของผมในยุคโน้นนะครับ ไม่ยุคนี้ ยุคนี้ผมทำไม่ได้เลย สงสารมัน
ความสุขในการเข้าป่ามีมากครับ ให้ความรู้สึกอิสระเสรีเหลือเกิน แล้วก็ได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยเห็นในเมือง ภาพน้ำ ลำธารใส ถ้ำซอกเล็กซอกน้อย หรือภาพเถาวัลย์ที่มันพันตัวเป็นวุ้งเวิ้ง อย่างเถาวัลย์เนี่ย ที่เราเคยเห็นกันเส้นขนาดนิ้วก้อยนี่ก็โตแล้ว แต่ที่ผมไปเห็น แต่ละเส้นขนาดขาอ่อนครับ ม้วนพันกันเป็นที่อาศัยของช้าง เข้าไปหลบซ่อนอยู่ในนั้น เขาเรียกว่าเถาวัลย์ หรืออย่างป่าหินอย่างนี้ ตลอดทาง 5 กิโล มีแต่หินรูปต่างๆ กับต้นไม้ต้นเล็กๆ
แถวไหนครับ ป่าหิน
มีอยู่ทั่วไปแหละครับ คือลองเป็นป่าลึกแล้ว มันจะต้องมีธารน้ำ มีป่าสูงดงดิบ ดินแฉะ ป่าโปร่ง แล้วก็ป่าหิน แล้วก็มีทั้งแบบที่เรียกว่า "มอ" กับ "มาบ" มอคือที่สูงขึ้นไป มาบคือป่าค่อนข้างราบต่ำ ป่าลุ่ม
เข้าป่าแต่ละครั้ง ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
ต้องเตรียมแผน อย่างน้อยก็มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เกลือ ยารักษาโรค ปืนกระสุน อาหารก็พวกอาหารแห้ง ประเภทกินแล้วให้เกิดพลังงานขึ้นเป็นต้นว่าของหวาน คุณลองเข้าป่าสัก 3-4 วัน คุณจะรู้สึกว่าคุณขาดน้ำตาลเหลือเกิน ไอ้พวกถั่วตัด งาตัด นี่สำคัญมากที่สุด เอาไปเยอะๆ ฝากพวกพรานป่าบ้าง
พวกพรานป่า สมัยที่ผมยังเดินป่าอยู่นะฮะ เป็นคนตกสำรวจ คือหมู่บ้านของเขา เขาก็ตั้งชื่อขึ้นมาเอง ไม่มีอยู่ในสำมะโนประชากร จะเป็นจะตายอะไรก็จัดการกันเองหมด นานๆจึงจะเดินเท้าเปล่า ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง มาที่หมู่บ้าน มาซื้อของ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว สำรวจหมดแล้ว
พนมเทียนเข้าป่าไหนบ้าง
หลายป่า ส่วนใหญ่ก็แถบเมืองกาญจน์นี่ล่ะครับ หรือไม่ก็ทางปักษ์ใต้ แถบยะลาเข้าไปแต่ละครั้งก็สิบห้าวันบ้าง เดือนนึงบ้าง บางทีก็เอารถไป บางทีก็ไปรถไฟ อย่างแถวไทรโยค เมื่อก่อนเขาไม่ควบคุมอาวุธปืนเท่าไหร่ ปืนไรเฟิลนี่ห่อๆ รวมกันเข้า ถ้าหากการ์ดรถถาม ก็บอกว่าเครื่องมือรังวัด จะไปสำรวจรังวัดที่นั่งรถไฟไปลงที่ใกล้น้ำตกนะฮะ แล้วก็ข้ามเรือไปถ้าไปด้วยรถจิ๊ป ก็ฝากชาวบ้านไว้ แล้วก็เดินเท้าต่อหรือไม่ก็เกวียน
ไม่ใช้เครื่องบินบ้างหรือ
(หัวเราะ) จำข่าวเฮลิคอปเตอร์ตกที่ทุ่งใหญ่ได้ไหมล่ะ (พ.ศ.2515) เที่ยวนั้นเขาก็ชวนผมนะ แต่ผมเลิกเข้าป่าไปแล้วตั้งแต่ปี 2511
เคยหลงป่าไหม
เคยสิครับ หลงกับพรานเสียด้วย เรื่องเป็นอย่างนี้ วันนั้นผมไปกับเพื่อนแล้วก็มีพรานนำทางไปนั่งห้างกัน คราวนี้พอขากลับ เดินกันตั้งนาน ไม่ถึงแคมป์สักที ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลผมเลยตัดสินใจสั่งหยุด หาที่นอนก่อน พอเช้าจึงค่อยดูทิศทางอีกครั้ง ไม่งั้นมีหวังข้ามเขาเป็นลูกๆ มันเป็นข้อเตือนใจว่า ป่าก็คือป่า เราประมาทไม่ได้เลย
มีบนบานศาลกล่าวอะไรไหมครับ
ผมบนหลวงพ่อทวด (หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ปัตตานี)
พนมเทียนเชื่อในสิ่งเร้นลับในป่า ประเภทนิทานข้างกองไฟที่เล่าสืบต่อกันมาหรือเรื่องเครื่องรางของขลังและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหมครับ
สำหรับนิทานในป่านะครับ ผมเชื่อประมาณ 60% คือเชื่อกว่าครึ่ง เพราะมีหลายครั้งที่เผชิญกับตัวเองอย่างตอนที่หลงป่า ไม่รู้นกอะไร นกหรือสัตว์อะไรก็ไม่ทราบ มาร้องอยู่รอบๆทุกด้าน ร้องเป็นเสียงหัวเราะ ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮะ ฮ่า ฮ่า บางทีก็ตาฝาด ถ้าเราคุมประสาทไม่อยู่ ก็ยิงส่งเดชหรือไม่ก็วิ่งไม่มีทิศทาง
สำหรับเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ ผมก็คล้องคออย่างตอนหลงป่านั่นแหละ แต่ตอนหลังมาคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่น่าจะช่วยเรา เพราะเราเข้าป่า เราก็ไปล่า ไปเอาชีวิตเขา แต่ตัวเรายังจะพึ่งพาความปลอดภัย หลังๆผมก็เลยอาราธนาไว้ที่บ้าน ไม่เอาไปเลย แต่ก็ยังเคยแสวงหาเครื่องรางของขลัง เป็นต้นว่าพวกเขี้ยวหมูป่าตัน ช้องหมู
พนมเทียนล่าสัตว์มานาน ทำไมจึงเลิกล่า
ผมสำนึกได้ มาสำนึกเมื่อตัวเองมีอายุ ผมยุติมา 27 ปีแล้ว
ปี 2511 ปีที่ลูกชายผมเกิด ผมเข้าป่าปีนั้นปีสุดท้าย รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ เริ่มหายใจไม่ออก เริ่มมึนศรีษะอย่างรุนแรง ตอนนั้นอายุผมย่าง 40 ตัดสินใจเด็ดขาด
ทุกวันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ยังมีการล่าสัตว์
สัตว์มีน้อยเต็มทีแล้ว ตอนนี้ผมก็อยู่ในกลุ่มต่อต้านการล่าด้วย ขออย่าทำมันเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก เราอยู่ในบ้านในเมืองก็สบายดีอยู่แล้ว
ป่าก็เหมือนกันครับ ตอนนี้ โอ้โห...เสียดายมาก ไม่รู้จะทำอย่างไงครับ พูดแล้วก็เหมือนกับคนที่เคยทั่วๆไปนั่นแหละ สมัยหนุ่มๆนั่น ป่ายังเป็นป่าจริงๆ ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ มีแต่ไม้ตายซาก
จากประสบการณ์ตัวเอง ทำให้คิดเขียนเรื่องเพชรพระอุมาขึ้นมา
คืออย่างนี้นะฮะ ผมเกิดมาเป็นนักเขียนนักประพันธ์ เรื่องอะไรก็ต้องเขียนจะสังเกตได้ว่าผมเขียนเรื่องหลายประเภทแล้วผมก็เที่ยวป่าตั้งแต่เด็กกระทั่งหนุ่ม ปมก็คิดว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องเขียนเรื่องป่าให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ แต่ตอนที่คิดนั่น ยังไม่ลงมือเขียนเพราะตอนนั้น บรมครูซึ่งเป็นรุ่นอาผมยังมีชีวิตอยู่ คุณครูมาลัย ชูพินิจหรือ 'เรียมเอง' หรือ ('น้อย อินทนนท์' ผู้เขียน 'ล่องไพร') ผมก็คิดว่าอย่าไปเขียนแข่งกับท่าน ให้ท่านเล่นไปก่อน ในที่สุดท่านก็ล่วงลับไป เมื่อสบโอกาส ผมจึงเริ่มเขียนบ้าง
คิดนานไหมครับกว่าจะได้ชื่อว่า 'เพชรพระอุมา'
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับชื่อมากๆ นะครับ ทั้งในส่วนของความหมายและโทนเสียง อย่างเรื่องนี้ ผมวางเรื่องเป็นการตามหาขุมทรัพย์ ก็ไม่มีอะไรเหมาะสมกว่าเพชร
ทำไมจึงเป็นเพชรของพระอุมา ไม่เป็นเพชรพระศิวะ หรือพระนารายณ์
พระอุมาท่านเป็นผู้หญิงนี่คุณ (หัวเราะ) เหมาะกับเพชรที่สุดแล้ว

โทนเสียงคำว่า "รพินทร์ ไพรวัลย์" นี่อ่อนหวานมากเลยนะครับ
นั่นแหละที่ผมต้องการ บุคลิกของเขาเป็นอย่างนั้น ตัวของเขาเป็นอย่างนั้น ตัวของเขา เป็นพรานชำนาญป่า แต่มีความคิดลึกซึ้ง และมีความโรแมนติกแฝงในความกล้า ความแข็งกร้าว ภายใต้ ใบหน้าที่ผมใช้คำว่า "…กระด้างปานหินผา" ไม่ค่อยยิ้ม เป็นคนที่ผิดหวังกับชีวิต
รพินทร์เป็นคนที่ไม่อยากทำร้ายคนอื่น แม้แต่การฆ่าสัตว์ ก็ไม่ยิงทิ้งยิงขว้าง จะยิงเฉพาะเป็น อาหารหรือป้องกันชีวิตคนอื่น ผิดกับพวกเจ้านายที่ยิงกันคะนองมือจริงๆแล้ว

ผู้อ่านให้ความเห็นว่า บุคลิกส่วนหนึ่งของรพินทร์คือพนมเทียน
นิสัยใจคอต่างๆ ผมก็ใส่ลงไปในนั้น แบบเข้าข้างตัวเองนิดๆ ล่ะ มิหนำซ้ำยังกำหนดรพินทร์ ให้รูปร่างใกล้เคียงกับตัวเองอีก ตัวผมตอนนั้นค่อนข้างจะเล็กเพรียว ไม่อ้วนอย่างนี้
เมื่อก่อนนี้ พนมเทียนก็คือรพินทร์ ไพรวัลย์ ดีๆนี่เอง
ฮ่า….(หัวเราะ) ก็อย่างนั้นแหละครับ อาจจะเตี้ยกว่ารพินทร์ซักนิดนึงเพราะผมนี้ประมาณซัก 162 – 163 เซนติเมตร รพินทร์เขาอาจจะซัก 170 เซ็นต์ อะไรอย่างนี้

170 ก็ไม่เตี้ยเท่าไหร่
170 นี่ถ้าไปยืนเทียบกับผู้หญิงอย่าง…. อย่าง เมื่อรพินทร์ยืนอยู่กับคริสติน่าแล้วมันก็เท่ากัน (หัวเราะ) ผมก็ยืมคริสติน่าไปก่อน

ตัว 'ดาริน' ล่ะครับ มีตัวแบบสร้างขึ้นมาหรือเปล่า บางคนว่าเป็นบุคลิกของคุณเป๊กกี้ (สุมิตรา วิเศษสุวรรณภูมิภรรยาคุณพนมเทียน)
ไม่หรอกครับ ถ้าจะหาตัวแบบจริงๆ ผมว่ามาจากกลุ่มเพื่อนผู้หญิงมากกว่า ได้จากคนโน้นนิด คนนี้หน่อย แล้วเอามาสร้างใหม่ สร้างเป็นแพทย์หญิง เป็นนักมนุษย์วิทยา ตัวเองก็ไม่เคยเดินป่งเดินป่าอะไร โม้ใส่รพินทร์ไปงั้นเอง แต่ดารินเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง มองอะไรได้คม เห็นรพินทร์มาหมกตัวอยู่กลางป่า เอ…คนคนนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ การศึกษาระดับนี้ทำไมมาเก็บตัวอยู่ป่า

พนมเทียนเจตนาสร้างตัว 'แงซาย' ให้เก่งกว่ารพินทร์
เขาเก่งกว่ารพินทร์ในบางแง่ แต่บารมียังไม่ถึงครับ ที่ผมสร้างแงซายให้เด่น นั่นเป็นเทคนิกการเขียน นักประพันธ์ส่วนใหญ่ผมเข้าใจว่า ถ้าเป็นพระเอกแล้ว ต้องไม่มีใครมากิน เมื่อรพินทร์เก่งเป็นคนเด่นขนาดนี้แล้วเขาต้องมีจุดอ่อนบ้าง เป็นไข้มาเลเรียบ้างล่ะ หรือถ้าในแง่รูปหล่อ ก็จะต้องมีคนเหนือกว่า เพราะฉะนั้นตัวนี้จะมาเป็นตัวรองรับอารมณ์ ทำให้มันเด่นกว่า หล่อกว่าเสียหน่อย เรียกว่าศิลปะในการเขียน แงซายเขาเป็นคนเล่ห์ลึก แต่ถึงมีเล่ห์เขาก็น่ารัก

ความสำเร็จประการสำคัญของเพชรพระอุมา คือผู้อ่านเชื่อว่าตัวละครหลายคนในเรื่องนี้ มีตัวตนจริง หรือบางอย่างก็ทำให้คนต้องถกเถียงกันว่า มีจริงหรือไม่ อย่างภาษา "กุโบ๊ส" ที่พนมเทียนระบุว่า เป็นภาษาของชาวมรกตนคร
ภาษากุโบ๊สมีจริงนะครับ เป็นภาษาแรกๆ ของมนุษย์ด้วยซ้ำ ตามตำราว่าเป็นภาษาของผู้ที่ใช้ติดต่อกับเทพเจ้า น่าจะเป็นต้นกำเนิดของตัวอักษรเทวนาครี แต่ผมเองก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครพูดภาษานี้
ตัวพรานพื้นเมืองหลายๆคนก็มีตัวตนอยู่จริงครับ หนานไพรที่รพินทร์พูดถึงบ่อยๆ นั่นก็มีชีวิตจริง บุญคำ จัน เกิด เส่ย ก็มี
ไม่ใช่เฉพาะผู้อ่านมีความผูกพันกับผู้เขียน ผมเองก็ผูกพันกับผู้อ่านเรื่องนี้เป็นพิเศษ เป็นความผูกพันกับผู้อ่านเรื่องนี้เป็นพิเศษ เป็นความผูกพันกับผู้อ่านด้วยความขอบคุณ จริงอยู่ที่ผมเขียนเรื่องจากประสบการณ์และวิทยาการทุกศาสตร์ที่ผมมี แต่บางอย่างก็ยังมีผิดพลาด เวลาที่ผมเขียนไป อันไหนที่มันออกนอกลู่นอกทาง หรืออันไหนผิดหลักวิชาพอผิดปั๊บ จะมีผู้อ่านช่วยท้วงมาทันทีเลย
บางอย่างผมเองก็ไม่รู้จะไปค้นที่ไหน อย่างงูที่มีเขี้ยวเฉพาะข้างบน 2 เขี้ยว ไม่ได้มี 4 เขี้ยวเหมือนหมา ผมเขียนไปว่า มันกัดแล้วมีรอยเขี้ยว 4 เขี้ยว เขาจดหมายมาบอกเลย
เพราะฉะนั้นผู้อ่านเพชรพระอุมาเปรียบเทียบเสมือนมิตรสนิทของผม ผมรักมาก บางคนนอกจากจะเป็นกำลังใจให้ ยังช่วยแต่งเพชรพระอุมาอีก คอยดูแลไม่ให้ผมพลาด แต่ละคนก็มีความรู้แตกต่างกันไป คนหนึ่งรู้การผ่าตัด อีกคนรู้เรื่องสัตว์ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผมคิดว่าที่เรื่องนี้มันค่อนข้างสมบูรณ์ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะผู้อ่าน

แล้วหากผู้อ่านเรียกร้องให้เขียนต่อ
คงไม่มีแล้วล่ะครับ เรื่องราวก็จบสมบูรณ์ดีแล้ว เมื่อดารินไปตามรพินทร์กลับมาได้และแต่งงานกันที่มรกตนคร
กลับมาแล้ว เรื่องราวของทั้งสองก็เป็นไปตามที่ดารินฝันไว้ เธอบริจาคเงินจำนวนมหาศาลให้รัฐบาล ทำหนองน้ำแห้งเป็นเขตสงวนรักษาพันธ์สัตว์ป่า มีรพินทร์เป็นผู้ดูแลที่นั่น
เวลาที่เขียนนิยายเรื่องนี้ ยาวนานถึงยีสิบปี ตัวคุณพนมเทียนก็คงมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างทางความคิด ในระหว่างที่เขียน ตัวอย่างเช่นในภาคแรก เมื่อคุณให้ตัวละครพูดถึง "สางห่า" ดูเหมือนจะวาดภาพไปทางดุร้าย จะต้องรบกันเหมือนกับสงครามงูยักษ์หรือยิ่งกว่า แต่เมื่อถึงภาคหลัง เมื่อได้เจอสางห่าจริงๆ ตัวละครสามารถใช้ "ธรรมะ" เข้าเจรจา
ใช่ครับ อย่างที่ผมเรียนว่า ผมเคยเป็นพราน แล้วก็เปลี่ยน เลิกล่าสัตว์ ศึกษาธรรมะ กรณีอย่างสางห่าก็เป็นอย่างที่คุณว่า คือพอเขียนไปแล้ว เป็นช่วงที่วิธีคิดของผมเปลี่ยนไปเหมือนกัน
มีจุดสรุปอย่างหนึ่ง ที่ผมได้จากการเขียนเรื่องนี้ เรียกว่า 3 ลักษณะ คือในตอนต้นนั้น เป็นศิลปะในการล่า เรื่องความเป็นอยู่ของสัตว์ป่า และการดำรงชีพในป่า พอเริ่มภาคหลัง ก็เป็นการเล่นกับคุณธรรม มโนธรรม ความอดกลั้น รวมทั้งด้านจิตวิทยา ส่วนตอนท้ายก็เป็นภาคที่ทำให้ผู้อ่านมาถึงจุดโล่งอกเสียที คือทุกคนสมใจปรารถนา ต่างคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ต้องพลัดพรากอีกแล้ว
ขอถามเรื่องปืนบ้าง สมัยที่พนมเทียนยังท่องป่า ชอบปืนขนาดไหนเป็นพิเศษ
ผมใช้ชนิดเดียวกับรพินทร์ครับ (หัวเราะ) คาลิเบอร์ .458 (คุณเป๊กกี้ซึ่งนั่งอยู่ด้วย เสริมว่า ชอบถึงขนาดไปขอทะเบียนรถหมายเลขนี้โดยเฉพาะ)
คำจำกัดความคำว่า 'สุภาพบุรุษ' ตามสายตาพนมเทียนล่ะครับ
สุภาพบุรุษคือคนที่ไม่หักหลังคน
'ลูกผู้ชาย' ล่ะครับ
ลูกผู้ชายจะต้องรู้จักการเสียสละ และกล้าหาญ
เจ้าของบทประพันธ์อันเป็นตำนานหนึ่งของโลก จบการให้สัมภาษณ์ด้วยประโยคสั้นๆ หากความหมายกว้างไกล
"เพชรพระอุมา" จบสมบูรณ์ลงตามความประสงค์ของผู้เขียนแล้วและแม้ว่าผู้เขียนจะยืนยันถึงความ "บริบูรณ์" ไม่มีเรื่องราวสืบเนื่องจากนี้อีกแล้ว แต่ก็ยังมีผู้อ่านบางคนรอความหวัง โดยเฉพาะเมื่อ "ตีความ" จากบทสนทนาของตัวละคร ในหน้า 1432 ของ "เพชรพระอุมา ภาคสมบูรณ์"
คือเมื่อ "จักราช-แงซาย" กล่าวกับนายทหาร "ไชยยันต์"

"นายทหารไชยยันต์ครับ ผมคิดว่าบุตรชายของท่านที่เพิ่งเกิด และเห็นหน้ากันเพียงแค่ไม่กี่วัน คงมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ดี"
"สมบูรณ์ดีมาก พระเจ้าข้า"
"เขามีนามตามที่ท่านได้เจตนาจะตั้งชื่อไว้ก่อนหรือเปล่า คือถ้าเกิดมาเป็นชาย ก็น่าชื่อเหมือนสกุลพรานใหญ่ผู้นั้น"
"แน่นอนพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ตั้งนามลูกไว้แล้วคือ 'ไพรวัลย์' และหวังว่าต่อไปคงจะเป็นนักร้องลูกทุ่งที่ชื่อดังก้องไปทั้งเมืองไทย"
จักราชสรวลเบาๆ
"เหลวไหล! " ต่อไป เขาจะเป็นนักบินอวกาศไทย ที่บังคับยานอวกาศไปสำรวจดวงดาวทั่วจักรวาลต่างหาก และอาจจะได้มาเยี่ยมอาแงซายของเขาที่นี่ก็ได้ "
…..
เห็นอย่างนี้แล้ว มีหวังต้องแหงนหน้าขึ้นฟ้า มองหา "เพชรพระอุมา" ภาค "จักรวาล" กระมัง
ขอบคุณเนื้อหาจาก: โลกนวนิยาย รายสัปดาห์ ฉบับที่ 12 ประจำวันที่ 29 – 4 เมษายน 2539

ชะตากรรมของ สุรชัย แซ่ด่าน.

cr:
ป้าหนิง DK 
////////
ชะตากรรมของ สุรชัย แซ่ด่าน.
เหตุการณ์ครั้งนี้ จะเป็นบทพิสูจน์อีกครั้ง ถึงหัวใจพวกเราทุกคน แต่ละคน ว่า รักเสรีภาพ รักความยุติธรรม และมีความเป็นคนมากน้อยเพียงใด แค่ไหน จึงนิ่งเฉย ไม่พูดถึง กรณีนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเพราะความกลัว หรือเหตุใดก็ตาม
เพราะ ไม่ว่า สุรชัย แซ่ด่าน จะเป็นใคร ?
- ชายชราไทยธรรมดาๆอายุ 76 ปี หรือ
- ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทย ผู้สูงวัย นักจัดรายการ การเมืองทางวิทยุใต้ดิน หรือ
- นักสู้เพื่อประชาธิปไตย มาทั้งชีวิต ที่ผ่านการพิสูจน์ ความเด็ดเดี่ยว จริงจัง มานับครั้งไม่ถ้วน หรือ
- อาจารย์, นักสู้, นักปฏิวัติ , นักทฤษฎี
เขาไม่ควรถูก ทำให้หายไป เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาคือบุคคลสำคัญคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในหลายสิบปีที่ผ่านมา
และที่แน่ๆ เขาคือ
สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ มีชื่อเดิมว่า สุรชัย แซ่ด่าน เป็นอดีตนักเคลื่อนไหว และอดีตนักโทษการเมืองคดีคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายของประเทศไทย เป็นอดีตคณะทำงานพรรคไทยรักไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง
นายสุรชัย เดิมทีเป็นที่รู้จักดีในการเมืองช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา จากการเป็นสมาชิกคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทื่เคลื่อนไหวแบบยุทธวิธีกองโจรในป่า ซึ่งต่อมาได้รับโทษถึงประหารชีวิตอันเนื่องจากคดีฆาตกรรมจากการปล้นรถไฟ โดยถูกกล่าวหา จากกรณีเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ได้เกิดคดีฆาตกรรม ร.ต.อ. ไสว พลชนะ และปล้นรถไฟที่ สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี โดยปล้นเงินไปได้กว่าหนึ่งล้านสองแสนบาท แต่ต่อมาได้รับการพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. 2531
ต่อมา นายสุรชัยได้เข้าร่วมการเมืองในระบบรัฐสภาด้วยการเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่ จากการชักชวนของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดนครศรีธรรมราช และผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
นายสุรชัย เข้าร่วมการชุมนุมขับไล่ คมช. ที่ท้องสนามหลวง และต่อมาได้แยกตัวออกมาจัดตั้งกลุ่ม "แดงสยาม" ร่วมกับนายจักรภพ เพ็ญแข โดยมิได้ข้องเกี่ยวอะไรกับกลุ่ม นปช. อีกต่อไป
ในการขึ้นเวที นปช. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2550 นายสุรชัย ได้กล่าวหมิ่นประมาทนายชวน หลีกภัย และศาลอาญามีคำพิพากษาปรับ 50,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษเหลือ 25,000 บาท
ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ตำรวจได้จับกุมตัวนายสุรชัย ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 27/2554 ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (กฎหมายอาญามาตรา 112 ในประเทศไทย) หลังจากการปราศรัยบริเวณใกล้ท้องสนามหลวง ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ศาลอาญา มีคำพิพากษา ให้จำคุก 7 ปี 6 เดือน จากคดีดังกล่าว ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เขาจึงได้รับพระราชทานอภัยโทษ และได้รับการปล่อยตัวออกมาในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ปัจจุบันนายสุรชัย ได้จัดทำรายการ "ปฏิวัติประเทศไทย" แพร่ภาพผ่านยูทูป โดยนำเสนอข่าวสารและสาระตามแนว แดงสยาม
เขาเป็นผู้ฝ่าฝืน คำสั่ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 57/2557 จนกระทั่งศาลทหารออกหมายจับและหลบหนีไปเป็นผูี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน จนกระทั่ง หายตัวไป
ในภาพอาจจะมี 2 คน, ภาพระยะใกล้

แบ่ง 7 ชุดจัดงานบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเทพฯ เสด็จ 26 ม.ค. ประธานประชุมคณะใหญ่

แบ่ง 7 ชุดจัดงานบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเทพฯ เสด็จ 26 ม.ค. ประธานประชุมคณะใหญ่

รัฐบาลกราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระเทพฯเสด็จฯเป็นองค์ประธานประชุมอำนวยการเตรียมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 26 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล “วิษณุ” เผยตั้ง คณะกรรมการ 7 ชุดเตรียมงาน ขณะที่เดือน เม.ย. เริ่มพิธี “พลีกรรม” ตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ วันที่ 4 พ.ค.63 เป็นวัน “ฉัตรมงคล” ตลอดรัชกาลนี้ ด้านมหาเถรสมาคมมีมติทุกวัดทั่วประเทศเจริญชัยมงคลคาถา ย่ำฆ้อง กลอง ระฆัง วันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมจัดบวช 6,810 รูป-ปฏิบัติธรรม เฉลิมพระเกียรติ
พระราชพิธีอันเป็นมหามงคลยิ่งและเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ต้องจารึกไว้ คืองาน “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” ที่ไทยทั้งแผ่นดินต่างปลื้มปีติยินดี เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อชมพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 10 ม.ค. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อรับทราบหมายกำหนดการพระราชพิธี ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 พ.ค. โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ผบ.เหล่าทัพ และผู้แทนสำนักพระราชวังเข้าร่วม
ต่อมานายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การแถลงรายละเอียดขอเป็นหลังวันที่ 26 ม.ค. เนื่องด้วยในวันดังกล่าวนั้น เวลา 17.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะองค์ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จะทรงพระกรุณา เสด็จเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยจะมีประธานองคมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา เข้าร่วมประชุมด้วย มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นายวิษณุกล่าวอีกว่า จะแบ่งเป็นคณะกรรมการต่างๆ 7 คณะ ประกอบด้วย
1.ฝ่ายพิธีการ มีตนเป็นประธาน
2.คณะกรรมการฝ่ายรักษาความปลอดภัย มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน
3. คณะกรรมการฝ่ายโครงการต่างๆ มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน
4.คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
5.คณะกรรมการฝ่ายกลั่นกรองการเสนองบประมาณ มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
6.คณะกรรมการในส่วนของการทำจดหมายเหตุ
และ 7.กรรมการในส่วนประสานงานต่างๆซึ่งเป็นชุดย่อยลงไป หลายเรื่องในที่ประชุมวันนี้ต้องนำความกราบบังคมทูลในวันที่ 26 ม.ค. ก่อน บางเรื่องต้องขอพระราชวินิจฉัยจากสมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงบางเรื่องต้องนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละออง ธุลีพระบาทด้วย จึงไม่สามารถแถลงได้
นายวิษณุกล่าวว่า เบื้องต้นขณะนี้หมายกำหนด การออกมาแล้วว่า พระราชพิธีจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน 1.การเตรียมการเบื้องต้น 2.พระราชพิธีเบื้องกลาง และ 3.ส่วนที่เป็นกิจกรรมต่อเนื่องเบื้องปลาย โดยพระราชพิธีเบื้องกลางคือ ตัวพระราชพิธีที่มี 3 วัน คือวันเสาร์ที่ 4 พ.ค. วันอาทิตย์ที่ 5 พ.ค. วันจันทร์ที่ 6 พ.ค. แต่พิธีเบื้องต้นที่นำหน้ามาก่อนนั้น มีเกือบเต็มทั้งเดือน เม.ย. โดยจะเริ่มจากพิธี “พลีกรรม” คือพิธีตักน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. กระทั่งสิ้นเดือน เม.ย. ต่อด้วยเดือน พ.ค.ในวันที่ 2-3 พ.ค. ต่อจากนั้นจะเข้าสู่พิธีเบื้องกลาง ซึ่งเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 4-6 พ.ค. โดยวันสำคัญที่สุดคือวันที่ 4 พ.ค. ที่ในปีนี้เป็นวันบรมราชาภิเษก แต่ในปีหน้าวันที่ 4 พ.ค.63 จะไม่ใช่วันบรมราชาภิเษก เพราะบรมราชาภิเษกไปแล้ว จึงเป็นวันที่ระลึกถึงการบรมราชาภิเษก ซึ่งปีหน้าวันที่ 4 พ.ค.63 จะเรียกว่า “วันฉัตรมงคล” และจะเรียกตลอดไปในรัชกาลนี้
รองนายกฯกล่าวอีกว่า ส่วนกิจกรรมเบื้องปลายต่อเนื่องหลังวันที่ 6 พ.ค. คือในวันที่ 8-9 พ.ค. เป็นพระราชพิธีพืชมงคล หลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมของรัฐบาลและประชาชน ที่จะจัดน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย ตรงนี้หลายๆ อย่าง ต้องรอให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องประชุมกันอีกที
เมื่อถามว่า หลังประชุมวันที่ 26 ม.ค.จะได้ข้อสรุปกระบวนการงานพระราชพิธีครบถ้วนใช่เลยหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ครบทุกอย่าง วันนี้เท่าที่มีการรายงานในที่ประชุม ได้มีการเตรียมงานกันไปเองก่อนแล้ว ถือว่าลุล่วง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อถามว่าสำหรับงานพระราชพิธีน่าจะเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ นายวิษณุกล่าวว่า น่าจะคงยาวไปตลอด แต่จะไม่กระทบต่อเหตุการณ์บ้านเมือง
วันเดียวกันที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) พุทธมณฑล จ.นครปฐม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) เสด็จเป็นประธานการประชุมมหาเถรสมาคม ภายหลังการประชุม นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการหารือตามที่สำนักพระราชวังประกาศว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามพระราชประเพณี เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 4-6 พ.ค.2562 เพื่อให้พสกนิกรประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้พร้อมใจกันร่วมแสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นราชสักการะแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์
นายสิปป์บวรกล่าวต่อไปว่า ในการนี้ คณะสงฆ์โดยมหาเถรฯและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยกำหนดจัดโครงการทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และวัดไทยในต่างประเทศ ดังนี้
1.โครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติฯ ทั่วประเทศ 6,810 รูป ระยะเวลา 15 วัน
2.โครงการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ โดยสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด จัดปฏิบัติธรรมระยะเวลา 7 วัน หรือตามความเหมาะสม
3.พิธีทำบุญตักบาตร วันที่ 4 พ.ค. เวลา 07.00 น. และตั้งโต๊ะหมู่พระฉายาลักษณ์
4.ให้ทุกวัดทั่วประเทศเจริญชัยมงคลคาถา ย่ำฆ้อง กลอง ระฆัง ในวันที่ 4 พ.ค. เวลาเดียวกันกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สำหรับกำหนดการจัดกิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวจะมีการหารืออีกครั้งว่าจะจัดวันใด แต่เบื้องต้นจะเริ่มจัดในช่วงวันพิธีบรมราชาภิเษก

ฟัง 'วิษณุ' แจงเลื่อนเลือกตั้ง!! ชี้ถ้าขยับ 24 มี.ค.เหมาะสมสุด


"วิษณุ" แจงเลื่อนเลือกตั้ง ถ้าขยับต้องพ้นงานพระราชพิธี เผยถ้าปรับเลื่อนต้องให้เวลาหาเสียงเพียงพอ 52 วัน ชี้ 24 มี.ค.เหมาะสมสุด เชื่อประชาชนเข้าใจเหตุผล เผย รบ.กราบบังคมทูลเชิญ "สมเด็จพระเทพฯ" เป็นองค์ประธานจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว
เมื่อวันที่ 4 ม.ค.61 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้สอบถามผลหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้อธิบายรายละเอียดขั้นตอนเกี่ยวกับการจัดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับวันเลือกตั้ง ส่วน กกต.ได้อธิบายว่าพระราชพิธีไม่ได้มีแค่วันที่ 4-6 พ.ค.เท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดขั้นตอนก่อนและหลังของพระราชพิธีเป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยอธิบายให้ กกต.พิจารณาว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งในเป็นวันที่ 24 ก.พ.อยู่หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลยืนยันไปว่าไม่มีปัญหา หากการเลือกตั้งจะจัดก่อนพระราชพิธี การดูแลความสงบเรียบร้อยและการหาเสียงเลือกตั้งก็ไม่กระทบกับพระราชพิธี
นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่า 1.การเลือกตั้งจะต้องจัดขึ้นก่อนพระราชพิธีแน่นอน 2.การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง จะไม่กระทบกับพระราชพิธี 3.สิ่งที่รัฐบาลกังวลคือกิจกรรมหลังวันที่ 24 ก.พ.เพราะจะมีการประกาศผลการเลือกตั้ง การดำเนินการเกี่ยวกับ ส.ว.ต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ และอาจกระทบต่อการเสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก จากนั้นจะเลือกประธานสภา เลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล มีกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ อีกจำนวนมาก อย่างไรก็ตามหาก กกต.มั่นใจว่าดำเนินการได้ทัน ก็อาจจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.ได้ แต่ กกต.แจ้งว่าเพิ่งทราบว่าจะมีกิจกรรมเหล่านี้ จึงขอเวลาไปพิจารณากำหนดวันอีกครั้ง
"เราได้คุยกันว่าถ้าเลือกตั้ง 24 ก.พ.จะเกิดปัญหาหรือไม่ ซึ่งผมเห็นว่าจะเกิดปัญหาจริง แต่หากเลือกวันที่ 3,10,17,24, หรือ 31 มี.ค. ได้หรือไม่ กกต.จะเอาไปคิดดู แต่การเลือกตั้งไม่ควรเกินเดือน มี.ค.นี้ บางคนบอกว่าถ้าเลื่อนเลือกตั้งออกไป จะไม่เกิดกระทบมากกว่าหรือ ยืนยันว่าเลื่อนเข้าใกล้กว่านั้นไม่ได้ ทั้งนี้ถ้าเลือกตั้ง 3 มี.ค.ต้องประกาศผล 3 พ.ค.หากเป็นวันที่ 10 มี.ค.ประกาศผล 10 พ.ค.ก็อาจพ้นพระราชพิธี ส่วนวันที่ 17 มี.ค.ประกาศผล 17 พ.ค. เจอกิจกรรมหลังพระราชพิธี ดังนั้นถ้าจะขยับต้องให้พ้นวันเหล่านี้ออกไป เช่น ถ้าเป็นวันที่ 24 มี.ค. ประกาศผล 22 พ.ค.จะพ้นจากช่วงหลังพระราชพิธีไปแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะปรับหรือเลื่อนวันออกไปอย่างไร ต้องให้เวลาหาเสียงอย่างเพียงพอ คือ 52 วัน" นายวิษณุ กล่าว 
เมื่อถามว่า หากการเลือกตั้งยังเป็นวันที่ 24 ก.พ.นี้ กกต.จะสามารถประกาศรับรองผลให้เร็วขึ้นภายในเวลา 30 วันได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า คุยกันว่าการเลือกตั้งในครั้งก่อนๆ ผู้ที่แพ้มักจะร้องเรียน แต่เลือกตั้งครั้งนี้ใช้ระบบใหม่นับทุกคะแนนเสียง ซึ่งจะได้เห็นคนชนะร้องเรียน เพื่อทำลายคะแนนที่จะเสียไปให้กับฝั่งตรงข้าม ที่จะได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น จะเห็นการร้องเรียนอุตลุดวุ่นวาย แม้หลายคนจะบอก กกต.สามารถแจกใบแดงใบเหลืองไปก่อนได้ แต่นั่นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และสุดท้ายคะแนนในการจัดตั้งรัฐบาลจะเรรวน คนที่ถูกเลือกเข้ามาแล้วอาจถูกสอยภายหลัง
เมื่อถามว่า หากปฏิทินการเลือกตั้งเป็นในวันที่ 24 ก.พ.จะมีส่วนใดที่ไปชนกับงานพระราชพิธีบ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ชนทั้งหมด บางเรื่องวันอาจไม่ชนกัน แต่ยังไม่รู้ว่ากำหนดวันชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อใด เช่น การเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีเปิดการประชุมรัฐสภา ที่กฎหมายเขียนไว้ว่าต้องทำภายในเวลาเท่าใด เราอยากให้เลื่อนแล้วจบเลย ไม่ใช่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก เมื่อถามว่า หลายฝ่ายวิจารณ์รัฐบาลใช้กรณีนี้เป็นข้ออ้างเลื่อนเลือกตั้ง นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่รู้จะอ้างเพื่อให้ได้ประโยชน์อะไร เพราะการเลื่อนเลือกตั้งไม่ได้มีผลทำให้รัฐบาลอยู่ยาวไปมาก เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจได้ 
นอกจากนี้ นายวิษณุ ยังกล่าวหลังมีประกาศสำนักพระราชวัง เรื่องทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 4-6 พ.ค.62 ว่า รัฐบาลได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จทรงเป็นประธานคณะกรรมการ การจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในสัปดาห์หน้า

รู้กันไว้ 'พวกไขสือ' เลือกตั้ง

รู้กันไว้ 'พวกไขสือ' เลือกตั้ง

"นายกฯ ประยุทธ์" เคยบอก..... 
    ภายในเดือนมกรานี้ รู้แน่ ว่าจะเลือกตั้งวันไหน?
    นี่ก็ปลายเดือนจิ่มเข้ามาทุกที
    ถ้าผมคาดเดาไม่ผิด ช้าที่สุด ไม่เกินวันอังคารที่ ๒๙ มกรานี้ น่าจะมีคำตอบเป็นรูปธรรม
    ผมยึดอะไรเป็นฐานคาดเดา หรือเดาส่งเดชไปงั้น?
    ก็เป็นได้ทั้งสองทาง 
    โดยเฉพาะทางแรก ผมยึดคำแจกแจงในขั้นตอนบางขั้นตอน "ชั้นเตรียมการ" เพื่อในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๔-๖ พฤษภา
    ใคร่ครวญตามตารางเวลาแล้ว พอจะอนุมานถึงวันลงตัว ที่จะกำหนด "วันเลือกตั้ง" ได้
    คืออย่างไรกัน.....?
    ท่านก็พิจารณาตามไปด้วยกันเลย ผมจะสรุปที่ รมว.มหาดไทย "พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา" แถลงเมื่อวาน (๒๒ ม.ค.๖๒) ให้ฟัง
    พลเอกอนุพงษ์กล่าวถึง "พิธีตักน้ำ" จากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ เป็นกำหนดการเบื้องต้น ว่า
    ๖ เม.ย.พิธีพลีกรรมตักน้ำทั่วประเทศ 
    ๘ เม.ย.พิธีเสกน้ำในวัดในพื้นที่ต่างๆ โดยนำน้ำมาเข้าพิธีอภิเษกวันที่ ๑๘ เม.ย.ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรวิหาร 
    ๑๙ เม.ย.พิธีอัญเชิญน้ำที่ผ่านการประกอบพิธีไปที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    ในพื้นที่ต่างจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด จะเป็นผู้ตักน้ำ 
    จังหวัดที่มีแหล่งน้ำหลายแห่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด จะเป็นผู้ตัก 
    โดยจะมีฤกษ์วันและเวลาที่ตักน้ำพร้อมกันทั้งประเทศ 
    แหล่งน้ำทั่วประเทศที่จะตักนั้น มี ๑๐๗ แห่ง กทม. ๑ แห่ง รวมเป็น ๑๐๘ แห่ง
    จังหวัดที่มีแหล่งน้ำ ๑ แห่ง ๖๐ จังหวัด, มี ๒ แหล่งน้ำ ๗ จังหวัด
    มี ๓ แหล่งน้ำ ๕ จังหวัด, มี ๔ แหล่งน้ำ ๓ จังหวัด และมี ๖ แหล่งน้ำ ๑ จังหวัด
    ส่วนแม่น้ำสำคัญ ๕ สาย ได้แก่ แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำราชบุรี และ แม่น้ำเพชรบุรี
    สระสำคัญ ๔ แห่ง ใน สุพรรณบุรี ประกอบด้วย สระเกษ, สระแก้ว, สระคงคา, สระยมนา 
    ในส่วนแม่น้ำสำคัญ น่าจะอยู่ภายในหอศาสตราคมภายใน "พระบรมมหาราชวัง" แล้ว
    ทั้งนี้ พลเอกอนุพงษ์บอกว่า.....
    ๒๓ มกรา เวลา ๑๓.๐๐ น.รัฐบาลจะประชุมเตรียมการ "ก่อนประชุมใหญ่"
    ที่......
    "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" จะเสด็จฯ ไปทรงเป็นประธาน ในวันเสาร์ที่  ๒๖ มกราคม 
    นั่นก็คือ "ทุกขั้น-ทุกตอน"
    เมื่อการประชุมใหญ่ เสาร์ที่ ๒๖ มกรา โดยมี "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ทรงเป็นประธาน ผ่านไปแล้ว 
    ทุกอย่าง น่าจะสรุป "ชัดเจน-ลงตัว"
    ในความหมาย งานที่ต้องทำก่อนพระราชพิธี ๑๕ วัน และหลังพระราชพิธี ๑๕ วัน 
    ตามที่รองนายกฯ "วิษณุ เครืองาม" เคยอธิบายให้ทราบ
    เมื่อทราบและเป็นที่ลงตัว......
    ก็สามารถ "กำหนดวัน" เลือกตั้ง อันจะไม่ทำให้การหาเสียง รวมถึงการประกาศผล ไปกระทบในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
    เห็นเนาๆ กันว่า อาทิตย์ที่ ๒๔ มีนา เป็นวันที่ลงตัวมิใช่หรือ?
    แต่จะใช่-ไม่ใช่ ยังไงก็ต้องรอฟัง จนกว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเลือกตั้งประกาศออกมาก่อนเท่านั้น
    ทีนี้ก็......
    มาทำความเข้าใจเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์กันสักเล็กน้อย 
    คือน้ำที่ใช้ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้ เรียกว่า "มุรธาภิเษก"
    มุรธา แปลว่า ยอด, ศีรษะ
    มุรธาภิเษก คือน้ำพระพุทธมนต์และเทพมนตร์สำหรับถวายพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงรดพระเศียร และทรงสรงในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
    น้ำมุรธาภิเษกนี้ จะสังเกตเห็นว่า มีอยู่จังหวัดหนึ่ง มีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ในการนี้ ถึง ๖ แห่ง 
    หลายท่านอาจอยากทราบ คือจังหวัดไหน ผมเองก็อยากทราบ เพราะพลเอกอนุพงษ์ท่านไม่ได้บอก
    ก็ลองค้นๆ ดู จากในการพระราชพิธีมงคลสำคัญๆ แต่ละครั้ง ที่ต้องตักจากแหล่งทั้ง ๖ นี้ไปทุกครั้ง 
    นั่นคือ ที่ "จังหวัดนครศรีธรรมราช"
    ๑.บ่อน้ำวัดหน้าพระลาน วัดพระมหาธาตุ 
    ๒.บ่อน้ำวัดเสมาเมือง หน้า รร.เทศบาลวัดเสมาเมือง 
    ๓.บ่อน้ำวัดเสมาไชย ใกล้ร้านผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ 
    ๔.บ่อน้ำวัดประตูขาว บริเวณโรงเรียนอนุบาลนครศรีฯ
    ๕.ห้วยเขามหาชัย ไหลจากห้วยเขามหาชัย ผ่านลงมาที่ท่างิ้ว บริเวณหลังโรงเรียนวัดมหาชัยวนาราม และ
    ๖.ห้วยปากนาคราช คดเคี้ยวเหมือนพญานาคราช อยู่ที่ตำบลเขาแก้ว อำเภอลานสกา 
    อืมมม.....
    ตรงนี้น่าทึ่ง น่าศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราชนี่ ใครไปแล้ว จะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่าไม่ทราบ?
    คือ รับรู้ได้ถึงความ "ขลัง-ลึกล้ำ-น่าค้นหา"
    แต่ยิ่งค้น ยิ่งลึก 
    เหวที่ว่าลึก ยังสามารถหาก้นเจอ แต่ลึกในความเป็นนครศรีธรรมราช ไม่มีทาง 
    เพราะเป็นลึกที่ล้ำ "หลุดมิติ" สามัญมนุษย์เข้าไปถึง!
    ขนาดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังมีถึง ๖ แห่ง และแต่ละแห่ง มีความเป็นมาเหนือฟ้า-เหนือดิน "องค์ภูมินทร์" เท่านั้น คู่ควร
    ในการพระราชพิธีมหามงคลแต่ละรัชสมัย 
    ผู้ตักน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้......
    ต้องสะอาด สมาทานศีลเคร่งครัด นำน้ำมารวมกันแล้ว ประกอบพิธีในพระวิหารหลวง วัดพระมหาธาตุฯ
    ประกาศองค์เทวาแล้ว พระสงฆ์จะสวดภาณวารตลอดทั้งวัน-ทั้งคืน
    "ภาณวาร" เป็นการสวดมนต์ด้วยบทสวดฉบับหลวง ว่าด้วยพระปริตร พระมหาปริตร อันประกอบด้วย มงคลสูตร, รัตนสูตร และกรณียเมตตสูตร 
    นี้แหละ จึงขลังและประสิทธิเมยิ่งนัก นอกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ๖ แห่งนี้แล้ว
    "นครศรีธรรมราช" ยังมีสถานที่-บุคคลประเภท "เหนือกาลเวลา-เหนือหยั่งถึง" ที่ควรไปศึกษาและเรียนรู้ ชนิด "รู้ไม่จบ" อีกมาก!
    เรื่องเลือกตั้งเนี่ย......
    ผมอยากจะย้ำอีกที ไม่ต้องไปกระหายใคร่อยากจนเกินกาลหรอก ยังไงๆ ปีนี้ มีแน่ ได้เลือกกันแน่
    แต่พระราชพิธีบ่งบอกถึงอารยชาติแห่งไทย บ่งบอกถึงสถาบันพระมหากษัตริย์คู่ความเป็นประเทศ
    ในรอบร้อยปี จะมีสักครั้ง!
    ตรงนี้ เราต้องให้ความสำคัญ และเตรียมตัวในความเป็น "เจ้าภาพร่วม" ในส่วนงานรัฐบาลจัดถวาย
    ทุกวันนี้ เราไปให้ความสำคัญ "พยาธิในลำไส้ใหญ่" มากไป ที่พวกเขาทำเป็น "ไม่เข้าใจ" ในสาระสำคัญของเรื่องราว     แล้วไขสือ.......
    ยกเหตุ "วันเลือกตั้ง" ขึ้นมาแสดงปฏิกิริยาบ้าง ใช้คำพูด-คำจา ไปในทางเหยียบย่ำบ้าง 
    โน้มน้าวให้คนที่ไม่เข้าใจในความเป็นชาติของไทย นำเรื่องกำหนดวันเลือกตั้ง ไปยำปนกับการในพระราชพิธี 
    โตๆ กันแล้ว เรียนมหาวิทยาลัย จบเป็นบัณฑิต เป็นครูบาอาจารย์กันแล้ว เคยเป็นรัฐมนตรีกันมาแล้วก็มี ไม่ใช่คนเถื่อน-คนถ่อยที่ไหน
    ฉะนั้น ควร-ไม่ควรแค่ไหน ทุกคนรู้ 
    ถ้าแบบนี้ ยังไร้เดียงสา แยกแยะถูก-ผิดด้วย "สำนึกคน" ไม่ได้ ก็จะเข้ามามีอำนาจในรัฐสภาในฐานะรัฐบาลได้อย่างไรกัน?
    ประชาชนวันนี้ เขามุ่งไปข้างหน้ากันแล้ว
    เขาทิ้ง "นักเลือกตั้งเลว" ไว้ข้างหลังกันแล้ว
    "ด่าชาติ-ย่ำสถาบัน" นึกว่าจะได้คะแนนเสียงเข้าไปมีอำนาจเป็นรัฐบาล กะเปลี่ยนบ้าน-เปลี่ยนเมืองกันอย่างนั้นหรือ?
    จะบอกให้.......
    เลือกตั้งครั้งนี้ คนที่เขาเงียบ ๕๐-๖๐% 
    เงียบเพราะรังเกียจ ขยะแขยง อ้าย-อี บางตัว ที่หาเสียงแบบ "หนังหนา-หน้าด้าน"
    แล้วเขาจะเฮกันออกมา "เลือกรัฐบาล" ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตบหน้าพวกมึงนั่นแหละ!

หลายเรื่องร้อน-เสียงโอดครวญ ปม 'ดรามา' ใน 'เพื่อไทย'

หลายเรื่องร้อน-เสียงโอดครวญ ปม 'ดรามา' ใน 'เพื่อไทย'

 ยังไม่แน่ชัด วันเลือกตั้งจะเป็นวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร พรรคการเมืองในสนามหลายพรรคเตรียมความพร้อมเดินหน้าไปไกลเสมือนวันเลือกตั้งจะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ประชาธิปัตย์ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ครบทุกเขต ภูมิใจไทย ไปไกลอีกขั้น เปิดครบทั้ง 350 เขตเลือกตั้ง อนาคตใหม่, ไทยรักษาชาติ เดินสายลงพื้นที่พบปะฐานเสียงทุกวัน ตอกย้ำให้เห็นจุดยืน-จุดขาย ในฐานะหน้าใหม่ทางการเมือง ความพร้อมผู้สมัคร นโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในลำดับที่ 1 รอเพียงพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมา พร้อมเปิดหน้าโชว์ตัว ไม่มีพลิกโผ ไม่มีดรามาแน่นอน
      ผิดกับ พรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งพรรคการเมืองใหญ่ ในฐานะพรรครัฐบาลเสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง มีหลายเรื่องร้อนเข้ามากระทบ ให้บรรดาบิ๊กๆ คนภายในต้องเร่งจัดการปัญหาภายใน เรื่องว่าที่ผู้สมัคร แม้ลงตัวหลายเขต แต่อีกหลายเขตก็ยังต้องมาเกลี่ยทำความเข้าใจ คนเก่าหากเป็นเจ้าของพื้นที่เดิม มีทายาทก็ต้องดันทายาทให้เป็นตัวเลือกแรกให้ได้ คนใหม่ที่คิดมาเสียบก็เคยมีข่าวออกมาถึงเหตุรุนแรงทางวาจาการกระทำ เคยเป็นเรื่องอื้ออึงมาพักใหญ่ เกิดการงัดข้อกันเอง ยิ่งเป็นพื้นที่เกรดเอเหนือ-อีสาน ต่างไม่มีใครอยากเสียพื้นที่
      ดรามาแย่งชิงพื้นที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง มีทั้งเป็นข่าว-ไม่เป็นข่าว อดีต ส.ส.อีสานบางคนแสดงความน้อยใจพรรคไปดึงคนรุ่นใหม่ทุนหนาข้ามหัวผู้สมัครเดิม เกิดอาการน้อยใจรุนแรงไม่มีเส้นสาย ตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น
      ล่าสุดเรื่องลักษณะเดียวกัน เขต 7 กทม. เกิดปมดรามาต่อเนื่องระหว่าง ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ กับน.ส.ลีลาวดี วัชโรบลเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในพรรค ปมประเด็น ‘ถูกทุบโต๊ะ คุณขอมา’ จากบิ๊กในพรรค ทำให้เสียงที่คิดจะคัดค้านเลยต้องนิ่งเงียบ
      ไม่นับรวมเสียงบ่นในวงสนทนาสมาชิกพรรค ปม ‘กระแสดี กระสุนไม่มา’ ทำเอาว่าที่ผู้สมัครอดีต ส.ส.พวกทุนน้อย ไม่มีธุรกิจรายได้เสริมบางคน หันหน้ายืมเงินพรรคพวกเพื่อนฝูง บางรายหนักเข้าชิงออกนอกพื้นที่คราวละหลายวัน อ้างภารกิจเร่งด่วนในเมืองหลวงไม่อยู่ให้ต้องเสียค่า ภาษีสังคมใส่ซองงานบวช งานแต่ง งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ และอีกค่าใช้จ่ายจิปาถะรายทาง ที่จนถึงทุกวันนี้ก๊อกน้ำยังตันและยังไม่มีทีท่าจะเปิดหัวก๊อก
      คนใกล้ชิดคนทางไกลมองในแง่ยุทธศาสตร์ เอากระแสเป็นเครื่องต่อรอง รักกันจริงต้องอดทน เพื่อความเป็น ส.ส.ในวันข้างหน้า ส่วนคนพื้นที่มองอีกมุม สะท้อนความเห็น งานพื้นที่เลี่ยงไม่ได้ต้องดูแลเป็นประเพณี วัฒนธรรม ไม่มีเว้นว่าง ไม่ว่าจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็นผู้แทนฯ      
      ระดับแกนนำพรรค เจอปัญหาให้ต้องคิดดับปมร้อนกันอย่างต่อเนื่อง ผู้นำพรรคยังไม่ลงตัว แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์หนึ่งสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ต่างฝ่ายต่างมีพลังสนับสนุนอยู่ในฐานที่ ‘แบ็กแน่น’ ทั้งคู่ สุดท้าย ชายหรือหญิง ใครจะเป็นตัวจริง ซึ่งมีได้เพียงคนเดียว มหากาพย์เบอร์ กลายเป็นซีรีส์ยาวให้ต้องติดตามห้ามกะพริบตา
      ว่ากันด้วยเรื่อง แบ็กอัพ ของทั้งสองคน เป็นประเภทเกรดเอเจ้าของพรรค ว่ากันด้วยเรื่องกองเชียร์ อดีต ส.ส. สมาชิกพรรคก็มีด้วยกันทั้งคู่ มีทั้งเปิดหน้าออกตัวชัดกับฝ่ายอยู่ห่างๆ แต่ส่งใจให้เต็มร้อย ไม่เปิดหน้า ออกตัว ขอแทงหวยเลือกข้างกันในใจ กลัวฤทธิ์เดชบางฝ่ายขยับตัวแรงไม่สบอารมณ์เจ๊ๆ เฮียๆ สมุนใกล้ชิดเมื่อไหร่ มีหวังอนาคตการเมืองดับวูบกลางทางใช่จะเป็นไปไม่ได้
       ชัชชาติ-สุดารัตน์ ออกมาดับข่าวร้อน จับมือควงคู่กันลงพื้นที่พบปะประชาชน ทั้งต่างจังหวัด กรุงเทพฯ ประสานพลังแสดงให้เห็นความเป็น ทีมเพื่อไทย แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมกับประสานเสียงให้สัมภาษณ์ ไม่มีความขัดแย้ง ใดๆ ทั้งสิ้น
      ปิดจุดอ่อนฝ่ายตรงข้ามพยายามเจาะยางเสี้ยมให้แตกคอรบกันเอง เป็นการตัดกำลัง ไปถึงข่าวที่คนเพื่อไทยพยายามโยงให้ไปเกี่ยวพันไปถึงบางพรรคการเมือง ให้ข่าวให้ร้ายโยงประเด็นคนนอกที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวการจัดวางตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี วางกลซ่อนในเกมรอจุดพลาดเอาถึงขั้น ยุบพรรค    
      ผลโพลภายในถูกงัดออกมาย้ำเตือน ส.ส.ได้เท่านั้นเท่านี้ที่นั่ง เรามาแน่ ชนะแน่ เป็นชุดข้อมูลผลิตซ้ำ ตรึงให้สมาชิก (ต้อง) อยู่ ลบภาพความจริงปรับจูนให้ผู้สมัครเชื่อมั่น มุ่งมั่นในความหวัง แล้วมองภาพใหญ่บนเป้าเดียวกัน
‘ชนะเลือกตั้ง ทวงคืนอำนาจ’!!!
      เป็นความหวังที่ฉายภาพให้เห็นถึงความน่าจะเป็น แต่ในโลกความเป็นจริง สิ่งที่จะเกิดในอนาคต ยังต้องรอพิสูจน์ แต่ในส่วนของคนที่ยังอยู่
       ‘กูพูด (ดัง) ไม่ได้ บ่นกันระงมปรับทุกข์ของคนช้ำ หัวอกเดียวกัน’
      ในเมื่อเลือกที่จะอยู่  …ก็ต้องทนต่อไป.

คนเลวน้อยที่สุด

 เลิกถามว่าพรรคไหนจะเสนอชื่อ "ลุงตู่" เป็นนายกฯ
    เพราะชัดเจนมานานแล้ว
    และวันนี้ ปฏิเสธเป็นอย่างอื่นไม่ได้
    พลังประชารัฐเท่านั้น 
    ขณะที่ "ลุงตู่" บอกใบ้จนแปลความเป็นอย่างอื่นไม่ได้
    รอพลังประชารัฐเสนอชื่อ
    “อันแรกพรรคการเมืองต้องมาเชิญผมก่อน และผมจะตอบรับใครหรือเปล่าก็ต้องคิดดู ถ้าคิดว่าจะต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานต่อ ก็คงต้องอยู่พรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้ จะต้องเป็นพรรคที่ทำงานด้วยความตั้งใจ เสียสละอย่างแท้จริง และทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า ไม่ใช่ไปล้มล้างทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด มันเสียเวลาเปล่า มีหลายอย่างที่สำเร็จมา”
    วันนี้ก็มีอยู่พรรคเดียวที่เชียร์นโยบายรัฐบาล คสช. คือพรรคพลังประชารัฐ 
    ถ้ามองในแง่ความเป็นจริง ไม่มโน ไม่เอาแต่คิดในเชิงอุดมคติจนปฏิบัติจริงไม่ได้ การดึงนักการเมืองจากระบอบทักษิณมาอยู่ฝั่ง คสช. มันคือยุทธศาสตร์ล้มระบอบทักษิณที่ปฏิบัติได้จริง และกำลังทำอยู่ 
    คิดง่ายๆ หากเลือกตั้งครั้งนี้ ส.ส.ในระบอบทักษิณหายไปครึ่งหนึ่งจากที่เคยมี 
    "ทักษิณ" ทรุดยาว!
    เรื่องชอบหรือไม่ชอบเป็นอีกเรื่อง เพราะนักการเมืองกลุ่ม "สมศักดิ์-สุริยะ" อดีตใช่ว่าขาวสะอาด เมื่อครั้งอยู่ในรัฐบาลทักษิณก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน 
    ถ้ามองในแง่ล้างระบอบทักษิณให้เป็นจริงได้ มีวิธีไหนบ้าง 
    ไปลากคอกลับมาได้หรือเปล่า มาแล้วจะจบหรือไม่ 
    ให้เหลือง-แดง จูบปากกัน เลิกแล้วต่อกัน ทำได้จริงหรือเปล่า ด้วยวิธีอะไร
    ตัดแขน ตัดขา ทักษิณ ให้เหลือขุมกำลังน้อยที่สุด ทำได้หรือไม่?
    อย่างหลังโอกาสมากที่สุด 
    และกำลังดำเนินอยู่
    ตอบไม่ได้ว่า หนีเสือปะจระเข้หรือไม่ 
    แต่ถ้าไม่ทำแล้วปล่อยให้ระบอบทักษิณกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง โอกาสจะนองเลือดในประเทศนี้มีสูงมาก
    การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับในความเป็นจริง  
    เลือกคนเลวน้อยที่สุด 
    เพราะคนดีที่สุดในการเมืองคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
    สุดท้ายแล้ว "คนเลวน้อยที่สุด" ต้องอยู่ในการควบคุมของผู้นำที่ดี มีวิสัยทัศน์ ประเทศถึงจะเดินไปข้างหน้าได้
    แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ "คนเลวน้อยที่สุด" อยู่ใต้อาณัติของผู้นำเลว   
    การเมืองเลวอย่างเช่นระบอบทักษิณก็จะกลับมาอีกครั้ง 
    แล้วหลังเลือกตั้ง "ลุงตู่" จะเป็นผู้นำแบบไหน?. 

อนาคตการเมือง ของ"บิ๊กแดง"

 “ประยุทธ์” เปิดใจถึงอนาคตการเมืองอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตัดสินใจ เผยหากลงสนามการเมืองจะเลือกพรรคที่เสียสละ ต่อยอดสิ่งที่ทำมา เตือนทุกพรรคอย่าเอารัฐธรรมนูญมาเล่นแง่ ต้องเคารพประชามติไม่ใช่ล้มเลิกหมด “กกต.” เผยพรรคเก่ามีแค่ ”ประชาธิปัตย์” ที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้เพราะมีทั้งสาขา-ตัวแทนพรรคครบตามกฎหมาย พรรคเพื่อแม้วพร้อมใจประสานเสียงชูนโยบายประชาธิปไตยสู้เผด็จการ!
    เมื่อวันอังคารที่ 22 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทและอนาคตทางการเมืองหลังเลือกตั้งว่า เรื่องนี้ได้บอกหลายครั้งแล้วอยู่ในช่วงการตัดสินใจว่าควรอยู่ทำงานต่อหรือไม่ หากอยู่ต่อจะอยู่ได้ด้วยอะไร ฉะนั้นกำลังดูว่าถ้าต้องอยู่จะต้องทำอย่างไร อันแรกพรรคการเมืองต้องมาเชิญก่อน และจะตอบรับใครหรือเปล่าก็ต้องคิดดู ถ้าคิดว่าจะต้องอยู่ต่อเพื่อทำงานต่อก็คงต้องอยู่พรรคใดพรรคหนึ่ง ทั้งนี้ต้องเป็นพรรคที่ทำงานด้วยความตั้งใจ เสียสละอย่างแท้จริง และทำให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า ไม่ใช่ล้มล้างทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมด มันเสียเวลาเปล่า มีหลายอย่างที่สำเร็จมา
    เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่ายังไม่ได้รับการติดต่อจากพรรค พปชร. ส่วนกรณีที่ พปชร.ชูนโยบายแปลงที่ดิน ส.ป.ก.เป็นโฉนดนั้นอยู่ในขั้นตอนการหารือ สิ่งที่บอกได้ในตอนนี้คือระมัดระวังหน่อย การจะเอาที่ดิน ส.ป.ก.ออกเป็นโฉนดเหมาะสมหรือไม่ ได้เตือนไปแล้วผ่านทางสื่อและอะไรต่างๆ ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นที่ดินเหล่านี้จากที่ใช้ทำการเกษตรจะไปเป็นอย่างอื่นหมด แต่เรากำลังหาวิธีการ พยายามทำให้ที่ดินบางส่วนเหล่านี้ที่สามารถทำกิจการอื่นได้มากกว่าการเกษตร จะหามาตรการอย่างไรให้สามารถทำได้ 
    นายกฯ ยังชี้แจงถึงหากพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ รัฐบาลจะยังเดินสายประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) อีกหรือไม่ เพราะหลายพรรคกังวลความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองว่า หลัง พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ เดี๋ยวคงออกมาเร็วๆ วันนี้ ฉะนั้นเรื่องการทำงานของรัฐบาลต้องเข้าใจว่ารัฐบาลนี้ต้องทำงาน และเป็นรัฐบาลที่มาด้วยวิธีพิเศษ สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำคือ การแก้ปัญหาที่เป็นวาระแห่งชาติ หลายเรื่องทำสำเร็จไปแล้ว แต่อีกหลายเรื่องจำเป็นต้องวางพื้นฐานแก้ไขปัญหาด้านกฎหมายเพื่อขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่มีอยู่ในอดีตที่ผ่านมา เราอย่าไปมองเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น ทำตามแนวทางนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เช่นนั้นประชาชนจะไม่ได้รับการดูแลในช่วงนี้ 
“ได้แจกจ่ายเอกสารผลงานการดำเนินงานของรัฐบาลปีที่ 4 เล่มหนา ถ้าเอาผลงานมาดู 4 ปีจะเห็นว่ารัฐบาลทำอะไรมาบ้าง อย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร ขอให้ไปหาดู เดี๋ยวจะแจกจ่ายกัน และยังมีคิวอาร์โค้ดสามารถเปิดดูผลงานรัฐบาลได้ด้วย” นายกฯ กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงรัฐธรรมนูญว่า เรามีการปรับแก้มาหลายครั้งเต็มที ดังนั้นวันนี้เมื่อเขาร่างรัฐธรรมนูญมาแบบนี้เราต้องยอมรับ และไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับตรงนี้ เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการ เมื่อร่างมาก็มีการนำเอาบทเรียน ปัญหาอุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นมาแก้ไขจนเป็นกติกาใหม่ออกมา ซึ่งหลายคนก็ไม่ยอมรับ แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ผ่านการลงประชามติมาแล้ว ก็ต้องเคารพเสียงประชาชนด้วย และปฏิบัติตามกติกาใหม่นี้ให้ได้ จากนั้นก็มาคอยดูว่าจะมีอะไรที่ดีขึ้นบ้างหรือไม่ แก้ปัญหาเดิมๆ ได้หรือเปล่า ความขัดแย้งลดลงหรือไม่
เตือนอย่าเอา รธน.มาต่อสู้กัน
    "สิ่งสำคัญที่สุดเรามักให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญมากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเป็นกรอบสำคัญของประเทศ แต่กฎหมายลูกทุกคนไม่ค่อยสนใจ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ฎ. หรือ พ.ร.ก., กฎกระทรวง ไม่เคยสนใจเลย ทุกคนเอาแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญทั้ง 300 กว่ามาตรามาสู้กันอยู่แบบนี้ มันไม่ได้ ทุกคนต้องดูสิ่งที่รัฐบาลได้ทำมา ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่สามารถปรับตัวเองได้ ไม่ใช่พูดกันไปเรื่อยเปื่อย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์เตือนว่า การหาเสียงต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณที่จะต้องระวังให้มากที่สุด ไม่ใช่โจมตีรัฐบาลนี้ แต่พอถึงรัฐบาลหน้าก็ทำนี่ทำโน่น ยืนยันรัฐบาลนี้ทำตามกฎหมายทุกประการ ขอร้องอย่าไปพูดจาอะไรที่ไม่ถูกกฎหมายหรือไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการเงินการคลัง  เพราะ พ.ร.บ.การใช้จ่ายงบประมาณครอบคลุมไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว ที่ออกมาพูดกันไปมาขณะนี้ไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้ ก็ขอให้ระมัดระวังในวันข้างหน้าด้วย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการออกระเบียบมาจำนวนมาก วันข้างหน้าหากถูกฟ้องขึ้นมาก็ถือว่าเป็นไปตามกฎหมายใหม่ทั้งสิ้น อย่าลืมว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำหรือแก้ปัญหา ทั้งหมดก็เพื่อความสงบเรียบร้อย 
    “การค้าการลงทุนที่วันนี้มีการลงทุนไป 9 แสนกว่าล้านบาทในพื้นที่อีอีซี ดังนั้นถ้าทุกคนประกาศจะยกเลิกอีอีซี ขอถามว่าแล้วที่ลงทุนไปจะทำอย่างไร ทุกอย่างจะกลับมาสู่ที่เก่าทั้งหมด แล้วใครจะรับผิดชอบ กรุณาเตือนพรรคการเมืองด้วย อย่าลืมว่าการก่อสร้างบ้านของเรานี้อยู่ระหว่างการตอกเสาเข็ม  ต่อเติมพื้นล่างขึ้นมา แล้วพวกท่านยังจะมาทำลายรากฐานของมัน ทำลายกฎหมายทุกตัว แล้วประเทศจะไปได้หรือไม่หากทำเช่นนี้ ขอร้องว่าอย่าเพิ่งทำลายสิ่งเหล่านี้เลย เพียงแค่จะเอาชนะทางการเมืองกันอย่างเดียว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า อยากจะขอร้องตรงนี้จะทำให้เสียประโยชน์กับคนทุกฝ่าย ประชาชนทุกกลุ่มจะเสียหายกันไปทั้งหมด แล้วจะแก้กันอย่างไร หรือจะแก้ด้วยนโยบายที่พูดกันไปมาในวันนี้  แล้วมันจะแก้ได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าแก้ได้จริงก็คงแก้กันมานานแล้ว เพราะทุกคนที่ออกมาพูดก็เคยอยู่ในการบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วทั้งสิ้น หลายอย่างที่พูดออกมาก็แสดงให้เห็นว่าไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้รัฐบาลได้ทำไปแล้ว ออกมาพูดซ้ำ อยากให้ไปดูว่านโยบายของบางพรรคการเมืองซ้ำกับสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว แม้แต่ออกไปต่างประเทศก็พูดอยู่นั่น รถไฟฟ้าก็ไม่รู้ว่ายุทธศาสตร์เขามีอย่างไร ทำอะไรไปแล้วบ้าง สื่อมวลชนเองถ้ามัวแต่จะเอาแต่ข่าวความขัดแย้งมากๆ ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
    นายกฯ เผยด้วยว่า จากการติดตามของฝ่ายความมั่นคงรายงานว่า มีคนที่มาร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งประมาณ 200-300 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการติดตามพฤติกรรมทางการข่าว มีการถ่ายรูป ก็หน้าตาทุกคนก็ชุดเดิม กลุ่มเดิมๆ ไม่มีกลุ่มอื่น เพราะฉะนั้นขอเพียงว่าอย่าให้ใครไปให้ความสนใจมากนักเลย เดี๋ยวก็เกิดความขัดแย้งกันอีก คนไม่ชอบเขาก็มี ไม่ใช่พอมีเรื่องมีราวขึ้นมาก็โทษฝ่ายรัฐดำเนินการอีก มันไม่ใช่ รัฐจะต้องรักษาความสงบให้ได้มากที่สุด
ปชป.พรรคเดียวทำตามกฎ
    ด้าน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด  ลงวันที่ 21 ม.ค.62 แจ้งหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคการเมืองเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณา ตามมาตรา 57 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เนื่องจากยังมีพรรคการเมืองทำหนังสือสอบถามเข้ามายัง กกต. โดยยืนยันว่าพรรคการเมืองสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องแจ้งต่อ กกต.ก่อนดำเนินการ ซึ่งก่อนหน้านี้ กกต.เคยตอบข้อสอบถามของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปแล้ว
    มีรายงานจาก กกต.ถึงกรณีแจ้งเตือนไปยังพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง  2550 รวม 60 พรรคการเมืองให้เร่งปฏิบัติใน 4 เรื่องตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ให้ครบถ้วน ซึ่งมีเพียง 2 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปไตยใหม่ที่ได้ดำเนินการครบถ้วน และอีกเงื่อนไขสำคัญที่พรรคการเมืองทั้งใหม่และเก่า ซึ่งมีทั้งสิ้น 104 พรรคการเมืองจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งได้ ก็คือต้องจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดอย่างน้อย 1 แห่งในจังหวัดนั้นๆ ก็พบว่าพรรคการเมืองทยอยรายงานการจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง และแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดมายัง กกต.แล้ว โดย ณ วันที่ 21 ม.ค.62 มีทั้งสิ้น 39 พรรคการเมือง ซึ่งแต่ละพรรครายงานเข้ามามีเพียง ปชป.พรรคเดียวที่มีทั้ง 2 ประเภทครบใน 77 จังหวัด โดยมีสาขาพรรคการเมือง 8 สาขา ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 69 แห่ง ขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ นั้นยังมีไม่ครบถ้วน 
    โดยพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยังมีไม่ครบถ้วน มีอาทิ พรรคเพื่อไทย มีสาขาพรรค 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 26 แห่ง, พรรคภูมิใจไทย มีสาขาพรรค 3 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 58 แห่ง, พรรคพลังประชารัฐ มีสาขาพรรค 1 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 30 แห่ง, พรรคเพื่อชาติ มีสาขาพรรค 4  สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 21 แห่ง, พรรคประชาชนปฏิรูป มีสาขาพรรค 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 14 แห่ง, พรรคเสรีรวมไทย มีสาขาพรรค 4 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 21 แห่ง, พรรคประชาธิปไตยใหม่ มีสาขาพรรค 6 สาขา ตัวแทนพรรคการเมือง 1 แห่ง และพรรคไทยรักษาชาติ ยังมีเพียงสาขาพรรค 3 สาขา
    “ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2561 ระบุให้คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครของพรรคการเมืองต้องรับฟังความเห็นจากหัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด และสมาชิก เพื่อประกอบการพิจารณาส่งผู้สมัคร โดยตามกฎหมายพรรคการเมืองจะตั้งสาขาพรรคได้ต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัด ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสาขานั้นตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป ส่วนถ้าใช้วิธีตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ก็ต้องมีสมาชิกพรรคซึ่งมีภูมิลำเนาในเขตเลือกตั้งอยู่ในจังหวัดนั้นตั้งแต่ 101 คนขึ้นไป แต่ด้วยเวลาที่จำกัดในการหาสมาชิกและการตรวจสอบกับระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคของ กกต.เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสมาชิกซ้ำซ้อนจนทำให้ขาดคุณสมบัติ จึงทำให้ทุกพรรคการเมืองขณะนี้เกิดปัญหายังไม่สามารถจัดตั้งสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดได้ครบถ้วนตามกฎหมายกำหนดเพื่อให้มีสิทธิ์ส่งสมัครรับเลือกตั้งทั้งที่ใกล้จะประกาศ พ.ร.ฎ.อีกไม่นานนี้”   
    สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดตัวนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พท.ว่าไม่ทราบ และไม่รู้ว่า พท.จะมีข้อยุติเรื่องผู้สมัครอย่างไร ส่วนกรณีนายชัชชาติประกาศว่าจะกวาดที่นั่งในสภา 375 ที่นั่งนั้นก็ไม่ทราบและไม่กังวล เพราะหากเอาที่ทุกพรรคประกาศที่นั่งออกมารวมกัน ตอนนี้คงต้องสร้างรัฐสภากันใหม่อีกรอบหนึ่ง
    ต่อมานายอภิสิทธิ์พร้อมคณะไปเปิดตัวนางฮูวัยดีย๊ะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตคลองสามวา และเปิดศูนย์อำนวยการพรรค โดยยืนยันว่า ปชป.พร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และไม่ต้องถามแล้วว่าพรรคจะไปร่วมกับใคร แต่ให้ถามว่าใครจะมาร่วมกับ ปชป. 
จี้ กกต.สอบเก็บบัตร ปชช.
    นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ออกมาแฉเรื่องการเก็บบัตรประชาชนว่า ไม่ได้มีเฉพาะนายนิพิฏฐ์พูดเท่านั้น แต่หลายพรรคออกมายืนยันเหมือนกัน จึงอยากให้ กกต.ได้เข้าไปดู เพราะถ้าเราสามารถปราบปรามไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้ในการเลือกตั้งก็จะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจมากขึ้น 
    ส่วนที่พัทลุงนายนิพิฏฐ์ พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พัทลุงอีก 3 พรรคทั้งพลังธรรมใหม่, ไทยรักษาชาติ  และชาติไทยพัฒนา ได้นัดประชุมร่วมกันในกรณีการเก็บบัตรประชาชน โดยยืนยันว่าจะรวบรวมหลักฐานไปยื่นหนังสือร้องเรียน กกต.กลางและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยไม่มอบหลักฐานให้ กกต.พัทลุง  เพราะไม่ไว้ใจในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งเรียกร้องให้นายกฯ ใช้มาตรา 44 เข้ามาจัดการและปฏิรูปเรื่องนี้ด้วย
    ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรค พท.นั้น นายชัชชาติพร้อมคณะได้ลงพื้นที่ จ.มหาสารคาม และได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ศูนย์ประสานงานพรรค เขต 3 อ.พยัคฆภูมิพิสัย โดยระบุว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพิสูจน์มาแล้วว่า ถ้าเอาคนที่มีประสบการณ์และทำเป็นจะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งระหว่างประชาธิปไตยและเผด็จการ พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องได้อย่างน้อย 375 เสียง เพื่อให้มากกว่า ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน ฝ่ายประชาธิปไตยจะแพ้ไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่พรรคเพื่อไทย แต่หมายถึงอนาคตของประเทศ อนาคตของความเป็นประชาธิปไตย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ยืนยันว่านโยบายแบ่งปันกำไรข้าวทำได้ เพราะนโยบายจำนำข้าวและประกันราคาข้าวนั้นอาจขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่วนที่นายกฯ ติงว่าทำไม่ได้นั้น ได้สอบถามทีมยุทธศาสตร์และนักวิชาการของพรรคแล้วว่าทำได้แน่นอน ก็ขนาดอ้อยยังทำได้ มีพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลมาคุมการแบ่งกำไร บังคับใช้มาตั้ง 30 กว่าปี ทำไมข้าวถึงทำไม่ได้ มั่นใจว่าไม่ได้ขายฝันใคร
    ที่ จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) เป็นประธานเปิดสำนักงานศูนย์ประสานงานพรรคชาติพัฒนา และปราศรัยนโยบายพรรค No problem รวมทั้งชูผลงานของพรรคตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ สมัยเป็นนายกฯ ซึ่งถือเป็นยุคทองด้านเศรษฐกิจ และเป็นผู้วางพื้นฐานในการพัฒนานครราชสีมา 
ด้านความเคลื่อนไหวของ พปชร. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคอีสาน ยังคงเดินสายลงพื้นที่ในภาคอีสาน โดยกล่าวถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ว่า ขณะนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังศึกษาหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพรรค โดย พปชร.ยังยึดหลักเรื่องกรรมสิทธิ์ยังเป็น ส.ป.ก.เหมือนเดิม ดังนั้นข้อห่วงใยที่หลายฝ่ายมองว่าที่ดินจะตกเป็นของนายทุนนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
    นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค พปชร.กล่าวว่า หลังพรรคได้ส่งแกนนำลงพื้นที่จังหวัดภาคกลาง เหนือ และอีสานต่อเนื่อง ได้รับการตอบรับอย่างมาก โดยสิ่งที่ประชาชนชื่นชอบก็คือ นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่พรรคจะต่อยอดให้ดีขึ้นอีก รวมถึงสวัสดิการด้านอื่นๆ และประชาชนอยากให้พรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะได้ทำนโยบายดังกล่าวให้ต่อเนื่อง นอกจากนั้นชาวบ้านอยากให้บ้านเมืองสงบ 
พปชร.โต้เดือด
    นายธนกรยังตอบโต้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมปราศรัยพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาระบุว่า พปชร.จะได้ ส.ส.ไม่ถึง 150 เสียง หากเกินจะให้ไปด่าหน้าบ้าน 3 ชั่วโมงว่า ร.ต.อ.เฉลิมเพิ่งไปปราศรัยได้  3-4 จังหวัดจะทราบได้อย่างไร เอาเวลาไปเคลียร์ใจกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยดีกว่า และหาก ร.ต.อ.เฉลิมชอบเป็นนักพยากรณ์มาก ช่วยทำนายหน่อยว่านายวัน อยู่บำรุง จะได้เป็น ส.ส.หรือไม่ และคงไม่มีไปยืนด่าได้ 3 ชั่วโมง คงมีแต่ ร.ต.อ.เฉลิมเท่านั้นที่ทำได้ และตนเองก็ไม่กล้าด่าเพราะยังอยากไปหาเพื่อนแถวทองหล่ออยู่ 
    นายธนกรยังตอบโต้คุณหญิงสุดารัตน์ ที่ออกมาตอบโต้นายสมศักดิ์ว่าเลือกเพื่อไทยไม่มีความขัดแย้ง สงบแบบมีคุณภาพ ไม่ใช่สงบแบบกระเป๋าแฟบ ว่าประชาชนทราบดีว่าบ้านเมืองขัดแย้งเพราะพรรคใคร คุณหญิงสุดารัตน์อย่าความจำสั้น ใครพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยนำมาซึ่งความขัดแย้ง จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาแก้ปัญหา และกระเป๋าชาวบ้านไม่แฟบ เพราะนายกฯ ให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ค่าตอบแทน อสม. เบี้ยสูงอายุ นอกจากนั้นประเทศสงบมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทย  37 ล้านคน เงินเข้าประเทศ 2.7 ล้านล้านบาท แต่คนที่กระเป๋าตุงจริงๆ หนีไปอยู่ต่างประเทศหมดแล้ว
    ขณะที่นายสุทิน คลังแสง สมาชิกพรรคเพื่อไทย ตอบโต้นายสุริยะที่พาดพิงนายอดิศร เพียงเกษ  สมาชิกพรรค ว่านายสุริยะหลงประเด็น ที่จริงนายอดิศรท้วงติงความฝันหรือคาดหมายต่อจำนวน ส.ส.ของ พปชร.ควรจะได้ว่ามากเกินจริง ซึ่งเป็นความเห็นต่างกันปกติธรรมดา แทนที่นายสุริยะจะตอบโต้ด้วยการแสดงภูมิรู้เรื่องหลักการหรือแสดงตัวบ่งชี้ถึงค่านิยม กลับไปงัดเอาเรื่องส่วนตัวเรื่องบุญคุณซึ่งไม่ใช่สาระที่คนสนใจ 
    “ผมอยู่พรรคนี้มาก่อนนายสุริยะ เข้าใจดีว่าคนจะเป็นรัฐมนตรีเป็นการตัดสินใจของคณะผู้บริหารพรรค ไม่เชื่อว่านายสุริยะคนเดียวมีบารมีขนาดนั้น เพราะนายอดิศรเองเขาก็มีชื่อชั้น ทำประโยชน์ให้พรรคและมีความสามารถพอ ตำแหน่งประมาณนี้คงไม่ต้องไปพึ่งใคร” นายสุทินกล่าว
ชูเลือกฝ่ายประชาธิปไตย
    ส่วน ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นำคณะลงพื้นที่ จ.นครปฐม  โดยย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีเพียง 2 ทางเลือกคือ จะเลือกฝ่ายประชาธิปไตยเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ  หรือจะเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. โดยพรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องได้  ส.ส.รวมกันอย่างน้อย 376 ที่นั่ง จะได้ไม่ต้องมีข้อกังวลใดๆ ทั้งสิ้นต่อกระบวนการที่ผู้มีอำนาจเตรียมการไว้ และขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ  หรือมีจุดยืนประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ 
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง ทษช.กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ กกต.ปฏิบัติหน้าที่ให้โปร่งใส ตรงไปตรงมา โดยเฉพาะการตรวจสอบนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่เดินทางไปพบอดีตนายกฯ ที่ต่างประเทศเข้าข่ายการถูกครอบงำหรือไม่ โดยเทียบเคียงกับพรรค พปชร.ที่ประกาศตลอดมาว่านโยบายและผลงานของรัฐบาลก็คือนโยบายพรรค พปชร. รวมถึงการสนับสนุนผู้มีอำนาจอย่างโจ่งแจ้ง ลักษณะเช่นนี้เป็นยิ่งกว่าการครอบงำ กกต.ต้องเตือนตัวเองให้มาก และตระหนักว่าประชาชนรู้เท่าทันและต้องการความชัดเจนจาก กกต.ด้วย
    นายมิตติ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรค ทษช.กล่าวถึงกระแสพรรคจะเสนอชื่อนายวีรพงษ์ รามางกูร  หรือ ดร.โกร่ง อดีตรองนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ว่า ยังไม่มีการติดต่อหรือทาบทามนายวีรพงษ์ตามข่าว โดยพรรคกำลังพิจารณาถึงผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตและบัญชีรายชื่ออยู่ ซึ่งจะชัดเจนประมาณวันที่  23-24 ม.ค.นี้
    ขณะเดียวกันนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) พร้อมนายจตุพร  พรหมพันธุ์, นายยงยุทธ ติยะไพรัช กองเชียร์พรรคเพื่อชาติ และคณะได้ลงพื้นที่ภาคอีสานวันที่ 4 ซึ่งนายจตุพรย้ำว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้พรรคการเมืองจำเป็นต้องแตกตัวเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยรวมถึง พ.พ.ช. ซึ่งเราจะแข่งขันอย่างเต็มที่ส่งผู้สมัครครบทั้ง 350 เขต เพราะสิ่งสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้อยู่ตอนหาเสียงเลือกตั้ง แต่อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง คะแนนของพรรคฝั่งประชาธิปไตยทุกพรรคจะนำมาเทรวมกัน เป็นการเพิ่มคะแนนเสียงให้ฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่าตัดคะแนน ซึ่งถ้าเราไม่ปรับตัวให้เท่าทันก็อาจจะแพ้ ดังสุภาษิตที่ว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง ฝั่งตรงข้ามทำอย่างไรเราก็ทำเช่นนั้น.