PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เครือข่ายมหาวิทยาลัย เคยจี้คสช.เลิกพาสปอร์ตถอดยศทักษิณ1ปีก่อน

(16/6/57)ตัวแทนเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยได้เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของ คสช. และขอให้ คสช. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยตระหนักถึงต้นเหตุแห่งปัญหา พร้อมเรียกร้องให้ คสช. เร่งออกคำสั่งให้  กลับมารายงานตัวโดยเร็ว และพิจารณาตั้งข้อหาและดำเนินคดี ให้นำคดีเข้าพิจารณาในศาลทหารในทันที รวมทั้งให้ถอดยศ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเพิกถอนหนังสือการเดินทางทางการทูตด้วย
ทั้งนี้ ให้เหตุผลว่า 1 กรณี นายจักรภพ เพ็ญแข นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ นายเอกภพ เหลือรา หรือตั้ง อาชีวะ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน และนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แสดงพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชนุภาพ จนมีการตั้งข้อกล่าวหาและออกหมายจับ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดตั้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ที่สนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งที่บุคคลเหล่านี้ได้พูดถึงการติดต่อสื่อสาร และได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
2. ที่ผ่านมามีการตรวจยึดอาวุธสงคราม และสามารถจับกุมบุคคลที่ครอบครองอาวุธได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังค้นพบแผนการของขบวนการที่จะก่อการร้าย ไปจนถึงแผนการแบ่งแยกดินแดน เช่น กรณีขอนแก่นโมเดล ก็มีหลักฐานสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับ  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
3. รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ประกาศมาตลอดว่า โครงการรับจำนำข้าวมาจากแนวคิด "ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ" เมื่อปรากฏว่าโครงการรับจำนำข้าว นอกจากจะขาดทุนมากกว่า 5 แสนล้านบาทแล้ว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยังระบุว่าโครงการนี้มีการทุจริตทุกขั้นตอน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
4. ระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา การชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ถูกลอบโจมตี และมีประชาชนถูกทำร้าย จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยมีหลักฐานแสดงว่าอาวุธและบุคคลที่ต้องสงสัยในการก่อเหตุหลายกรณี เชื่อมโยงกับอาวุธและบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้การสนับสนุน.

กลุ่ม 40 ส.ว.หนุนเลิกพาสปอร์ต 'แม้ว'จี้ถอดยศต่อ

 เดลินิวส์

อดีต ส.ว.กลุ่ม 40 หนุน กต.ยกเลิกพาสปอร์ต 'แม้ว' เชื่อไม่เกิดแรงกระเพื่อม ด้าน 'ประสาร'จี้นำตัวกลับประเทศดำเนินคดี พร้อมถอดยศ 
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2558 เวลา 16:28 น. 

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะกลุ่ม 40 ส.ว.ที่เคยผลักดันให้หน่วยงานรัฐ ยกเลิกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศประกาศยกเลิกพาสปอร์ต ของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตนเห็นด้วย เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และไม่เกี่ยวกับประเด็นการเมือง เพราะกรณีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ให้ร้ายกับบุคคล และกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และการดำเนินการนั้นเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ในหมวด 7 ว่าด้วยการปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทาง ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย จะไม่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อม หรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองใด ๆ ที่กระทบต่อความสงบของประเทศแน่นอน เพราะหากจะมีการเคลื่อนไหว คงมีเพียงการให้สัมภาษณ์ของเครือข่ายที่รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น แต่ประชาชนในต่างจังหวัดนั้น ขณะนี้มีความเข้าใจในประเด็นที่เกิดขึ้นแล้ว 

อย่างไรก็ตามการที่ฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจดำเนินการดังกล่าวในช่วงเวลานี้ ไม่ถือว่าเป็นการเปิดหน้าสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้นที่เดินหน้าชนเพียงฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ด้านนายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กลุ่ม 40 ส.ว. กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับกระทรวงการต่างประเทศที่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าว ทั้งนี้ตนไม่ขอวิจารณ์ว่าทำไมฝ่ายความมั่นคง หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องปล่อยเวลานานถึง 1 ปี ก่อนที่จะดำเนินการยึดพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเมื่อเขาได้ทำหน้าที่แล้ว ควรได้รับคำชมเชย อย่างไรก็ตามตนขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีในประเทศไทย รวมถึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย เพราะความผิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำนั้น ถือมีความโจ่งแจ้งมาก.“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/politics/324078

“วีรชน” ชี้ตำรวจชงเรื่องให้ถอนพาสปอร์ต “นช.แม้ว” เหตุทำผิดซ้ำซาก

ยุคนี้ตำรวจกล้า!!
“วีรชน” ชี้ตำรวจชงเรื่องให้ถอนพาสปอร์ต “นช.แม้ว” เหตุทำผิดซ้ำซาก
รองโฆษกรัฐบาลระบุตำรวจชงเรื่องให้บัวแก้วถอนพาสปอร์ต “นช.แม้ว” หลังกระทำผิดซ้ำซาก หากไม่ดำเนินการจะมีความผิดมาตรา 157
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศประกาศถอนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ผู้ที่ดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการกระทำความผิดกฎหมายในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมสถิติบุคคลที่เข้าข่ายที่จะต้องถูกถอนพาสปอร์ต ส่งมายังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าอยู่ในข่ายที่ถูกถอดถอนพาสปอร์ตด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจ้องทำแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเพราะทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชงเรื่องเข้ามา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาไปตามความผิดที่มีอยู่จริง ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ฉะนั้นจำเป็นต้องทำตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปพูดที่เกาหลีใต้ใช่หรือไม่ พล.ต.วีรชนกล่าวว่า เหตุเกิดจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณกระทำความผิดกฎหมายของไทยเป็นหลักอยู่ในกรอบที่ต้องถูกถอนพาสปอร์ต และหน่วยงานที่รับผิดชอบเสนอเรื่องมา เมื่อถามว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อมีรายงานก่อนหน้านี้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถือพาสปอร์ตมอนเตเนโกร พล.ต.วีรชนกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีหรือไม่มีประโยชน์ แต่เป็นเรื่องของหลักเกณฑ์ และกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ


เปิดระเบียบ “บัวแก้ว” หมวด 7 ข้อ 21 วรรค 4 ทำไม? ถึงยึดพาสปอร์ต “ทักษิณ”

เปิดระเบียบ“บัวแก้ว”ว่าด้วยการขอพาสปอร์ต ย้ำ หมวด 7 ข้อ 21 วรรค 4 เจ้าหน้าที่ฯสามารถปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทางได้ หากพบว่า “จะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย” ด้าน กลุ่ม 40 ส.ว.จี้ “ถอดยศทักษิณต่อ” 
      
       วันนี้(27 พ.ค.) หลังจากกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) 2 เล่ม ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปแล้ว ขณะที่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จากกลุ่ม 40 ส.ว. เช่น นายสมชาย แสวงการ กล่าวว่า เห็นด้วยที่ และมองว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ให้ร้ายกับบุคคลและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และการดำเนินการนั้นเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ในหมวด 7 ว่าด้วย การปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทาง
      
       ส่วนตัวเชื่อว่า การดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย จะไม่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมหรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ที่กระทบต่อความสงบของประเทศแน่นอน เพราะหากจะมีการเคลื่อนไหว คงมีเพียงการให้สัมภาษณ์เครือข่ายที่รับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น แต่ประชาชนในต่างจังหวัดนั้น ขณะนี้มีความเข้าใจในประเด็นที่เกิดขึ้นแล้ว
      
       ส่วนกรณีที่ฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจสั่งการให้กระทวงการต่างประเทศดำเนินการยึดพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงเวลานี้ ไม่ถือว่าเป็นการเปิดหน้าสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้นที่เดินหน้าชนเพียงฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ดังนั้น กรณีนี้ เป็นการทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และไม่เกี่ยวกับประเด็นการเมือง
      
       นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับกระทรวงการต่างประเทศที่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าว ทั้งนี้ตนไม่ขอวิจารณ์ว่าทำไมฝ่ายความมั่นคง หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องปล่อยเวลานานถึง 1 ปี ก่อนที่จะดำเนินการยึดพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเมื่อเขาได้ทำหน้าที่แล้ว ควรได้รับคำชมเชย
      
       อย่างไรก็ตามตนขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีในประเทศไทย รวมถึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย เพราะความผิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำนั้น ถือมีความโจ่งแจ้งมาก
      
       มีรายงานว่า สำหรับ หมวด 7 การปฏิเสธหรือยับยั้งคำขอหนังสือเดินทาง ที่นายสมชาย แสวงการ กล่าวอ้าง เป็น ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ประกาศ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 โดย นายกันตธีร์ ศุภมงคล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เอง
      
       โดยเฉพาะข้อ 21 พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอ หรือแก้ไขหนังสือเดินทางในกรณี (2) เมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้
      
       รวมทั้ง (4) เมื่อผู้ร้อง (ผู้ถือพาสปอร์ต)กระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญ หรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหนังสือเดินทาง หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ หรือหากเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพของผู้เดินทางเอง หรือ “จะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย” และ ข้อ 22 พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอและออกหนังสือเดินทางให้แก่ผู้ร้อง (ผู้ถือพาสปอร์ต)ได้.

มติประชุมกก.เยียวยา จ่ายผู้เสียชีวิตกลุ่มกปปส.รายละไม่เกิน 4 เเสน บาดเจ็บ 2 แสน

วันที่ 27 พ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายรัฐมนตรี เปิดเผย ภายหลังการประชุมคณะกรรมการเยียวยา แก่ผู้ประสบภะยและสูญเสียจากความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่มีการชุมนุมสองช่วง คือช่วง ปี 2547 - 2553 ตั้งแต่สมัย รัฐบาลทักษิณ ถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ และช่วงสองคือ ปี 2556-2557 คือช่วงสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งการชุมนุมส่งผลให้เกิดสูญเสียชีวิต ร่างกาย
ทั้งนี้ การเยียวยามีการตั้งกรรมการหลายยุคสมัย โดยในยุครัฐบาลนี้มีตนเป็นประธาน ซึ่งรัฐบาลนี้ถือว่าการเยียวยาเป็นนโยบายของรัฐบาล โดยการเยียวจะมีการจัดเวลาเป็นสองช่วง โดยรัฐบาลนี้จะยกผู้สูญเสียจากปี 2556-2557 มาช่วยก่อน เพราะการช่วยเหลือปี 2547 - 2553 กำลังอาจถูก อนุกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในการจ่ายเงินเยียวยา ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นการสอบสวน
ทั้งนี้ รัฐบาลนี้คิดจากกฏหมาย 4 ฉบับ เช่น พรบ.ค่าเสียหายหรือจำเลยมนคดีอาญา พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ พรบ.ประกันสังคม และ กฏหมายของป.ป.ช. รวมถึงเกณฑ์การจ่ายเงินผู้ประสบภัยภาคใต้ จนออกมาเป็นตัวเลขของผู้เสียชีวิต จะได้ 4 เเสนบาท หายเสียชีวิตแล้ว มีบุตร ก็จะมีเงินสงเคราะห์บุตรเพิ่มอีก รวมถึงกรณีผู้ที่บาดเจ็บ และมีทรัพย์สินเสียหาย ก็จะมีมาตราการช่วยเหลือ ส่วนผู้ที่เสียหายรายเก่า ที่อาจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะนี้ตรวจสอบแล้ว ทุกรายได้รับการชดเชยทั้งหมดแล้ว ส่วนผู้ที่ได้เงินไป 7.5 ล้านบาท ก็กำลังอยู่ในขั้นสอบสวนของ ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช.ชี้มูลเสร็จ ก็อาจยกขึ้นมาพิจารณา ส่วนจะมีการเรียกคืน เงิน 7.5 ล้านหรือไม่ยังไม่ขอตอบ ต้องรอความชัดเจนก่อน
ทั้งนี้ การเยียวยายังไม่ได้จบแค่นี้ยังมีมาตรการอื่นๆ อีก โดยเงินทั้งหมดจะจ่ายได้ทันหากมีมติ ครม.ออกมา เเละเงินจะจ่ายโดยกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ซึ่งตัวเงินเยียวยาครั้งนี้ยังไม่ได้ตั้งตัวเงิน คิดว่าน่าจะใช้เงินเพียงหลักร้อยล้าน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1432706580


“ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว” ตอกย้ำคำพูด “บิ๊กตู่” ก่อนวันถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ ชินวัตร”

“ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว” ตอกย้ำคำพูด “บิ๊กตู่” ก่อนวันถอนพาสปอร์ต “ทักษิณ ชินวัตร” เผยหนังสือเดินทาง 2 เล่มเป็นประเภทบุคคลทั่วไป ออกให้สมัย “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” เป็น รมว.ต่างประเทศ “ปึ้ง” ย้ำหากกลับมาเป็นรัฐบาลคืนพาสปอร์ตให้นายใหญ่อีก ด้านรองโฆษกรัฐยันไม่ได้แกล้งใคร แม้ “ทักษิณ” ยังมีพาสปอร์ตมอนเตเนโกร
       
       วันนี้ (27 พ.ค.58) นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าในการยกเลิกพาสปอร์ต 2 เล่ม ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยยอมรับว่า เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ภายในอำนาจหน้าที่ ในเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้พิจารณาเห็นว่าถ้อยคำการให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัย หรือชื่อเสียง และเกียรติภูมิของประเทศไทย ประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสวบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 326 และ 328 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (3) และ(5) กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทาง ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ข้อ 21 (4) และข้อ 23 (2) จึงได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง เลขที่ U 957441 และเลขที่ Z530117 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2558
       
       สำหรับหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่มดังกล่าว เป็นหนังสือเดินทางประเภทบุคคลทั่วไป ที่ออกให้ในสมัยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยหนังสือเดินทางธรรมดา (หน้าปกสีแดงเลือดหมู) ออกให้สำหรับประชาชนทั่วไป มีอายุไม่เกิน 5 ปี
       
       ขณะที่ปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ มีพาสปอร์ตของประเทศมอนเตเนโกร และประเทศนิการากัวใช้อยู่
       
       มีรายงานว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ถึงเวลาที่ คสช.จะได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการถอนพาสปอร์ต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งแล้ว เพราะพิจารณาจากคดีความที่หลบหนีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท รวมถึงคดีที่ศาลต้องหยุดพิจารณาคดีชั่วคราวอีกหลายคดี เพราะจำเลยหลบหนี เป็นเหตุผลมากเกินพอที่จะต้องปฏิบัติในเรื่องการยกเลิกพาสปอร์ต ทักษิณไม่ต้องใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 หรอกครับ เพียงแค่กฎหมายปกติกับกฎกระทรวง และใช้ความกล้าหาญตัดสิน
       
       ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็ออกมาระบุตอนหนึงว่า “ไม่ใช่ใครพูดทีก็ตกใจที พูดมาทีก็ข้ามไม่พ้นเสียที อะไรที่เป็นความเลวร้ายถ้าหยุดไปก็จบ ถ้าเขาอยากจะพูด ก็พูดไป ผมก็พูดอย่างเดียว ถ้าถูกกฎหมายก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมายแสดงว่าเขาผิดกฎหมาย เขากลับบ้านไม่ได้นั่นแหละคือเรื่องของผม”
       
       “ยังไงผมก็ชนะท่านอยู่แล้ว ผมเชื่อมั่นทำความดี ไม่ต้องกลัว” 
       
       รองโฆษกรัฐบาลยันไม่ได้แกล้งใคร แม้ “แม้ว” ยังมีพาสปอร์ตมอนเตเนโกร
       
       พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ที่ดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการกระทำความผิดกฎหมายในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมสถิติบุคคลที่เข้าข่ายที่จะต้องถูกถอนพาสปอร์ต ส่งมายังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าอยู่ในข่ายที่ถูกถอดถอนพาสปอร์ตด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจ้องทำแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นเพราะทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชงเรื่องเข้ามา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาไปตามความผิดที่มีอยู่จริง ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ฉะนั้นจำเป็นต้องทำตามกฎหมาย
       
       ส่วนเป็นเพราะเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดที่เกาหลีใต้ใช่หรือไม่ พล.ต.วีรชนกล่าวว่า เหตุเกิดจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณกระทำความผิดกฎหมายของไทยเป็นหลักอยู่ในกรอบที่ต้องถูกถอนพาสปอร์ต และหน่วยงานที่รับผิดชอบเสนอเรื่องมา
       
       เมื่อถามว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อมีรายงานก่อนหน้านี้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถือพาสปอร์ตมอนเตเนโกร พล.ต.วีรชน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีหรือไม่มีประโยชน์ แต่เป็นเรื่องของหลักเกณฑ์ และกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ
       
       “ปึ้ง” ย้ำกลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบจะคืนทั้ง 2 เล่ม
       
       ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งยกเลิกไปครั้งหนึ่งแล้ว โดยให้เหตุผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ
       
       “และเมื่อผมมาเป็น รมว.ต่างประเทศ ก็สั่งให้คืนหนังสือเดินทาง เพราะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำความเสียหายอะไรให้กับประเทศ มาครั้งนี้ก็เป็นสิทธิ เป็นอำนาจของ รมว.ต่างประเทศ ที่จะคิดเห็นอย่างไร แต่ถ้าผมกลับมาเป็นรัฐบาลอีกก็จะคืนหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนเดิม เพราะเรามองว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ทำความเสียหายอะไร”
       
       อดีต รมว.ต่างประเทศในรัฐบาลยิ่งลักษณ์บอกด้วยว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาแสดงความคิด แสดงความเห็น ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร อยู่ที่ประชาชนที่ได้รับฟังจะเชื่ออย่างไร ซึ่งการแสดงความเห็นถือเป็นสิทธิที่จะปิดกั้นไม่ได้ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นฝ่ายที่ถูกกระทำมาตลอด ก็ควรจะมีสิทธิ ที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง
       
       ย้อนรอย รัฐบาลอภิสิทธิ์ถอนพาสปอร์ตแม้ว ก่อน “ปึ้ง” คืน
       
       มีรายงานว่า ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำหนังสือถึงรัฐบาล ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดำเนินการชี้แจงเรื่องที่ “กระทรวงการต่างประเทศไม่ยอมทบทวนการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี”
       
       ก่อนหน้านั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีหนังสือจากผู้ตรวจว่าผู้ต้องหาคดีอาญาเป็นการกระทำที่ขัดระเบียบว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ของกระทรวงการต่างประเทศ
       
       โดยนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงการต่างประทศขณะนั้น มีหนังสือแจ้งกลับไปยัง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานต่อคณะทำงานที่สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งขึ้น ยืนยันว่าการออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการคืนสิทธิการมีหนังสือเดินทางเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กระทรวงการต่างประเทศเคยออกให้เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 50 และถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 52 เพราะหลังรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ใช้อำนาจตามข้อ 23 (7) ของระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง 2548 พิจารณาเห็นว่าการคงอยู่ในต่างประเทศต่อไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยและต่างประเทศ
       
       ทั้งนี้ ในกรณีของหนังสือเดินทางทุกประเภทหากถูกยกเลิกแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด เมื่อได้รับสิทธิให้มีหนังสือเดินทาง บุคคลนั้นจะไม่สามารถใช้หนังสือเดินทางเล่มเดิมได้ การคืนสิทธิจึงจำเป็นต้องออกหนังสือเดินทางเล่มใหม่ให้ และเมื่อกระทรวงการต่างประเทศมีการยืนยันดังกล่าว ทางคณะทำงานของสำนักนายกรัฐมนตรีจึงไม่อาจก้าวล่วงได้
       
       นอกจากนี้ หนังสือของนายพงศ์เทพยังระบุด้วยว่า ในส่วนที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอให้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทางข้อ 21 (2) ที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลพินิจในการพิจารณาออกหรือไม่ออกหนังสือเดินทางให้กับบุคคลที่มีปัญหาทางกฎหมาย เช่น เป็นผู้ต้องหาคดีอาญานั้น คณะทำงานมีข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะหนังสือเดินทางเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน จึงทำให้ระเบียบฯ ดังกล่าวถูกวางในลักษณะเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ดุลพินิจในการพิจารณาตัดสินว่าจะออกหรือไม่ออกหนังสือเดินทางให้กับบุคคล รวมถึงกรณีหากมีการคืนสืทธิการมีหนังสือเดินทางให้กับบุคคลที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ย่อมน่าจะเป็นผลดีให้ราชการสามารถทราบความเคลื่อนไหวและสืบหาถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศของบุคคลดังกล่าวได้
       
       ขณะที่กลุ่มกรีนในขณะนั้น ได้ส่งคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติมในการสอบสวนเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ม.157

ขนาดถนนยังละลาย!! ยอดตายคลื่นความร้อนอินเดียทะลุ1,100ศพ เตือนปชช.อยู่แต่ที่ร่ม

บีบีซี - ยอดผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนที่แผ่ปกคลุมหลายรัฐในอินเดีย ทะลุ 1,100 ศพ โดยบางพื้นที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปเฉียดๆ 50 องศาเซลเซียส ทำเอาทางม้าลายถึงขั้นหลอมละลาย ขณะที่ทางการเตือนประชาชนให้อยู่แต่ในที่ร่ม

พื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดคือรัฐอานธรประเทศ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ หลังพบผู้เสียชีวิต 852 ศพ ส่วนอีกแห่งคือรัฐเตลันกานาที่อยู่ติดกัน มีผู้เสียชีวิต 266 คน ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากพิษคลื่นความร้อนนับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วใน 2 รัฐนี้ ขยับขึ้นเป็นอย่างต่ำ 1,118 คน

อย่างไรก็ตามมีรายงานข่าวระบุว่ายังพบผู้เสียชีวิตสืบเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุในรัฐเบงกอลตะวันตกกับรัฐโอริสสา อีกอย่างต่ำ 24 ศพ

โรงพยาบาลต่างๆได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมรักษาคนไข้ที่มีอาการของโรคลมแดดและทางการแนะนำประชาชนให้อยู่แต่ในที่ร่ม อย่างไรก็ตามยังพอมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อมีความเป็นไปได้ที่อุณหภูมิในบางพื้นที่จะลดลงในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า

คลื่นความร้อนเข้าปกคลุม 2 รัฐที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน แต่กรณีเสียชีวิตส่วนใหญ่เพิ่งเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในรัฐอานธรประเทศ ที่สภาพอากาศเลวร้ายที่สุด พบว่าอุณหภูมิพุ่งทะยานถึง 47 องศาเซลเซียสในวันจันทร์(25พ.ค.)

ฝ่ายบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐอานธรประเทศ ระบุว่า ได้ดำเนินการให้ความรู้ผ่านทางโทรทัศน์และสื่ออื่นๆ โดยบอกประชาชนว่าไม่ควรออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีหมวก รวมถึงควรดื่มน้ำให้มากและใช้มาตรการป้องกันอื่นๆ

เรายังได้ร้องขอไปยังเอ็นจีโอและหน่วยงานรัฐให้เปิดจุดบริการน้ำดื่ม เพื่อให้มีน้ำไว้คอยบริการแก่ผู้คนในเมือง เจ้าหน้าที่บอกกับเอเอฟพี

ในรัฐเตลังคานา เหยื่อส่วนใหญ่เสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางอุณหภูมิที่พุ่งสูงถึง 48 องศาเซลเซียสในช่วงสุดสัปดาห์

อัลเฟรด อินเนส ที่พักอาศัยในเมืองไฮเดอร์ราบัด เมืองหลวงของรัฐเตลันกานา บอกว่าประชาชนแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางการเลย ผมได้เห็นเด็กชายวัย 3 ขวบที่พักอยู่ใกล้ๆกันเสียชีวิตกับตา นั่นเพราะอากาศร้อนจัดมาก มันน่าเศร้าอย่างยิ่ง รัฐบาลไม่ทำอะไร แต่ละคนต้องพยายามช่วยเหลือตนเอง
อุณหภูมิในเตลันกานา ลดลงเล็กน้อยเมื่อวันอังคาร(26พ.ค.) ส่วนในรัฐอานธรประเทศ คาดหมายว่าจะเริ่มลดลงในช่วงปลายสัปดาห์ และเชื่อว่าอุณหภูมิจะเย็นขึ้นเรื่อยๆเมื่อฤดูมรสุมเริ่มขึ้นในสิ้นเดือนนี้
หนังสือพิมพ์ ฮินดูสถาน ไทม์ รายงานว่าอากาศในนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ทำสถิติร้อนระอุที่สุดในรอบ 2 ปี ด้วย 45.5 องศาเซลเซียส เมื่อวันจันทร์(25พ.ค.) และบนหน้า 1 ของสื่อฉบับนี้ยังได้ตีพิมพ์ภาพถนนเส้นหนึ่งภายในเมือง ที่หลอมละลายเพราะความร้อน โดยจะเห็นได้ชัดเจนว่าทางม้าลายที่เป็นแถบสีขาวนั้นกลายเป็นเส้นโค้งผสมปนเปกับยางมะตอยสีดำ
กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดียระบุคลื่นความร้อนครั้งนี้มีต้นตอจากภาวะแล้งฝน พร้อมเตือนว่าในรัฐโอริสสา รัฐฌาร์ขันฑ์และรัฐรัฐอานธรประเทศ อุณหภูมิสูงสุดจะยังคงอยู่เหนือ 45 องศาเซลเซียส
มีความกังวลว่าในบางรัฐที่ได้รับผลกระทบรุนแรงอาจเผชิญกับภัยแล้งจนกระทั่งฝนฤดูมรสุมจะมาถึง ทั้งนี้คาดหมายว่าฤดูมรสุมจะเล่นงานรัฐเกรละราวๆสิ้นเดือน ก่อนพัดพาไปทั่วประเทศ


บิ๊กตู่แฉก๊วนหากินผิดกม. สูญเงินเดือนหลายพันล.

25/05/2558 

บิ๊กตู่แฉก๊วนหากินผิดกม. สูญเงินเดือนหลายพันล.

"บิ๊กตู่" เผยเหตุเศรษฐกิจไทยตกต่ำเพราะมีการแสวงหาผลประโยชน์จากการทำผิดกฎหมาย ทำให้เงินหายไปหลายพันล้านต่อเดือน

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นำคณะเจ้าหน้าที่และนักกีฬาเข้ารับโอวาทที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนเดินทางไปแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ตอนหนึ่งว่า
วันนี้รัฐบาลเข้ามาทำหลายอย่าง เรื่องความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การขยายการค้า การลงทุน และสร้างความเชื่อมั่น และในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ถ้าเราไม่มีความร่วมมือจากต่างประเทศ ไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็จะไปไม่ได้

เขากล่าวว่า ที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำมากในตอนนี้ เกิดจากสองปัจจัย

คือเกิดจากความเข้มแข็งยังมีไม่เพียงพอ และ ปล่อยให้บ้านเมืองอยู่ในสถานะของการทำผิดกฎหมาย ค้าขายแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่งเงินตรงนี้หายไปเดือนนึงหลายพันล้าน
ซึ่งคนเหล่านี้อยู่ระดับล่างทั้งนั้น เป็นกลุ่มอิทธิพลต่างๆ  ทั้งหมดเป็นวงจรที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทยมานานแล้ว

วันนี้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องทำตรงนี้  อาจมีผลกระทบกับพ่อแม่พี่น้องบ้างก็ต้องเข้าใจ
แต่ถ้าทุกคนคิดว่าไม่ต้องเคารพกฎหมาย อยากให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ก็เลือกเอา
ไปรอรัฐบาลใหม่มา

พลิกปูมปฏิบัติการ เด็ดปีก! ยกเลิกหนังสือเดินทาง “ทักษิณ ชินวัตร”

พลิกปูมปฏิบัติการ เด็ดปีก! ยกเลิกหนังสือเดินทาง “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อน คสช. ย้อนตั้งแต่ปี’50 “บัวแก้ว” ยุค “สุรยุทธ์” จุดชนวน ก่อนเหลว ทิ้งช่วง “สมัคร-สมชาย” สำเร็จยุค “มาร์ค” แต่ไม่วาย “รบ.ยิ่งลักษณ์” คืนให้ต่อ
PIC thaksinnnuu 27 5 58 1
กลายเป็นที่ฮือฮากันทีเดียว !
ภายหลังกระทรวงการต่างประเทศ “ยกเลิก” หนังสือเดินทาง “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 
ด้วยเหตุที่ฝ่ายความมั่นคงพิจารณา “ถ้อยคำ” ของ “ทักษิณ” ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศ มีเนื้อหากระทบความมั่นคง ความปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย !
ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 326 และ 328 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) และ (5) 
โดยคำสั่งดังกล่าวของกระทรวง “บัวแก้ว” มีผลตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2558
อย่างไรก็ดี หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ มีเหตุการณ์เตรียม “เด็ดปีก” พ.ต.ท.ทักษิณ ของฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐแล้วหลายครั้ง
ไล่มาตั้งแต่ยุค “รัฐบาลขิงแก่” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จนมาถึงรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำเหตุการณ์ดังกล่าวมาเรียบเรียงให้เห็นกันชัด ๆ ดังนี้
ช่วงต้นปี 2550 มีรายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่า “คุณหญิงเป็ด” จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ขณะนั้น) และหนึ่งใน คตส. รายงานต่อที่ประชุมว่า นายสวนิต คงศิริ รมช.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) ได้ทำหนังสือในนามกระทรวงการต่างประเทศถึงคุณหญิงจารุวรรณ เพื่อขอทราบรายงานผลการตรวจสอบข้อกล่าวหาการทุจริตประพฤติมิชอบใน “รัฐบาลทักษิณ” 
โดยในที่ประชุมคราวนั้น กรรมการ คตส. หลายคนมีความเห็นตรงกันว่า สมควรยกเลิก “พาสปอร์ตแดง” ซึ่งเป็นหนังสือเดินทางที่ให้อภิสิทธิ์ทางการทูตแบบพิเศษ ไปได้ 30 ประเทศโดยไม่ต้องทำ “วีซ่า” 
หลังจากนั้น สตง. ได้ทำหนังสือตอบกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศ รายงานถึงผลการสอบสวนของ คตส. ในแต่ละโครงการ ซึ่งรวมถึงโครงการที่ คตส. ได้ชี้มูลความผิด “ทักษิณ” ไปแล้ว เช่น กรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX 900 และการจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ของ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ชินวัตร รวมถึงผลการตรวจสอบเรื่องการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่โยงถึงคนใกล้ชิด “ทักษิณ” เป็นต้น
แต่หลังจากนั้นเรื่องราวก็เงียบหายไปราวกับสายลม 
เนื่องจากรัฐบาลในอีก 2 สมัยต่อมา คือ “พรรคพลังประชาชน” ที่ถูกมองว่าเป็น “นอมินี” พรรคเพื่อไทย ที่ถูกยุบพรรคไปก่อนหน้านี้ และนายกรัฐมนตรีคือ “สมัคร สุนทรเวช” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์”
ก่อนปฏิบัติการ “เด็ดปีก” จะมาคุกรุ่นอีกครั้งในสมัยรัฐบาล “อภิสิทธิ์” 
ซึ่งทำสำเร็จเสียด้วย !
โดยกระทรวงการต่างประเทศ ที่มี “กษิต ภิรมย์” เป็นหัวเรือใหญ่ขณะนั้น ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูตแบบพิเศษ หรือ “พาสปอร์ตแดง” เมื่อปลายปี 2551 หลังจากที่ “ทักษิณ” ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินว่า มีความผิดในคดีที่รัชดาภิเษก ต้องจำคุก 2 ปี และคดีได้ถึงที่สุดเนื่องจากไม่มีการอุทธรณ์ และ “ทักษิณ” ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
“กษิต” อธิบายถึงกรณีการยกเลิกพาสปอร์ตแดงของ “ทักษิณ” ว่า สถานะของคุณทักษิณเป็นผู้ต้องหา แล้วก็หนีคุกตารางไป เราจึงได้ยกเลิกหนังสือเดินทางการทูต ซึ่งหนังสือเดินทางการทูตมันไม่ใช่สิทธิ แต่เป็นอภิสิทธิ์ที่รัฐบาลไทยได้ให้กับราชวงศ์ ให้กับผู้มีตำแหน่งรัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งทูต หรือบุคคลสำคัญเป็นกรณี ๆ ไป
“ในเมื่อคุณทักษิณ มีสถานะเป็นผู้ร้ายแล้วหนีคดีแล้วก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับสิทธิอันนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของคุณทักษิณด้วย” อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ยุครัฐบาล “มาร์ค” ยังยกเลิกหนังสือเดินทางบุคคลทั่วไป หรือ “พาสปอร์ตเล่มน้ำตาล” ของ “ทักษิณ” ด้วย เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2552 ด้วย ซึ่งนายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ (ขณะนั้น) ระบุเหตุยกเลิกว่า “เพื่อไม่ต้องการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะเป็นภัยต่อประเทศอีก”
แต่การกระทำดังกล่าวก็ไม่กระทบ “ทักษิณ” มากนัก เนื่องจากยังมีหนังสือเดินทาง “มอนเตเนโกร” อยู่ในมือ ทำให้บินนอก-ออกในบางประเทศได้อย่างไม่มีปัญหา แต่มีข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศที่มีข้อห้ามผู้ต้องโทษเข้าเมือง เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
อย่างไรก็ดีเมื่อพ้นยุค “รัฐบาลในค่ายทหาร” ไป จนกระทั่งการมาเยือนของ “นารีขี่ม้าขาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีการปัดฝุ่นรื้อแผน “คืน” พาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” อีกครั้ง
โดยในช่วงปลายปี 2554 4 เดือนภายหลัง “รัฐนาวายิ่งลักษณ์” ได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง “สุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล” รมว.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) กล่าวยอมรับว่า รัฐบาลได้พิจารณายกเลิกคำสั่งรัฐบาลที่แล้ว พร้อมดำเนินการคืน “พาสปอร์ต” ให้ “ทักษิณ” แล้ว
เนื่องจากการอยู่ต่างประเทศของ “ทักษิณ” นั้น ไม่ได้ก่อความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ 
แม้ว่า สตง. จะมีหนังสือถึงรัฐบาลว่า การคืนพาสปอร์ตดังกล่าวให้ “ทักษิณ” เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ “สุรพงษ์” ชี้แจงว่า พาสปอร์ตก็มีสถานะเหมือนบัตรประชาชนที่ใช้แสดงสัญชาติในต่างประเทศ ดังนั้นการยึดพาสปอร์ตก็เหมือนการยึดสัญชาติ นี่ต่างหากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง 
นอกจากนี้ในการคืนพาสปอร์ตดังกล่าวยังทำตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง ข้อ 23(7) ซึ่งเป็นระเบียบเดียวกับที่ “กษิต” ยกเลิกพาสปอร์ต “ทักษิณ” ทุกประการ
ด้วยเหตุผลทั้งมวลของ “สุรพงษ์” ทำให้ “ทักษิณ” กลับมา “สยายปีก” ทัวร์รอบโลกได้อีกครั้ง !
ก่อนที่เวลาจะผ่านมาอีกราว 4 ปีเศษ “รัฐนาวายิ่งลักษณ์” ถูกรัฐประหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ายึดอำนาจ ภายหลังควบคุมประเทศมากว่า 1 ปี จึงได้มีคำสั่งยกเลิก “พาสปอร์ต” ของ “ทักษิณ” อีกครั้ง
ล่าสุด “สุรพงษ์” ออกมาให้ความเห็นกรณีนี้ว่า ถ้าได้กลับมาเป็นรัฐบาล ก็จะคืนหนังสือเดินทางให้ “ทักษิณ” เหมือนเดิม เพราะมองว่า “ทักษิณ” ไม่ได้ทำความเสียหายอะไร
ทำให้ “หนังม้วนนี้” ดูท่าว่าจะยาว และไม่ได้ปิดฉากลงง่าย ๆ เหมือนที่ คสช. ต้องการในอนาคตเป็นแน่ 
เหมือนกับที่ความขัดแย้งในประเทศยังบานปลายและคุกรุ่นอยู่ในขณะนี้ !

ก.ต่างประเทศ ยกเลิกหนังสือเดินทาง.....!!!!!

การยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร

ด้วยฝ่ายความมั่นคงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายในอำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาเห็นว่า ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยหรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย ประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสวบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒, ๓๒๖ และ ๓๒๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๓) (๕)
กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๒๑ (๔) และข้อ ๒๓ (๒) จึงได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง เลขที่ U957441 และเลขที่ Z530117 ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘


ยุจัดหนักเพิ่ม ถอดยศ ทักษิณ หลังเลิก นส.เดินทาง


อย่างหลงประเด็น เรื่องการถอดยศ ยึดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และหนังสือเดินทาง นช.ทักษิณ ช่วงเวลานี้ถือว่าเหมาะสม และต้องทำโดยเร็ว เพราะคำพูดที่เกาหลีใต้ ห้าวเป้ง ไม่เกรงกลัว พูดชัดเจน พาดพิงอย่างจงใจ เข้าข่ายหมิ่น ตาม กฎหมายอาญา ม.112 เด็กอมมืออ่านรู้ทันที เหตุผล 10 ข้อ ที่ต้องรีบทำ
1. คลิปหมิ่นพูดที่เกาหลีใต้ เนื้อหาเป็นหลักฐานเอาผิดเต็มประตู ไม่ทำตอนนี้จะทำตอนไหน
2. เงื้อง่ามาหลายปี ผ่านมาหลายรัฐบาล และรัฐประหาร ไม่กล้าทำ ทั้งๆที่ มีหลักฐาน ความผิด มากมาย แค่คดีหนีคุก หมิ่นเบื้องสูง และก่อการร้าย ทำได้อยู่แล้ว ทำให้ทักษิณยิ่งฮึกเหิม มวลชนยิ่งเพิ่ม
3. หากยุค คสช. ยังไม่กล้าใช้อำนาจ เอาคนผิด ก็อย่าหวังว่าบ้านเมือง จะสงบได้ ไม่เกิดการปฎิรูป และความปรองดอง แน่นอน
4. ข้อกังวลว่า จะระคายเคืองเบื้องยุคลบาท หากถอดยศ ยึดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นเรื่องแก้ตัวของพวกที่รักตัว กลัวตาย รักษาเก้าอี้ ยังหวังว่าตระกูลคู จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก
5. เรื่องนี้ไม่ได้เข้าทางทักษิณ 100% กลัวว่าตระกูลคู จะใช้เป็นประเด็น กระพือต่างชาติ ทุกวันนี้ ก็พูดหมิ่น มาตลอดอยู่แล้ว ครั้งล่าสุด หนักสุด
6. สันดานคนอย่างทักษิณ เป็นพวกบ้ายศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่เอาเจ้า แต่อยากมีบรรดาศักดิ์ ไม่ต่างจากฮวยเซ็ง แต่ขี้กลากแยะ ลามปาม ตั้งตัวเป็น เจ้ามูลเมือง ทำพิธีกรรม เสมอเจ้านาย และที่เลวที่สุดสบคบ กับพวกล้มสถาบันกษัตริย์ ในการล้มล้างระบอบการปกครอง
7. การที่รัฐบาลทุกยุคไม่กล้าทำ ทำให้เข้าผิด ทึกทักว่า ทักษิณยังมีบารมีสูง โดยเฉพาะ "ตำรวจ " เจ้าของเรื่องถอดยศ และหน่วยงานยึดเครื่องราชย์ฯ ยึดหนังสือเดินทาง และออกหมายจับไล่ล่า
8. การจะทำลายอำนาจทักษิณ วิธีการที่ได้ผล ต้องถอดยศ ยึดเครื่องราชย์ฯ ยึดหนังสือเดินทาง และออกหมายจับไล่ล่า เท่านั้น ไม่งั้นไม่มีทางทำสำเร็จ ประเทศยังวุ่นไม่จบ
9. หากไม่กล้าทำ ปล่อยทิ้งไว้ มวลชนทักษิณยิ่งฮึกเหิม มองว่า คสช.ไร้น้ำยาไม่กล้าทำ พวกข้าราชการจะเกียร์ว่างต่อไป
10. ยิ่งช้า รัฐประหารครั้งนี้จะ "เสียของ" คนไทยหมดหวัง


กต.ยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร

ข่าวสารนิเทศ : การยกเลิกหนังสือเดินทางของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร

ด้วยฝ่ายความมั่นคงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายในอำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาเห็นว่า ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยหรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย ประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒, ๓๒๖ และ ๓๒๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๓) (๕)

​กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๒๑ (๔) และข้อ ๒๓ (๒) จึงได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง เลขที่ U957441 และเลขที่ Z530117 ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘

มาร์ค แนะ เลิกอำนาจอภัยโทษ เค้นคอถาม 'บวรศักดิ์' ต้องการช่วยใคร


โดย ไทยรัฐออนไลน์ 26 พ.ค. 2558 16:30

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แนะ เลิกอำนาจอภัยโทษของ กรรมการปรองดอง เค้นคอถาม "บวรศักดิ์" หมกอภัยโทษ ช่วยใคร ชี้ สปช.-ครม. ชงแก้มาก ยัน ปชป. พร้อมร่วมมือ
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 26 พ.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี องค์กรต่างๆ เสนอความเห็นแก้ไขเพิ่มเติม ให้ กมธ.ยกร่างฯ เพื่อพิจารณาให้แก้ไข ว่า ได้เสนอความเห็นไปแล้ว ในฐานะส่วนตัว เพราะไม่สามารถจัดประชุมพรรคได้ เป็นภาพรวมของการออกแบบระบบที่ให้เน้นการตรวจสอบให้มีพลัง เพราะปัญหาประเทศที่ผ่านมา เกิดวิกฤติ เพราะนักการเมืองใช้อำนาจโดยมิชอบ และมีข้อสังเกตกรณีการเปลี่ยนแปลงองค์กรอิสระอื่นๆ รวมถึงเสนอให้ตัดมาตรา 181-182 ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี และฝ่ายบริหารในการท้าอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อผลักดันกฎหมายสำคัญ รวมถึงอำนาจอภัยโทษของคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ จึงเกรงว่าจะเป็นหลักคิดที่เป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหาในอดีต และอาจจะซ้ำเติมปัญหาหลังการเลือกตั้ง ที่อยากให้มีการแก้ไข
อยากย้อนถามกลับไปยังประธาน กมธ.ยกร่างฯ เหมือนกัน ว่า ท่านเขียนให้กี่คน เพราะท่านชอบพูดว่า ไม่ได้เขียนให้นักการเมือง เขียนให้ประชาชน ขอถามว่า แล้วที่เขียนเรื่องอภัยโทษนั้น เขียนรัฐธรรมนูญให้คนกี่คน และคนเหล่านี้ คือ คนที่สร้างปัญหาหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรม ดำเนินการไป ทำไมท่านพูดว่า ที่ผมท้วงเพื่อ 1,000 คน แต่ผมท้วงเพื่อ 63 ล้านคน ตามที่ท่านจะไปอภัยโทษให้คนเพียงไม่กี่คน นี่คือสาระที่พวกเราท้วง ไม่ได้เป็นประโยชน์ของ 1,000 คน ที่ท่านพูดเลย ฉะนั้น ตอบสาระมาดีกว่า ว่า สิ่งที่ผมทักท้วง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปเขียนแบบนั้น ที่เอื้อประโยชน์ให้คนน้อยกว่า 1,000 คน ด้วยซ้ำ" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ยืนยันว่า พรรคพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการให้ความเห็น ในร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีทาง สปช.และ สนช.เชิญมา พรรคก็ส่ง นายจุรินทร์ พรรคมี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นตัวแทนไปชี้แจง และเห็นว่า เร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องยอมรับว่า สมาชิกทั้ง สปช. และครม.ก็มีการเสนอขอแก้ไขร่าง รธน.มาก แต่ยังตอบไม่ได้ว่า มติของสปช.จะเป็นอย่างไร เพราะจะต้องรอดูท่าทีของ กมธ.ยกร่างฯ ว่า จะรับฟังและนำไปปรับปรุงแก้ไขแค่ไหน