ผุดไอเดียใหม่‘เก็บภาษีโฆษณาออนไลน์’ จากผู้ใช้บริการกูเกิ้ล-เฟซบุ๊ค 3 พันล./ปี
| |
ทีมข่าว TCIJ : 17 มกราคม 2559 | |
ที่มาภาพ : fraunhofer.de
| |
อนุ กมธ. ทำแผนจัดเก็บรายได้แผ่นดิน โดยสนช. เสนอไอเดียอุดช่องโหว่กฎหมาย จัดเก็บภาษีจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการต่างประเทศอย่าง Google - Facebook คาดมีเม็ดเงิน ค่าโฆษณาที่คนไทยใช้บริการจากต่างประเทศปีละ 12,000 – 15,000 ล้านบาท จะจัดเก็บภาษีได้ถึง 2,000 – 3,000 ล้านบาท
เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ 12,000 – 15,000 ล้านบาท
แม้ตัวเลขการสำรวจผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยของหลาย ๆ สำนักยังไม่ตรงกัน แต่ก็ประมาณการกันว่า ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยมีมากกว่า 20 ล้านคนไปแล้ว โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทยในปี 2555 มี 16,63,2908 คน ปี 2556 มี 18,312,405 คน ปี 2557 มี 21,729,382 คน และในปี 2558 มีถึง 24,592,299 คน ส่วนข้อมูลจากรายงาน Digital, Social and Mobile in 2015 ของ WeAreSocial ไปไกลกว่านั้น โดยระบุว่าปี 2558 ประเทศไทยมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตถึง 35 ล้านรายเลยทีเดียว ซึ่งถือว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรประเทศ 67.9 ล้านคน
ในส่วนของโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งที่คนไทยนิยมใช้อย่าง Facebook นั้น Zocialinc ได้ประเมินไว้ว่า ผู้ใช้ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากในปี 2555 ที่มีเพียง 14.5 ล้านบัญชี ( Accounts ซึ่ง 1 คนอาจจะมีบัญชี Facebook มากกว่า 1 บัญชีได้ ) เพิ่มเป็น 18 ล้านบัญชีในปี 2556 ก้าวกระโดดมาเป็น 26 ล้านบัญชีในปี 2557 และเพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านบัญชี ในปี 2558 ที่ผ่านมา ส่วนมหาอำนาจทางโลกออนไลน์ที่มีรายได้จากการโฆษณาอย่าง Google ก็ยังมีผลิตภัณฑ์ยอดฮิตที่คนไทยนิยมใช้อย่าง YouTube ซึ่งสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ระบุว่าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 มียอดผู้ใช้งาน YouTube อยู่ที่ 26.25 ล้านคน และมีวิดีโออัพโหลดขึ้นไปยังระบบ สูงถึง 3.4 ล้านวิดีโอ ยอดผู้เข้าชม (Unique Visitors) ต่อเดือน 7,822 ล้านครั้ง และจำนวนครั้งในการเข้าชมวิดีโอต่อเดือนสูงถึง 1,506 ล้านล้านครั้ง
การเพิ่มขึ้นของประชากรออนไลน์ที่ถือว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่สำคัญ จึงทำให้ธุรกิจโฆษณาต้องกระโดดตามมาสู่โลกออนไลน์ด้วย โดยมีประมาณการกันว่า ประเทศไทยมีเม็ดเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมการโฆษณาปีละกว่า 100,000 ล้านบาท และมียอดเงินค่าใช้จ่ายในการโฆษณาออนไลน์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตไปยังต่างประเทศประมาณ 12,000 – 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่มีการจัดเก็บภาษี หรือยังมีช่องโหว่ทางกฎหมายในส่วนนี้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ใช้บริการโฆษณาของบริษัทต่างประเทศ โดยเฉพาะรายใหญ่อย่าง Google และ Facebook อาจจะได้เปรียบต้นทุนในเชิงภาษีมากกว่าการใช้บริการโฆษณาภายในประเทศ
โดยปัจจุบันพบว่าผู้ประกอบการรายย่อยในไทย จะมีการติดต่อเพื่อลงโฆษณาและชำระเงินให้แก่ Google และ Facebook โดยตรงผ่านบัตรเครดิตซึ่งจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และไม่มีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนผู้ประกอบการ ห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลรายใหญ่มักจะดำเนินการ 2 แบบ ได้แก่ แบบแรก-คือมีการติดต่อเพื่อลงโฆษณาและชำระเงินค่าโฆษณาให้แก่บริษัทผู้ประกอบต่างประเทศผ่านบริษัทตัวแทนที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งกรณีนี้จะมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบที่สอง-มีการติดต่อเพื่อลงโฆษณาและชำระเงินค่าแก่บริษัทต่างประเทศโดยตรงไม่ผ่านตัวแทนบริษัท โดยมีการโดนเงินชำระผ่านไปยังต่างประเทศที่มี อนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Tax Agreement : DTA) กับประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่ต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย
แก้ไขประมวลรัษฎากร เปิดช่องเก็บภาษีค่าโฆษณาที่ใช้บริการจากต่างประเทศ
จากปัญหาที่กล่าวมา คณะอนุกรรมาธิการด้านการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน ในคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เสนอว่า เพื่อให้การจัดเก็บภาษีจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ โดยไม่มีการเสียภาษีให้แก่ประเทศไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นธรรมและอุดช่องโหว่กฎหมายตามหลักสากล กรมสรรพากรอาจจะต้องแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร ที่เกี่ยวข้องบางมาตรา อาทิมาตรา 70 โดยให้เพิ่มการจ่ายเงินค่าโฆษณาตาม มาตรา 40 (7) มาตรา 40 (8) เป็นเงินพึงได้ประเมินที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศ แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทย หรือ มาตรา 65 ตรี โดยกำหนดให้รายจ่ายจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการที่อยู่ต่างประเทศกรณีที่บริษัทต่างประเทศไม่ได้ผ่านการเก็บภาษีตาม มาตรา 70 หรือมาตรา 76 ทวิ เป็นรายจ่ายต้องห้าม มิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตาม มาตรา 65 ตรี
โดยคณะอนุกรรมาธิการด้านการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดินฯ ระบุว่า ซึ่งผลจากกรณีดังกล่าวจะช่วยจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด โดยปัจจุบันกรมสรรพากรจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 (ณ เดือนธันวาคม 2558) ก็จะสามารถนำมาประเมินจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 2,000 – 3,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีการใช้บริการโฆษณาจากต่างประเทศปีละประมาณ 12,000 – 15,000 ล้านบาท และหากอุตสาหกรรมนี้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ในอนาคตก็จะสามารถจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นตาม รวมทั้งยังเสนอว่า กรณีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในต่างประเทศ ที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนถูกต้องในประเทศญี่ปุ่นและประเทศออสเตรเลียจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้จ่ายเงินค่าโฆษณาดังกล่าวไม่สามารถนำภาษีมาซื้อเครดิตออกจากภาษีขายของตนเองได้ กรมสรรพากรควรนำกรณีดังกล่าวมาพิจารณาศึกษาเปรียบเทียบกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ เคยมีกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้สำหรับการรับจ้างทำของในต่างประเทศ (กรณีการว่าจ้างต่อเรือในต่างประเทศของกองทัพเรือ) ไว้ว่า สัญญาจ้างต่อเรือเข้าลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของ แม้จะมีลูกจ้างเข้ามาลงนามในสัญญาในประเทศไทยก็ตาม แต่โดยที่การให้บริการและผลสำเร็จของงานตามสัญญานี้เกิดขึ้นในต่างประเทศทั้งหมด จึงไม่ถือว่ามีการประกอบกิจการในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 76 ทวิ และไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้ให้แก่ประเทศไทยนั้น กรณีดังกล่าวคณะอนุกรรมาธิการด้านการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดินฯ ระบุว่าอาจจะมีข้อเท็จจริงหรือลักษณะที่แตกต่างจากกรณีที่บริษัทผู้ประกอบการของ Google และ Facebook ได้รับเงินจากการให้บริการโฆษณาสินค้าจากผู้จ่ายเงินได้ในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (8) เนื่องจากเงินได้พึงประเมินดังกล่าว จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง
ข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการด้านการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดินฯ นี้ ได้ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อ 25 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา เพื่อส่งต่อให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าจะดำเนินการหรือไม่ ? อย่างไร ? ต่อไป
|
PR
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559
ผุดไอเดียใหม่‘เก็บภาษีโฆษณาออนไลน์’ จากผู้ใช้บริการกูเกิ้ล-เฟซบุ๊ค 3 พันล./ปี
‘วิษณุ’แย้มปมสังฆราช ปัญหาเพียบ ยอมรับแทงกั๊กดูข้อมูล
ผบสส.โต้ "อ.นิธิ" ไม่น่าเขียน บทความถาม"ทหารมีไว้ทำไม" เผย ทหารมีไว้เพื่อเป็นรั้วของประเทศชาติ
ผบทบ.นำทหาร 20กองพันกระทำสัตย์ปฏิญาณตน วันกองทัพไทย
"และมีความพร้อมต่อการปฎิบัติภารกิจในทุกสถานการณ์ โดยทำหน้าที่ในความรับผิดชอบอย่างดีที่สุดด้วยความเสียสละ อดทน หนักแน่น มีความรักสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน"
ราคาน้ำมันดิ่งต่ำกว่า 28 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังยกเลิกคว่ำบาตรอิหร่าน
อีสานกับรากเหง้าประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์
ไต้หวันได้ปธน.คนใหม่เป็นผู้หญิงคนแรก
ไต้หวันได้ประธานาธิบดีหญิงคนแรก: เป็นคนรักแมว-หนุนการแต่งงานคู่รักเพศเดียวกัน
ผลการเลือกตั้งทั่วไปของสาธารณรัฐจีน หรือ “ไต้หวัน” พรรค DPP กลับมาชนะพรรคก๊กมินตั๋ง ได้ว่าที่ประธานาธิบดีหญิงคนแรกนาม “ไช่ อิงเหวิน” ผู้เป็นนักวิชาการกฎหมาย คนรักแมว ผู้สนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน พร้อมจับตาสัมพันธ์จีน-ไต้หวัน เมื่อไช่ อิงเหวิน ไม่เคยออกตัวหนุน “จีนเดียว” และ “การรวมชาติ”
17 ม.ค. 2559 ผลการเลือกตั้งทั่วไปของสาธารณรัฐจีน หรือ ไต้หวัน เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ปรากฏว่าไช่ อิงเหวิน ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ได้คะแนน 6.89 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 56.1 เอาชนะคู่แข่งคืออิริค จูลี่หลุน (Eri Chu Li-Luan) จากพรรคจีนคณะชาติ หรือ ก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ซึ่งได้คะแนน 3.81 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 31.0 ทำให้ไช่ อิงเหวิน กำลังจะเป็นประธานาธิบดีไต้หวันหญิงคนแรก
ไช่ อิงเหวิน (คนกลาง) ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) กล่าวกับผู้สนับสนุนเมื่อ 16 ม.ค. 2559 (ที่มา: เฟซบุ๊ค 蔡英文 Tsai Ing-wen)
ไช่ อิงเหวิน เลี้ยงแมว 2 ตัว คือ "เซียงเซียง" หรือ "ถิงถิง" และ "อาไช่" ซึ่งในภาพนี้คือ "เซียงเซียง" ซึ่งปรากฏตัวในคลิปกล่าวอวยพรวันตรุษจีนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ ปี 2558 ที่ผ่านมา (ที่มา: เฟซบุ๊ค 蔡英文 Tsai Ing-wen)
ไช่ อิงเหวิน ผู้สมัครประธานาธิบดีไต้หวันพรรค DPP หาเสียงโค้งสุดท้ายเมื่อ 15 ม.ค. 2559 (ที่มา: เฟซบุ๊ค 蔡英文 Tsai Ing-wen)
ผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ออกมาทักทาย ไช่ อิงเหวิน เมื่อ 15 ม.ค. 2559 ก่อนการเลือกตั้ง 1 วัน (ที่มา: เฟซบุ๊ค 蔡英文 Tsai Ing-wen)
ผู้ใช้รถใช้ถนนทักทายระหว่างที่รถปราศรัยของ ไช่ อิงเหวิน ผู้สมัครประธานาธิบดีไต้หวันจากพรรค DPP เคลื่อนผ่าน เมื่อ 15 ม.ค. ก่อนการเลือกตั้ง 1 วัน (ที่มา: เฟซบุ๊ค 蔡英文 Tsai Ing-wen)
ลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัวธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สู่นักวิชาการกฎหมายและว่าที่ประธานาธิบดี
ผู้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีไต้หวันหญิงคนแรกนี้ ปัจจุบันมีสถานะโสด พื้นเพของเธอเกิดที่กรุงไทเปเป็นลูกสาวคนสุดท้อง ในบรรดาพี่น้องร่วมมารดาและต่างมารดา 11 คน ปู่ของเธอเป็นชาวจีนฮากกา ส่วนย่าเป็นชนพื้นเมืองไผหวัน บนเกาะไต้หวัน พ่อของเธอเริ่มต้นจากการเปิดร้านซ่อมรถยนต์ ก่อนที่จะสร้างฐานะจนเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
จากรายงานชีวประวัติใน หนังสือพิมพ์เตรทไทม์ ของสิงคโปร์ และ สารานุกรมวิกิพีเดีย ระบุว่า พ่อแม่ของไช่ อิงเหวิน มีความคาดหวังสูงต่อลูก และเคยไม่พอใจที่ลูกสอบไม่ได้อันดับที่ 1 เหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ทั้งนี้จากการเปิดเผยของไช่ อิงเหวิน ผ่านรายการโทรทัศน์ไต้หวันเมื่อปีก่อน
เมื่อถึงระดับมหาวิทยาลัย ไช่ อิงเหวิน เคยคิดอยากเรียนประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี แต่ถูกโน้มน้าวให้ไปเรียนนิติศาสตร์เนื่องจากพ่ออยากให้เธอมาช่วยทำงานด้านกฎหมายสำหรับกิจการของครอบครัว
ทั้งนี้ภายหลังจากจบปริญญาตรีด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) เมื่อปี 2521 ไช่ อิงเหวิน ไปเรียนต่อจบมหาบัณฑิตด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2523 และจบดุษฎีบัณฑิต จากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE) ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2527 เมื่อศึกษาจบได้กลับมาเป็นอาจารย์กฎหมายที่มหาวิทยาลัยกฎหมายซูโจว และมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิงจี ในไต้หวัน
ไช่ อิงเหวิน เริ่มมีความโดดเด่นในฐานะข้าราชการด้านนโยบาย ในยุคของประธานาธิบดี ลี เติงฮุย เชิญให้มาเป็นหัวหน้าคณะวิจัย เพื่อพิสูจน์ว่าไต้หวันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” และเพื่อสร้างทฤษฎี “สองรัฐ” ขึ้น
ต่อมา ไช่ อิงเหวิน ยังขึ้นมาเป็นหัวหน้าของ สภากิจการแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ขึ้นกับคณะรัฐมนตรีไต้หวัน รับผิดชอบนโยบายที่เกี่ยวข้องระหว่างสองฟากฝั่งไต้หวัน – จีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงรัฐบาล DPP ทั้งนี้ไช่ อิงเหวิน เข้าร่วมพรรค DPP มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 และเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี สมัยของประธานาธิบดี เฉิน ซุยเปียน
ไช่ อิงเหวิน เคยลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรค DPP ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ 14 มกราคม 2555 แต่ก็แพ้ให้กับ หม่า อิงจิ่ว ผู้สมัครจากพรรคก๊กมินตั๋ง ขณะที่ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด 16 มกราคม 2559 นอกจากจะทำให้ไช่ อิงเหวิน เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไต้หวันแล้ว ในรายงานของเดอะการ์เดียนสื่อของอังกฤษยังเปรียบเทียบว่าไช่ อิงเหวิน จะกลายเป็นผู้หญิงที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกของผู้ใช้ภาษาจีน
ประธานาธิบดีคนที่ 2 จากพรรค DPP ผู้กอบกู้สถานการณ์พรรคตกต่ำหลังยุคเฉิน ซุยเปียน
ในขณะที่พรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ปกครองไต้หวันแทบจะตลอดมานับตั้งแต่ จอมพลเจียง ไค เช็ค (Chiang Kai-Shek) ล่าถอยมาจากแผ่นดินใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2492 ในช่วงขับเคี่ยวสงครามกลางเมืองกับ เหมา เจ๋อ ตุง จึงนับได้ว่า ไช่ อิงเหวิน เป็นนักการเมืองคนที่ 2 จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ที่สอดแทรกขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของไต้หวัน ซึ่งมีประชากร 23 ล้านคน ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่ง แต่ไต้หวันก็ปกครองตนเองอย่างเป็นอิสระหลายทศวรรษ
สำหรับประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้จากพรรค DPP ก็คือ เฉิน ซุยเปียน (Chen Shui-bian) ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2551 และมีชื่อเสียงเสื่อมเสียด้วยข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน ขณะที่ไช่ อิงเหวิน ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กู้สถานการณ์ของพรรค DPP กลับมา
โดยในห้วงที่ ไช่ อิงเหวิน นำพรรค DPP ชนะการเลือกตั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่พอใจของประชาชนต่อพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งปกครองไต้หวันในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานี้ ทั้งนี้ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี หม่า อิงจิ่ว ซึ่งปกครองไต้หวันระหว่างปี พ.ศ. 2551 - 2558 เศรษฐกิจของไต้หวันอยู่ภาวะชะลอตัว ขณะเดียวกันก็เข้าไปเกี่ยวข้องพึ่งพากับเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
ความไม่พอใจต่อพรรคก๊กมินตั๋งมาถึงจุดสูงสุดในเดือนมีนาคมปี พ.ศ. 2557 เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติผ่านข้อตกลงทางการค้ากับจีน ทำให้เกิดการตอบโต้ของขบวนการนักศึกษาที่ชื่อว่า "ขบวนการดอกทานตะวัน" รวมไปถึงการประท้วงของกลุ่มรากหญ้าก็แพร่ขยายในไต้หวัน
ชัยชนะของพรรค DPP ในยุคที่มีผู้นิยามตนเป็น "คนไต้หวัน" มากกว่า "คนจีน"
ทั้งนี้ไช่ อิงเหวิน และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) เองก็เป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากขบวนการเคลื่อนไหวดอกทานตะวัน (Sunflower) ของหมู่เยาวชนไต้หวัน ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรครัฐบาลก๊กมินตั๋ง (KMT) มากกว่าพรรคฝ่ายค้าน ขณะที่ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิงจียังพบว่าปัจจุบันในหมู่คนไต้หวันเองก็นิยามตนเองว่าสนับสนุนพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) มากกว่าพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ในขณะที่ในรอบ 10 ปีมานี้ ชาวไต้หวันเคยนิยามตนว่าสนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) มากกว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า
รายงานข่าวของ Quartz เปิดเผยผลสำรวจตั้งแต่ พ.ศ. 2535 - 2558 ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิงจี ที่ในระยะหลังพบว่าคนที่อาศัยในไต้หวัน นิยามตนเองว่าเป็นชาวไต้หวัน รองลงมาคือเป็นทั้งชาวไต้หวันและชาวจีน และนิยามว่าเป็นชาวจีนเหลือเพียงร้อยละ 3.3 เท่านั้น
นอกจากนี้ ชัยชนะของ ไช่ อิงเหวิน และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ยังเกิดขึ้นในยุคที่คนในไต้หวันนิยามตนเองว่าเป็นชาวจีน หรือนิยามตนว่าเป็นทั้งชาวไต้หวันและชาวจีน ในสัดส่วนที่ลดต่ำที่สุด โดยในรายงานของ Quartz ซึ่งอ้างการสำรวจของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเจิงจี (National Chengchi University) ของไต้หวัน ระหว่างปี พ.ศ. 2535 - 2558 โดยเปิดเผยผลสำรวจทุกๆ วันที่ 6 ม.ค. พบว่าคนไต้หวัน นิยามตัวเองว่าเป็นคนจีนลดต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยในปี พ.ศ. 2535 อยู่ที่ร้อยละ 25.5 และอยู่ในจุดสูงสุดเมื่อ พ.ศ. 2537 ที่ร้อยละ 26.2 และค่อยๆ ลดลงโดยในการสำรวจปี พ.ศ. 2558 คนไต้หวันนิยามว่าตัวเองเป็นคนจีนเหลือร้อยละ 3.3
ส่วนการนิยามว่าตนเป็นคนไต้หวัน ในปี พ.ศ. 2535 อยู่ที่ร้อยละ 17.6 เท่านั้น และมีแนวโน้มขึ้นมาเรื่อยๆ ในการสำรวจปี พ.ศ. 2552 อยู่ที่ร้อยละ 51.6 เป็นปีแรกที่ผลการสำรวจพบว่าประชาชนนิยามตนเองเป็นคนไต้หวันเกินร้อยละ 50 และขึ้นมาอยู่ที่จุดสูงสุดในปี พ.ศ. 2557 อยู่ที่ร้อยละ 60.6 ขณะที่ในการสำรวจล่าสุดปี พ.ศ. 2558 อยู่ที่ร้อยละ 59
ขณะที่ผู้ที่นิยามตนเองว่าเป็นทั้งคนไต้หวันและคนจีน ในปี พ.ศ. 2535 อยู่ที่ร้อยละ 46.4 และเคยขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 49.3 ในปี พ.ศ. 2539 ในช่วงก่อนรวมฮ่องกงเข้ากับจีน ก่อนที่จะค่อยๆ ลดจำนวนลงจนอยู่ในจุดต่ำสุดเมื่อปี พ.ศ. 2557 อยู่ที่ร้อยละ 32.5 ขณะที่การสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2558 อยู่ที่ร้อยละ 33.7 (อ่านรายงานของ Quartz, 15 ม.ค. 2559)
นอกจากนี้ว่าที่ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของไต้หวันก็แสดงจุดยืนทางการเมืองที่เปิดกว้าง โดยในรายงานของ Quartz เมื่อ 16 ม.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ก่อนพาเหรดเกย์ไพรด์ของกรุงไทเป เมื่อปีที่แล้ว ไช่ อิงเหวิน ประกาศสนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน โดยกล่าวในวิดีโอที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊คของเธอว่า "ต่อหน้าของความรัก คนทุกคนเท่ากัน ขอให้ทุกคนมีเสรีภาพในความรักและทำให้ความสุขของพวกเขาสมหวัง ฉันคือ ไช่ อิงเหวิน และฉันสนับสนุนการแต่งงานที่เสมอภาคกัน" ทั้งนี้ไช่ อิงเหวิน ยังเผยแพร่วิดีโอที่จัดทำโดยทีมงานหลายคลิป เพื่อสนับสนุนครอบครัวของเพศเดียวกัน (อ่านข่าวใน Shanghaiist, 1 พ.ย. 2015)
นอกจากนี้ ไช่ อิงเหวิน ยังเลี้ยงแมว 2 ตัว คือ "เซียงเซียง" หรือ "ถิงถิง" และ "อาไช่" ซึ่ง "เซียงเซียง" เคยปรากฏอยู่ในคลิปอวยพรวันตรุษจีนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ ปี 2558 มาแล้ว (ชมวิดีโอ)
จับตาประเด็นจีน-ไต้หวัน: เมื่อไช่ อิงเหวิน ไม่เคยสนับสนุน “จีนเดียว” และ “การรวมชาติ”
ในรายงานของ Quartz เชื่อว่า ชัยชนะของไช่ อิงเหวิน จะทำให้รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปักกิ่งอยู่ในสถานะลำบาก ทั้งนี้ ไช่ อิงเหวิน แม้จะไม่เคยสนับสนุนโดยเปิดเผยให้ไต้หวันเป็นเอกราช และดูเหมือนต้องการรักษา “สถานะปัจจุบัน” ไว้กับปักกิ่งและต่อสู้เพื่อความร่วมมือเพื่อให้มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มากกว่านี้
แต่ไช่ อิงเหวิน เองก็ไม่เคยแสดงความสนับสนุนการรวมชาติจีน-ไต้หวัน หรือไม่เคยแสดงออกว่ายอมรับใน “ฉันทามติ 92” ที่เคยมีข้อตกลงระหว่างจีน-ไต้หวันเมื่อปี พ.ศ. 2535 ที่ว่าทั้งไต้หวัน และจีนแผ่นดินใหญ่รับรองว่ามีเพียง “จีนเดียว” อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต่างมีการแถลงคำจำกัดความ “จีนเดียว” ของตนเอง และในขณะที่ปักกิ่งมองเห็นไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และเห็นการขึ้นมามีอำนาจบริหารของไช่ อิงเหวิน ตรงกันข้ามกับแนวคิดเหล่านี้ ในอนาคตก็อาจเกิดการโดดเดี่ยวต่อไต้หวันทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง
000
ผลการเลือกตั้งทั่วไปไต้หวัน DPP ชนะทั้งเลือกตั้งประธานาธิบดี และสมาชิกสภานิติบัญญัติ
แผนที่แสดงผลการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีไต้หวัน สีเขียวคือเขตที่เลือก ไช่ อิงเหวิน จากพรรค DPP มากกว่าพรรคอื่น สีน้ำเงิน คือเขตที่เลือก อีริค จูลี่หลุน จากพรรคก๊กมินตั๋ง KMT มากกว่าพรรคอื่น สีส้ม คือ เขตที่เลือกเจมส์ ซ่ง จากพรรคประชาชนมาก่อน PFP มากกว่าพรรคอื่น โดยข้อมูลจากแผนที่พบว่าทั้งไทเป (ตอนบนสุด) และเกาสง (ชายฝั่งตะวันออกทางทิศใต้) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีประชากรหนาแน่นเทคะแนนให้พรรค DPP ขณะที่พรรคก๊กมินตั๋งยังรักษาคะแนนไว้ได้ในเขตชายฝั่งทางตะวันตกที่มีประชากรหนาแน่นน้อยกว่าฝั่งตะวันออก (ที่มา: วิกิพีเดีย)
สำหรับผลการเลือกตั้งทั่วไปของสาธารณรัฐจีน หรือ ไต้หวัน เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ซึ่งประกอบด้วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีครั้งที่ 14 และการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวัน สมัยที่ 9 รวม 113 ที่นั่งนั้น ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีปรากฏว่า ไช่ อิงเหวิน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) และแนวร่วม ได้คะแนน 6.89 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 56.1
ส่วนอิริค จูลี่หลุน (Eri Chu Li-Luan) จากพรรคจีนคณะชาติ หรือ ก๊กมินตั๋ง (KMT) และแนวร่วม ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลได้คะแนน 3.81 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 31.0 ขณะที่เจมส์ ซ่ง (James Soong) หรือ ซ่ง ฉู่หยี พรรคประชาชนมาก่อน (People First Party - PFP) ได้คะแนน 1.58 ล้านคะแนน หรือร้อยละ 12.8
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรงเป็นครั้งที่ 6 โดยก่อนหน้านี้เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมผ่านการเลือกของรัฐสภาจนถึงปี พ.ศ. 2539
ส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติสมัยที่ 9 ทั้ง 113 ที่นั่ง ประกอบด้วยแบ่งเขต 79 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 34 ที่นั่ง ผลปรากฏว่า อันดับหนึ่ง พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ได้ ส.ส. รวม 67 ที่นั่ง (แบ่งเขต 49 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 18 ที่นั่ง) โดยได้ที่นั่งเพิ่มขึ้น 27 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
อันดับสอง พรรคจีนคณะชาติ หรือ ก๊กมินตั๋ง (KMT) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเดิม ได้ ส.ส. รวม 36 ที่นั่ง (แบ่งเขต 25 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 11 ที่นั่ง) ได้ที่นั่งลดลง 28 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
อันดับสาม พรรคพลังใหม่ (New Power Party) ได้ ส.ส. รวม 5 ที่นั่ง (แบ่งเขต 3 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 2 ที่นั่ง) อันดับสี่ พรรคประชาชนมาก่อน (People First Party) ได้ ส.ส. รวม 3 ที่นั่ง ทั้งหมดมาจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อ และ อันดับห้า สหภาพเพื่อความสามัคคีของพรรคไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Partisan Solidarity Union) ได้ ส.ส. 1 ที่นั่ง จากแบบแบ่งเขต
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปของไต้หวันครั้งนี้นั้น สถานีวิทยุไต้หวัน RTI รายงานว่า ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีจำนวน 18,786,808 คน เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้ว 700,353 คน แต่ในครั้งนี้ชาวจีนโพ้นทะเลลงทะเบียนเพื่อกลับมาเลือกตั้งมีจำนวน 2,425 คน อนุมัติแล้ว 2,317 คน นับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์