PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ตะลุมบอนด้วยหุ้นสื่อ ส.ว.21คน ฝ่ายค้าน-โดน55

ร้องเรียนอุตลุด ขุดเรื่องโบราณ! โพลยุให้ยุบสภา "จุรินทร์" ดูปัญหา ราคายาง-ตกตํ่า

พปชร.คาดยื่นสอย ส.ส. 7 พรรคฝ่ายค้านถือหุ้นสื่อสัปดาห์หน้า เผยยอดพุ่งเข้าข่ายขาดคุณสมบัติ 55 ราย เป็น อนค. 33 คน เพื่อไทย 10 คน นอกนั้นเป็นของเพื่อชาติ-เสรีรวมไทย-ประชาชาติ-เศรษฐกิจใหม่-พลังปวงชนไทย “นิยม” ฉุนจัดเล่นไม่เลิกแจ้งความเอาผิด “อุตตม-ทศพล-ทรงกลด” ฐานหมิ่นประมาท-ให้การเท็จ ปมถือหุ้นสื่อลาม “เรืองไกร” จ่อสอย 21 ส.ว. ล้วนคนดังทั้งนั้น “วันชัย” รีบโต้เคลียร์หมดแล้ว แต่ยังอ้อมแอ้มไม่แน่ใจเป็นบริษัทลูกเขยหรือไม่ ชพน.กระทุ้งสปิริตพรรคแกนนำรักษาสัญญา ยก ชทพ. 10 เสียงยังได้ถึง 2 เก้าอี้ “จุรินทร์” นำทีมลุยถกปัญหาด่านสะเดา-ราคายาง “บิ๊กตู่” บอกไม่มีผู้นำอาเซียนคนไหนติดใจสถานการณ์ไทย “สมคิด” มาวินแซง “ประยุทธ์” โผ ครม.ถูกใจ ปชช.

ประเด็นต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ที่ห้าม ส.ส. ส.ว. ถือครองหุ้นสื่อชักบานปลาย ล่าสุดพรรคพลังประชารัฐตรวจสอบพบ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านเข้าข่ายมีคุณสมบัติต้องห้ามรวม 55 ราย ส่วนนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว. ตรวจสอบพบมี ส.ว.เข้าข่ายมีคุณสมบัติต้องห้ามดังกล่าวอีก 21 ราย

พปชร.จ่อยื่นสอย ส.ส.ฝ่ายค้าน

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. นายทศพล เพ็งส้ม ในฐานะหัวหน้าทีมต่อสู้คดี 27 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐถูกร้องกรณีถือครองหุ้นและเป็นเจ้าของกิจการสื่อ กล่าวถึงความคืบหน้าในการยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ ส.ส. 7 พรรคฝ่ายค้านกว่า 30 คน ที่ถือครองหุ้นสื่อเช่นเดียวกันว่า คณะทำงานได้ส่งรายชื่อ ส.ส.ที่เข้าข่ายถือหุ้นสื่อมาให้ตรวจสอบกว่า 30 คนแล้ว ต้องดูอย่างละเอียดเพื่อจัดทำคำร้องให้ถูกต้อง ไม่ให้ตกม้าตายเหมือนพรรคอนาคตใหม่ คาดว่าจะยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป สำหรับการต่อสู้คดีในส่วนของ 27 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้มีมติคุ้มครองชั่วคราว เพราะต้องให้มีการไต่สวนพยานหลักฐานก่อนจะรับไว้พิจารณาหรือมีคำสั่งวินิจฉัย ทั้งนี้ อาจไม่มีการไต่สวนก็ได้

ยอดพุ่งเข้าข่ายถือหุ้นสื่อ 55 ราย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐว่า ล่าสุด มี ส.ส.พรรคฝ่ายค้านที่เข้าข่ายจำนวน 55 คน โดยในส่วนของพรรคอนาคตใหม่มี 33 คน อาทิ พล.ท.พงศกร รอดชมภู นายคารม พลพรกลาง นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ นายชำนาญ จันทร์เรือง นายวาโย อัศวรุ่งเรือง นายวินท์ สุธีรชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นต้น ส่วนของพรรคเพื่อไทยมีประมาณ 10 คน อาทิ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ นางอาภรณ์ สาราคำ ส.ส.อุดรธานี นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อชาติ มี 4 คน ได้แก่ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล และนางลินดา เชิดชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย 4 คน อาทิ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ขณะที่พรรคประชาชาติ 2 คน คือ นายอับดุลอายี สาแม็ง ส.ส.ยะลา และนายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคเศรษฐกิจใหม่ และพรรคพลังปวงชนไทย มีพรรคละ 1 คน


ป้อง “อุตตม” ไร้มลทินคดีกู้กรุงไทย

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวตอบโต้นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ อดีต รมว.พลังงาน ที่ออกมาเรียกร้องให้นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เร่งเคลียร์ประเด็นปัญหาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ว่า เรื่องดังกล่าวศาลฎีกาได้ตัดสินจบไปแล้ว นายอุตตมไม่ผิดและไม่ได้ถูกฟ้องดำเนินคดี เรื่องนี้ผ่านกระบวนการตรวจ สอบอย่างละเอียด ทั้งจากแบงก์ชาติ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สรุปแล้วนายอุตตมไม่ได้มีส่วนร่วมอนุมัติ และไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำความผิด และไม่ได้ถูกพิพากษาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งไม่ได้ถูกกันเป็นพยานตามที่นายพิชัยกล่าวหา ความจริงนายพิชัยรู้เรื่องทั้งหมดดีว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการใหญ่ตัวจริง แต่นายพิชัยกลับเลือกที่จะพูดไม่หมด เพื่อดิสเครดิตนายอุตตม น่าจะเอาเวลาและสมองไปช่วยพรรคพวกสู้คดีดีกว่า ยืนยันว่านายอุตตมไม่ได้มีมลทินอะไรตามที่นายพิชัยกล่าวหา

“นิยม” แจ้งยกเลิกไป 17 ปีที่แล้ว

ด้านนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐระบุว่าเป็นหนึ่งใน ส.ส.พรรคฝ่ายค้านที่มีชื่อถือหุ้นสื่อว่า เป็นเรื่องเก่า บริษัท มติไท จำกัด ที่ถูกกล่าวหาจด ทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2546 แต่ทำได้แค่ปีเดียวก็เลิก เพราะไม่มีรายได้มากและสู้ค่าตรวจสอบบัญชีปีละ 15,000 บาทไม่ไหว จึงไปจดทะเบียนแจ้งยกเลิกต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าปี 2547 มีหลักฐานจดทะเบียนยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ผ่านมา 17 ปีแต่ยังถูกนำมาร้องเรียน ก่อนหน้านี้ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม เคยนำเรื่องไปยื่นต่อ กกต.หลังจากตนได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สกลนคร กกต.เรียกไปสอบ จึงนำหลักฐานให้ กกต.ดู ในที่สุด กกต.สั่งยุติการสอบเรื่องนี้แล้ว แต่ยังถูกนายทศพล เพ็งส้ม ขุดขึ้นมาเพื่อเอาผิดอีก จงใจเอาเรื่องเก่าที่จบไปแล้วมาเล่นไม่เลิก

ฟ้อง “อุตตม-ทศพล” หมิ่นประมาท

นายนิยมกล่าวต่อว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ (23 มิ.ย.) ได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสกลนคร ให้ดำเนินคดีกับนายทศพล นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ ร.อ.ทรงกลด ใน 2 ข้อหา คือ หมิ่นประมาทและให้การเท็จ เพราะมีเจตนาสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม ให้ตนถูกรังเกียจและมีคดีอาญาติดตัว ถึงเวลาต้องลุกขึ้นสู้หลังจากนิ่งเงียบมาตลอด และวันที่ 26 มิ.ย. จะขอใช้สิทธิชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพราะเห็นว่าเล่นกันไม่เลิกเหมือนเจตนาดิสเครดิตแบล็กเมล์ทางการเมือง และจะนำหลักฐานการจดทะเบียนยกเลิกบริษัทยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย เท่าที่ทราบมามี ส.ส.เพื่อไทยหลายคนที่ถูกกล่าวหา มีลักษณะคล้ายกับกรณีของตน คือได้จดทะเบียนยกเลิกบริษัทไปนานแล้ว นอกจากนี้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ และนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร จะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยวันที่ 25 มิ.ย.ด้วย


แซะ “บิ๊กตู่” ให้เสพติดโซเชียลมากๆ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีผู้สื่อข่าวสายทหารออกมาเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ติดโซเชียลอย่างหนักว่า น่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งมาเริ่มเล่นและติดโซเชียลช้าไป การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆจึงสวนทางกับความต้องการของประชาชน 5 ปีที่ผ่านมา หาก พล.อ.ประยุทธ์ฟังโซเชียลอย่างมีสติ มีเหตุมีผล อาจมีความละอายเกรงกลัวต่อการไม่ยอมรับของประชาชนมากกว่านี้ ทั้งการปล่อยให้มีรัฐธรรมนูญที่ออกแบบเพื่อพรรคใดพรรคหนึ่ง การให้ 250 ส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ การออกคำสั่งที่ลิดรอนต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน ขณะที่ ครม.ใหม่ยังไม่ลงตัว แก่งแย่งชามข้าวกันเพื่อยึดโควตา กระทรวงเศรษฐกิจที่ควรเป็นมืออาชีพกลายเป็นตัวล่อให้พรรคการเมืองวิ่งเข้ามาสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ประชาชนยี้ตั้งแต่ได้เห็นโผรายชื่อ ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ติดตามโซเชียลมากๆจะได้รับรู้ความยากลำบากของประชาชน

ปมถือหุ้นสื่อลามไปถึง 21 ส.ว.

ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า วันที่ 24 มิ.ย.นี้ เวลา 11.00 น. จะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว. จำนวน 21 คน อาจเข้าข่ายการถือหุ้นสื่อ อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ว. โดยช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ตรวจสอบข้อมูลจาก กรมการพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า มี ส.ว.ส่วนหนึ่งอาจมีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาตามข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ 10/2562 มีเหตุที่ต้องขอให้ กกต.รีบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และขอให้มีคำสั่งให้ ส.ว.หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางที่ กกต.ใช้กับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ด้วย

“มนัส–ไพโรจน์” อยู่ในข่ายถูกสอย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อ ส.ว.จำนวน 21 คน ที่นายเรืองไกรตรวจพบว่าเข้าข่ายการถือครอง หุ้นสื่อ อาทิ นายวันชัย สอนศิริ ถือหุ้นบริษัท แคล นู ไฮเรอร์ จำกัด ที่ระบุวัตถุประสงค์ให้บริการด้าน วิทยุและโทรทัศน์สถานีวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์และห้องส่ง ว่าที่ ร.ต.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี นายระวี รุ่งเรือง นายยุทธนา ทัพเจริญ พล.อ.อ.มนัส รูปขจร น.ส.ภัทรา วรามิตร พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ นางประยูร เหล่าสายเชื้อ นางเบญจรัตน์ จริยธาราสิทธิ์ นายบรรชา พงศ์อายุกูล นายนิอาแซ ซีอุเซ็ง น.ส.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพน นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล ว่าที่ ร.ต.เชิดศักดิ์ จำปาเทศ นายเฉลียว เกาะแก้ว นายกูรดิสถ์ จันทร์ศรีชวาลา นายกำพล เลิศเกียรติดำรง และนางกอบกุล อาภากร ณ อยุธยา

“วันชัย” อ้อมแอ้มบริษัทลูกเขย

ด้านนายวันชัย สอนศิริ ส.ว. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ยืนยันว่าเคลียร์คุณสมบัติต้องห้ามต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ไม่มีข้อบกพร่องเรื่องคุณสมบัติการเป็น ส.ว. ก่อนหน้านี้เคยถือหุ้นอยู่ใน 2 บริษัท แต่ได้โอนหุ้นไปหมดแล้ว รวมถึงลาออกจากการเป็น กรรมการบริษัทด้วย เพราะก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็น ส.ว. ทาง คสช.มีหนังสือมาสอบถามให้เคลียร์ คุณสมบัติต่างๆ จึงได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ส่วนบริษัท แคล นู ไฮเรอร์ จำกัด ที่นายเรืองไกรระบุถึงนั้น ตนไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทนี้ แต่ไม่แน่ใจจะใช่ บริษัท จัดการบุญ จำกัด ที่ภายหลังลูกเขยนำไปเปลี่ยนชื่อหรือไม่ แต่ตนได้โอนหุ้นจากบริษัทดังกล่าว อย่างถูกต้องแล้วก่อนเป็น ส.ว. ฝากนายเรืองไกรว่า แม้การร้องเรียนอะไรถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยกันตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นการยื่นข้อมูลเท็จ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ก็พร้อมดำเนินคดีกลับเช่นกัน

ชพน.กระทุ้งสปิริตรักษาสัญญา

ที่พรรคชาติพัฒนา น.ส.เยาวภา บุรพลชัย โฆษกพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงกรณีพรรคชาติพัฒนาถูกริบโควตารัฐมนตรี ว่า เราไม่ได้ไปเรียกร้องหรือสร้างเงื่อนไขใดๆที่จะไปกระทบการจัดตั้งรัฐบาล เราสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้มาเป็นผู้นำของพวกเรา การเมืองถ้ายึดถือการเคารพกฎกติกา ข้อตกลง และสปิริตร่วมกันแบบกีฬาจะเรียบร้อย เรามีข้อตกลงอะไรกันอยากให้ช่วยกันรักษา เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีว่าการเมืองไทยเชื่อถือได้

ยก ชทพ. 10 เสียง ยังได้ถึง 2 เก้าอี้

น.ส.เยาวภากล่าวอีกว่า การมีข้อตกลงในระดับผู้ใหญ่ของทั้ง 2 พรรค ว่าจะมอบตำแหน่งรัฐมนตรีให้พรรคชาติพัฒนา 1 ตำแหน่งนั้น นอกจากข้อตกลงที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันแล้ว ยังเป็นไปตามตัวเลขคณิตศาสตร์ทางการเมืองของการจัดตั้งรัฐบาลด้วย รัฐบาลมี 254 เสียง ประกอบด้วย ครม. 36 คน เท่ากับค่าเฉลี่ยประมาณ 7 เสียงต่อ 1 รัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์มี 53 เสียง พรรคภูมิใจไทยมี 51 เสียง เมื่อหารด้วย 7 ได้ไปพรรคละ 7 เก้าอี้ ก็ถูกต้องเหมาะสม ส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนามี 10 เสียง เมื่อหารด้วย 7 จะได้ 1 รมต. บวกกับเศษอีก 3 มีการปัดเศษเพิ่มให้ ทำให้ได้รัฐมนตรีช่วยเพิ่มอีก 1 เก้าอี้ ถือเป็นมาตรฐานการคำนวณจัดสรรตำแหน่ง และเป็นน้ำใจไมตรีที่ดีที่พรรคแกนนำมีต่อพรรคเล็ก เมื่อพิจารณาในส่วนของพรรคชาติพัฒนาที่มี 3 เสียงควรได้รับ 1 ตำแหน่ง เพื่อความทัดเทียมและเป็นธรรม ขณะนี้พวกเราทุกคนรอคำตอบจากพรรคพลังประชารัฐอยู่

“จุรินทร์” นำทีมลุยปัญหาด่านสะเดา

วันเดียวกันเวลา 07.00 น. ที่โรงเรียนชุมชนบ้านปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมนายถาวร เสนเนียม และนายนิพนธ์ บุญญามณี ร่วมเปิดงาน “ปั่น 2 ด่านสะเดาประตูสู่อาเซียน” บนเส้นทางเลียบเลาะตะเข็บชายแดนไทย-มาเลเซีย ระหว่างด่านปาดังเบซาร์ไปยังด่านสะเดา ระยะทาง 30 กิโลเมตร และเป็นประธานเปิดถนนเลียบชายแดนบ้านไทยจังโหลน-ด่านปาดังเบซาร์ มีนักปั่นจากประเทศไทยและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,500 คน นายจุรินทร์กล่าวว่า ปัญหาด่านสะเดาที่มีการร้องเรียนจากผู้ประกอบการว่าการค้าชายแดนได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการเข้มงวดกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซีย จึงรีบลงมาแก้ไข เนื่องจากติดขัดเรื่องการข้ามพรมแดนที่ยังมีความล่าช้าไม่คล่องตัว เชื่อว่านักท่องชาวมาเลเซียอยากเข้ามาเที่ยวไทยอีกมาก แต่มาเจอแบบนี้ทำให้เขาไม่อยากมา รัฐบาลจะรีบหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ส่องความคืบหน้าจัดตั้งเมืองยาง

ต่อมานายจุรินทร์และคณะเดินทางไปยังนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ อ.หาดใหญ่ พบปะกับตัวแทนนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ตัวแทนสหกรณ์การยางพารารัตภูมิ สอบถามความก้าวหน้าการจัดตั้งเมืองยาง เพื่อนำข้อมูลเกี่ยวกับยางพาราไปเสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสต่อไป เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบปัญหาราคายางพาราตกต่ำ นายจุรินทร์กล่าวว่า ในพื้นที่เมืองยาง (รัมเบอร์ ซิตี้) ขณะนี้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนแล้ว 4 ราย อีก 2 รายกำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าจะมีการใช้ยางดิบและยางสดปีละ 130,000 ตัน ภายใน 3 ปีต้องผลักดันให้เพิ่มการใช้ยางพาราในประเทศอีก 200,000 ตัน เป็นปีละ 330,000 ตัน นอกจากนี้ ยังต้องขยายท่าเรือสงขลาเพื่อรองรับการส่งออกยางพาราไปต่างประเทศ

“นิพิฏฐ์” ยก “กอร์บาชอฟ” เตือนสติ

ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “เราเถียงกันเอาเป็นเอาตายในสิ่งที่เรารู้อย่างผิวเผิน รู้ตัวอีกทีประเทศนี้อาจถึงกาลล่มสลายแล้ว” พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า เป็นคำกล่าวของนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ อดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต ก่อนสหภาพโซเวียตล่มสลาย นายกอร์บาชอฟพยายามปฏิรูปโซเวียตเปิดประเทศจากคอมมิวนิสต์ให้ประชาชนมีเสรีภาพมากขึ้น แต่มีความวุ่นวายเพราะประชาชนถูกกดอยู่ในระบอบคอมมิวนิสต์มานาน เลยเถียงกันทะเลาะกันวุ่นวาย จนโซเวียตล่มสลายแยกเป็นหลายประเทศไม่เป็นสหภาพอีกต่อไป นายกอร์บาชอฟได้กล่าวอำลาตอนโซเวียตล่มสลายว่า “ประชาชนของเราเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายในสิ่งที่เรารู้อย่างผิวเผิน มารู้ตัวอีกทีสหภาพโซเวียตก็ล่มสลายแล้ว” จึงนำมาดัดแปลงข้อความบางส่วนให้เหมาะกับเมืองไทย เพราะสิ่งที่คนไทยเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายตอนนี้ ดูเถอะเราไม่ได้รู้จริงจัง แต่เราเถียงกันอย่างจริงจังเอาเป็นเอาตายกัน


นายกฯยันไม่มีผู้นำคนไหนติดใจ

ช่วงบ่ายที่โรงแรม ดิ แอทธินี กทม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวว่า ระหว่างการประชุมอาเซียนทุกประเทศที่มาเข้าร่วม ไม่มีใครว่าอะไรเรื่องการเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยของไทย เพียงแต่สอบถามจะเรียบร้อยเมื่อไหร่ จึงบอกไปว่าไม่เกินเดือน ก.ค.ทุกอย่างจะเรียบร้อย เขาไม่ติดใจสงสัยอะไร อยู่ที่พวกเราทำความเข้าใจกันเองให้ได้ ลดปัญหาภายในของเราให้ได้ การพูดซึ่งมีเจตนาสร้างความเกลียดชังในโซเชียลมีเดีย หรือเฮทสปีช สิ่งเหล่านี้ต้องระมัดระวัง เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน จำเป็นต้องมีกฎหมายออกมาเพื่อสร้างความสงบสุขแก่บ้านเมือง

“ธนาธร” โชว์วิชันปัญหาอาเซียน

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ประเด็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายอาเซียน ทั้งปัญหาขยะทะเล ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หมอกควันมลพิษ ไปจนถึงแรงงานข้ามชาติและผู้อพยพลี้ภัย ล้วนเป็นปัญหาที่จำต้องอาศัยการร่วมมือที่เข้มแข็ง ภายใต้บริบทการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ มีแต่การร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในภูมิภาคเท่านั้น ที่จะทำให้อาเซียนพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนในประชาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอเรียกร้องให้อาเซียนก้าวข้ามหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของชาติสมาชิก ไปสู่การช่วยเหลือและร่วมมือกัน ตรวจสอบกันและกันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งภูมิภาค ที่ผ่านมาหลักการดังกล่าวทำให้เกิดการเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพพลเมือง เช่น ปัญหาผู้ลี้ภัยโรฮีนจา

มุ่งยกระดับชีวิต-เชื่อมั่นใน ปชต.

นายธนาธรกล่าวอีกว่า ภารกิจสำคัญที่สุดของไทยในฐานะประธานอาเซียน คือ 1.ทำให้ความร่วมมือมีความเข้มแข็ง เพื่อรักษาสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ ให้อาเซียนพิทักษ์ผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทั้งประชาคมได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด 2.พลิกฟื้นอาเซียนให้เป็นประชาคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังทั้งทางเศรษฐกิจและสิทธิเสรีภาพของพลเมือง ช่วยเหลือตรวจสอบกันและกันโดยก้าวข้ามหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน ไปสู่การร่วมกันยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในแต่ละประเทศ และ 3.การสถาปนาความเชื่อมั่นที่ว่า ประชาธิปไตยคือหนทางไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชน เพราะนี่คือวิถีทางเดียวที่จะปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ และนำมาซึ่งความมั่นคงอย่างยั่งยืนของชาวอาเซียนทั้งภูมิภาค


“สมคิด” มาวินโผ ครม. ถูกใจ ปชช.

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,254 คน กรณี “โผ ครม.ประยุทธ์ 2” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 32.81 คิดว่าโผ ครม.ที่ออกมาขณะนี้ ปัญหาเยอะ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ การต่อรอง แย่งเก้าอี้กันวุ่นวาย ร้อยละ 28.13 ระบุว่าบางตำแหน่งไม่เหมาะสม ควรตรวจสอบคุณสมบัติ ประวัติให้รัดกุม รองลงมามองว่าเป็นการจัดสรรตามโควตามีแต่หน้าเดิม ระบบพวกพ้องเครือญาติ สำหรับ 10 รายชื่อ ครม.ที่ถูกใจประชาชน พบว่าอันดับ 1.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ 2.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย 3.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 5.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย 6.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ 7.ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.ต่างประเทศ 8.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ 9.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และ 10.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว. พลังงาน โดยจุดแข็งของโผ ครม.คือมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำ มีฐานอำนาจเก่า ส่วนจุดอ่อนคือไม่เป็นที่ยอมรับ มีแต่เรื่องผลประโยชน์มากเกินไป ภาพลักษณ์ไม่ดี รองลงมาคือไม่มีเสถียรภาพ

คนเบื่อเอาแต่สู้แย่งชิงตำแหน่ง

ด้านนิด้าโพล เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,277 คน เรื่อง “3 เดือนหลัง การเลือกตั้งทั่วไป” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 46.44 มองว่าบทบาท ส.ส.ช่วง 3 เดือนหลังการเลือกตั้ง มัวแต่ต่อสู้กันเพื่อแย่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รองลงมาคือชอบด่ากันไปมาโดยอ้างประชาชน โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคที่จะเป็นรัฐบาล เอาแต่จับกลุ่มต่อรองตำแหน่งทางการเมือง ส่วน ส.ส.พรรคที่จะเป็นฝ่ายค้าน ใช้แต่วาทกรรมเพื่อล้มรัฐบาล ทั้งนี้ร้อยละ 52.70 มองว่า ส.ส.จะผลักดันนโยบายและทำงานเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนได้ ร้อยละ 35.00 ระบุว่า ไม่สามารถทำตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชนได้ ขณะที่ ส.ส.บางคนไม่มีความรู้ความสามารถผลักดันนโยบาย

ปัญหามากนักยุบสภาว่ากันใหม่

ขณะที่ซุปเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนจำนวน 1,654 คนจากทั่วประเทศ เรื่องสิ่งที่ประชาชนอยากเห็น พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 57.0 อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่วุ่นวาย ร้อยละ 49.4 อยากเห็นคนดีปกครองบ้านเมือง รองลงมาคืออยากเห็นคนไทยมีงานทำ รายได้ดี อยากเห็นคนไทยมีวินัย มีทัศนคติที่ดีต่อกัน อยากเห็นคนไทยรักกัน ปกป้องผลประโยชน์ชาติ เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากเห็นถ้าบ้านเมืองวุ่นวายเดินต่อไปไม่ได้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 87.0 ระบุว่าให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 7.7 ระบุว่า ให้ยึดอำนาจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.9 รู้สึกพอใจต่อการทำหน้าที่ประธานสภา ผู้แทนราษฎรของนายชวน หลีกภัย รองลงมาร้อยละ 70.7 พอใจการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในสภาฯ ขณะที่ร้อยละ 46.3 พอใจการทำหน้าที่ของ ส.ว.


จุดแคมเปญ “ปลดอาวุธ คสช.”

เวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระ-จันทร์ เครือข่ายภาคประชาชน 23 องค์กร นำโดยโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ จัดกิจกรรม “วาระแรกประชาชน ปักหมุด ปลดอาวุธ คสช.ภายใต้รัฐบาลใหม่” นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย ประชาชน (iLaw) กล่าวว่า วันที่ 24 มิ.ย. ทางกลุ่มจะนัดรวมตัวที่หน้ากระทรวงการคลัง เพื่อเดินนำเอกสารที่ประชาชนลงชื่อ 13,409 รายชื่อ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 133 (3) ไปยื่นที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถนนประดิพัทธ์ เสนอร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ คสช. คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ขัดหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย รวม 35 ฉบับ ครอบคลุม 4 ประเด็น คือ เสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพสื่อ สิทธิกระบวนการยุติธรรม รวมถึงสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม

5 พรรคฝ่ายค้านผลักดันเต็มที่

นายธีรเนตร ไชยสุวรรณ ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ กล่าวว่า ทางกลุ่มได้ร่วมลงชื่อปลดอาวุธ คสช. เพราะประชาชนถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ถูก จนท.ทหารปิดกั้นและควบคุมตัวแกนนำไม่ให้เสนอข้อเรียกร้องต่อสังคม ขณะที่นางสุนีย์ ไชยรส ตัวแทนจากขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (we move) กล่าวว่า คำสั่งจัดการฐานทรัพยากร เป็นคำสั่งที่ร้ายแรงมาก เช่น นโยบายทวงคืนผืนป่า เขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดการเหมืองแร่ มีแกนนำชาวบ้านส่วนหนึ่งที่เป็นผู้หญิง ถูกละเมิดสิทธิมากกว่าผู้ชาย มีทั้งจับกุมดำเนินคดี ขับไล่ออกจากที่ดิน ถูกข่มขู่ปิดกั้น

ต่อมาตัวแทน 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาชาติ เสรีรวมไทย และพรรคเพื่อชาติ ร่วมแถลงจุดยืน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้หลังการเลือกตั้งประเทศต้องกลายเป็นระบอบประยุทธ์ แต่วันนี้เรามีช่องทางให้ประชาชน 10,000 คน ยื่นรายชื่อเสนอกฎหมาย พรรคการเมืองต้องใช้ความพยายามผลักดันในสภา ยังเชื่อว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ก็มาจากประชาชน ถ้าประกาศคำสั่งเหล่านี้มีผลต่อประชาชนต้องเข้าร่วม


ประยุทธ์ภาค 2” ฟอร์มครม.ฝ่าวิกฤติเสียงปริ่มน้ำ : การเมืองกุมยาก จุดหลักยึดประชาชน

เงียบไปหน่อย แต่จัดเป็นงานใหญ่ระดับนานาชาติ ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 โดยประเทศไทยทำหน้าที่ประธานอาเซียนที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 22–23 มิถุนายน 2562

ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยต้องแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดี

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ ครม.ชุดเดิมยังทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาลไทย

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลชุดใหม่ยังอยู่แค่ขั้นตอนการฟอร์ม ครม. “ประยุทธ์ภาค 2” ส่งบัญชีรายชื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา ตรวจสอบคุณสมบัติ

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันชัดเลยว่า โผ ครม.นิ่งแล้ว

ตามแนวโน้มสถานการณ์สยบแรงกระเพื่อมชิงปิดเกมการเคลื่อนไหวป่วนโควตารัฐมนตรี ทั้งใน สัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงในส่วนของพรรคพลังประชารัฐเอง

ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ไม่ยอมคายอ้อยจากปากช้าง คืนกระทรวงเกรดเอให้พลังประชารัฐ หลังผู้มีอำนาจนอกพรรค “เสียค่าโง่” แจกไพ่หมดสำรับ ทีมพลังประชารัฐก็เลยฟัดกันเองแย่งของเหลือ ด้ามขวาน คมขวาน ส.ส.อีสาน ผู้แทนฯปักษ์ใต้ขยับทวงโควตารัฐมนตรี

ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เคลื่อนไหวต่อรอง

ภาพฟ้องสายตาประชาชน นักการเมือง “ตกยุค” แย่งชามข้าวกันกระจาย

ตามรูปเกมแบ่งเค้กไม่ลงตัวง่ายๆจนสร้างประวัติ ศาสตร์เป็นรัฐบาลที่ใช้เวลาจัดตั้งนานที่สุด หลังผ่านการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 มา 3 เดือนเต็มๆ

และไม่มีหลักประกัน ประกาศชื่อ ครม.ออกมาอย่างเป็นทางการแล้วจะจบ

เพราะอาการของคนผิดหวัง ตีรวน ป่วนเกม มันเป็นธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆ ยิ่งเป็นอะไรที่สถาน-ภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ลำพัง 1 เสียงยังมีความหมาย

ก็เลยอาละวาด ขู่กรรโชกกันตามอำเภอใจ

ตามรูปการณ์แม้แต่ตำแหน่ง “เทกระโถน” ผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขาฯรัฐมนตรี ยังต้องแย่งกันวุ่นวาย

ต่อรองกันจนหยาดสุดท้าย “กำขี้ดีกว่ากำตด”

ในจังหวะสวนทางกับเงื่อนสถานการณ์ปัญหาของบ้านเมืองที่กระชั้นเข้ามา ไม่มีเวลารอนาน โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับวิกฤติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน

ลามกระทบการส่งออก และที่สุดก็ต้องกระเทือนถึงปากท้องชาวบ้าน

โดยเงื่อนเวลาที่ประเมินคร่าวๆกว่าจะตั้งรัฐบาลได้เร็วสุดก็กลางเดือนกรกฎาคมหรืออาจลากยาวไปถึงปลายเดือนกรกฎาคม และนั่นก็จะโยงกับจังหวะสำคัญในเชิงบริหารราชการแผ่นดิน นั่นคือคิวการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในสภาผู้แทนราษฎร

กว่าจะผ่านกระบวนการสภาฯเบิกจ่ายได้ ก็น่าจะกินเวลาไปถึงเดือนธันวาคมปลายปี

ภายใต้ไฟต์บังคับแบบที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ถึงแม้จะได้กัปตันทีมคนเดิมอย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯนั่งกุมบังเหียนเดิม

“กระบี่มือหนึ่ง” ดึงความมั่นใจของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ รอบนี้กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญทั้งพาณิชย์ คมนาคม เกษตรฯ การท่องเที่ยวฯ ตกอยู่ในโควตาของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย โดยสภาพการที่การควบคุมสั่งการไม่คล่องตัวเหมือนเก่า ยากจะคอนโทรลกระทรวงเศรษฐกิจให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ยังไงก็กระทบกับเมกะโปรเจกต์ที่ “ประยุทธ์ภาค 1” วางมา 4-5 ปีแน่

ซึ่งนั่นจะโทษกัปตันทีมอย่าง “สมคิด” ไม่ได้ เพราะผู้มีอำนาจขาใหญ่เดินแต้มผิดเอง

และตามสภาพที่ผู้นำรัฐบาลถูก “ขี่คอ” ตั้งแต่ต้น มันก็หนีไม่พ้นภาพเทาๆดำๆของ ครม.ใหม่ที่เปิดหน้าเปิดโพยออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ส่อเรียกเสียง “ยี้” ตามอาการแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกตัวล้อฟรีจะไปกีดกันคนนั้นคนนี้ไม่ได้ ในเมื่อประชาชนเลือกมาแล้ว

แนวโน้ม “ลุงตู่” คงยกประโยชน์ให้จำเลย แลกกับเสียงหนุน

แต่จุดสำคัญคือด่านสุดท้าย “กล้องมุมสูง” ที่สแกนละเอียดยิบในห้วงการเมืองเปลี่ยนผ่าน

ถ้าพลาด งานนี้ต้องรับผิดชอบตัวใครตัวมัน

อย่างไรก็ดี ณ นาทีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังถือ “ไพ่” แต้มต่อในมือ ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญเอื้อให้เกิดเหตุสะดุดยังสามารถแก้ไขไปตามสถานการณ์ไม่มี “ทางตัน”

ในสถานการณ์ร้ายสุด เกิดเหตุเสียงในสภาสะดุด รัฐบาลบริหารต่อไม่ได้ ตามเงื่อนไขที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล 41 คนปมถือหุ้นสื่อ

ถ้าผลออกมาผิดจริง เสียงหนุนฝั่งรัฐบาลหายไปอื้อ

มันก็มีช่องทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ “ลาออก” แล้วโหวตนายกรัฐมนตรีใหม่ในที่ประชุมรัฐสภา โดยมีเสียง 250 ส.ว.เป็นฐาน บวกกับเสียงพรรคพลังประชารัฐและแนวร่วม โอกาสจะกลับมาเป็นนายกฯก็ยังเปิดกว้าง

เช่นเดียวกับช่องทาง “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่ ความได้เปรียบคู่แข่งก็เหนือกว่าอยู่ดี

โดยเงื่อนสถานการณ์แบบที่ปรมาจารย์ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา การันตีสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ กลางที่ประชุมสภา ตามรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาลมาตรา 264 กำหนดให้ ครม.ชุดปัจจุบันอยู่ต่อไปจนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่ทำหน้าที่ ดังนั้นรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ใช่คณะรักษาการ เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญกำหนดให้สถานะรัฐบาลปัจจุบันยังคงอยู่

“บิ๊กตู่” ควบแน่นทั้ง “นายกฯเก่า-นายกฯใหม่”

อย่างไรก็ตาม โดยสถานภาพความแข็งแกร่งของ พล.อ.ประยุทธ์จะดร็อปลงไประดับหนึ่ง ก็ช็อตหลังจาก ครม.ชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณ แถลงนโยบายต่อสภา

เข้าปฏิบัติหน้าที่ “ประยุทธ์ภาค 2” อย่างเป็นทางการ

เมื่อนั้นสถานะ “ผู้นำอำนาจพิเศษ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะหลุดไปโดยอัตโนมัติ พร้อมกับดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 ก็จะไม่มีอยู่ในกำมือ

ถือแค่ดาบพลาสติก เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง

เล่นบท “ฤาษีเลี้ยงลิง” เอาล่อเอาเถิดกับ ส.ส. เสือ สิงห์ กระทิง แรด ฤทธิ์มากกว่าเยอะ ถ้าเทียบกับการกำกับเกมกองทัพ หรือสยบแกนนำขาป่วนเกมมวลชนที่ผ่านๆมา

นั่นจึงเป็นที่มาของกระแสข่าวโยนหินถามทาง พล.อ.ประยุทธ์ จ่อกระโดดมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วยตัวเอง โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานกุนซือพรรค

ยกระดับเป็นพรรคทหารร้อยเปอร์เซ็นต์

แต่อีกนัย โดยความตั้งใจของ “บิ๊กตู่” ก็หวังจะล้างภาพเคลียร์ปมที่ถูกประทับตราผู้นำรัฐประหาร เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองเต็มตัว

เจ้าตัวกำลังอยู่ระหว่าง “ชั่งน้ำหนัก” ผลกำไรขาดทุน

เพราะถ้าตัดสินใจกระโดดร่วมวงพันตูการเมืองเต็มรูปแบบในฐานะหัวหน้าพรรค ก็ต้องพร้อมรับชอบ และรับผิดกับผลทางการเมืองและข้อผูกมัดทางกฎหมายที่จะตามมา

ไม่ว่าจะโทษยุบพรรค คดีอาญา แบบที่มีตัวอย่างให้เห็น

ที่แน่ๆเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์รับบทหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนักการเมืองเต็มขั้น มันก็เป็นอะไรที่ต้องเว้นช่องไฟ ถอยห่างออกจากกันโดยอัตโนมัติ

ตามธรรมชาติกองทัพไม่สามารถเป็นแบ็กอัปให้เต็มที่เหมือนเก่า

พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่น้อง 3 ป. ต้องเดินหน้าไปต่อในเส้นทางอำนาจการเมืองด้วยลำแข้งตัวเองเป็นหลัก

นี่แหละจุดที่ทำให้ต้องคิดหนักก็ตรงนี้

มันคือสถานการณ์ “เปลี่ยนผ่าน” ครั้งสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้ามองกันในมุมธรรมชาติการเมือง เกมป่วนในการฟอร์ม ครม.ก็เป็นเรื่องปกติมาทุกยุคทุกสมัย เพราะการเมืองก็คือเรื่องอำนาจและผลประโยชน์

ถ้าจูนกันลงตัว ต่อให้เสียงปริ่มน้ำยังไงก็ลากกันไปได้

ประกอบกับต้นทุนเนื้องานที่จับต้องได้จาก 4-5 ปี ของ “ประยุทธ์ภาค 1” โดยการวางฐานการ พัฒนาการทางเศรษฐกิจระยะยาว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่เริ่มออกดอกออกผล

สถานการณ์แบบที่ “บิ๊กตู่” ตีปี๊บโชว์ผ่านเพจ Prayut Chan-o-cha ขณะนี้ราคาปาล์มและยางพาราได้ปรับสูงขึ้นในรอบหลายปี โดยปาล์มดิบราคาปรับเพิ่มขึ้น 3.30-3.50 บาท/กก. เช่นเดียวกับราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ราคา 60.05 บาทต่อกิโลกรัม ถือว่าสูงมากกว่าในช่วงหลายปีเช่นกัน

เป็นผลงานทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กับนายสมคิด แม้ ครม.เหลือไม่เต็มทีม

นั่นหมายถึง ถ้ารัฐบาล “ประยุทธ์ภาค 2” พรรคร่วมรัฐบาลที่คุมโควตากระทรวงเศรษฐกิจ

ทำได้ตามมาตรฐานที่ทีม “สมคิด” เดินหมากไว้ มาตรการประคองปากท้องเกษตรกรคนรากหญ้าได้ผล

ประชาชนจะเป็นหลักให้ยึดแน่นๆ นักการเมืองจะป่วนยังไง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็ถือว่าอยู่ในโซนปลอดภัย

เว้นแต่รัฐบาลผสมไปกันคนละทาง ขบเหลี่ยมเหยียบตาปลา ซ้ำภาวะเศรษฐกิจที่จ่อปากเหว

ที่สำคัญถ้าเกิดแผลคอร์รัปชัน โดนจับได้ไล่ทัน เสือหิว เสือโหย ปล้นกลางวันแสกๆ

ประชาชนทนไม่ไหว รวมตัวออกมาประท้วงขับไล่

เข้าเหลี่ยมจังหวะอุ่นเตารอ กับกระบวนการรุกของ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เดินเกมนอกสภา แท็กทีมกับมือมวลชนของ “ทักษิณ” รอจังหวะล้มกระดาน

ไฟจุดติด ม็อบไล่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันลุกพรึ่บ

ต่อให้รัฐธรรมนูญเอื้อให้ทุกทาง ถือไพ่แต้มต่อในมือ “บิ๊กตู่” ก็ยากจะหวนกลับสู่อำนาจ

เผลอๆอาจถึงขั้นไม่มีโอกาสกลับประเทศเหมือนอดีตผู้นำบางคนเผชิญ.

“ทีมการเมือง”