PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รู้ไว้...นายกฯ คนต่อไปชื่ออะไร?

ข่าว "น่าเบื่อ" ช่วงนี้ คือ.........
      ข่าว "ปลดล็อก-คลายล็อก" สู่การเลือกตั้ง
      คสช.มีอำนาจ.........
      ต้องการอย่างไร พอใจแบบไหน ก็ว่าไปเลย ไม่เห็นต้องมาพิโยก-พิเกน ทำให้มากเรื่อง-มากปัญหา น่ารำคาญเปล่าๆ
      ในเมื่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ๔ ฉบับ ตามภาคบังคับของรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๖๘ ก็เสร็จแล้ว
      แต่ละมาตรา.........
      สาระหลัก ก็ล้วนผ่านจากการพยักหน้า คสช.แทบทั้งนั้น
      และเดือนหน้า (ก.ย.๖๑) กฎหมายลูกที่ว่านี้ ก็จะประกาศใช้ครบทั้ง ๔ ฉบับ
      เมื่อประกาศใช้.......
      ก็ต้องไม่มีคำว่า "ปลดล็อก-คลายล็อก" เป็นอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ที่มีคำว่า "แห่งราชอาณาจักรไทย" อีก
      หรือไม่จริง?
      ดังนั้น รัฐธรรมนูญว่าไง "ทุกคน-ทุกพรรค" ควรที่จะเดินไปตามนั้น
      ถ้าใครแตกแถวไปจากบทบัญญัติ ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายต้องฟันให้ประจักษ์แก่ทุกคน
      รัฐธรรมนูญจะได้ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจะได้มั่นใจ ไม่ว่อกแว่ก ไปหวังอำนาจและบุคคลพิเศษ
      ถ้าขืนใช้ ม.๔๔ เปลี่ยนความในรัฐธรรมนูญมาตรานั้น-นี้ไปตามอารมณ์รายวันเรื่อยๆ
      แล้วอะไร-ตรงไหนล่ะ......
      คือ "เสาหิน" ในความเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ?
      ออกกฎหมายมา ยังไม่ทันใช้ ก็ใช้อำนาจพิเศษ ล้มตรงนั้น แก้ตรงนี้ เปลี่ยนตรงโน้น
      แบบนี้ เปลืองเงินเปล่า อีกทั้งจะสร้างนิสัยให้คนไม่เชื่อถือศรัทธากฎหมาย
      เชื่อ-ศรัทธา "ตัวบุคคล" ดีกว่า
      เพราะตัวบุคคลที่ "มีอำนาจ" สามารถเปลี่ยนกฎหมายให้สอดคล้องประสงค์ได้ตลอดเวลา!
      เพราะแบบนี้ไง สังคมจึงติดนิสัย "พึ่งอำนาจ" ตัวบุคคลมากกว่าหวังพึ่งมาตรฐานทัดเทียมในระบบกฎหมาย
      ประเทศไทยได้ชื่อว่า.......
      ออกกฎหมายบังคับใช้ มากที่สุดในโลก
      แต่ "ล้มเหลว" ในการใช้บังคับ "มากที่สุดในโลก" ด้วยเช่นกัน
      ช่างน่าละอายนัก!
      ทุกวันนี้ อำนาจปกครองประเทศอยู่ในมือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
      จะเลือกตั้ง ไม่เลือกตั้ง หรือจะเลือกตอนไหน เมื่อไหร่ ก็ตามที่ชอบของ คสช.
      เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรที่ยังไม่แน่ใจ ยังไม่มีบทสรุป ไม่ต้องผายลมให้แย่งกันงับอากาศ ก็ไม่มีใครว่า
      แต่ในเมื่อผายออกไปแล้ว..........
      จะออกคำสั่งกำกับไปว่า ให้เหม็นหรือให้หอมได้ด้วยระดับกลิ่นแค่นั้น-แค่นี้
      คำสั่งน่ะ...ออกได้
      แต่จะควบคุม-บังคับจมูกใคร ให้เป็นความพอใจในมาตรฐานเดียวกันได้ล่ะ?
      ๔ ปี เข้าปีที่ ๕ ภาษานักการเมือง ก็ต้องบอกว่า "ล็อกคอ-ตีเข่า" คู่ต่อสู้คามุมแล้ว
      ถึงขั้นนี้ เมื่อระฆังยกใหม่ดัง ไม่มีปัญญาน็อกได้ ต้องใช้ตัวช่วยอยู่เรื่อย
      แบบนี้ ถึงชนะมา ปัญหาน่ะ ไม่เท่าไหร่
      แต่ "ครหา" นี่ซี มันน่าอาย!
      บอกตรงๆ เพราะหาความเชื่อถือยากในเรื่องกำหนดเลือกตั้งนี่แหละ ผมจึงไม่ค่อยสนเรื่องเลือกตั้ง
      ถ้า คสช.พร้อมจะลงสนาม.......
      เปิดคอก ก็พุ่งออกมาชนกันเลย เขาชนเขา จมูกชนจมูก จะขยักขย่อน สร้างเงื่อน-สร้างกติกา ปลดแค่นั้น คลายแค่นี้เพื่ออะไร?
      รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘ บอกว่า.........
      "ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มีผลใช้บังคับแล้ว"
      ฉะนั้น แฟร์ๆ รัฐบาลไม่ควรสร้างเงื่อนไขให้นอกเหนือกฎหมายอีก
      ในเมื่อยังไม่ประกาศใช้........
      เฉยๆ ก็ได้ ไม่เสียเงิน-เสียทอง ใครว่าอะไร ก็ถือว่าเป็นบ้าใบ้ ไม่รู้ความ
      แต่นี่..........
      รัฐบาลพูดจาเชิงส่งสัญญาณให้มั่นหมายกันไปล่วงหน้าแล้วว่า ปลายเดือนกุมภา ๖๒ จะเลือกตั้ง
      ก็ในกรอบ ๑๕๐ วัน ภายใต้เงื่อนไขกฎหมายลูกฉบับที่เหลือประกาศใช้ในเดือนหน้า คือเดือนกันยา
      เมื่อส่งสัญญาณเจตนาแน่ แสดงว่า รัฐบาล "พร้อมทุกด้าน" แล้ว
      เมื่อพร้อม กฎหมายสู่การเลือกตั้งว่าไง ก็ให้เป็นไปตามนั้น ไม่ต้องโงเงอะไรอีก
      ใส่กันไปเต็มร้อยตามรัฐธรรมนูญเลย
      อย่าลืมว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผ่านประชามติก่อนประกาศใช้แล้ว
      การสร้างเงื่อนไขเบี่ยงเบน เท่ากับเบี่ยงเบนเจตนารมณ์ประชาชนโดยตรง!
      รัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกทั้ง ๔ ฉบับ เหมือนเรือที่สร้างเสร็จแล้ว แต่อยู่บนคาน 
      ก็อยากพิสูจน์ฝีมือ ทั้ง "คสช.-กรธ.-สนช." ในความเป็นช่างก่อสร้างเรือลำนี้
      ว่าเมื่อ เข็นลงน้ำแล้ว จะคว่ำ..หรือหงาย
      วิ่งฉิว หรือ รั่วจมคาตา!?
      ต้องกล้าๆ กันหน่อย เพื่อประกันฝีมือเป็นความมั่นใจ ว่าโดยสารเรือลำนี้แล้ว
      อนาคตข้างหน้า ไม่พากันไปคว่ำตายกลางทะเลแน่!
      ทำไมผมจึงเจาะจงเป็น "เรือลำนี้"?
      ก็ดูจาก "พิมพ์เขียว" คือรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้ในการเลือกตั้งที่จะถึง
      การเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม ส.ส. ๕๐๐ คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต ๓๕๐ คน และปาร์ตี้ลิสต์  ๑๕๐ คน
      ๓๕๐ ส.ส.แบ่งเป็น ๓๕๐ เขต คือเขตละ ๑ คน
      บัตรเลือกตั้งใบเดียว
      เข้าคูหาแล้ว กากบาทได้ครั้งเดียว ๑ คน ๑ คะแนน
      นั่นคือ กากบาทผู้สมัคร ส.ส.คนไหน เท่ากับกากบาทให้พรรคนั้นด้วย
      คะแนนคนหรือคะแนนพรรค จะเป็น "คะแนนสะสม" ของพรรคนั้นๆ รวมทั้งประเทศ
      ปิดหีบและนับคะแนนเสร็จแล้ว........
      จะนำคะแนนทั้ง ๓๕๐ เขต ของทุกคน-ทุกพรรค ทั้งแพ้-ทั้งชนะ มานับรวมกัน
      ได้เท่าไหร่ หารด้วย ๕๐๐
      สมมุติ คะแนนรวมทั้ง ๓๕๐ เขตของทุกพรรคได้ ๔๐ ล้านเสียง
      ก็เอา ๔๐,๐๐๐,๐๐๐ หารด้วย ๕๐๐ = ๘๐,๐๐๐
      พรรคไหน ได้คะแนนรวมทั้งประเทศเท่าไหร่ ก็เอา ๘๐,๐๐๐ ไปหาร ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่
      นั่นคือ จำนวน ส.ส.ที่พรรคนั้น จะพึงมีได้ว่ากี่คน
      สมมุติ ประชาธิปัตย์ได้ ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ ล้านคะแนน ก็เอา ๘ หมื่นหาร ๑๒ ล้าน ประชาธิปัตย์จะพึงมี ส.ส.ได้ ๑๕๐
      แต่ผลเลือกตั้งออกมา ประชาธิปัตย์ได้ ๑๒๐ คน
      อยากรู้ว่า ประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์สักกี่คน?
      ก็เอา ๑๕๐-๑๒๐ = ๓๐ 
      หมายความว่า ประชาธิปัตย์ จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้สิลต์ ๓๐ คน รวมเป็น ๑๕๐ คน
      แต่สมมุติ ผลเลือกตั้ง ประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ๑๖๐ คน ถือว่ามากกว่าเกณฑ์จะพึงมีได้ ๑๕๐ คนแล้ว
      ฉะนั้น ประชาธิปัตย์จะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่ม คงมี ๑๖๐ คนตามจำนวน ส.ส.เขตที่ได้เท่านั้น
      อย่างเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ เพื่อไทยได้ ๑๕ ล้านเสียง ได้ ส.ส.เขต ๒๐๔ คน แลกค่าเป็นปาร์ตี้ลิสต์ได้อีก ๖๑ คน รวมเป็น ๒๖๕ คน
      เกินกึ่ง พรรคเดียวตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เลย!
      แต่เมื่อนำมาเข้าสูตรจัดสรรปันส่วนผสม ผลออกมา เพื่อไทยจะพึงมี ส.ส.ได้ ๑๖๓ คน
      แต่จากการเลือกตั้ง เพื่อไทยได้ ส.ส.เขตถึง ๒๐๔ คน เรียกว่าคะแนนนิยมล้นเหลือไปตั้ง ๔๑ คน
      ดังนั้น เพื่อไทยจะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เหมือนอย่างที่ได้ในปี ๒๕๕๔ อีก ๖๑ คน
      สรุป เพื่อไทยมี ส.ส.เพียง ๒๐๔ คน ในระบบเขตเท่านั้น!
      นี่เป็นตัวเลขสมมุติกลมๆ ให้ดูกัน.........
      ที่อยากบอกคือ การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
      ระบบ ๑ เขต ๑ ส.ส.จะไม่มีพรรคไหนได้ ส.ส.ถึงครึ่งในจำนวนเต็ม ๕๐๐ เพื่อเป็นพรรคเดียวได้ตั้งรัฐบาลเลย
      เพราะยิ่งได้ ส.ส.เขตมาก ยิ่งไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลย
      เลือกตั้ง กุมภา ๖๒ พรรคไหน "ทั้งประเทศ" ได้ซัก ๘ หมื่นคะแนน ถึงไม่ได้ ส.ส.เขตเลย
      ก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว ๑ คน!
      เมื่อไปดูมาตรา ๒๖๙ จะมี วุฒิสมาชิกจาก สนช.เลือกสรร ๒๕๐ คน
      และมาตรา ๒๗๒ บอกว่า.........
      "ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา"
      ถอดความได้ว่า ส.ส.๕๐๐ + ส.ว.๒๕๐ = ๗๕๐ เสียง
      กึ่งหนึ่งของสองสภาเท่ากับ ๓๗๕ เสียง
      นั่นคือ ใครจะได้เป็นนายกฯ ต้องมีเสียงสนับสนุน ๓๗๖ เสียงขึ้นไป
      เขียนชื่อ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" ผู้มี ๒๕๐ เสียงตุนอยู่ในกระเป๋า
      หาอีกแค่ ๑๒๕ เสียงในตลาดเลือกตั้ง ใส่กรอบทองแขวนข้างฝาไว้เลย
      ว่านี่คือ "นายกฯ เลือกตั้ง" คนต่อไป!

เปลว สีเงิน 29/8/61

“บิ๊กเจี๊ยบ” โลกสวย! เชื่อ บ้านเมือง จะสงบเรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้งได้

“บิ๊กเจี๊ยบ” โลกสวย!
เชื่อ บ้านเมือง จะสงบเรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้งได้ หลัง มี”คลายล็อค-ปลดล็อค” ยัน คสช.ดูแลความมั่นคงได้ / บิ๊กตู่ เตรียมออก ม.44 ประกาศรายละเอียดคลายล็อค 3 หลักการ แต่ห่วงการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จจะนำไปสู่การโจมตีกัน
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาฯคสช.กล่าวถึง การคลายล็อคพรรคการเมืองว่า ในที่ประชุมคสช. เมื่อวานนี้ ได้มีการพิจารณาเรื่องการเตรียมการไปสู่การเลือกตั้ง มีการพิจารณา ยกเลิกประกาศคสช. ที่ 57 / 2557 และ คำสั่งคสช. ที่3 / 2558 และ 53 / 2560
โดยหัวหน้า คสข.จะใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งคสช. ออกมาอีกครั้ง โดยมีองค์ประกอบ หลัก 3 ส่วน คือ ภาพรวมงานธุรการ ให้ ขยายเวลาในการดำเนินการเรื่องต่างๆ 2. การคลายล็อค แล้วว่าจะทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง 3.การ primary vote ส่วนในรายละเอียดต้องรอคำสั่งที่จะออกมา
โดยมีเวลา 90 วันในการทำกิจกรรมแต่ละเรื่องได้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ6เรื่อง
และ อยู่ในกรอบที่ผ่อนคลายให้ทุกพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทำได้หาสมาชิกเพิ่ม การประชุมพรรค การคัดเลือกหัวหน้าพรรค. การแก้ไขข้อบังคับ
ส่วนการหาเสียง คงต้อง รอ พรป.เลือกตั้งมีผลบังคับใช้ก่อน
คสช.ดูแลความมั่นคง แต่ เท่าที่ดูสถานการณ์ คงไม่น่ามีอะไรให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้ เพราะ ทุกฝ่ายต้องมุ่งไปสู่การเตรียมการ เพื่อไปสู่เลือกตั้ง ก็คงมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง
แต่ที่ห่วงใยคือ การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จจะนำไปสู่การโจมตีกัน ทุกฝ่าย มุ่งไปสู่การเลือกตั้งตามกรอบที่วางไว้ช่วงนี้เตรียมการสู่การเลือกตั้งต้องเรียนไปสู่ดังนั้นความวุ่นวายอื่น ก็ไม่น่าจะมีในภาพรวมก็จะชอบก็ดูแลเท่าที่ทราบก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ เราไม่ได้พูดถึงปัญหา เพราะเราบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรผมเชื่อมั่นว่า บ้านเมือง จะสงบเรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้งได้
Wassana Nanuam

มีชัย ชี้ใช้ม.44แก้ไพรมารีไม่ขัดรธน. เผยหากปชช.อยากมีส่วนร่วม ต้องเป็นสมาชิกพรรค

มีชัย ชี้ใช้ม.44แก้ไพรมารีไม่ขัดรธน. เผยหากปชช.อยากมีส่วนร่วม ต้องเป็นสมาชิกพรรค



“มีชัย” เผยใช้ม.44 แก้ปัญหาไพรมารีโหวต ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ หากประชาชนอยากมีส่วนร่วมเลือกผู้สมัคร ส.ส. ต้องเป็นสมาชิกพรรค
วันนี้ (29 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เตรียมออกคำสั่ง คสช. ตามมาตรา 44 ว่า การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการหาแนวทางเพื่อให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเรื่องการทำไพรมารีโหวตในการเลือกตั้งครั้งแรก แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอดูคำสั่ง คสช. ที่จะออกมา ซึ่งคำสั่งดังกล่าวจะเป็นการใช้สำหรับการเลือกตั้งครั้งแรก เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามโรดแมปการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งการออกมาตรา 44 นั้นไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ สามารถดำเนินการได้

นายมีชัย กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ขั้นต้น นั้นประชาชนที่เข้าไปมีส่วนร่วมได้ คือประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ส่วนประชาชนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หากต้องการมีส่วนร่วมก็ต้องไปเป็นสมาชิกพรรค และสำหรับประชาชนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพราะไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ หรือไม่ได้เกลียด พรรคใดพรรคหนึ่งกล่าวคือชอบนโยบายบางส่วนของบางพรรค ก็จะมีส่วนทางการเมืองด้วยการเลือก ส.ส. ในวันเลือกตั้งได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการเลือกผู้สมัคร ส.ส. ขั้นต้นหรือไพรมารี่โหวตได้

‘อรรถวิชช์’ ขอบคุณนายกฯตู่ ประกาศเลือกตั้งชัด 24 ก.พ. ชี้คนคิดหาวิธียื้อ “เงิบ”

‘อรรถวิชช์’ ขอบคุณนายกฯตู่ ประกาศเลือกตั้งชัด 24 ก.พ. ชี้คนคิดหาวิธียื้อ “เงิบ”



แฟ้มภาพ

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตสส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี – ปชป ขอบคุณนายกฯ ตู่ ยืนยันเลือกตั้ง 24 ก.พ. 62 โดยระบุว่า

เมื่อหัวขบวนอย่างท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกับ กกต. ประกาศกันชัดยิ่งกว่าชัด ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามโรดแมปที่วางไว้ วันที่ “24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562” หรืออีกประมาณ 6 เดือน นับจากนี้ และคราวนี้น่าเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น ใครที่คิดจะหาวิธียื้อการเลือกตั้งอยู่ ตอนนี้คงบอกได้เลยว่า “เงิบ” ไปตามๆ กันครับ

ทำไมคราวนี้ ถึงน่าเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นวันที่ 24 ก.พ. 2562

เพราะเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสมาชิก สนช. กลุ่มหนึ่งพยายามแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 โดยอ้างว่าต้องแก้ไขเรื่องการสรรหาผู้ตรวจการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องถอนร่างออกไป เพราะกระแสสังคมไม่ยอมให้ยื้อการเลือกตั้งไปจนถึงปลายปี’62
พอมาช่วงนี้ก็มีเรื่อง “ไพรมารีโหวต” อีก ก็มีการถกเถียงกันว่าจะแก้ไขกันหรือไม่ อย่างไรบ้าง และต้องไปแก้ที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 อีก แต่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมถึงนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ก็ยอมรับในทำนองว่า หากต้องให้ สนช. กลับมาแก้ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งอีก คงต้องใช้เวลานาน กระทบต่อโรดแมปเลือกตั้ง

จนในที่สุดเรื่องเหล่านี้ก็ได้รับการไขก๊อกจากท่านนายกรัฐมนตรีว่า พร้อมเซ็นชื่อ หากเสนอใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ไขกฎหมาย จะได้ไม่กระทบกำหนดการเลือกตั้ง

ต้องจับตาดูพี่ใหญ่คนสำคัญของรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ 28 ส.ค.2561 ที่จะพิจารณาคลายล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ภายหลัง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ในช่วงกันยายนนี้

อีกทั้ง คสช. จะหารือเพื่อแก้ “วิธีการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไพรมารีโหวต” (Primary Vote) โดยหลักการของรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดไว้กว้างๆ แต่เพียงให้ “พรรคการเมืองต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกําหนดการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง” รายละเอียดนั้นเป็นไปตามกฎหมายลูกคือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งกฎหมายนี้กำหนดให้ใช้วิธีการไพรมารีโหวตในทุกเขตเลือกตั้งที่จะต้องแบ่งใหม่ 350 เขต หรืออย่างน้อยทุกจังหวัด 77 จังหวัด

แท้จริงแล้ว กฎหมายลูก พ.ร.ป.พรรคการเมือง มีผลใช้บังคับตั้งแต่ปีที่แล้ว 8 ต.ค.2560 แต่กลับมีคำสั่ง คสช. เบรกห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ 350 เขต จึงทำไม่ได้ การที่สมาชิกจะมาเลือกว่าที่ผู้สมัครของพรรคตนก็ทำไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งยังยกเลิกสมาชิกพรรคเก่าทั้งหมด
พรรคการเมืองต้องเริ่มสะสมฐานจำนวนสมาชิกใหม่อีกเพื่อทำตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง

ฉะนั้นแล้ว ผู้ที่เคยผูกสมการให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปก็คือ คสช.นั่นเอง และแม้วันนี้ท่าทีท่านนายกฯ ประยุทธ์ ที่ชัดเจนแล้วว่าจะมีเลือกตั้ง 24 ก.พ.2562 ก็จริง แต่ยังต้องจับตาดูทีมงานท่านอีกด้วย ดังนั้นต้องติดตามการประชุม คสช.ว่า จะปลดล็อกจริง หรือจะหยอดใส่สมการเพิ่มทำให้การเลือกตั้งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากออกไปอีก

“ปิยบุตร” เอือม คสช. เล่นมายากลกฎหมาย หวังสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบ จนงงเอง

“ปิยบุตร” เอือม คสช. เล่นมายากลกฎหมาย หวังสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบ จนงงเอง



“ปิยบุตร” เอือม คสช. เล่นมายากลกฎหมาย จนงงเอง ดักคอใช้กฎหมายส.ส.ตุกติก จี้ ปลดล็อก – เคาะวันกาบัตร

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม นายปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โพสต์ข้อความผ่านเซฟบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul หัวข้อ ระยะเวลาการมีผลใช้บังคับของกฎหมายการเลือกตั้ง ส.ส.ส่งผลกระทบต่อพรรคการเมืองใหม่อย่างไร ใจความว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 41 (3) กำหนดว่าบุคคลผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไป เพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลาให้ลดลงเหลือ 30 วัน ในกรณีของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่อาจเสียเปรียบสมาชิกพรรคการเมืองเก่าในเรื่องการนับระยะเวลาอายุสมาชิกได้ เพราะ กว่าจะยื่นจดจัดตั้ง กว่า กกต. จะจดทะเบียน กว่าจะเริ่มนับอายุสมาชิก ก็อาจไม่ทัน 90 วัน หรือ 30 วัน ทำให้ขาดคุณสมบัติการสมัคร ส.ส.ได้ ดังนั้น ร่าง พ.ร.ป.ฯ จึงเข้ามาช่วยจัดการความชัดเจนเรื่องสถานะของสมาชิกพรรคใหม่ทั้งหมด

โดยในมาตรา 172 กำหนดว่า “ในวาระเริ่มแรก เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง ในกรณีที่ผู้ที่เข้าชื่อร่วมกันเพื่อขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองและได้ชำระเงินทุนประเดิม หรือค่าบำรุงพรรคการเมืองไว้แล้ว หากภายหลังนายทะเบียนพรรคการเมืองรับจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น ให้ถือว่าผู้ที่เข้าชื่อร่วมกันนั้นเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นมาตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง” ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สอดคล้องตลอดสายดี จนกระทั่งเกิดกระแส “เลื่อนการเลือกตั้ง” ออกไป สนช. ก็ได้แก้ร่าง พ.ร.ป.นี้เสียใหม่ ขยายเวลาการมีผลของกฎหมายออกไปอีกในมาตรา 2 ให้กฎหมายใช้บังคับ หลังประกาศราชกิจจา 90 วัน ดังนั้น เนื้อหาและกฎเกณฑ์ต่างๆที่อยู่ใน พ.ร.ป.นี้ทั้งฉบับและมาตรา 172 จึงยังคงไม่มีผลอยู่ดี จนกว่าจะผ่านไป 90 วัน


หมายความว่า สถานะของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ทั้งหมดที่ไปร่วมจดจัดตั้งรุ่นแรก ยังไม่เกิดขึ้นจนกว่า พ.ร.ป.ประกาศใช้ไปแล้ว 90 วัน บรรดาสมาชิกที่ร่วมจดจัดตั้ง 500 คนแรก ร่วมชำระเงินทุนประเดิมรวมกัน 1 ล้านบาท จะยังไม่มีสถานะเป็นสมาชิกจนกว่า พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส.ประกาศใช้ไปแล้ว 90 วัน เมื่อยังไม่มีสถานะสมาชิก ก็ลงคะแนนไพรมารีโหวตไม่ได้ เสนอตัวเข้าแข่งไพรมารีโหวตไม่ได้ อย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง พรรคการเมืองใหม่ทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ แท็คติคทางกฎหมายที่นำมาใช้เลื่อนเลือกการเลือกตั้ง ไม่ได้กระทบต่อการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อพรรคการเมืองใหม่ทั้งหมดด้วย รวมทั้งพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. จากการปรึกษาหารือไปยัง กกต. ทราบความว่า หากไม่อยากมีปัญหาในอนาคต หาก 500 คนนี้ อยากมีสถานะสมาชิกเร็ว ก็ให้ 500 คนแรกนี้ สมัครสมาชิกใหม่อีกรอบ

การหาสมาชิก การประชุมใหญ่ การตั้งคณะกรรมการสรรหา การรณรงค์หาเสียง การไพรมารี่โหวต การตั้งสาขา สถานะสมาชิก ฯลฯ ปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องมาปวดหัวกันอยู่ทั้งหมดนี้ เป็นผลพวงจากการเล่นแร่แปรธาตุเอากับ “กฎหมาย” เพื่อสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบ และทำให้วันเลือกตั้งไม่แน่นอน นี่คือการใช้ “กฎหมาย” มาเป็นเครื่องมือในการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป จนยุ่งเหยิง อีรุงตุงนังไปหมด คนมีอำนาจกำหนดกติกาเหล่านี้เอง ยังงงเอง ออกแล้วแก้ ออกแล้วแก้ ตามมาแก้ปัญหาที่ตนเองก่อขึ้นไม่จบสิ้น ทุกอย่างจะไม่มีปัญหาให้ต้องปวดหัวใดๆทั้งสิ้น ทั้งพรรคการเมืองเก่า พรรคการเมืองใหม่ พรรคการเมืองใหญ่ พรรคการเมืองเล็ก พรรคการเมืองสนับสนุน คสช พรรคการเมืองที่ไม่สนับสนุน คสช. จะไม่ต้อง “งง” กับ “มายากลทางกฎหมาย” เหล่านี้เลย ถ้าเพียงแต่ คสช. ตัดสินใจกำหนดวันเลือกตั้งให้แน่ชัด และ “ปลดล็อค” บรรดากฎหมายทั้งหมดที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดให้มีการเลือกตั้งตามมาตรฐานสากล

รองหน.ปชป. บอก คสช.ทำอย่างนี้ ไม่ต้องมีไพรมารี่ดีกว่า

รองหน.ปชป. บอก คสช.ทำอย่างนี้ ไม่ต้องมีไพรมารี่ดีกว่า



“อัศวิน” โวย ทำอย่างนี้ไม่ต้องมีไพรมารี่ดีกว่า ชี้ ปชป.ไม่รับรธน. แต่ยอมทำทุกอย่างตามกม.ไม่มีตุกติก ระบุ คุมเข้มหาเสียงผ่านโซเชียล ผู้มีอำนาจต้องปฏิบัติกับพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียม
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม นายอัศวิน วิภูศิริ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หาทางออกเรื่องการทำไพรมารี่โหวตด้วยการให้พรรคการเมืองตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 11 คน แล้วรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรค ก่อนเสนอรายชื่อผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งของพรรค ให้กรรมการบริหารพรรคนั้นๆพิจารณา หากทำแบบนี้จริงๆการเมืองจะกลับสู่วงจรเดิม และผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคก็จะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกผู้สมัครตามที่เจตนารมณ์จองรัฐธรรมนูญปี 2560 บัญญัติไว้ รูปแบบที่คสช.ระบุมาไม่ใช่การทำไพรมารี่โหวต และไม่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงปฏิรูปการเมืองได้

“ทำแบบนี้จะบอกว่าเป็นไพรมารี่ก็ไม่ใช่ ที่ผ่านมาพรรคปชป.เคยประกาศไม่รับรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่พวกเราก็ไม่เคยคิดที่จะไม่ปฏิบัติกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทุกคนในสังคมต้องยอมรับการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ จะหาทางเลี่ยงเบี่ยงเบนไม่ได้ หากจะทำวิธีแบบนี้ผมว่ายกเลิกการทำไพรมารี่โหวตไปเสียดีกว่า แต่ก็ยกเลิกไม่ได้ เพราะขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ขอร้องว่าอย่าหาขออ้างอย่างนี้ เราเป็นพรรคการเมือง เป็นผู้เล่น ต้องการทางออกที่ดีตามกฎหมาย” รองหัวหน้าปชป. กล่าว
นายอัศวิน กล่าวอีกว่า เรื่องการคุมเข้มการหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดียห้ามเปิดสาธารณะนั้น คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ดูแลได้ดีและทั่วถึงอย่างเป็นธรรม และปฏิบัติตามกฎกติกาเหมือนกันทุกพรรค ไม่ใช่ว่าพรรคหนึ่งใส่ร้ายโจมตีอีกพรรคหนึ่งในโซเชียลมีเดีย แต่ผู้มีอำนาจไม่ดำเนินการใดๆ ในขณะเดียวกัน เอาแต่จับผิดหรือเล่นงานอีกฝ่ายอยู่ฝ่ายเดียว จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ ต้องมีการปฏิบัติที่เข้มงวดจริงจัง และการหาเสียงในยุคนี้โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดียต้องเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ ไม่ใส่ร้ายก้ายสีกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโลกของเราไปไกลมากแล้ว ในต่างประเทศมีการหาเสียงในการเลือกตั้งผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเป็นที่หลากหลาย แต่เขาอาจจะพบปัญหาน้อย เมื่อมาเทียบกับประเทศเราต้องยอมรับว่า สภาวะแวดล้อมสังคมต่างกัน จะนำมาใช้ด้วยกันทั้งหมดคงดูแลไม่ทั่วถึง จึงต้องนำมาปรับใช้ได้แค่บางอย่าง และปฏิบัติได้คนละแบบเท่านั้น

ที่เห็นและเป็นไป : ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก

ที่เห็นและเป็นไป : ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก



แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศให้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็น “วันกาบัตรลงคะแนน”
แต่เมื่อ “พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงว่านั่นเป็นกำหนดการตามขั้นตอนเท่านั้น ส่วนวันเลือกตั้งจริงต้องดูปัจจัยอื่นประกอบ
เหมือนกับคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศความพร้อมแล้ว แต่ที่สุดเป็นไปตาม “พล.ท.สรรเสริญ” ว่า
แม้สถานการณ์ของบ้านเมืองจะมีเสียงเรียกร้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้กำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน ด้วยการทำ
เหตุผลต่างๆ นานา อ้างถึงความจำเป็นจะต้องมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง จากเหตุผลการยอมรับจากนานาชาติ มาเป็นเหตุผลทางการเมืองที่ต้องลดแรงกดดันต่างๆ และถึงวันนี้ล่วงมา อ้างถึงปัญหาปากท้องของชาวบ้านที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนักหนาสาหัสขึ้นทุกที
ทว่า “การเลือกตั้ง” ดูจะไม่สามารถจัดการให้เกิดขึ้นง่ายๆ และดูเหมือนยิ่งนับวัน เหตุผลที่จะทำให้เกิดความคิดว่า “น่าจะยังไม่เลือก” จะหนักแน่น ได้รับการพูดถึง และทำให้เชื่อได้มากขึ้น
ก่อนหน้านั้น เหตุผลที่ยังเลือกตั้งไม่ได้ มีเพียงความพร้อมด้านกฎหมาย ที่จะทำให้เกิดขั้นตอนที่จำเป็นต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงในวันเวลาที่กฎหมายประกาศใช้ เป็นเหตุผลที่ชี้ถึงความจำเป็นทำให้ต้องเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่พอถึงวันนี้ไม่ค่อยจะมีใครมองถึงความไม่พร้อมเรื่องกฎหมายแล้ว เพราะเชื่อกันว่าหากตั้งใจที่จะทำให้ทัน เวลา 4-5 ปีที่ผ่านมามากมายเหลือเฟือที่จะจัดการให้ทัน เหตุผลที่ไม่ชัดน่าจะเป็นเรื่องอื่น โดยอาศัยความพร้อมเรื่องกฎหมายมาเป็นข้ออ้างปิดวาระซ่อนเร้นไว้เท่านั้น
ประเด็นหนึ่งที่กลายเป็นเหตุผลของความไม่พร้อมเลือกตั้ง ที่หยิบยกขึ้นมาชวนให้คิดแล้ว หลายคนเห็นแล้วหายใจด้วยความหนักอกหนักใจตามไปด้วยคือ “การเมืองหลังการเลือกตั้ง”
เชื่อกันว่าหลังเลือกตั้งการเมืองไม่มีทางสงบได้ความยุ่งยากทั้งหมดเกิดขึ้นจาก “การทำให้โครงสร้างอำนาจการบริหารจัดการประเทศมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากเกินไป”
ขณะที่ “ต้องการให้คนกลุ่มหนึ่ง” มีอำนาจต่อไป โดยจำกัดสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนลง ขณะ
เดียวกับต้องการภาพ “ประชาธิปไตย” เพื่ออาศัยข้ออ้างเรื่องอำนาจโดยประชาชนมาสร้างความชอบธรรม
ลดทอน และวางกลไกตรวจสอบพรรคการเมืองอย่างเข้มข้น ขณะเดียวกันต้องการเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองมาส่งขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำประเทศ

กลายเป็น “ผู้นำ” ที่ฐานสนับสนุนอยู่ในสภาพอ่อนแอ และเปราะบางด้วยกลไกการตรวจสอบ
แม้จะหวังถึงเสถียรภาพได้บ้างจาก “นักการเมืองที่มาจากการแต่งตั้ง” ที่ให้บทบาทไว้พอสมควร แต่ “รัฐสภา” ที่อย่างไรเสีย “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งสามารถใช้เป็นเวทีได้อย่างชอบธรรม” จะเปิดโอกาสให้เกิดการตอบโต้ และสามารถสั่นคลอนเสถียรภาพที่คิดว่ามีอยู่นั้นได้ไม่ยาก
และระหว่างเสียงของ “ผู้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” กับของ “ผู้เสวยวาสนาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ” ความเชื่อมั่นและองอาจจะอยู่ที่ฝ่ายใด กระแสประชาชนจะยืนอยู่ข้างใคร เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ไม่ยาก
กระแสการเมืองจะส่งถึงผลการเลือกตั้งอย่างไร เป็นที่รับรู้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้สร้างคำถามว่าจะทำอย่างไรให้ “รัฐประหาร” ต้อง “ไม่เสียของ” ตามความหมายของ คสช.ล้วนมีผลต่อ “การเมืองหลังเลือกตั้ง”
ระหว่าง “เลือกตั้งตามปฏิทินการเมือง” กับ “เลื่อนเลือกตั้งออกไปก่อน”
ทางไหนเสี่ยง “เสียของ” ตามความหมายเช่นนั้นมากกว่า
การถูกบังคับให้ต้องเลือกเดิน ทั้งที่เห็นอนาคตอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
ยอมเป็นแรงกดดันที่ยากจะควบคุม
สุชาติ ศรีสุวรรณ

เดินหน้าชน : เหตุแห่ง‘ฉุน’ โดย : สัญญา รัตนสร้อย

เดินหน้าชน : เหตุแห่ง‘ฉุน’ โดย : สัญญา รัตนสร้อย



ไม่วันใดก็วันหนึ่งของเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ คอการเมืองที่ติดตามการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะขอเป็นเพียงอดีตนายกฯ หรือเดินหน้าสู่ถนนการเมือง
เพราะเจ้าตัวประกาศไว้เอง จะแจ้งให้ได้รู้กันในเดือนดังกล่าว
แต่หากจับเอาเรื่อง “การกระทำเป็นเครื่องแสดงเจตนา” ก็คงพอจะเห็นคำตอบได้เลาๆ
พล.อ.ประยุทธ์เลือกเดินในทิศทางใด
ไม่ว่าออกตะลอนของ ครม.สัญจรไปทั่วทุกภาคนับแต่ต้นปีถี่ยิบ แม้ด้วยเหตุผลความจำเป็นในการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะรัฐบาล
ก็ยากปฏิเสธนัยยะการเมือง หาเสียงตุนคะแนนนิยม
เสียงตะโกนเชียร์ให้ “บิ๊กตู่” อยู่เป็นนายกฯไปยาวๆ
ผลงานพลิกฟื้นเศรษฐกิจ จากการประกาศตัวเลขการเติบโตรายได้ประชาชาติ หรือจีดีพี ช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 4.8
หรือผลสำรวจ “นิด้าโพล” ถามความคิดเห็นประชาชนถึงความพึงพอใจต่อการทำงานของนายกฯและ ครม. ในระยะ 4 ปีการเข้ามาบริหารประเทศ ที่ออกมาในเชิงบวก
จากร้อยเปอร์เซ็นต์ กลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 22 บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำงานในตำแหน่งนายกฯได้ดีมาก แก้ไขปรับเปลี่ยนระบบการบริหารงานได้ดี มุ่งหวังพัฒนาประเทศ พร้อมจะช่วยเหลือประชาชน ผลงานหลายอย่างประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม เช่น บ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้น ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น
และอีกร้อยละ 48.96 ระบุว่า ทำงานในตำแหน่งนายกฯได้ค่อนข้างดี มีความชัดเจนในการบริหาร มีนโยบายช่วยเหลือประชาชน เอาจริงเอาจัง และมีความเป็นผู้นำ
เรียกว่า กว่าร้อยละ 70 พอใจผลงาน พล.อ.ประยุทธ์ค่อนข้างสูง

จริงเท็จประการใด ก็ย่อมเพิ่มความมั่นใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ในแต่ละจังหวะเดิน
รวมไปถึงอ้างความชอบธรรมต้องอยู่ต่อ เพื่อประคับประคองแผนการปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พรรคการเมืองใหญ่ตั้งท่าจะเข้าไปแก้ไข) ให้ปักหลักได้มั่นคง “ไม่เสียของ”
ส่วนที่เหลือ และถือเป็นส่วนสำคัญคือ ความมั่นใจในกองหนุน ทั้งว่าที่พรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองที่กำลังออกเดินสายเชียร์ “ลุงตู่” เป็นแบ๊กอัพส่งขึ้นสู่เก้าอี้สำคัญหลังเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 พร้อมแล้วมากน้อยเพียงไร
แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธเรื่อยมา ไม่รู้จัก ไม่เคยยุ่งเกี่ยว ไม่เคยส่งใครไปเชื่อมไปประสาน
แต่ก็ยากปฏิเสธ (อีกครั้ง) เพราะอย่างน้อย ระดับหัวหน้า ปชป. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ่านเกมสะท้อนให้เห็นว่า “ขณะนี้ คสช.ซึ่งเปลี่ยนจากกรรมการมาเป็นผู้เล่น อาจจะยังไม่พร้อม ซึ่งก็มีส่วนที่ทำให้ไม่พร้อม เพราะคนก็คาดหมายกันว่าพรรคการเมืองที่จะต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง และมีหนึ่งพรรคอาจจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี หรือใครก็ตามใน คสช.เป็นนายกรัฐมนตรี และมีพรรคการเมืองอีกหลายพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศต่อ ซึ่งพรรคการเมืองเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอน ยังไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่สมบูรณ์”
อาจเป็นไปได้ว่า ความไม่สมบูรณ์ของการเป็นพรรคการเมือง รวมถึงการจัดทัพที่จะหนุนส่งก็ยังไม่เรียบร้อยบริบูรณ์ ไม่สามารถเติมความมั่นใจได้เพียงพอที่จะยึดครองเป้าหมายสุดท้าย
ขณะที่ระยะเวลาต้องประกาศอนาคตต่อสาธารณะใกล้เข้ามาทุกที
แต่ไฟต์บังคับต้องคลายล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้บางส่วน กำลังเกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน
แต้มต่อที่เคยมีเต็มที่กำลังค่อยๆ คลายลง
นี่กระมังอาจเป็นเหตุของอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวตลอดทั้งวัน เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
สัญญา รัตนสร้อย

ดัชนีความสุขยุค 4.0 ปากหวานอาบพิษ?

ดัชนีความสุขยุค 4.0 ปากหวานอาบพิษ?



เรื่องราวเงื่อนปัญหาขัดแย้งทางข้อมูลเกี่ยวกับ “ข้อเท็จจริง” ทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด มีผลกระทบต่อ “สุขภาพ” และ “สิ่งแวดล้อม”... พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบลงง่ายๆเสียแล้ว
“ชั่งแม่งบ้างเหอะ เก็บมาคิดทุกเรื่องก็ตายห่า...กันพอดี” @fordder โพสต์เปิดหัวใน FB Page : สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก สะท้อนมุมมองเผยแพร่ ผ่านสื่อสังคมโซเชียลในรูปแบบพรีเซนเทชันเข้าใจง่ายๆ ย้ำชัดเจนว่า...
“คุ้มแล้วหรือ...และ...ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือที่ปลอดภัยกว่าทั้งๆที่รู้ว่ามีอันตรายแฝงอยู่ตลอดมาเกือบ 20 ปี” คนไทยทนทาน...รัฐบาลเพิกเฉย? ข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขให้แบน “สารพิษ”
ข้อมูล BIOTHAI 14/8/2018 สะท้อนว่า “ไกลโฟเซต”...ประเภทสารกำจัดวัชพืช ความเสี่ยงก่อมะเร็ง โรคไต และอื่นๆ ปริมาณนำเข้า 59.85 ล้านกิโลกรัม บริษัทที่ขาย...ไบเออร์-มอนซานโต้ เจียไต๋ ฯลฯ
สถานะ...ศาลแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ตัดสินให้บริษัท มอนซานโต้จ่ายค่าเสียหายแก่ผู้ป่วยมะเร็งจากการฉีดพ่นราวด์อั๊พ (ชื่อการค้า) ยังคงอนุญาตให้มีการใช้ในประเทศไทย
ถัดมา “พาราควอต” ประเภทสารกำจัดวัชพืช ความเสี่ยงพิษเฉียบพลันสูง...มากกว่าคาร์โบฟูราน 43 เท่า ก่อโรคพาร์กินสัน ปริมาณนำเข้า 44.50 ล้านกิโลกรัม บริษัทที่ขาย...ซินเจนทา, เจียไต๋ ฯลฯ สถานะ...แบนและประกาศแบนใน 53 ประเทศ ยังคงอนุญาตให้มีการใช้ในประเทศ
ลำดับที่สาม...“คลอร์ไพริฟอส” ประเภทสารกำจัดแมลง ความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อสมองทารก และเด็ก พบตกค้างมากในผัก ผลไม้ ปริมาณนำเข้า 3.32 ล้านกิโลกรัม บริษัทที่ขาย...ดาวเคมีคอล, เจียไต๋ ฯลฯ
สถานะ...ศาลสหรัฐฯสั่งให้ EPA แบนภายใน 60 วัน นับตั้งแต่คำตัดสินเมื่อ 9 สิงหาคม 2561 ประเทศไทยยังคงอนุญาตให้ใช้ต่อได้
พลิกแฟ้มย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว...ในวันที่ 5 เมษายน 2560 รัฐมนตรี กระทรวงสาธารณสุขโดยประกาศ มติของกระทรวงสาธารณสุขโดยให้แบน “พาราควอต”...“คลอร์ไพริฟอส”...และจำกัดการใช้ “ไกลโฟเซต”
ต่อมา...วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 มีมติจาก 3 กระทรวง ...กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงอุตสาหกรรมยืนมติในปี 2560
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีการตั้งอนุกรรมการวัตถุอันตรายและกรรมการวัตถุอันตรายขึ้นมา โดยยืนยันว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนถึงสารทั้งสามตัวนี้ว่ามีอันตรายต่อสุขภาพ กระทั่งเกิดเสียงคัดค้านจากประชาชน 700 องค์กรเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เพื่อทบทวนอันตรายจากสารพิษเหล่านี้
โดย....มีการประชุมกันในวันที่ 22 สิงหาคม 2561
เงื่อนสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามมีว่า...ผลต่อเนื่องไปถึงการ “ปฏิรูปประเทศ” ในระบบ “สาธารณสุข” จะไม่สามารถทำได้ในประเด็นการบริโภค ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “อาหารปลอดภัย”...“ปลอดสารพิษ” ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2561
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ย้ำว่า สารเคมีอันตราย : พาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)...มีข้อเท็จจริงทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ชัด
สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิดมีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ “พาราควอต” ที่มีพิษเฉียบพลันสูงต่อมนุษย์ และมีผลกระทบเรื้อรังต่อสุขภาพ เช่น ก่อโรคพาร์กินสัน สมองเสื่อม แม้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน ยังสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยการสัมผัสทางผิวหนัง
รวมทั้งบาดแผล แล้วซึมเข้าร่างกาย จนเกิดอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังพบตกค้างในอาหาร สิ่งแวดล้อมและมนุษย์ จากข้อมูลการวิจัยของหลายสถาบัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สมควรยกเลิก...พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเซต
บันทึกช่วยจำ...เผื่อเอาไว้เล่าสู่ลูกๆหลานๆไทยฟังในวันข้างหน้า การประชุมคณะกรรมการปฏิรูปฯ วันที่ 14 สิงหาคม 2561 ที่ประชุมยืนยันว่า ...ประเด็นเรื่องอาหารปลอดภัย มีความสำคัญโดยเฉพาะการยกเลิกการใช้ สารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเซต หากจัดการเกี่ยวกับ “อาหารปลอดภัย” และ “สารเคมี” ไม่ได้ การปฏิรูปจะไม่สำเร็จ เพราะยังทำให้เกิดโรคมะเร็ง...โรคเกี่ยวกับสมอง และโรคไต
“การปฏิรูป” ด้านสาธารณสุข จะช่วยให้การเงินการคลัง และหลักประกันสุขภาพของคนไทยดีขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าหลักประกันสุขภาพมีงบประมาณจำกัด ฉะนั้นหากมีคนป่วยมากขึ้นเรื่อยๆและโรครักษาไม่ได้ ต้องใช้ระยะเวลานาน ไม่มีทางทำให้ระบบสาธารณสุขกับคนด้อยโอกาสดีขึ้นได้ หากไม่จัดการสภาพแวดล้อมเหล่านี้
สำหรับ “ไกลโฟเซต” สารเคมี 1 ใน 3 ชนิด มติเดิมของ 3 กระทรวงให้แค่จำกัดการใช้ นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข พูดว่า...ต้องไม่มีการใช้สารพิษเลย
เพราะข้อมูลชัดเจนแล้วว่า พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเซต ส่งผลกระทบต่อคนที่ไม่ได้ทำอาชีพเกษตรกรรมหรืออยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมด้วย โดยรับจากการบริโภคผัก...ผลไม้ อีกทั้งจากการศึกษาในไทยและต่างประเทศยังพบสารพิษในหญิงตั้งครรภ์และขี้เทาของเด็ก ทำให้...คณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุขได้ลงมติในวันที่ 14 สิงหาคม ให้มีการ “แบน”...สารเคมีพิษทั้ง 3 ตัว เนื่องจากข้อมูลใหม่ที่ได้รับถึงปัจจุบันและในวันที่ 16 สิงหาคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ยืนยันในการ “แบน” สารเคมีพิษทั้ง 3 ตัวนี้
สวนทางตรงกันข้าม...เมื่อมองผลงานสะท้อนใจของคณะกรรมการวัตถุอันตรายในปี 2552 ที่มีแนวคิดขึ้นทะเบียน สะเดา, ขิง, ข่า, พริก, ตะไคร้หอม, ขมิ้นชัน, ดาวเรือง, สาบเสือ, กากเมล็ดชา, ขึ้นฉ่าย, ชุมเห็ด-เทศ, ดองดึง, หนอนตายหยาก...เป็น “วัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข.”
หลังจากประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีใน 13 พืชสมุนไพร ตั้งข้อสังเกตกันว่า...การออกกฎหมายดังกล่าวยิ่งเป็นการส่งเสริม “สารเคมี” มาใช้ในงานเกษตรมากขึ้น เจตนาเพื่อต้องการกีดกันการใช้สมุนไพรมาสกัดเป็นสารกำจัดวัชพืช ปล่อยให้มีการใช้สารเคมีทั่วไป
ไม่แน่ใจว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการผลักดันของ “ผู้เสียประโยชน์” บางส่วนมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ แล้วก็ให้อดคิดไม่ได้ว่ากลุ่มบริษัทยาฆ่าแมลงต่างๆจะมีส่วนร่วมด้วยช่วยดันหรือเปล่า
“ปฏิรูปประเทศ”...คืนความสุข เดินหน้าประเทศไทย ต้องไม่คืนแค่ความสุขเพียงลมปาก หากต้องปฏิบัติให้เห็นผลเป็นรูปธรรมกับ “ประชาชน” จริงๆ อย่าเลือกพวกมึง...พวกกู แล้วให้อีกฝ่ายยิ้มมีความสุขคงไม่ได้
เปิดเผยความจริงให้สังคมได้รับรู้...เบื้องหลังมติอัปยศ รายงานอัปลักษณ์ “ไม่แบน 3 สารพิษร้ายแรง” เป็นเพราะอะไรกันแน่?...อะไรที่บอกว่าทั้ง 3 สารไม่มีความเสี่ยงจากการบริโภค? และเหตุไฉนที่ว่าไม่มีสารอื่นทดแทนที่ดีกว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายท่านผู้นำ...ท่านนายกฯพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่าให้ใครมาโกหกตาใส
อ้างสาเหตุการตายมาจากการฆ่าตัวตาย อัตราการตาย 52% เมื่อเข้าปาก...จงใจไม่นำรายงานล่าสุด EPA (2017) ที่ระบุว่า มีพิษเฉียบพลันสูง แค่จิบเดียวก็ตายได้ และไม่มียาถอนพิษ ใส่ไว้ในบทสรุป แถมโยนบาปให้ “เกษตรกร” ว่าใช้ไม่ถูกต้อง ทั้งๆที่ผลศึกษาแม้มีเครื่องป้องกันแต่มีโอกาสได้รับสารสูงกว่ามาตรฐานถึง 60 เท่า
วัดชะตากรรม “อนาคตเด็กไทย” กับ “กำไรบริษัทสารพิษ”...ในยุคปากหวานอาบพิษ.